๓๔

แล้วพากันเชิญเตียวคี้มาครองราชสมบัติ ทรงพระนามว่าพระเจ้าตีคอกฮ่องเต้ ๆ องค์นี้เดิมเป็นบุตรเตียวเก๊ก ๆ เป็นพระราชโอรสที่สองของพระเจ้ากิมเต๊กอ๋องฮ่องเต้ มารดาพระเจ้าตีคอกฮ่องเต้นั้นชื่อนางกอกเอ๋ง ตั้งเก๋งอยู่ริมเขาจุนนอกเมืองหลวง นางมีครรภ์พระเจ้าตีคอกฮ่องเต้ได้สิบเอ็ดเดือนจึงประสูติ เมื่อพระเจ้าตีคอกฮ่องเต้ยังทรงพระเยาว์อยู่นั้นนางกอกเอ๋งอุ้มไปนั่งเล่นอยู่นอกเก๋งหลายเวลา อยู่มาวันหนึ่งมีชายชราอายุประมาณแปดสิบปี หน้าขาวหนวดยาว สวมเสื้อขาวแต่งตัวเหมือนเทวดา เดินเข้ามาแล้วว่าแก่นางกอกเอ๋งว่า บุตรของท่านนี้มีลักษณะดีชอบกล ข้าพเจ้าจะขอชมดูสักหน่อย นางกอกเอ๋งผู้มารดาได้ฟังดังนั้นก็ส่งบุตรให้แก่ชายขรา ๆ ผู้นั้นครั้นรับมาอุ้มดูลักษณะแล้วจึงว่า บุตรของท่านคนนี้จะมีบุญวาสนามาก ท่านให้ชื่ออย่างไร นางกอกเอ๋งจึงว่าบ้านเรือนของข้าพเจ้าอยู่ริมเขาจุน ข้าพเจ้าจึงให้ชื่อบุตรข้าพเจ้าตามนามเขาอันนี้ ชายแก่นั้นจึงว่าเขาจุนนี้เดิมในตำราและคำโบราณเรียกว่าเตียวคี้ แปลว่าเป็นเขางามสูงสุด ท่านจงให้นามบุตรของท่านชื่อว่าเตียวคี้เถิด นางกอกเอ๋งจึงถามว่าท่านชื่อใดแซ่ไรอยู่ตำบลไหน ชายแก่นั้นจึงบอกว่าข้าพเจ้าอยู่บนเขาอันนี้ ท่านอย่ารู้จักชื่อข้าพเจ้าเลย ชายชราว่าดังนั้นแล้วก็ส่งทารกให้แก่นางกอกเอ๋งแล้วก็ลาไป นางกอกเอ๋งจึงนำความนั้นไปบอกแก่เตียวเก๊กผู้สามี ๆ จึงให้คนใช้ไปเที่ยวเชิญชายชราผู้นั้นก็มิได้พบ ตั้งแต่นั้นเตียวเก๊กก็ให้นามบุตรนั้นชื่อเตียวคี้ตามถ้อยคำชายชราผู้นั้น แล้วให้บุตรเรียนหนังสือ จนอายุได้สิบห้าปีก็นำเข้าไปถวายพระเจ้าจวนยกตี่ฮ่องเต้ ๆ ใช้สอยเห็นว่าเตียวคี้เป็นคนสัตย์ซื่อทำราชการดีแล้วก็มีสติปัญญา จึงตั้งให้ไปเป็นจูเฮ้าผู้รักษาเมืองซินก๊ก ครั้นพระเจ้าจวนยกตี่ฮ่องเต้สวรรคตแล้ว ขุนนางและพระราชวงศานุวงศ์ของพระเจ้าจวนยกตี่ฮ่องเต้จึงไปเชิญเตียวคี้มาเป็นกษัตริย์ตามรับสั่งพระเจ้าจวนยกตี่ฮ่องเต้ ขนานพระนามว่าพระเจ้าตีคอกฮ่องเต้ ๆ ได้เป็นกษัตริย์เสวยราชสมบัติแล้ว บ้านเมืองก็เรียบร้อยเป็นปกติ แล้วพระเจ้าตีคอกฮ่องเต้จึงรับสั่งให้ขุนนางเจ้าพนักงานตรวจดูกฎหมายแผ่นดิน ที่แห่งใดผิดเพี้ยนเคลื่อนคลาดก็ทรงแก้เสียใหม่ให้ถูกต้องโดยยุติธรรม ตั้งแต่นั้นมาขุนนางและราษฎรได้ความสุขมากขึ้นกว่าแต่ก่อน

