๑๗
หลังจากได้มาถึงกรุงเทพฯ ประมาณ ๕ วัน ข้าพเจ้าจึงได้พบเวลาอันเหมาะที่จะไปเยี่ยมเยียนหม่อมราชวงศ์กีรติ ที่จริงก็ออกจะล่าไปสักหน่อย ข้าพเจ้าควรจะได้เยี่ยมเธอเร็วพลันกว่านี้ แต่ข้าพเจ้าก็มีกิจธุระด่วนหลายอย่าง ที่ควรทำให้เสร็จสิ้นไป และโดยมากก็เป็นกิจธุระที่เกี่ยวกับงานอาชีพ ซึ่งในเวลานั้นข้าพเจ้ามีความสนใจอยู่ยิ่งกว่ากิจอื่นใดทั้งหมด.
ข้าพเจ้าไปเยี่ยมเธอที่บ้านตำบลบางกะปิ ปลูกเป็นตึกย่อม ๆ ชั้นเดียว ในบริเวณอันกว้างใหญ่ประมาณ ๓ ไร่ โดยรอบมีรั้วต้นมอร์นิ่งกลอรี่ ซึ่งสะพรั่งไปด้วยใบสีเขียวและดอกสีม่วง แลดูหนาทึบ ตัวบ้านตั้งอยู่บนเนินลึกเข้าไปในบริเวณ ดูเด่นเห็นถนัด. บริเวณหน้าบ้าน ทำเป็นสนามสำหรับเดินเล่น ผ่านไปในสวนดอกไม้นานาชนิด มีสระใหญ่อยู่ทางด้านซ้ายของบริเวณ ใกล้กับริมประตูทางเข้า มีศาลาเล็ก ๆ ตั้งอยู่กลางสวนดอกไม้ ปกคลุมด้วยพรรณไม้เลื้อย ดูเป็นที่รื่นรมย์ใจ.
ความรู้สึกอันแรกที่เกิดแก่ข้าพเจ้า เมื่อไปถึงบ้านหม่อมราชวงศ์กีรติ ก็คือรู้สึกว่า เป็นบ้านที่น่าอยู่ที่สุดหลังหนึ่งในตำบลบางกะปิ เมื่อได้เปรียบเทียบกับบ้านจำนวนสิบกว่าหลัง ที่ข้าพเจ้าได้ผ่านมาในระหว่างทาง บ้านเหล่านั้นล้วนเป็นบ้านที่สวยงามทุกบ้าน แต่ภูมิฐานการตบแต่งภายในบริเวณจะได้บรรจุเอาความสงบรื่นรมย์ใจไว้ เสมอด้วยบ้านของหม่อมราชวงศ์กีรตินั้นหามีไม่ เมื่อทอดทัศนาดูสวนดอกไม้ซึ่งมีหลายแห่ง ประกอบด้วยหินก้อนโต ๆ ก็ชวนให้ข้าพเจ้ารู้สึกประหนึ่งว่า ได้คุ้นเคยกับบ้านหลังนี้มานาน ทั้งนี้เนื่องแต่ลักษณะวิธีการตบแต่งสวน ซึ่งคล้ายคลึงกันมาก กับลักษณะวิธีของชาวญี่ปุ่น พรรณไม้ต่าง ๆ ไม่จัดสรรไว้เป็นหมวดหมู่อย่างมีกำหนดกฏเกณฑ์ หากตบแต่งปลูกขึ้น ไว้ปะปนกัน และแลดูหนาทึบคล้ายสวนธรรมชาติ มากกว่าจะเห็นเป็นการประดิษฐ์ขึ้น แม้ว่าความจริงจะได้ตั้งใจประดิษฐ์ขึ้นก็ตาม ดูเป็นธรรมชาติดังสวนพฤกษชาติอันกว้างใหญ่ไพศาลที่นิกโกซึ่งข้าพเจ้าได้เคยไปเที่ยวมาหลายครั้ง.
