๑๐
หม่อมราชวงศ์กีรติดำเนินเรื่องต่อไป.
“คำวิงวอนปลอบโยนของท่านพ่อเป็นเหตุหนึ่งที่น้อมใจให้ฉันรับพิจารณา ความประสงค์ของท่านเจ้าคุณด้วยคลายความขมขื่นลงมาก ฉันรู้ว่า ถ้าฉันปฏิเสธจะทำให้ท่านผิดหวังและเสียพระทัยมาก แต่นั่นมิใช่เหตุสำคัญ. เหตุผลข้อใหญ่เกิดแต่ความพอใจของฉันเอง. ฉันต้องใช้ชีวิตอยู่ในโลกอันแคบมาเป็นเวลาถึง ๓๔ ปีเต็ม ฉันทั้งเบื่อหน่ายและเงียบเหงาเปล่าเปลี่ยวเต็มที. แต่นกน้อยเมื่อปีกแข็งยังสละรัง เที่ยวโบยบินไปชมโลกอันกว้างใหญ่ไพศาล ก็ฉันเป็นคน และเติบโตเต็มที่จนจะคล้อยไปในทางร่วงโรยอยู่แล้ว เหตุใดจะมาจับเจ่าเฝ้าอยู่แต่แห่งเดียว. ฉันต้องการติดต่อคุ้นเคยกับโลกภายนอก ต้องการความเปลี่ยนแปลงในชีวิต ต้องการประกอบกิจวัตรที่ผิดแผกแตกต่างไปจากที่ฉันได้ทำมาแล้วตลอดเวลา ๓๔ ปีบ้าง. ไม่มีอะไรจะช่วยให้ฉันบรรลุความต้องการเหล่านี้ได้ นอกจากการแต่งงาน. ฉันอาภัพถึงที่สุดแล้วที่เกิดมาไร้ความรัก แต่แม้เช่นนั้นก็เป็นการฉลาดหรือที่ฉันจะปิดตา ปิดความรู้สึกเสียจากสิ่งอื่น ๆ ซึ่งฉันอาจที่จะบันเทิงชีวิตได้ตามส่วน.
“เมื่อเจ้าคุณเป็นคนดี ฉันขาดทุนอะไรเล่าในการที่จะแต่งงานกับท่าน ท่านแก่เกินไปที่ฉันจะแต่งงานด้วย นั่นก็เป็นความจริง แต่ฉันคอยใครอยู่เล่า ฉันอาจจะคอยคน ๆ หนึ่ง แต่คนนั้นคือใคร? ฉันจะพบเขาได้ที่ไหน? ความจริงเขาอาจจะยังไม่มาเกิด หรือเพิ่งตายไปเมื่อเร็ว ๆ นี้เองก็ได้. ในเวลานั้น ความต้องการของฉันมีมากในของจริง. ฉันตกลงปลงใจแต่งงานกับท่านเจ้าคุณ ก็เพราะว่ามันเป็นของจริง. ฉันได้บรรลุความต้องการหลายอย่าง ฉันชื่นชมสมใจที่ได้รู้จักและค่อยคุ้นเคยกับความแปลกใหม่ในโลกอีกแห่งหนึ่ง. ฉันก็มีความผาสุกตามสมควร แม้ถึงว่าจะไร้ความรัก.”
หม่อมราชวงศ์กีรติขยับตัวนั่งตรง ถอนใจใหญ่ พลางเอาผ้าเช็ดหน้าเช็ดที่นัยน์ตา.
“นพพร, ฉันรู้สึกเหมือนหนึ่งว่าฉันเล่าเรื่องราวทั้งหมดนี้ให้เธอฟัง ในขณะที่ฉันนอนหลับแล้วฝันไป. ฉันอาจจะได้พูดเพ้อเจ้ออะไรออกไปบ้าง ฉะนั้นฉันขอจบการบรรยายของฉันเสียที.”
