๒๘

ฝ่ายพวกจูเฮ้าเจ้าเมืองทั้งเก้าตั้งแต่รบกับหลีฮูหลีปิด แล้วหลีฮูหลีปิดกับพี่ชายทั้งเจ็ดคนพาทหารหนีเข้าเมืองแล้วปิดประตูไว้แน่นหนา ก็พากันตั้งค่ายล้อมเมืองเข้าไว้ใกล้กำแพงเมืองได้เดือนเศษแล้ว ก็มิได้เห็นพวกหลีทำออกมารบ จึงปรึกษาเกาเหลงแม่ทัพว่า พวกหลีทำไม่ออกรบกับเรานิ่งอยู่ดังนี้ประมาณเดือนเศษแล้ว พวกหลีทำจะคิดกลอุบายอย่างไรก็ไม่รู้ ท่านผู้มีปัญญาจะคิดอ่านประการใดขอให้ข้าพเจ้าทราบด้วย เกาเหลงแม่ทัพได้ฟังดังนั้นก็หัวเราะแล้วจึงบอกว่า ตั้งแต่พวกหลีทำคิดกบฏเที่ยวตีบ้านเล็กเมืองน้อย ได้เสบียงอาหารมาเป็นอันมาก พอกำลังทแกล้วทหารจะกินอยู่ได้สี่ปีห้าปี เมื่อรบกับเราเสียทีหนีเข้าเมืองไปวันนั้น ก็ไปรักษาเสบียงอาหารไว้ แล้วประมาทใจว่าเรายกมาแต่ไกลจะมีเสบียงอาหารอย่างมากก็สักครึ่งปี อย่างน้อยก็สักสามเดือนที่ไหนจะล้อมเมืองอยู่ช้าได้ พอสิ้นเสบียงอาหารพวกเราก็คงจะเลิกทัพกลับไป แล้วจึงจะคิดยกออกมาตามตีเราต่อภายหลัง พวกหลีทำคิดกลอุบายอย่างนี้เป็นแน่จึงได้นิ่ง พวกจูเฮ้าทั้งหลายได้ฟังดังนั้นก็ตกใจ จึงว่าเราล่วงเขตแดนเข้ามาล้อมเมืองเขาไว้ดังนี้ ก็เห็นจะต้องด้วยความคิดเขาเป็นมั่นคง ท่านจะคิดประการใด เกาเหลงแม่ทัพใหญ่จึงว่าวิสัยทำศึกสงครามนั้นก็อาศัยปัญญาเป็นใหญ่ ท่านทั้งหลายอย่าได้มีความวิตกเลย ด้วยเราคิดเห็นอยู่ว่าพวกกีวหลีนี้เป็นคนมีแต่ฝีมือและกำลังฝ่ายเดียว หาสู้มีสติปัญญามากนักไม่ แต่ทะนงใจอยู่ด้วยชำนาญตั้งค่ายชิดแฉตี้น ครั้นออกรบแก่เราวันนั้นก็แพ้รู้เสียทีแล้วจึงได้หนีเราเข้าเมือง ตรึกตรองจะคอยตีเราเมื่อหมดเสบียงอาหาร ซึ่งจะเข้าตีเมืองจอกกอกครั้งนี้เราคิดเห็นอุบายอย่างหนึ่งแล้ว ท่านจงสั่งให้ทหารจัดหาเกาทัณฑ์และพลุไฟมาให้แก่เราสิ่งละหมื่นให้ได้ในสองวันจงทุกเมือง พวกจูเฮ้าก็ให้ทหารไปจัดหาธนูเกาทัณฑ์พลุไฟมาให้เกาเหลงแม่ทัพครบจำนวนตามสั่ง แล้วเกาเหลงจึงว่าแก่พวกจูเฮ้าว่า เวลากลางวันเราจะให้เข้าตีเมืองจอกกอกให้ระดมพร้อมกันเป็นสามารถจนถึงเวลาค่ำ ถ้าเห็นว่าไม่ได้ชัยชนะแล้วจึงค่อยผ่อนกันล่าทัพกลับไปตั้งอยู่ที่เขามกลักซัวเป็นเขตแดนของเรา แล้วเกาเหลงทัพให้จัดทหารเป็นกองซุ่มกองซ่อนอีกสองกอง ให้ไปซุ่มสกัดทางอยู่ในป่าซึ่งจะล่าทัพไปนั้น ถ้าหลีทำรู้ว่าเราหมดเสบียงอาหารและพากันเลิกทัพกลับไป และจะยกกองทัพติดตามเราไปนั้น ก็ให้ทหารสองกองซึ่งซุ่มอยู่นั้นจุดพลุไฟสัญญาณเป็นสำคัญ จะได้ยกกองทัพกลับมารบด้วยหลีทำ ถ้าหลีทำไม่ยกติดตามเราไปแล้ว ก็ให้ทหารซึ่งซุ่มอยู่นั้นยกตามเราไป ครั้นเกาเหลงแม่ทัพใหญ่กำชับสั่งจูเฮ้าทั้งหลายและนายทัพนายกองทแกล้วทหารพร้อมแล้ว พวกจูเฮ้าและนายทัพนายกองได้ฟังคำสั่งดังนั้น รุ่งขึ้นเวลาเช้าก็พากันคุมทหารเข้าตีเมืองจอกกอกพร้อมกันเป็นสามารถ พวกหลีทำก็ให้ทหารรักษาหน้าที่เชิงเทินไว้ให้มั่นคงพวกหนึ่ง แต่พวกที่อยู่ชั้นนอกนั้นหลีทำสั่งให้ออกรบ ทหารทั้งสองฝ่ายสู้รบกันเป็นสามารถ แต่พวกหลีทำนั้นสู้รบอยู่แต่หน้าที่และเชิงเทินหอรบข้างนอก มิได้เปิดประตูเมืองจนเวลาค่ำ เกาเหลงกับพวกจูเฮ้าเห็นว่าจะเอาชัยชนะพวกหลีทำมิได้แล้ว ก็ค่อยผ่อนล่าทัพกลับไปตั้งอยู่ในเขตแดนตามคำเกาเหลงสั่ง ไปสมทบประจบกันอยู่ที่ตำบลเขามกลักซัวถ้วนทุกกอง