ประตูเปิดอยู่ก่อนแล้ว รถผ่านเข้าไปช้า ๆ และในขณะที่ทอดทัศนาไปในท่ามกลางสวนดอกไม้ ข้าพเจ้าแลเห็นศีรษะของสุภาพสตรี โผล่อยู่ข้างพุ่มต้นแก้ว ข้าพเจ้าจำทรงผมนั้นได้ จึงสั่งให้รถหยุด ก่อนที่จะแล่นไปเทียบถึงหน้าตึก เมื่อข้าพเจ้าลงมายืนอยู่บนถนน หม่อมราชวงศ์กีรติก็โผล่ออกมาจากหว่างซุ้มไม้ แลเห็นได้ถนัดเต็มตัว.
“นพพร” เธอร้องทักมาแต่ไกล.
ข้าพเจ้าเปิดหมวกให้เธอ และเดินตัดทางตรงไปพบกับเธอที่นั่น.
พอข้าพเจ้าถึงตัวหม่อมราชวงศ์กีรติ สุนัขพันธุ์แอลเซเชียนซึ่งวิ่งเล่นอยู่ในที่ใกล้ ๆ นั้น ได้วิ่งเข้ามายืนอยู่เคียงข้างเธอ และจ้องมองดูข้าพเจ้าอย่างน่ากลัว หม่อมราชวงศ์กีรติย่อกายลงเอามือตบศีรษะมันเบา ๆ และออกชื่อมันสองสามครั้ง มันก็หมอบลงแทบเท้าของเธอโดยอาการสงบ.
“คุณหญิงเลี้ยงสุนัขใหญ่โตน่ากลัวมาก” ข้าพเจ้าเริ่มคำปราศรัย “มันจ้องมองดูผมอย่างสงสัย.”
เธอยิ้ม.
“โตวัลด์เป็นองครักษ์ของฉัน เราอยู่ที่นี่ด้วยกันไม่กี่คน จึงต้องอาศัยโตวัลด์เป็นยามระวังคนร้าย. ถูกแล้วโตวัลด์มักจะสงสัยใคร ๆ ไว้ก่อนเสมอ เดี๋ยวนี้ฉันทำให้เขาเข้าใจแล้วว่า เธอเป็นมิตรของฉัน เธอมาดีมิใช่มาร้าย” พูดแล้วหม่อมราชวงศ์กีรติก็ย่อกายลงลูบศีรษะโตวัลด์ แล้วบอกให้ไปวิ่งเล่นที่อื่น มันก็ยินยอมไปโดยดี.
“ฉันควรจะต้อนรับเธอในบ้าน” เธอเงยหน้าขึ้นพูดต่อไป.
ขณะนั้น เรากำลังยืนอยู่ข้างโต๊ะเก้าอี้สนาม ซึ่งตั้งอยู่ในท่ามกลางสวนดอกไม้ และเป็นที่ซึ่งหม่อมราชวงศ์กีรติได้นั่งเล่นอยู่ก่อน.
“ผมออกจะพอใจที่นี่. ดูร่มเย็นสบายดี และจำเริญตาด้วยพรรณดอกไม้นานาชนิด” พูดพลางข้าพเจ้าวางหมวกลงบนโต๊ะ.
“ถ้าเธอพอใจ ฉันก็จะรับรองเธอที่นี่.”
เมื่อเราทั้งสองนั่งลงบนเก้าอี้เรียบร้อยแล้ว ข้าพเจ้าได้พูดขึ้นว่า.
“ผมขอโทษคุณหญิง ที่มาเยี่ยมล่าไปหน่อย เป็นด้วยผมต้องไปพบท่านผู้ใหญ่หลายคน เกี่ยวด้วยการงานที่ผมจะเข้าทำ ผมไม่อยากจะทอดทิ้งเวลาให้หมดเปลืองไปเปล่า.”