“ผมตื่นเต้นติดใจเรื่องราวของคุณหญิงอย่างที่สุด. ดูเป็นเรื่องธรรมดาสามัญก็จริง แต่ผมก็ฟังอย่างลืมตัว. ขออนุญาตให้ผมซักถามต่อไปอีกหน่อย คุณหญิงไม่คิดบ้างหรือว่า ในวันหนึ่งคุณหญิงอาจจะรักท่านเจ้าคุณได้.”
“ดูเหมือนฉันได้ตอบเธอครั้งหนึ่งแล้วว่า ฉันไม่มีทางจะรักท่านได้. ท่านดีจริงดอก แต่เราจะเอาอะไรกับคนแก่. ท่านต้องการกินอิ่มนอนหลับและสนุกสบายไปตามทางของท่าน. วันเวลาของท่านเหลือน้อยเกินไปที่ท่านจะสร้างอุดมทัศนีย์อะไรขึ้นในชีวิต ท่านไม่สนใจในแสงเดือนหรือทะเลสาบ ตลอดจนคำเกี้ยวพาราสี ท่านไม่มีความคิดคำนึง ใฝ่ฝันในสิ่งที่สวยงาม. ท่านไม่มีอนาคต ท่านมีแต่อดีตและปัจจุบัน เธอหวังจะให้ความรักเกิดขึ้นได้อย่างไรเล่า. ต้นกุหลาบไม่งอกแม้กระทั่งบนถนนซีเมนต์ดอกเธอ.”
“ความผาสุกที่ไร้ความรักนั้น จะไม่ดูแห้งแล้งเกินไปดอกหรือ?”
“นพพร, เธออย่าผูกมัดฉันด้วยคำถามมากมายนัก ฉันจะหายใจไม่ออก. จงให้เสรีภาพแก่ฉันบ้าง.”
เธอสบตาข้าพเจ้า ยิ้มอย่างอ่อนหวานละมุนละไม แววเศร้าในดวงตาจางหายไปแล้วมีประกายแจ่มใสร่าเริงมาแทนที่ เธอหยิบกระจกส่องดูหน้า ใช้เวลาแต่งหน้าและผมครู่หนึ่ง ข้าพเจ้าก็พิศดูเธอด้วยความวาบหวามใจ.
“คุณหญิงเป็นสุขมากไหม วันนี้?” ข้าพเจ้าตั้งคำถามเธอด้วยเสียงสั่นเล็กน้อย.
เธอพยักหน้าอย่างแช่มช้อยแทนคำตอบ และหางตาของเธอที่ชายชำเลืองมานั้นประกอบด้วยพิษสงเหลือประมาณ เพิ่มความวาบหวามใจยิ่งขึ้น.
“เป็นเวลาบ่ายมากแล้ว, นพพร. เราเตรียมตัวเดินทางกลับกันเถิด” เธอชักเท้าขยับตัวจะลุกขึ้น “โอ, ขาแข็งชาไปหมด เพราะนั่งอยู่นานเกินไป ฉันคงแทบจะเดินลงไปไม่ไหว.”
“ผมจะอุ้มคุณหญิงลงไปเอง”
ข้าพเจ้าลุกขึ้น และเข้าประคับประคองเธอช่วยพยุงให้ยืน. เธอปฏิเสธความช่วยเหลือของข้าพเจ้าด้วยเสียงเบา แต่ข้าพเจ้าไม่นำพา. เมื่อหม่อมราชวงศ์กีรติยืนทรงตัวได้เรียบร้อย ข้าพเจ้ายังคงกุมแขนของเธอไว้ และยืนแทบประชิดติดตัวเธอ.
“คุณหญิงเป็นสุขมากไหม?”
“มองจากที่นี่ไปที่ลำธารเบื้องล่าง ฉันรู้สึกว่าเราขึ้นมาสูงมาก ฉันยังสงสัยว่าจะมีแรงเดินลงไปได้อย่างไร.”
ข้าพเจ้าขยับตัวให้ประชิดเธอเข้าไปอีก จนอกทั้งสองแทบจะแนบกัน หม่อมราชวงศ์กีรติเอนกายไปข้างหลังพิงต้นซีดาร์. ข้าพเจ้าทราบได้ว่าเราหายใจแรงทั้งสองคน.