ฝ่ายทหารทั้งสองกอง ซึ่งเกาเหลงแม่ทัพจัดให้ซุ่มสกัดทางอยู่นั้น ครั้นรุ่งขึ้นเวลาเช้ามิได้เห็นกองทัพหลีทำยกติดตามมาก็พากันยกกองทัพตามไปเหมือนคำเกาเหลงสั่ง

ฝ่ายหลีทำ ครั้นรุ่งขึ้นเวลาเช้ายังไม่รู้ในท่วงที ก็จัดทหารเพิ่มเติมรักษาหน้าที่เชิงเทินเมืองคอยสู้รบกองทัพเกาเหลง ก็มิได้เห็นกองทัพพวกเกาเหลงยกเข้าตี พวกกีวหลีจึงปรึกษาแก่หลีทำพี่ชายใหญ่ว่า เวลาวันนี้เกาเหลงไม่ยกเข้าตีเมืองเรา จะเห็นอย่างไรข้าพเจ้าสงสัยนัก หลีบุนผู้น้องจึงว่า เกาเหลงเป็นคนมีสติปัญญา ซึ่งเกาเหลงไม่เข้ามารบเราอีกนั้นเห็นจะมีกลอุบายเป็นมั่นคง ถ้าเกาเหลงไม่เข้ามารบเราเวลากลางวัน ๆ นี้ คงจะเข้ารบเราเวลากลางคืน พวกเราจงอย่าได้มีความประมาทเลย จงช่วยกันตรวจตรารักษาหน้าที่เชิงเทินไว้ให้แน่นหนา หลีบู๊น้องจึงว่า เวลาค่ำวันนี้ถ้าพวกเกาเหลงมิได้มารบเราแล้ว ก็เห็นจะเลิกทัพกลับไป การจะเป็นประการใดจะได้รู้ในเวลาพรุ่งนี้ ครั้นปรึกษากันแล้ว ขณะนั้นพอม้าใช้คนสืบการเข้ามาแจ้งความว่า เวลาคืนวานนี้ได้ยินเสียงตีเกราะเคาะไม้ที่ในค่ายพวกเกาเหลง ครั้นรุ่งขึ้นเวลาเช้าเห็นมีควันไฟอยู่ทุกค่าย จะเป็นกลอุบายประการใดข้าพเจ้ามิได้ทราบ หลีกือจึงว่าพวกเกาเหลงมีเสบียงอาหารน้อย เห็นจะสิ้นเสบียงอาหารลงจึงเลิกทัพกลับไป หลีเฉียมจึงว่าเกาเหลงเป็นคนมีสติปัญญามาก ทำการสิ่งใดก็มิได้สะเพร่าอย่างหยาบ ครั้นเรานิ่งเฉยอยู่มิได้ยกออกไปต่อสู้ จึงคิดกลอุบายล่อลวงจะให้เรายกกองทัพออกไปรบพุ่ง หรือจะเป็นเหตุประการใดเราก็มิได้รู้แจ่มแจ้ง จะต้องให้ทหารไปสอดแนมตรวจตราดูให้รู้กลอุบายเกาเหลงก่อนจึงได้ หลีบู๊ว่าข้าพเจ้าขออาสาไปตรวจตราดูเองให้รู้เหตุแน่นอน ท่านทั้งหลายอย่าได้มีความวิตกเลย หลีทำได้ฟังดังนั้นจึงว่า ถ้าเจ้าจะออกไปแล้วก็เป็นการดีนัก แต่ว่าอย่าได้มีความประมาทข้าศึก จงตรึกตรองใคร่ครวญดูการให้ละเอียดอย่าทำการระเริงไป ว่าแล้วก็ให้หลีบู๊ผู้น้องคุมทหารนายกองผู้หนึ่งกับพวกพลทหารไป หลีบู๊ก็ให้ทหารผู้ที่เป็นนายกองแต่งตัวเป็นชาวป่าเดินทางไป