“ฉันขออนุโมทนากับเธอ เป็นการถูกต้องแล้วนี่นพพร ที่เธอควรจะคิดถึงเรื่องการงานก่อนอะไรทั้งหมด.”
“ผมต้องรับกับคุณหญิงว่า ในระหว่างสองสามปีมานี้ ผมออกจะหมกมุ่นครุ่นคิดถึงเรื่องการงานมาก มิใช่เพราะเหตุว่าอยากจะได้เงินมาบำรุงบำเรอความสุข ความปรารถนาข้อใหญ่อยู่ที่ต้องการทำงาน ผมเชื่อว่าผมจะมีความสุขอย่างยิ่งถ้าได้ทำงานตามวิชาความรู้ที่ผมได้เล่าเรียนมา ข้อนี้แหละที่อาจจะทำให้ผมบกพร่องในการอื่น ๆ เป็นต้นในทางการสมาคม เช่นในการมาเยี่ยมคุณหญิงนี้.”
“เป็นความบกพร่องที่กลับทำให้เธอน่าเอ็นดูยิ่งขึ้น.” เธอพูดยิ้ม ๆ เป็นยิ้มที่แสดงความกรุณา อ่อนโยนและมีความหวานเจือปนอยู่ครบครัน เป็นยิ้มที่ข้าพเจ้าได้รู้จักมานาน และสามารถที่จะระลึกถึงได้เมื่อได้มาพบอีกครั้งหนึ่ง “เธอเติบโตขึ้นเป็นผู้ใหญ่เต็มที่ทีเดียว นพพร. เธอรู้ตัวไหมว่า เดี๋ยวนี้น่ะ กิริยาการอย่างเด็กหนุ่มของเธอเกือบไม่มีเหลืออยู่อีกแล้ว.”
“ผมคิดว่า ผมคงจะเปลี่ยนแปลงไปบ้าง แต่ผมยากที่จะทราบสำนึกได้ด้วยตนเอง.”
“เธอเป็นชายหนุ่มใหญ่เต็มที่ และดูเคร่งขรึมผิดกว่าแต่ก่อน.”
“ผมไม่รู้ตัวเลยข้อนั้น ในส่วนตัวคุณหญิง ผมแลเห็นความเปลี่ยนแปลงเพียงเล็กน้อย.”
“ฉันแก่ลงไปมาก.”
“ผมไม่เห็นดังนั้นเลย ประทานโทษ คุณหญิงอายุเท่าไหร่แล้ว”
“๔๐ เศษ.”
“ประทานโทษ คุณหญิงยังดูสาว....”
“อะไรกัน นพพร ประทานโทษไม่ได้หยุด” เธอพูดด้วยเสียงดุ ๆ “เธอพูดดังกับว่าฉันจะคอยเอาโทษเธอไปเสียทุกสิ่งทุกอย่าง ดูเธอเปลี่ยนแปลงไปมากจริง ๆ.”
“ผมเกรงว่า ผมจะพูดในสิ่งที่ไม่สมควร.”
“ถึงกระนั้นก็ไม่จำต้องขอโทษอะไร เมื่อได้พูดออกมาเสียแล้ว. เดี๋ยวนี้ฉันไม่ใช่สตรีคนที่เธอได้พบที่โตเกียวแล้ว เวลามันห่างกันเกือบ ๖ ปี ถ้าเธอไม่ตั้งใจจะยกยอฉันจนเกินไป เธอก็จะพูดว่า ฉันยังดูเป็นสาวต่อไปอีกไม่ได้.”
“แต่นั่นเป็นความรู้สึกจริงใจของผม.”
“เธอมีอุปาทานมากเกินไป. เชื่อฉันเถิด นพพร เดี๋ยวนี้ฉันมีอายุถึง ๔๐ เศษแล้ว ฉันรู้ตัวดีว่าฉันแก่ไปมาก.”