“ฉันสเกตช์รูปไว้ได้สองรูป เมื่อตอนเที่ยวเล่นอยู่ข้างล่าง.”
“ผมเป็นสุขเหลือเกินเมื่ออยู่ใกล้ชิดกับคุณหญิงเช่นนี้.”
“นี่เมื่อไหร่เธอจะปล่อยฉัน เราจะได้ช่วยกันเก็บข้าวของ.”
“ผมยังไม่อยากจะออกห่างจากคุณหญิง.”
ข้าพเจ้าประคองร่างเธอให้เข้ามาชิดสนิทกายข้าพเจ้า.
“นพพร. เธออย่ามองฉันด้วยแววตาเช่นนั้นซิ.” เสียงของเธอเริ่มสั่น “ปล่อยฉันเสีย ฉันแข็งแรงพอที่จะทรงตัวเองได้แล้ว.”
หน้าของข้าพเจ้าซบลงที่พวงแก้มสีชมพูอ่อนของเธอ ไม่มีอำนาจอะไรในตัวข้าพเจ้าเหลืออยู่ที่จะควบคุมยับยั้งไว้ได้. ข้าพเจ้าประคองกอดเธอไว้แนบกาย และจุมพิตเธอด้วยสุดแสนเสน่หา. ข้าพเจ้าหมดสติ หมดความรู้สึกไปชั่วขณะหนึ่ง.
หม่อมราชวงศ์กีรติปลดมือข้าพเจ้าออก และค่อยดันให้ถอยห่างออกไป. ข้าพเจ้ายอมโดยดี ข้าพเจ้าได้เปลี่ยนแปลงไปเป็นลูกแกะอย่างรวดเร็ว. หม่อมราชวงศ์กีรติพิงต้นไม้หอบดุจเดินทางไกลมาด้วยความเหน็ดเหนื่อย. สีชมพูเรื่อที่ดวงหน้าเข้มขึ้นดังถูกแผดเผาด้วยความเร่าร้อนจัด.
“นพพร. เธอไม่รู้ว่าเธอได้ทำอะไรลงไป” เสียงของเธอยังคงสั่นอยู่.
“ผมรู้ว่าผมรักคุณหญิง.”
“เป็นการสมควรหรือที่เธอจะแสดงความรักของเธอต่อฉันโดยวิธีเช่นนี้.”
“ผมไม่ทราบว่าเป็นการสมควรหรือไม่ แต่ความรักมีอำนาจเหนือผม ความรักรัดรึงใจผมอย่างที่สุด ทำให้ผมหมดสติ.”
หม่อมราชวงศ์กีรติมองข้าพเจ้าด้วยแววตาโศก.
“เธอแสดงความรักของเธอในเวลาที่ไร้สติ? เธอไม่รู้หรือว่าไม่มีการกระทำอะไรที่เราจะต้องเสียใจในภายหลังเท่าการที่เราได้กระทำไปในเวลาที่ไร้สติ.”
“แต่ผมรู้แน่ว่า ผมรักคุณหญิงด้วยความซื่อสัตย์สุจริต.”
“การแสดงความรักในเวลาที่ไร้สตินั้นจะมีความหมายอะไรเล่า”
“ผมรักคุณหญิงด้วยชีวิตจิตใจของผมอย่างเที่ยงแท้. การที่ผมได้กระทำไปแล้วย่อมตราตรึงอยู่ในดวงใจของผม.”
“เธอคิดว่าเป็นกำไรแก่ชีวิตหรือ ถ้ามันได้ตราตรึงอยู่ในใจจริงเช่นนั้น.”
“ในความรัก คนเรายังมีแก่ใจคิดถึงต้นทุนกำไรอีกหรือ?”