อยู่มาวันหนึ่ง พระเจ้าตีคอกฮ่องเต้เสด็จออกว่าราชการ พระองค์จึงตรัสแก่ขุนนางว่า เรานี้ตั้งแต่ได้เป็นกษัตริย์แล้วก็มิได้คิดที่จะหาความสุขแต่ผู้เดียว เราคิดที่จะให้ขุนนางและราษฎรมีความสุขทั่วกันทั้งแผ่นดิน อนึ่งตำราละยิดคือตำราปฏิทินสิบสองเดือนเป็นปีหนึ่ง ซึ่งพระเจ้าจวนยกตี่ฮ่องเต้แบ่งให้เป็นสี่ฤดู ฤดูละสามเดือนนั้น ฤดูเก่าฤดูใหม่วันคืนขึ้นแรมที่จะเปลี่ยนกันนั้น ยังคาบเกี่ยวกันอยู่ เราคิดจะแบ่งให้ตรงกับฤกษ์บน จะได้เป็นที่สังเกตท่านทั้งปวงจงช่วยเราทำให้ถูกต้อง จะได้สั่งสอนกุลบุตรให้รู้ทั่วกันไปภายหน้า ถ้าจะทำไร่นาและปลูกต้นผลไม้ลงในแผ่นดินจะได้งามดีมีผลตามฤดู อนึ่งเราพิเคราะห์ดูในแผ่นดินของเรานี้ เห็นว่าราษฎรและขุนนางทั้งปวงจะมีเงินใช้สอยยังน้อยนัก แต่เราพิจารณาดูในตี้ลี้ คือชัยภูมิที่แผ่นดินข้างทิศใต้มีเขา ๆ หนึ่งชื่อว่าเขาตังซัว ที่เนินเขาตังซัวนั้นเห็นจะมีแร่เงินเกิดมาก แล้วแร่ต่าง ๆ ก็คงจะมีอยู่มาก เราอยากจะให้ไปขุดเอาแร่มาทดลองดู ถ้ามีจริงดังเราคิดเห็นแล้วก็จะมีคุณแก่แผ่นดินมากนัก ตรัสดังนั้นแล้วจึงรับสั่งให้หาฮ่ำเฮกขุนนางผู้หนึ่งเข้ามาเฝ้าแล้วรับสั่งว่า ท่านจงอย่าได้มีความรังเกียจเลย จงอุตส่าห์ช่วยเราคุมไพร่ห้าพันคนกับเครื่องมือจอบเสียมชะแลงสิ่วพะเนิน สำหรับที่จะใช้สอยเจาะขุดนั้นเตรียมไปให้พร้อมแล้ว จงพากันไปที่เขาตังซัวเวลากลางคืน ให้พิเคราะห์ดูถ้าเห็นเป็นวาวแววอยู่ที่แห่งใดแล้ว ให้เจาะขุดพังทลายเข้าไปที่ตรงนั้นให้เห็น ก็จะรู้ว่าสิ่งอันใดมีอยู่ในที่อันนั้น ฮ่ำเฮกขุนนางผู้นั้นได้ฟังรับสั่งแล้วจึงทูลว่า พระองค์ตั้งพระทัยทะนุบำรุงให้ราษฎรมีความสุขนั้น พระเดชพระคุณเป็นอันมาก อุปมาเหมือนน้ำค้างตกลงมาให้ได้ความเย็นใจ ข้าพเจ้านี้จะขอรับอาสาไปกระทำตามพระราชประสงค์ให้จงได้ ทูลดังนั้นแล้วก็คำนับลาออกมาจัดไพร่ได้ห้าพันคน กับทั้งเครื่องมีอจอบเสียมชะแลงสิ่วพะเนินเครื่องที่จะใช้นั้นพร้อมกับเสบียงอาหารแล้ว จึงพากันไปที่เขาตังซัว ให้ตั้งพิธีกรรมบวงสรวงเทพารักษ์เสร็จแล้ว ครั้นเวลาค่ำก็พิจารณาดูเห็นที่แห่งใดวาวแววแล้วก็ให้ไพร่เจาะขุดลงไปในที่นั้น ก็ได้แร่เป็นหินสีเขียว ๆ จึงเก็บรวบรวมกองไว้เป็นอันมาก จึงให้ตัดฟืนมาเผาไฟสุมแร่นั้นละลายออกเป็นเนื้อเงิน แล้วฮ่ำเธกก็เขียนหนังสือบอกรายงานตามที่ได้ขุดแร่และหลอมแร่เป็นเนื้อเงินนั้น ให้คนใช้ถือเข้าไปให้ขุนนางทูลพระเจ้าตีคอกฮ่องเต้ ส่วนฮ่ำเฮกก็คุมไพร่ห้าพันขุดแร่อยู่ที่นั้นต่อไปอีกหกเดือน สุมแร่ได้เนื้อเงินเป็นอันมาก แล้วให้ขุดก้อนแร่นั้นเป็นตัวอย่างบรรทุกเกวียนคุมเข้ามายังเมืองหลวง ครั้นรุ่งขึ้นเวลาเช้าพระเจ้าตีคอกฮ่องเต้เสด็จออกที่ว่าราชการ พร้อมด้วยขุนนางเฝ้าอยู่ตามตำแหน่ง จึงรับสั่งว่าเราใช้ให้ฮ่ำเฮกคุมไพร่ห้าพันไปขุดแร่ที่เขาตังซัวนั้น ฮ่ำเฮกก็ได้ส่งหนังสือบอกเข้ามาว่าได้ขุดปะแร่แล้ว แต่ยังหลอมเป็นเนื้อเงินอยู่ ตั้งแต่นั้นก็ช้านานประมาณหลายเดือนมาแล้วก็ยังไม่เห็นฮ่ำเฮกกลับมา ผู้ใดสืบรู้ได้ข่าวคราวประการใดบ้าง

ขณะนั้นพวกขันทีจึงทูลว่า ซึ่งพระองค์รับสั่งใช้ให้ฮ่ำเฮกไปขุดแร่นั้น ฮ่ำเฮกกลับมาแล้วแต่ยังหาทันขึ้นมาเฝ้าพระองค์ไม่ พระเจ้าตีคอกฮ่องเต้ได้ทรงฟังดังนั้นก็ทรงพระโสมนัส จึงตรัสให้หาฮ่ำเฮกเข้ามาเฝ้า ฮ่ำเฮกก็นำเอาเนื้อเงินกับแร่ตัวอย่างที่ได้มานั้นถวายพระเจ้าตีคอกฮ่องเต้ ๆ รับสั่งให้ชั่งเนื้อเงินและแร่ตัวอย่าง ได้เนื้อเงินหนักห้าหมื่นตำลึง แร่ตัวอย่างหนักร้อยหาบ แล้วให้หลอมเงินนั้นเป็นแท่งละสามตำลึงบ้าง แท่งละลี่ตำลึงบ้าง แท่งละห้าตำลึงบ้าง พระราชทานพระราชวงศานุวงศ์ทั้งขุนนางและราษฎรในเมืองหลวงตามยศศักดิ์ เงินนั้นแบ่งเป็นห้าส่วน ยังเหลืออยู่ส่วนหนึ่งให้เก็บไว้ในท้องพระคลังหลวง ไว้สำหรับจับจ่ายใช้ราชการบ้านเมือง แล้วฮ่ำเฮกทูลว่าขอพระองค์ให้ส่งแร่ตัวอย่างไปให้จูเฮ้าผู้รักษาเมืองทั้งปวง ประกาศให้ราษฎรเที่ยวสืบเสาะหาแร่ส่งเข้ามาถวายเห็นจะได้แร่เป็นอันมาก