ฝ่ายนายกองผู้นั้นเดินไปถึงค่าย ก็ไม่เห็นมีผู้คนอยู่ในค่ายแต่สักคนหนึ่ง จึงกลับมาแจ้งความแก่หลีบู๊ ๆ จึงพาทหารผู้นั้นไปเที่ยวดู ก็เห็นแต่ค่ายเปล่าสุมไฟไว้ จึงกลับเข้าไปแจ้งความแก่หลีทำตามที่ได้ไปตรวจดูนั้น แล้วหลีบู๊จึงว่าแก่พี่ชายทั้งแปดว่า บัดนี้เราได้ทีแล้วจงยกกองทัพติดตามไปแก้แค้นแก่เกาเหลงเถิด หลีทำจึงว่าเกาเหลงยกไปได้สองวันแล้วเห็นจะตามไม่ทัน เราอย่ายกไปให้ได้ความลำบากแก่ทแกล้วทหารเลย ว่าแล้วก็พูดจาสรรเสริญเกาเหลงว่า เกาเหลงเป็นคนมีสติปัญญามาก เมื่อจะยกกองทัพเข้ามาและจะล่าทัพไปเราก็ไม่รู้ ถ้าเกาเหลงยังมีชีวิตอยู่แล้วเราจะตีเอาเมืองหลวงนั้นเห็นจะไม่ได้ ว่าแล้วก็ให้จัดโต๊ะเลี้ยงน้องชายและทหารทั้งปวงพร้อมกัน

ฝ่ายจูเฮ้ายกกองทัพกลับไปถึงเขตแดนแล้ว ต่างคนก็คำนับลาเกาเหลงไปรักษาเมืองของตัว เกาเหลงแม่ทัพคุมทหารกลับเข้าไปเมืองหลวงเข้าเฝ้าพระเจ้ากิมเต๊กอ๋องฮ่องเต้ ทูลว่าได้ไปทำศึกรบกับพวกชาวเมืองกีวหลีจนสิ้นเรื่องแล้ว และขัดด้วยเรื่องเสบียงอาหารจึงได้ล่าถอยมา พระเจ้ากิมเต๊กอ๋องฮ่องเต้ก็พระราชทานบำเหน็จรางวัลให้เกาเหลงและนายทัพนายกองทแกล้วทหารตามสมควร ตั้งแต่นั้นพวกกีวหลีพี่น้องก็มิได้ยกไปตีบ้านเมืองของผู้ใดเหมือนแต่ก่อน ไพร่บ้านพลเมืองก็มีความสุขขึ้นมาก