“เธออาจไม่คิด และฉันอาจไม่คิด แต่ความรักอาจจะคิดเอากับเราได้” หม่อมราชวงศ์กีรติกล่าวต่อไปว่า “เธอไม่ได้คิดดอกหรือว่าฉันอยู่ในฐานะเช่นไร และเธออยู่ในฐานะเช่นไร.”
“ผมคิดมากทีเดียวในเรื่องนี้.”
“และเธอก็ยังประพฤติกับฉันดังเมื่อตะกี้นี้. เธอรู้ไหมว่าเธอได้กระทำไปอย่างไร้เหตุผล และไร้สติด้วยตามที่เธอได้รับกับฉันแล้ว.”
ข้าพเจ้ายืนคอตก สองมือกอดอก.
“ผมรู้สึกอัดอั้นตันใจอย่างที่สุด ผมไม่รู้ว่าจะตอบคุณหญิงได้อย่างไร จึงจะทำให้ผมอยู่ในที่อันถูกต้องได้. ผมรู้แน่แต่ว่าความรักมีอำนาจเหนือผม. ถึงแม้การที่ผมได้กระทำไปจะผิดต่อศีลธรรมจรรยาก็จริง แต่ผมก็อยู่ในบังคับของกฎธรรมชาติ ผมได้พยายามจะหลบ แต่ผมหลบออกมาไม่ได้ ในยามที่ได้มาเผชิญหน้ากับความรัก และเป็นการเผชิญอย่างจนตรอก ผมขอร้องคุณหญิง โปรดอย่าเอาเหตุผลมาพูดกัน โปรดอย่าเอาศีลธรรมจรรยามาพูดกัน ผมไม่มีทางจะโต้ตอบ. สิ่งเหล่านี้ได้สร้างขึ้นภายหลังกฎธรรมชาติ และเราอยู่ในบังคับของกฎธรรมชาติด้วยกันทุกคน.”
“นพพร, ถ้าเราทั้งสองจะดำรงชีวิตอยู่แต่บนยอดเขามิตาเกะนี้ตลอดไปจนชั่วชีวิตหาไม่ คำพูดของเธอก็เป็นการถูกต้องทุกอย่าง แต่ความจริง อีกประเดี๋ยวเราก็จะลงไปจากเขาลูกนี้ ไปเผชิญหน้ากับฝูงชน. แล้วในไม่ช้าเธอก็จะต้องไปสนใจกับการศึกษาเล่าเรียนของเธอ และกะโครงการอันเต็มไปด้วยความมุ่งหมายสูงในชีวิตภายภาคหน้าของเธอ. ส่วนฉันก็มีหน้าที่จะต้องภักดีต่อท่านเจ้าคุณ จะต้องติดตามไปกับท่านในที่ทุกหนทุกแห่ง คอยปรนนิบัติรับใช้ท่านตามหน้าที่ของภรรยาที่ดี ตราบเท่าที่ท่านยังต้องการตัวฉัน และตราบเท่าที่ท่านยังไม่ละเลยหน้าที่ของท่านเอง เราทั้งสองจะต้องจากกันในไม่ช้า และต่างก็จะไปติดต่อสมาคมกับคนทั้งหลายที่เคร่งครัดในเหตุผลและศีลธรรมจรรยา. นี่แหละเธอจะไม่ให้ฉันยกเอาสิ่งเหล่านี้มาพูดกับเธอได้อย่างไร. เธอเชื่อหรือว่า สมาคมมนุษย์จะรับรองกฎธรรมชาติที่เธอยกขึ้นกล่าวแก้. นพพร, โปรดเชื่อฉัน เธอต้องเพียรเผชิญกับของจริง. ของจริงเท่านั้นที่เป็นคำพิพากษาโชคชะตาในชีวิตของเรา. กฎเกณฑ์และอุดมทัศนีย์อาจงามกว่า แต่ก็มักจะไร้ค่าในทางปฏิบัติ.”
ข้าพเจ้ารู้สึกว่ากำลังมาเผชิญหน้ากับสตรีที่ใจเย็นและแสนฉลาดปราดเปรื่อง จนข้าพเจ้าไม่มีทางจะตามทัน. เธอควรจะเป็นสตรีในประวัติศาสตร์ มิใช่หม่อมราชวงศ์กีรติ ซึ่งเป็นแต่สตรีธรรมดาสามัญคนหนึ่งในปัจจุบันนี้.
