๑๖
ที่ท่าเรือบริษัทมิตซุยบุยซันไกชา ในเช้าวันที่เรือเดินทะเลได้นำข้าพเจ้าจากประเทศญี่ปุ่นมาสู่กรุงเทพพระมหานครนั้น ไม่สู้มีผู้คนคับคั่งนัก เพราะว่าในเรือเที่ยวที่ข้าพเจ้าโดยสารมานั้น มีคนโดยสารไม่เกิน ๗-๘ คน และที่เป็นคนไทยก็มีแต่ข้าพเจ้าคนเดียว ฉะนั้นเมื่อเรือเทียบท่า ข้าพเจ้าก็สามารถแลเห็นกลุ่มคนที่มาคอยต้อนรับข้าพเจ้าได้โดยไม่ยาก.
ข้าพเจ้าแลเห็นท่านบิดาก่อนคนอื่น ท่านยืนอยู่หน้าแถวในหมู่ญาติสนิทของเราประมาณ ๑๐ กว่าคน และมีเพื่อนสนิทรุ่นราวคราวเดียวกับข้าพเจ้า ๔-๕ คนรวมอยู่ในกลุ่มนั้นด้วย มีสุภาพสตรีคนหนึ่งยืนอยู่ในหมู่ญาติ ซึ่งข้าพเจ้าจำไม่ได้ว่าเป็นใคร แต่สังเกตกิริยาอาการดูแสดงว่า มีความเอาใจใส่ในตัวข้าพเจ้าไม่น้อยกว่าใคร ๆ.
ข้าพเจ้ามองไม่เห็นหม่อมราชวงศ์กีรติในหมู่คนเหล่านั้น ต่อเมื่อได้ทอดสายตาไปทั่วบริเวณนั้นข้าพเจ้าจึงแลเห็นร่างงามร่างหนึ่ง ในเสื้อผ้าชุดสีน้ำเงินยืนพิงประตูรถซาลูนคันใหญ่ แล้วได้เห็นมือน้อย ๆ โบกตรงมายังข้าพเจ้าช้า ๆ ข้าพเจ้าก็โบกตอบด้วยความปีติยินดีอย่างยิ่ง เพราะว่าแม้จะยืนอยู่ห่างไกลไปสักหน่อย ข้าพเจ้าก็จำได้ว่า เจ้าของร่างงามนั้นคือหม่อมราชวงศ์กีรติ.
เมื่อพนักงานในเรือทอดบันไดเรือเรียบร้อยแล้ว พวกญาติมิตรที่มาคอยรับก็พากันขึ้นมาบนเรือ ข้าพเจ้ายืนคอยรับรองอยู่ริมทางขึ้น ท่านบิดาเป็นคนแรกที่ได้แสดงความปีติยินดีต้อนรับข้าพเจ้า ท่านตรงเข้าสวมกอดบุตรชายคนโตของท่านด้วยความรักใคร่คิดถึง ที่อัดแน่นอยู่ในอกถึง ๘ ปี ข้าพเจ้าก็เข้าสวมกอดท่านด้วยความรู้สึกเช่นเดียวกัน แล้วญาติและมิตรอื่น ๆ ก็รุมล้อมเข้ามา แสดงความรู้สึกในทำนองเดียวกัน ข้าพเจ้าสุดที่จะพรรณนาได้ว่า ในเช้าวันแรกถึงกรุงเทพฯ นั้น ข้าพเจ้ามีความอิ่มเอิบใจเพียงใด ระลึกถึงเหตุการณ์ในเช้าวันนั้นแล้ว ข้าพเจ้าก็ได้แต่จะบันทึกลงไว้ว่า เป็นวันที่ข้าพเจ้าเป็นสุขเบิกบานที่สุดในชีวิต และจนกระทั่งบัดนี้ข้าพเจ้าก็ยังไม่พบความสุขความเบิกบานครั้งคราวใดจะมีค่ายิ่งไปกว่า.