“ข้อนั้นอาจเป็นอุปาทานของคุณหญิงยิ่งกว่าของผมก็เป็นได้.” แล้วข้าพเจ้าก็เปลี่ยนหัวข้อเรื่องใหม่ “คุณหญิงคงจะอยู่เป็นสุขสบายดีในบ้านหลังนี้ มันสวยงามสมที่คุณหญิงจะอยู่ โปรดเล่าเรื่องราวของคุณหญิงให้ผมฟังบ้าง.”
เธอจ้องมองดูข้าพเจ้าอย่างไม่แน่ใจ.
“เธอเชื่อว่าเธอยังมีความสนใจโดยแท้จริงในความเป็นอยู่ของฉันอยู่อีกหรือ?”
“ผมมีความสนใจในความเป็นอยู่ของคุณหญิงตลอดมา.”
“เดี๋ยวนี้ เมื่อเธอได้กลับมาอยู่ในกรุงเทพฯ แล้วเธอก็มีการงานและคนที่รู้จักมักคุ้นกับเธอเป็นอันมากที่เธอจะต้องติดต่อเอาใจใส่ ฉันเกรงว่าเธอจะมีเวลาน้อยเต็มที สำหรับที่จะมาเอาใจใส่ในความเป็นอยู่ของฉัน. ในเวลานี้เป็นเวลาที่ต่างกันมากกับเวลาที่เราได้พบกันในโตเกียวจริงไหม นพพร ?”
ข้าพเจ้าออกจะเห็นจริงตามคำของหม่อมราชวงศ์กีรติ ข้าพเจ้าไม่มีเวลาและความรู้สึกฟุ่มเฟือยที่จะคิดถึงเธอดังแต่กาลก่อน เหตุการณ์แต่ปางหลังได้เลือนไปจากความทรงจำของข้าพเจ้า แม้ที่สุดจนเหตุการณ์บนยอดเขามิตาเกะ ซึ่งครั้งหนึ่งข้าพเจ้าเคยถือว่าเป็นเหตุการณ์ที่ได้พิมพ์ประทับลงไปอย่างแนบแน่นในชีวิต ข้าพเจ้าก็แทบจะมิได้ระลึกนึกไปถึง ทุกสิ่งทุกอย่างดูจะผ่านพ้นไป ดุจว่าได้จากกาลสมัยของมันเสียแล้ว กาลสมัยที่ได้ตั้งต้นขึ้นใหม่ ในวิถีชีวิตของข้าพเจ้าบัดนี้คือกาลสมัยแห่งการงาน และความเป็นอยู่ที่จะเข้ามาปรากฏเฉพาะหน้า. เป็นความจริงว่า ข้าพเจ้าไม่ได้มีชีวิตอยู่ด้วยความรู้สึกซาบซึ้งรุนแรง ดุจที่ได้เกิดขึ้นในกาลสมัยหนึ่งเมื่อ ๖ ปีล่วงแล้ว.
ในส่วนตัวหม่อมราชวงศ์กีรติเองนั้น ข้าพเจ้าไม่อาจจะคาดคะเนได้ว่า เธอกล่าวความเช่นนั้น ด้วยมีประสงค์เพียงแต่จะกล่าวตามที่เธอรู้สึกว่าเป็นความจริง หรืออาจเป็นด้วยเธอมีที่ประสงค์อย่างอื่นอีก. ข้าพเจ้าไม่ทราบว่าเธอจะมีกาลสมัยอันใหม่มาผลัดเปลี่ยนกาลสมัยเดิมของเธอหรือไม่.
“ผมรู้สึกว่าผมเอาใจใส่ต่อคุณหญิงพอเพียงที่จะฟังเรื่องราวของคุณหญิงได้” ข้าพเจ้าพูดไปตามที่เห็นว่าควรจะพูดอย่างไร.
“เอาเถิด ฉันจะเล่าให้เธอฟังในฐานที่เธอเป็นมิตรเก่าของฉัน โดยไม่ต้องคำนึงว่าเดี๋ยวนี้เธอจะเป็นอะไร.”