พระเจ้าตีคอกฮ่องเต้ได้ทรงฟังดังนั้น จึงรับสั่งให้ขุนนางเจ้าพนักงานมีหนังสือส่งแร่ตัวอย่างที่ได้มานั้นออกไปให้จูเฮ้าเจ้าเมืองป่าวร้องราษฎรตามบรรดาหัวเมืองให้มาดูแร่ตัวอย่าง แล้วให้เที่ยวสืบเสาะหาแร่ ขุนนางเจ้าพนักงานก็ทำตามรับสั่ง ครั้งนั้นราษฎรชาวเมืองทั้งหลายก็เที่ยวสืบเสาะขุดหาแร่ ได้แร่สีต่าง ๆ ส่งให้แก่จูเฮ้าผู้รักษาเมือง ๆ ก็ให้เลือกจัดแร่สีต่าง ๆ นั้นไว้เป็นพวก ๆ ให้เป็นพวกละอย่าง ๆ แล้วให้เอาไฟสุมแร่นั้นสุมทีละอย่าง ๆ มิให้ปนกัน แร่ที่สุมนั้นละลายออกได้เนื้อเป็นทองคำบ้าง เป็นเงินบ้าง เป็นทองแดงบ้าง เป็นเหล็กบ้าง เป็นสังกะสีบ้าง เป็นดีบุกบ้าง ครั้นสุมละลายได้เป็นเนื้อแล้ว จูเฮ้าเจ้าเมืองทั้งหลายก็ส่งเข้ามาถวายพระเจ้าตีคอกฮ่องเต้ ๆ ทรงพระโสมนัส จึงตรัสสั่งให้มีหนังสือประกาศว่า แร่ที่เขาตังซัวนั้นให้ไว้เป็นของหลวงอย่าให้ผู้ใดไปขุด ถ้าผู้ใดจะขุดแร่ก็ให้ไปขุดที่ตำบลอื่น ๆ ไม่ห้าม ถ้าขุดได้ก็ให้แบ่งเป็นสามส่วนยกเป็นของหลวงส่วนหนึ่ง ได้แก่เจ้าของผู้ทำสองส่วน ตั้งแต่นั้นราษฎรก็พากันไปเที่ยวขุดได้แร่ทองคำและแร่เงิน แร่ทองแดง แร่เหล็ก แร่สังกะสี แร่ดีบุกถวายบ้าง เป็นอาณาประโยชน์ของตัวบ้าง บ้านเมืองก็บริบูรณ์มากขึ้น พวกขุนนางและราษฎรพากันสรรเสริญพระเดชพระคุณพระบารมีพระเจ้าตีคอกฮ่องเต้ว่า ทรงพระสติปัญญามีพระทัยใส่ทะนุบำรุงให้ราษฎรมีความสุขมากขึ้นกว่าแต่ก่อน และพระเจ้าตีคอกฮ่องเต้พระองค์นี้มีพระอัครมเหสีองค์หนึ่ง ชื่อนางเกียงหงวนฮองเฮา แต่ยังไม่มีพระราชโอรส มีนางพระสนมเอกสามนาง ชื่อนางเค้งโตหนึ่ง ชื่อนางกั๋นเต๊กหนึ่ง ชื่อนางเซียงหงีหนึ่ง แต่พระองค์มีพระราชโอรสด้วยนางเซียงหงีก่อน พระองค์จึงพระราชทานนามพระราชโอรสที่เกิดกับนางเซียงหงีนั้นให้ชื่อว่าจี่อ๋องไถจู๊ ถัดนั้นมานางเค้งโตจึงทรงครรภ์ เมื่อนางเค้งโตจะทรงครรภ์นั้น นางฝันว่ามังกรเหลืองหนวดแดงเข้ามาทับตัวนาง นางตกใจตื่นแล้วก็ไปแจ้งความแก่นางเกียงหงวนฮองเฮา คือพระอัครมเหสีเอกตามความฝัน นางเกียงหงวนฮองเฮามีความยินดี