ในขณะที่ข้าพเจ้าต้อนรับสุภาพสตรีคนหนึ่งด้วยความลังเลใจนั้น ท่านบิดาได้มาโอบไหล่ข้าพเจ้าไว้และบอกกับข้าพเจ้าว่า นี่แหละคือสตรีคู่หมั้นของข้าพเจ้า ข้าพเจ้าจึงพอระลึกถึงเค้าหน้านั้นได้ เป็นดวงหน้าเรียบ ๆ ตามแบบธรรมดาสามัญ ไม่มีที่ติไม่มีที่ชม กิริยาการของเธอในขณะที่ปรากฏตัวอยู่ต่อหน้าข้าพเจ้ามากไปด้วยความสะเทิ้นขวยอาย ข้าพเจ้าเองก็มิใช่คนเก่งกล้านักในทางสนทนาพาที ประกอบกับความรู้จักมักคุ้นที่มีอยู่ต่อกันเพียงเล็กน้อย ข้าพเจ้าก็ได้แต่กล่าวคำปราศรัยออกไปเพียงสองสามประโยค แล้วเธอก็หลีกทางให้คนอื่น ๆ เข้ามาทักทายปราศรัยกับข้าพเจ้าต่อไป.
หม่อมราชวงศ์กีรติเป็นคนท้ายที่สุดที่ขึ้นมาพบข้าพเจ้า เธอแต่งกายด้วยเครื่องชุดสีน้ำเงินดารดาษด้วยดวงดอกขาว เป็นชุดเดียวกับที่ข้าพเจ้าแรกพบเธอในกรุงโตเกียวเมื่อ ๖ ปีล่วงแล้ว อย่างไรก็ตาม แม้ว่าเครื่องแต่งกายชุดนี้จะเป็นชุดที่ข้าพเจ้าได้จดจำฝังใจไว้ช้านานเมื่อแรกพบเธอ แต่ในเช้าวันนั้นข้าพเจ้าก็หาได้สังเกตพิเคราะห์ไม่ ซึ่งก็เป็นการประหลาดอยู่ และก็เป็นการประหลาดเช่นเดียวกันที่เหตุไฉนหม่อมราชวงศ์กีรติ จึงนำเอาเครื่องแต่งกายที่เธอได้เคยใช้มาแล้วเมื่อ ๕ ปีก่อน มาแต่งรับข้าพเจ้าในวันแรกถึงกรุงเทพฯ.
ท่วงทีกิริยาที่เข้ามาพบข้าพเจ้านั้น ยังดูสงบเสงี่ยมแช่มช้อยเหมือนเดิม จะแตกต่างไปบ้างก็ตรงที่ว่ามีอาการแช่มช้อยมากขึ้น ซึ่งประกอบเป็นความงามสง่าสมวัยของเธอ อันล่วงเข้ามาถึง ๔๐ ปีเศษแล้ว แม้ว่าจะคลายความเปล่งปลั่งลงไปบ้าง แต่เสน่ห์และความสวยงามอันมีค่ายิ่ง ก็ยังมิได้ทอดทิ้งเธอไป ยังเป็นที่จับตาจับใจแก่ผู้ได้ยลสรีรโฉมของเธออยู่.
หม่อมราชวงศ์กีรติเข้ามาสัมผัสมือข้าพเจ้า และข้าพเจ้าได้บีบตอบแน่น ด้วยความตื่นเต้นยินดีดุจว่าข้าพเจ้าได้พบพี่สาวซึ่งได้จากกันไปนาน.
“คิดถึงคุณหญิงเหลือเกิน” ข้าพเจ้าปราศรัยเป็นประโยคแรก
“ฉันคิดถึงเธอเป็นเนืองนิตย์ คิดถึงเธอโดยสม่ำเสมอตลอดมานับแต่ได้จากกัน” เธอพูดช้า ๆ เรียบ ๆ ไม่ตื่นเต้นลุกลน แม้ว่าข้าพเจ้าอาจมองเห็นความปีติยินดีอย่างลึกซึ้งของเธอในดวงตาได้ถนัดชัดเจน คำพูดของเธอจับใจนัก และสะกิดใจให้นึกละอาย เมื่อได้ระลึกว่าความคิดถึงของข้าพเจ้าที่มีต่อเธอนั้น แม้ถึงหากจะรุนแรงปานใดในบางครั้งบางคราว ก็หาได้เป็นไปโดยสม่ำเสมอเนืองนิตย์ ดุจความคิดถึงของเธอที่มีต่อข้าพเจ้าไม่.
“ผมดีใจเหลือเกินที่ได้กลับมาพบคุณหญิงอีกครั้งหนึ่ง” ข้าพเจ้าปราศรัยต่อไป.