หม่อมราชวงศ์กีรติพูดอย่างค่อนข้างจริงจัง แล้วก็หยุดครู่หนึ่งเพื่อรำลึกเรื่องราวของเธอ.
“เรื่องราวตอนใหม่ของฉันควรจะตั้งต้นภายหลังที่เจ้าคุณได้ถึงแก่กรรมแล้ว การเล่าถึงการป่วยเจ็บของท่านนั้นออกจะเป็นเรื่องเศร้า และดูเหมือนฉันจะได้เคยเขียนเล่าไปให้เธอฟังบ้างแล้ว” หม่อมราชวงศ์กีรติพูดช้า ๆ ด้วยความตรึกตรอง “ฉันเศร้าโศกอย่างไรภายหลังการตายของท่าน ก็ไม่น่าจะนำมาเล่าอีกเหมือนกัน ฉันจะเล่าแต่เหตุการณ์สำคัญ ๆ ที่เกิดขึ้นแก่ตัวฉัน. ในข้อแรกท่านทำให้ฉันเป็นคนมั่งมีขึ้น โดยแบ่งทรัพย์สมบัติของท่านประมาณหนึ่งในสามส่วนให้เป็นมรดกแก่ฉัน ทรัพย์สมบัติของท่านอีกสองส่วนตกได้แก่ลูกของท่านสองคน. แท้จริงฉันไม่ได้คาดหมายจะได้ส่วนแบ่งอะไรในกองทรัพย์สินของท่าน เพราะว่าฉันได้อยู่กินกับท่านมาก็เพียง ๒-๓ ปี ทั้งไม่ได้เกิดบุตรด้วยกัน การที่ท่านมีเมตตาต่อฉันถึงปานนี้ ทำให้ฉันอดสงสัยไม่ได้ว่า ฉันดีพอสมที่จะได้รับความเมตตาถึงปานนั้นเจียวหรือ. นพพร เธอเห็นว่าฉันเป็นคนโชคดีหรือโชคร้ายเล่า?”
“เป็นปัญหาที่ตอบยากอยู่ครับ” ข้าพเจ้าตอบอย่างค่อนข้างระมัดระวัง.
“นั่นซิ ฉันเองก็เห็นว่าเป็นปัญหาที่ตอบยาก.” เธอพูดนัยน์ตาเลื่อนลอยไปตามความคิดคำนึง “ฉันดำรงชีวิตแต่งงานไม่เกินสามปี แล้วสามีก็ตายจากไป แล้วฉันก็กลับกลายเป็นคนมั่งมีคนหนึ่ง แต่ในขณะเดียวกันก็ต้องดำรงชีวิตสันโดษเดี่ยว ดูเป็นชีวิตที่สับสนน่าประหลาด จริงไหม นพพร?”
“ก็ทำไมคุณหญิงไม่กลับไปอยู่กับท่านพ่อ?”
“ฉันอยู่กับท่านมา ๓๕ ปีแล้ว ฉันรักท่านพ่อของฉันอย่างที่สุด ฉันได้ไปเยี่ยมและพักอยู่กับท่านเป็นครั้งคราวบ่อย ๆ แต่ว่าฉันจะไม่กลับไปมีชีวิตเช่นนั้นอีก ชีวิตที่กดฉันไว้กับความอาภัพ แห้งแล้งและขมขื่น จนฉันไม่อาจลืมได้ตลอดชั่วชีวิตของฉัน.”