ด้วยพระนางไม่เคยมีพระราชโอรส จึงว่าเจ้าฝันดังนี้จะมีครรภ์เกิดบุตร ๆ ของเจ้านั้นก็เหมือนบุตรเรา ขอให้เจ้ามีครรภ์เกิดบุตรเถิด นางเค้งโตได้ฟังดังนั้นก็ยินดีด้วยนางอยากมีบุตร จึงคำนับรับคำนางเกียงหงวนอองเฮาแล้วก็ลามาที่อยู่ของนาง ตั้งแต่นั้นมานางเค้งโตก็ทรงครรภ์ได้สิบสี่เดือน พระเจ้าตีคอกฮ่องเต้เสด็จพานางเค้งโตไปเล่นที่ตำบลตังเหลง นางเค้งโตประสูติพระราชโอรสที่ตำบลนั้น พระเจ้าตีคอกฮ่องเต้จึงพระราชทานนามพระราชโอรสที่เกิดกับนางเค้งโตนั้น ให้ชื่อว่าเงี่ยวอ๋องไถจู๊ มีลักษณะหน้าผากใหญ่ จมูกโด่ง หูยาว จักษุเหมือนตาหงส์ คิ้วยาวสุดหางตาหัวคิ้วต่อประจบกันเหมือนหน้าจั่วที่แสกหน้า เมื่อวันประสูตินั้นน้ำค้างตกลงมามากกว่าทุกวันตกทั่วไปทั้งแผ่นดิน รสน้ำนั้นหวานเหมือนน้ำตาลกรวด ราษฎรทั้งปวงเห็นเป็นอัศจรรย์ และนางกั๋นเต๊กเมื่อจะทรงครรภ์นั้น พระเจ้าตีคอกฮ่องเต้เสด็จพานางไปเที่ยวประพาสเล่นที่ตำบลเหี้ยนคิว นางเห็นรังนกอีแอ่นอยู่ริมทาง มีฟองอยู่ฟองหนึ่งมีสีห้าอย่าง นางเห็นประหลาดก็หยิบมาเชยชมแล้วอมเล่น ฟองนั้นก็เลื่อนล่วงลำคอลงไป ครั้นนางกลับเข้ามาในพระราชวังกับพระเจ้าตีคอกฮ่องเต้นางก็ทรงครรภ์ ถ้วนกำหนดแล้วก็ประสูติพระราชโอรส พระเจ้าต้คอกฮ่องเต้จึงพระราชทานนามพระราชโอรสที่เกิดกับนางกั๋นเต๊กนั้น ให้ชื่อว่าเคียดอ๋องไถจู๊ ๆ คนนี้คือได้เป็นกษัตริย์ต้นวงศ์เสี่ยงทัง แต่จี่อ๋องพระราชบุตรนางเซียงหงีนั้นเป็นคนองอาจพูดจาห้าวหาญมิได้ยำเกรงผู้ใด ถือตัวว่าเป็นพี่ใหญ่แล้วก็มีกำลังแข็งแรงมาก ฝึกหัดแต่ทแกล้วทหารการรบพุ่งอยู่เป็นนิจ แต่เงี่ยวอ๋องกับเคียดอ๋องนั้นรักใคร่กันเหมือนร่วมพระมารดาเดียวกัน แล้วก็สุภาพเรียบร้อยมิได้ประพฤติการเกะกะ พอใจประพฤติแต่การหนังสือฝ่ายเดียวเป็นที่เพลิดเพลิน รู้จักกลัวพระญาติพระวงศ์ซึ่งเป็นผู้ใหญ่สูงอายุ