“และฉันก็คอยเธออยู่ คอยอยู่ตลอดมา.”
“คุณหญิงดีต่อผมเป็นที่สุด.”
“ถ้าที่เธอพูดเป็นความจริง เธอก็สมควรที่จะได้รับการปฏิบัติเช่นนั้นจากฉันมิใช่หรือ?”
“ผมเกรงว่าผมไม่สมควรเป็นแน่ คุณหญิงดีต่อผมเกินไป” พูดแล้วข้าพเจ้าก็หัวเราะ ข้าพเจ้าไม่นำพาว่า คำตอบนั้นจะสั่นสะเทือนความรู้สึกของหม่อมราชวงศ์กีรติอย่างไร อย่างไรก็ตาม เธอได้สงบนิ่งไปชั่วขณะหนึ่ง.
“เธอบีบมือฉันไว้แน่น” หม่อมราชวงศ์กีรติพูดด้วยเสียงอ่อนหวาน “เหตุการณ์ในวันนี้ไม่เหมือนกับวันที่เราจากกันที่ท่าเรือโกเบ.”
“โอ. ผมขอโทษ” ข้าพเจ้าร้องขึ้นและปล่อยมือเธอในทันที “ที่นี่เป็นกรุงเทพฯ และเราจะไม่ต้องจากกันอีกต่อไปแล้ว เราจะไม่ต้องพบความเศร้าเช่นนั้นอีกต่อไปแล้ว.”
“ใครจะรู้นพพร.” เธอท้วงเบา ๆ ซึ่งทำให้ข้าพเจ้าแปลกใจนิดหน่อย.
“ก็ผมไม่คิดจะไปจากที่นี่อีกเลยในชีวิต”
“แต่นั่นไม่ใช่เหตุอันเดียวของการจากกัน และไม่ใช่บ่อเกิดอันเดียวของความเศร้า” พูดแล้วเธอเอามือแตะแขนข้าพเจ้า “แต่ว่าอย่าเพิ่งถกเถียงอะไรกันเลยเดี๋ยวนี้ ญาติของเธอกำลังกระหายต้องการตัวเธอด้วยกันทุกคน.”
“คุณหญิงก็เท่ากับญาติของผม.”
“ถึงอย่างไรฉันก็ไม่ควรจะหน่วงเหนี่ยวเธอไว้แต่ลำพังในวันนี้ ไปเถิดคนดี ไปพบกับคุณพ่อของเธอ.”
ข้าพเจ้าก็ต้องออกเดินไปกับเธอ ตรงไปที่ห้องซาลูนซึ่งญาติมิตรส่วนมากได้มาชุมนุมรออยู่ที่นั่น แล้วญาติมิตรบางคนได้มาฉุดดึงข้าพเจ้าให้ไปที่ห้องซึ่งข้าพเจ้าได้ใช้รอนแรมมาในทะเล เพื่อดูว่าข้าพเจ้าได้เดินทางมาเป็นสุขสบายอย่างไร และเพื่อที่จะช่วยกันขนข้าวของลงจากเรือ ต่อจากนั้นข้าพเจ้าก็ตกอยู่ในความกลุ้มรุมของคนทั้งหลาย และแทบไม่มีเวลาจะได้สนทนาวิสาสะกับหม่อมราชวงศ์กีรติอีกเลย.
ในขณะที่ละจากเรือ ข้าพเจ้าได้ออกปากชวนเธอให้ไปสนทนาด้วยกันที่บ้านต่อไป.
“ฉันต้องขอตัว, นพพร เธอควรจะได้ใช้เวลาในวันแรกอย่างเต็มที่กับญาติสนิทของเธอ.”
“ไม่มีญาติคนใดจะต้องการเวลาของผมตลอดทั้งวันเลย.”
“อย่างน้อยก็คุณพ่อของเธอ ท่านคงจะต้องการเวลาหลายชั่วโมงที่จะสนทนากับบุตรชายของท่านซึ่งจากไปนานตั้งแต่ ๗-๘ ปี แล้วก็ยังคนอื่น ๆ อีก.”
“คุณพ่อคงจะไม่รีบร้อนพูดทุกสิ่งทุกอย่างกับผมในวันเดียวจนหมดจนสิ้น” ข้าพเจ้าหัวเราะตอบ ถึงกระนั้นก็เป็นไปด้วยกิริยาค่อนข้างสำรวม.