ฝ่ายกอเอียงสีอายุได้สิบห้าปีทำราชการอยู่ในพระเจ้ากิมเต๊กอ๋องฮ่องเต้ ถ้าจะว่าการสิ่งใด ๆ ก็ถูกต้องตามธรรมเนียมประเพณี พระเจ้ากิมเต๊กอ๋องฮ่องเต้โปรดปรานรักใคร่มาก ครั้นมาวันหนึ่งกอเอียงสีออกจากเฝ้ากลับไปบ้าน ครั้นถึงก็เข้าไปคำนับนางเชียงป๊อกผู้มารดา

ขณะนั้นนางเชียงป๊อกนั่งจัดด้ายเรียบเรียงเข้าฟีมทอผ้า กอเอียงสีเห็นดังนั้นคุกเข่าคำนับมารดาแล้วจึงพูดว่า มิใช่คนอื่นเป็นเชื้อแถวพระญาติพระวงศ์มีบรรดาศักดิ์อยู่ ซึ่งมารดานั่งจัดฟีมจะทอผ้าดังนี้ดูไม่สมควร เกรงว่าในวงศ์ญาติจะติเตียนข้าพเจ้าได้ว่าเป็นคนปราศจากกตัญญู ไม่ห้ามปรามมารดาให้ละการงานเลย มารดาจะได้มีความสุขมิได้ทรมานกาย นางเชียงป๊อกได้ฟังดังนั้นก็ถอนใจใหญ่ แล้วว่าเจ้าเป็นขุนนางเด็กหนุ่มยังไม่รู้จักอะไรเลย กอเอียงสีได้ฟังมารดาว่าดังนั้นรู้ว่าไม่ชอบใจ ก็เอี้ยวตัวลุกขึ้นจะไปให้พ้นจากที่นั้น นางเชียงป๊อกเห็นในกิริยาของบุตรแล้วว่าเจ้าอย่าเพิ่งไป หยุดนั่งอยู่ที่นี่ก่อน มารดาจะสอนให้เจ้าฟัง ในเมืองนี้แต่ก่อนเจ้าแผ่นดินตั้งอยู่ในยุติธรรม ประกอบด้วยความเมตตาอาณาประชาราษฎร เมื่อจะทรมานสั่งสอนราษฎรท่านก็เลือกหาชัยภูมิให้ราษฎรอยู่พอสมควรมิให้ลำบากนักมิให้สบายนัก พออยู่ทำมาหากินเลี้ยงชีวิตได้ ด้วยประสงค์จะให้ปราศจากความเกียจคร้าน และกันภัยและกันความชั่วต่าง ๆ ถ้าให้ไปอยู่ในที่เป็นสุขสบายเกินภูมิคนไปก็เป็นเหตุจะให้เกิดความเกียจคร้าน ถ้าเกียจคร้านแล้วก็จะประกอบความชั่วต่าง ๆ นัยหนึ่งเหมือนคนที่แสวงหาเงินทองมาเลี้ยงชีวิตด้วยประพฤติความค้าขายและวิชาต่าง ๆ ถ้าหาเงินทองข้าวของได้มาโดยง่ายแล้ว ก็มีความประมาทแก่ข้าวของเงินทองมักฟูมฟายใช้สอยไม่สู้จะเสียดาย แม้นทำมาหาได้โดยเหน็ดเหนื่อยลำบากยากแค้นแล้ว ก็มีความรักใคร่ในข้าวของเงินทองนั้นมากนัก ถึงจะจับจ่ายใช้สอยก็มัธยัสถ์ด้วยความเสียดายกลัวจะหมดสิ้นไป ประการหนึ่งลักษณะคนถ้าอยู่ในที่เป็นสุขสนุกสบายแล้วก็มักจะเป็นคนเกียจคร้านไป ไม่ใคร่จะประกอบการทำมาหากิน มิได้คิดถึงความลำบากยากจน มักกำเริบใจแสวงแต่การเล่นเป็นที่สนุกต่าง ๆ ถ้าดังนี้แล้วก็คงจะประกอบการชั่วมีในตัวขึ้นมากแล้ว ทุกข์และภัยก็คงถึงตัวให้ได้ความฉิบหายด้วยเหตุต่าง ๆ เพราะดังนี้ลักษณะเกิดมาเป็นคนต้องประพฤติให้สมควรแก่กำลังแห่งตน ถ้ามีความอุตส่าห์ทำมาหากินให้เกินกำลังนักก็ไม่ได้ ประการหนึ่งจะเป็นคนเกียจคร้านเอาแต่ความสุขสนุกสบายฝ่ายเดียวก็ไม่ถูก ประพฤติให้สมควรแก่กำลังแห่งตนจึงจะเรียกว่าเป็นคนดี ถ้าดีแล้วความรุ่งเรืองเจริญมีมาแล้วความสุขก็มีด้วย ลักษณะคนที่เกิดมาเดิมเมื่อจะชั่วนั้นเป็นคนเหลาะแหละก่อน ถ้าเหลาะแหละเคยตัวเข้าแล้วก็ทำการชั่วขึ้นบ้างแต่เล็กแต่น้อยก่อน ถ้าทำการชั่วเคยตัวเข้าแล้ว ความโกงเกะกะก็มีขึ้นในสันดานผู้นั้น ๆ ก็เป็นคนพาลไป ถ้ามีน้ำจิตเป็นพาลแล้ว ถึงคนที่มีปัญญาก็ยากที่จะทัดทานสั่งสอนว่ากล่าว ครั้นผู้ใดว่ากล่าวห้ามปรามมิได้แล้ว ชอบสิ่งใดก็จะทำเอาตามอำเภอใจ ถ้าดังนี้แล้วความฉิบหายก็จะมีมาถึงผู้นั้นเป็นแท้ ที่หนึ่งคือศึกษาเล่าเรียนหนังสือให้รู้การดีและชั่วต่าง ๆ ที่สองคือหากินด้วยการช่างต่าง ๆ ที่สามคือทำเรือกสวนไร่นา ที่สี่คือเป็นลูกค้า ๆ ขายใหญ่น้อย ที่ห้าคือหากินด้วยการรับจ้างบ่ายด้วยเรี่ยวแรงของตน ซึ่งจะหากินด้วยการอื่นนอกจากนี้ไปมีโดยน้อย ประการหนึ่งผู้ซึ่งเป็นนักเรียนเวลาเช้าไปสู่สำนักอาจารย์ เวลาเย็นกลับมาบ้าน ครั้นค่ำลงก็ตรึกตรองเล่าเรียนบ่นไปจนได้เวลา จนชั้นที่สุดแต่คนที่เข็ญใจไร้ทรัพย์หาเช้ากินค่ำนั้น สุดแท้แต่ว่าเวลาเช้าก็ไปสู่ที่การรับจ้าง ครั้นเวลาเย็นก็กลับมา แต่ประพฤติอุตส่าห์อย่างนั้นแล้วก็ไม่อยากหยุดในที่จะกระทำการจ้างด้วยกลัวยากจนจะอดอยาก ซึ่งมารดาว่ากล่าวสั่งสอนเจ้าทั้งนี้ ด้วยเห็นว่าเจ้ามาว่ามารดาด้วยเรื่องทอผ้า มารดาเกรงว่าเจ้าจะเป็นคนเกียจคร้านไป กอเอียงสีว่าซึ่งมารดาสั่งสอนว่ากล่าวข้าพเจ้าทั้งนี้เป็นความดีทุกอย่าง ตัวข้าพเจ้าใช่ว่าจะเป็นคนเกียจคร้านนั้นหามิได้ กอเอียงสีก็คำนับลาไปยังที่ร่ำเรียน พอได้เวลาก็เข้าไปที่เก๋งคอยเฝ้า อุตส่าห์ตั้งใจทำราชการเสมอเป็นนิจ ครั้นพระเจ้ากิมเต๊กอ๋องฮ่องเต้ครองราชสมบัติได้แปดสิบสี่ปี พระชันษาได้ร้อยปีก็สิ้นพระชนม์ พระญาติวงศ์และพวกขุนนางพากันเชิญพระศพพระเจ้ากิมเต๊กอ๋องฮ่องเต้ใส่หีบแห่ไปฝังไว้ที่เขาอุนเอี้ยงตามราชประเพณีพระศพกษัตริย์สืบมา ตั้งแต่นั้นบรรดาพระญาติวงศานุวงศ์ของพระเจ้ากิมเต๊กอ๋องฮ่องเต้นั้น พวกราษฎรพากันเรียกว่าตระกูลอุนเอี้ยงสี ตามชื่อเขาที่ได้ฝังพระศพพระเจ้ากิมเต๊กอ๋องฮ่องเต้ไว้

แชร์ชวนกันอ่าน

แจ้งคำสะกดผิดและข้อผิดพลาด หรือคำแนะนำต่างๆ ได้ ที่นี่ค่ะ