อยู่มาวันหนึ่งพระเจ้าตีคอกฮ่องเต้ เห็นนางพระสนมเอกสามนางมีพระราชบุตรแล้ว แต่พระนางเกียงหงวนฮองเฮาคือพระอัครมเหสีเอกนั้นยังหามีพระราชโอรสไม่ พระองค์ทรงดำริอยากจะให้นางเกียงหงวนฮองเฮามีพระราชโอรสจะได้เป็นที่ไถจู๊ จึงรับสั่งให้เจ้าพนักงานปลูกโรงพิธีในพระราชเก๋ง แล้วให้แต่งตั้งเครื่องพิธีพลีกรรมสำหรับบวงสรวงเทพารักษ์เสร็จแล้ว พระเจ้าตีคอกฮ่องเต้ก็เสด็จพระราชดำเนินพาพระนางเกียงหงวนฮองเฮามาในโรงราชพิธี กระทำบวงสรวงเทพยดาขอให้นางเกียงหงวนมเหสีมีพระราชโอรส จะได้มีพระเกียรติยศต่อไปในภายหน้า ครั้นบวงสรวงเทพยดาเสร็จแล้ว พระองค์ก็เสด็จพระราชดำเนินพาพระนางเกียงหงวนฮองเฮาเสด็จกลับมายังพระตำหนัก ตั้งแต่นั้นพระนางเกียงหงวนฮองเฮาก็ทรงครรภ์ ได้สิบสี่เดือนครบกำหนดแล้วประสูติพระราชโอรสนั้น มีกลิ่นหอมเย็นตระหลบไปในห้องประสูตินางประมาณครู่หนึ่งก็หายไป พระเจ้าตีคอกฮ่องเต้ทอดพระเนตรเห็นพระราชโอรสรูปงามก็มีความโสมนัสตรัสว่า บุตรเรานี้มาแต่เมืองบนจึงพระราชทานนามชื่อว่าเจ๊กอ๋องไถจู๊ ๆ คนนี้ คือจิวลีโจ๊ว ได้เป็นต้นวงศ์กษัตริย์แผ่นดินจิวต่อไปข้างหน้า และเมื่อพระเจ้าตีคอกฮ่องเต้ครองราชสมบัตินั้น มิได้มีทัพศึกสงคราม บ้านเมืองเรียบร้อยเป็นปกติ ราษฎรอยู่เย็นเป็นสุข พระเจ้าตีคอกฮ่องเต้ครองราชสมบัติได้เจ็บสิบห้าปี พระชันษาได้ร้อยห้าปีทรงพระประชวรหนัก คิดจะยกราชสมบัติให้แก่พระราชโอรสก็ละอายพระทัยอยู่ สั่งแก่ขุนนางผู้ใหญ่ให้เลือกหาผู้ที่ซื่อสัตย์ควรจะเป็นที่พึ่งได้ให้เป็นเจ้าแผ่นดิน ครั้นสิ้นพระชนม์แล้วพระราชบุตรและพระราชวงศานุวงศ์กับขุนนางผู้ใหญ่ผู้น้อยพากันเชิญพระศพใส่หีบไม้หอม แห่ไปฝั่งไว้ที่ตำบลตุ้นคิวตามอย่างพระศพกษัตริย์เสร็จแล้ว จี่อ๋องไถจู๊จึงว่าแก่ขุนบางทั้งปวงว่า พระบิดาเราสวรรคตแล้ว ท่านทั้งปวงจะให้ผู้ใดเป็นเจ้าแผ่นดิน พวกขุนนางจึงว่าเจ้าแผ่นดินนั้น จะต้องจัดท่านผู้ตั้งอยู่ในยุติธรรมตามรับสั่ง จี่อ๋องไถจู๊จึงว่าเราก็เป็นบุตรผู้ใหญ่ผู้ตั้งอยู่ในยุติธรรมตามรับสั่ง จี่อ๋องไถจู๊จึงว่าเราก็เป็นบุตรผู้ใหญ่ แล้วมีสติปัญญาและฝีมือในการรบ เราจะครองราชสมบัติแทนพระบิดาเราจะไม่ได้หรือ พวกขุนนางได้ฟังนั้นก็พากันนิ่งอยู่

แชร์ชวนกันอ่าน

แจ้งคำสะกดผิดและข้อผิดพลาด หรือคำแนะนำต่างๆ ได้ ที่นี่ค่ะ