“ขอให้เราได้พบกันในวันอื่นเถิด, นพพร.”
“ถ้าเช่นนั้นผมจะไปเยี่ยมคุณหญิงโดยเร็วที่สุดที่จะเร็วได้” ข้าพเจ้าอนุโลมตามความประสงค์ของเธอ
เหตุการณ์ในวันแรกพบกันในกรุงเทพฯ ระหว่างข้าพเจ้ากับหม่อมราชวงศ์กีรติ ได้ปิดฉากลงรวดเร็วและเป็นธรรมดาสามัญเกินไป.
ผ่านกลางวันอันจ้อกแจ้กจอแจด้วยการต้อนรับ และได้พักผ่อนเล็กน้อยในตอนบ่าย ตกตอนค่ำ ภายหลังเวลารับประทานอาหารแล้ว ข้าพเจ้าได้สนทนาอยู่กับท่านบิดาในห้องนั่งเล่น ในระหว่างการสนทนาอันยืดยาวนั้น ได้มีเรื่องพาดพิงไปถึงหม่อมราชวงศ์กีรติตอนหนึ่ง.
“เธอคุ้นเคยสนิทสนมกันมากหรือ กับคุณหญิงอธิการ” ท่านถามขึ้นในขณะที่สนทนากันด้วยเรื่องเบ็ดเตล็ดต่าง ๆ และโดยไม่มีความหมายอะไร.
“คุณพ่อหมายถึงคุณหญิงกีรติ?” เมื่อท่านกล่าวรับรอง ข้าพเจ้าจึงพูดต่อไปว่า “ขอรับ ผมชอบพอสนิทสนมกันมาก เมื่อคราวคุณหญิงไปเที่ยวญี่ปุ่น ผมได้มารับใช้คลุกคลีอยู่กับเจ้าคุณอธิการและคุณหญิงแทบตลอดเวลา.”
“น่าเสียดาย ที่เจ้าคุณอธิการมาด่วนตายเร็วไปหน่อย” ท่านบิดากล่าวต่อ “เมื่อเจ้าคุณอธิการยังมีชีวิตอยู่ พ่อเคยได้ยินสรรเสริญภรรยาคนนี้มาก และเท่าที่พ่อได้พบ ภายหลังที่เจ้าคุณอธิการถึงแก่กรรมแล้ว พ่อก็เห็นว่าคุณหญิงอธิการ เป็นสตรีที่น่ารักสมจะได้รับสรรเสริญจริง ๆ.”
“ผมเป็นผู้ที่นับถือเลื่อมใสในตัวคุณหญิงมาก.” ข้าพเจ้าตอบสนอง “แม้ว่าผมได้พบคุณหญิงในชั่วเวลาไม่นาน แต่ผมก็รู้จักคุณหญิงดีมาก เป็นสตรีที่ฉลาดอย่างยิ่ง เท่ากับที่เป็นคนดี. ผมไม่เคยพบใครที่จะฉลาดหลักแหลมยิ่งไปกว่าคุณหญิงกีรติ ผมคิดว่า คุณหญิงควรจะแต่งงานอีกครั้งหนึ่ง และก็คงจะหลีกเลี่ยงความต้องการของใครคนใดคนหนึ่งไปไม่พ้น.”
“แต่พ่อไม่แน่ใจนัก เพราะว่าเมื่อสิ้นเจ้าคุณอธิการแล้ว พ่อได้ทราบว่า คุณหญิงดูไม่ใคร่จะยินดีในการสมาคม เธอครองชีวิตอย่างสงบเสงี่ยมเป็นที่สรรเสริญของบรรดาเพื่อนสนิท ของเจ้าคุณอธิการทั่วไป. เมื่อเร็ว ๆ นี้ พ่อได้ทราบว่ามีใครคนหนึ่งไปติดพัน และดูเหมือนถึงได้ทาบทามเรื่องการแต่งงาน แต่คุณหญิงปฏิเสธ มีผู้กล่าวกันว่าดูเธอจะเป็นผู้ที่มีความในใจอันเร้นลับอย่างใดอย่างหนึ่ง”
ข้าพเจ้านิ่งฟังด้วยกิริยาสงบ ครั้นแล้วท่านบิดาก็เปลี่ยนการสนทนาไปสู่เรื่องอื่น.