“ผมเสียใจมากถ้าผมได้ทำให้คุณหญิงไม่พอใจ” ข้าพเจ้าพูดเบา ๆ ข้าพเจ้าไม่มีทางใดจะพูดได้ดีไปกว่านี้.
“เธอทำให้ฉันอัดอั้นตันใจ.”
“โปรดตอบสักคำ คุณหญิงเชื่อถือในความรักของผมหรือไม่?”
“ฉันเชื่อเธอ. คนดี.”
“คุณหญิงติเตียนการกระทำของผมอย่างรุนแรงหรือไม่?”
“ฉันบอกแล้วว่า เธอไม่รู้ว่าเธอได้กระทำอะไรลงไป. ต่อไปในวันข้างหน้า เธอจะพบคำตอบด้วยตนเอง และเธอคงจะเสียใจ.”
“คุณหญิงเริ่มเกลียดชังผมบ้างหรือยัง?”
“ถ้าเธอไม่รื้อฟื้นการกระทำในวันนี้อีก ฉันจะรู้สึกเธอเป็นนพพรคนเก่า และคนเดียวตลอดชั่วชีวิตของฉัน.”
“ผมยังคงรักคุณหญิงต่อไปได้ ด้วยความรักดุจชีวิตจิตใจ?”
“นั่นเป็นสิทธิอันชอบธรรมของเธอ แต่เมื่อเวลาเนิ่นนานออกไป เธอก็จะค่อยสละสิทธิ์นั้นด้วยความพอใจของเธอเอง”
“ผมแน่ใจว่า ผมจะไม่คลายรักคุณหญิงเลย.”
“ในวัยเยาว์เช่นเธอ คนเรามีความเชื่อมั่นในตนเองมาก แต่เราจะต้องคอยการวินิจฉัยต่อไป. ฉันอำนวยพรแด่ความเชื่อมั่นของเธอ.”
“คุณหญิงจะตอบแทนความรักของคุณหญิงแก่ผมหรือไม่?”
หม่อมราชวงศ์กีรติก้าวเข้ามายืนแทบประชิดตัวข้าพเจ้า เอามือทั้งสองวางลงบนไหล่ข้าพเจ้า และพูดว่า “คนดีของฉัน. ฉันให้อภัยเธอแล้ว เราทั้งสองจงลืมเหตุการณ์ในวันนี้เสีย. เธอต้องกลับมาเป็นนพพรคนเก่า สนุกเบิกบานกับฉันต่อไป. จงรีบเก็บข้าวของ และเตรียมตัวเดินทางกลับเถิด. เจ้าคุณจะเป็นห่วงคอย ถ้าเรากลับบ้านผิดเวลามากไป.”
ข้าพเจ้ารู้สึกน้ำเสียงของเธอดังเสาวนีย์ของนางพญาผู้เลอศักดิ์ ข้าพเจ้าไม่มีความกล้าพอที่จะกล่าวทัดทาน.
เมื่อพูดประโยคสุดท้ายแล้ว หม่อมราชวงศ์กีรติไม่รีรอ ได้ลงมือเก็บข้าวของลงบรรจุหีบ. ข้าพเจ้ายืนกอดอก มองดูเธอเก็บของง่วนอยู่ครู่หนึ่ง จนเธอเตือนซ้ำเป็นครั้งที่สอง ข้าพเจ้าจึงได้ลงมือช่วยเหลือเธอ. ระหว่างเดินทางกลับ เธอได้ชวนข้าพเจ้าสนทนาถึงเรื่องราวต่าง ๆ เป็นปรกติ ประดุจหนึ่งว่าไม่ได้มีเหตุการณ์อันสำคัญที่สุดตราตรึงลงในชีวิตของเราทั้งสอง ณ เบื้องบนเขาลูกนั้น.