“ถ้าเช่นนั้นคุณหญิงก็คงจะเลือกข้างการใช้ชีวิตคบหาสมาคมกับคนทั่วไป”
“ที่จริงก็น่าจะเป็นเช่นนั้น แต่ฉันก็หาได้เลือกเช่นนั้นไม่” เธอพูดประหนึ่งว่ามีความพิศวงสงสัยในการตัดสินใจของเธอเอง “ฉันจะเล่าเรื่องของฉันโดยย่อต่อไป ภายหลังเจ้าคุณถึงแก่กรรม ฉันก็ย้ายมาอยู่ที่นี่ บ้านเดิมของเราท่านยกให้ลูกชายคนโตเป็นผู้ครอบครองสืบต่อไป ฉันเองก็ไม่มีความประสงค์จะอยู่ต่อไปในบ้านหลังนั้น เพราะว่ามันใหญ่โตเกินไปประการหนึ่ง และอีกประการหนึ่ง มันจะชวนให้ฉันคอยจดจำถึงการจากไปอย่างไม่มีวันกลับของเจ้าคุณโดยไม่สุดสิ้น ที่ดินผืนนี้เจ้าคุณได้มาจับจองซื้อไว้ก่อนหน้าจะถึงแก่กรรมหลายปี และเราได้เคยปรารภกันไว้ก่อนแล้วว่าจะมาปลูกบ้านย่อม ๆ ไว้เป็นที่พักผ่อนที่นี่ ครั้นท่านถึงแก่กรรมลง ฉันก็ได้ลงมือดำเนินการตามความดำรินั้น ต่างกันก็ที่ว่า แทนที่จะถือเป็นบ้านพักชั่วคราว มันกลับเป็นบ้านอันถาวรของฉันเลยทีเดียว.”
“และควรจะเป็นบ้านที่ให้ความสุขอย่างยิ่งแก่ผู้เป็นเจ้าของด้วย” ข้าพเจ้ากล่าวต่อ เมื่อเธอจบระยะการเล่าลงตอนหนึ่ง.
“มันก็ควรจะเป็นเช่นนั้น” พูดพลางเธอทอดสายตาไปตามที่ต่าง ๆ ในบริเวณบ้านด้วยความพึงพอใจ “ใคร ๆ ที่มาที่นี่ มักจะออกปากว่า บ้านของฉันน่าอยู่ และอยากอิจฉาในความสุขของฉันนัก แต่ฉันก็ไม่แน่ใจว่า ความคิดเห็นเช่นนั้นเป็นการถูกต้องหรือไม่.”
“นอกจากบ้านที่น่าอยู่นี้แล้ว มีอะไรอีกบ้างที่ประกอบเป็นความสุขของคุณหญิง.”
“เธอยังอดเป็นนักตั้งกระทู้ไม่ได้” หม่อมราชวงศ์กีรติยิ้มด้วยรู้สึกมีเอ็นดู “นี่อาจเป็นสิ่งเดียวที่เหลืออยู่ในนพพรที่ฉันได้พบในโตเกียว.”
“ผมถามล่วงเกินไปหรือครับ?” ข้าพเจ้าทวนถามโดยสุภาพ.
“ไม่ถึงกับล่วงเกินอะไรดอก แต่ก็มีน้อยคนนักที่จะตั้งกระทู้ถามกับฉันเช่นนี้ เธอช่างคิดตั้งคำถาม เพราะว่าดูเหมือนฉันเองก็ไม่เคยคิดไว้ก่อนว่า ความสุขของฉันประกอบด้วยอะไรบ้าง” เธอหยุดตรองครู่หนึ่ง แล้วพูดต่อไป “ฉันมาระลึกนึกดู ก็อดประหลาดใจในตัวเองไม่ได้ เพราะว่าส่วนสำคัญที่ประกอบเป็นความสุขของฉันในกาลที่ล่วงแล้วมา แทนที่จะเป็นของแท้ของจริงที่ได้บังเกิดแก่ตัวฉัน กลับกลายเป็นแต่ความหวังหรือความคาดคอยในสิ่งใดสิ่งหนึ่ง ตกมาในบัดนี้วิถีชีวิตของฉันก็ยังไม่เปลี่ยนไปจากแนวทางเดิม ความสุขอันแท้จริงของฉันยังคงเลื่อนลอยอยู่ข้างหน้า ฉันเป็นแต่ไล่ไขว่คว้าติดตามและหวังในสิ่งนั้น และคอยอยู่.”
“ดูเป็นชีวิตที่น่าเหน็ดเหนื่อยแทน” ข้าพเจ้าปรารภขึ้นด้วยความสงสารเห็นใจ.
“จะทำอย่างไรได้. นพพร สิ่งที่เป็นใหญ่เป็นประธานในโลกได้กำหนดชีวิตของฉันไว้เช่นนั้น ฉันดิ้นรนเท่าใดก็ออกมาจากเส้นกำหนดไม่ได้ ก็จำต้องเผชิญชีวิตไปตามยถากรรม ชีวิตของเธอมีค่ากว่าของฉัน และดำเนินไปโดยสะดวกราบรื่นกว่าของฉัน. ในชีวิตของเธอมีแต่ของแท้ของจริง เธอได้รับความพอใจในเหตุการณ์ที่ปรากฏขึ้นในชีวิตของเธอทุกขณะ และเมื่อเหตุการณ์ผ่านพ้นไป เธอก็ลืมมันได้สนิท แล้วเธอก็เผชิญกับเหตุการณ์ใหม่ด้วยความพอใจอันใหม่ มันดำเนินไปและได้รับการผลัดเปลี่ยนอย่างมีระเบียบ. ส่วนชีวิตของฉันมันสับสนด้วยความเลือนราง ความคำนึงนึกฝันความสุขมีจริงในบางครั้งคราว แต่ว่าไม่เป็นของแจ่มแจ้งและแน่นอน มันเป็นคล้าย ๆ ความฝัน เป็นสิ่งที่ล่องลอยอยู่เหนือศีรษะ ฉันคว้ามันถูกบ้าง ผิดบ้าง บางคราวก็เพลิดเพลิน บางคราวก็เหน็ดเหนื่อยอ่อนใจ. นี่แหละเป็นสภาพชีวิตของฉันซึ่งฉันก็ตั้งใจจะเล่าให้เธอเข้าใจ แต่ก็คงเป็นการยากที่เธอจะเข้าใจได้.”
“เป็นชีวิตที่แปลกและน่าเห็นใจอย่างยิ่ง และเข้าใจยากด้วย.” ข้าพเจ้ารำพึงด้วยความรู้สึกจริงใจ และได้ตั้งข้อถามอีกว่า “เดี๋ยวนี้คุณหญิงก็ได้ชื่อว่าเป็นคนมั่งมีคนหนึ่ง เหตุใดไม่ใช้ความมั่งมีนั้นเปลี่ยนความหวังให้เป็นความจริงขึ้น คุณหญิงจะได้มีความสุขอย่างครบถ้วนสมบูรณ์.”
“เงินมีอำนาจจริง, นพพร แต่ก็ไม่เหนือทุกสิ่งทุกอย่าง. บังเอิญสิ่งที่ฉันหวังและคาดคอยอยู่นั้น ก็มักจะไม่ใช่สิ่งที่อาจได้มาด้วยอำนาจของเงิน. นี่เป็นเคราะห์ร้ายอย่างฉกรรจ์ของฉัน.”
พูดถึงตอนนี้หม่อมราชวงศ์กีรติลุกขึ้นยืน.
“นี่แน่ะ, นพพร ขอให้ฉันหยุดเล่าเรื่องของฉันเสียที มันน่ารำคาญมากกว่าจะน่าสนใจ. ฉันอยากจะฟังเรื่องราวของเธอบ้าง เราจะเดินเล่นกันนิดหน่อย และระหว่างนั้นขอให้เธอเล่าเรื่องของเธอไป แล้วเราจะขึ้นบ้าน และฉันขอให้เธออยู่รับประทานอาหารกับฉันในค่ำวันนี้ เพื่อว่าฉันจะได้มีโอกาสฟังเรื่องราวของเธอโดยละเอียด.”
ข้าพเจ้าปฏิบัติตามความประสงค์ของเธอ. เรามีเวลาเดินเล่นอยู่ได้ไม่นานก็ถึงเวลาพลบค่ำ ในขณะที่เราเดินคลอเคียงสนทนากันไปในระหว่างทางที่ผ่านไปตามสวนไม้ดอกอันมีบริเวณกว้างขวางนั้น ไม่มีเหตุการณ์อะไรเกิดขึ้นมาขัดจังหวะเลย เราอยู่ด้วยกันแต่ลำพัง ในกลางความสงบ และภูมิฐานที่น่าจะเรียกร้องความรู้สึกรุนแรงแต่ปางหลังเมื่อ ๖ ปีก่อน ให้กลับคืนมาเสียเหลือเกิน แต่ประหลาดที่ความรู้สึกของข้าพเจ้าไม่ได้รับความกระทบกระเทือนให้หวั่นไหวไปแต่ประการใด ทั้งนี้มิใช่เพราะเหตุว่า หม่อมราชวงศ์กีรติได้สูญเสียความงามและเสน่ห์เก่าแก่ไปเสียแล้ว ข้าพเจ้ายังคงมองเห็นความงามและเสน่ห์ของเธอได้อย่างถนัดชัดเจน หากแต่ว่าข้าพเจ้าได้มองดูสิ่งนี้ด้วยความสรรเสริญยกย่อง และโดยมิได้รับเอามาปะปนกับอารมณ์ของข้าพเจ้าเลย.
ข้าพเจ้าได้อยู่รับประทานอาหาร และสนทนากับเธอจนถึง ๓ ทุ่มจึงได้ลากลับ. หม่อมราชวงศ์กีรติเล่าว่า เธออยู่กับน้าและหลานสาวคนหนึ่ง แต่บังเอิญในวันนั้นทั้งสองคนออกไปเยี่ยมญาติ แลอาจไปค้างแรมที่บ้านญาติ จึงเป็นอันว่าข้าพเจ้าได้ใช้เวลาอยู่กับหม่อมราชวงศ์กีรติแต่ลำพัง รวมเวลาราว ๔ ชั่วโมง ข้าพเจ้ามีความพอใจมากตลอดเวลาที่อยู่กับเธอ เล่าเรื่องของข้าพเจ้าให้เธอฟัง และฟังเรื่องของเธอโดยไม่เบื่อหน่าย.
ที่โต๊ะรับประทานอาหาร ภายใต้ดวงโคมอันมีแสงสว่างจ้า เราทั้งสองนั่งรับประทานไปพลางสนทนากันไปพลาง เป็นเวลานานไม่ต่ำกว่าหนึ่งชั่วโมง ข้าพเจ้าได้สังเกตว่าวัย ๔๐ ปีของหม่อมราชวงศ์กีรติ ได้ปรากฏออกให้เห็นเล็กน้อย จากริ้วรอยบางแห่งตามพื้นผิวอันงามของเธอ แต่ในส่วนกิริยาการและการพูดจาพาทีนั้น เธอมิได้เปลี่ยนแปลงไปจากหม่อมราชวงศ์กีรติคนเดิมเลย แช่มช้อยและหวานอย่างไรก็อย่างนั้น ในระหว่างที่เธอเป็นธุระตักโน่นตักนี่ให้รับประทาน ข้าพเจ้าก็อดระลึกไปถึงความกรุณาปรานีเก่าแก่ของเธอไม่ได้ อย่างไรก็ตาม ข้าพเจ้าได้ระลึกถึงเพียงว่า เธอนั้นเปรียบเหมือนพี่สาวคนหนึ่ง จิตใจของข้าพเจ้ามิได้เพ่นพ่านเตลิดเพริดไปในโลกอันร้อนแรงไปด้วยความรู้สึกดุจในกาลก่อน.
ตลอดเวลา ๔ ชั่วโมงนั้น ข้าพเจ้าอ่านไม่ออกว่าหม่อมราชวงศ์กีรติมีความมุ่งหมายในวิถีชีวิตอย่างไร.