๕๔

ครั้นเสร็จแล้วฝ่ายขุนนางผู้หนึ่งชื่อโฮ่งี้ เป็นขุนนางในตำแหน่งทหารมีกำลังและฝีมือยิงเกาทัณฑ์แม่น เมื่อพระเจ้าคี้เต้ฮ่องเต้ยังมีพระชนม์อยู่นั้น โฮ่งี้ก็คิดประทุษร้ายอยากจะได้ราชสมบัติอยู่เนือง ๆ ครั้นพระเจ้าคี้เต้ฮ่องเต้สวรรคตแล้ว โฮ่งี้คิดว่าถ้าตัวได้เป็นคนต้นปรึกษาให้พวกขุนนางยกไถจู๊ท้ายกังเป็นกษัตริย์ได้แล้ว ตัวจะได้มีอำนาจมากขึ้นกว่าแต่ก่อน ครั้นคิดแล้วโฮ่งี้จึงเชิญขุนนางทั้งปวงมาปรึกษาว่า พระเจ้าคี้เต้ฮ่องเต้ตรัสไว้ว่า ถ้าพระองค์สิ้นพระชนม์แล้ว ให้เลือกผู้ที่มีสติปัญญาตั้งอยู่ในยุติธรรมมาครองราชสมบัติแทนพระองค์นั้น เราคิดจะยกไถจู๊ท้ายกังพระราชบุตรขึ้นเป็นกษัตริย์ ท่านทั้งปวงจะเห็นประการใด ขุนนางทั้งปวงรู้ว่าโฮ่งี้มีกำลังมาก แล้วก็แข็งแรงว่องไวในเพลงอาวุธด้วย มีความกลัวอยู่ดังนี้ก็พลอยเห็นว่า ข้าพเจ้าทั้งปวงเห็นชอบด้วย แล้วโฮ่งี้กับขุนนางทั้งปวงก็พากันไปเชิญไถจู๊ท้ายกังขึ้นเป็นกษัตริย์ ทรงพระนามว่าพระเจ้าท้ายกังเต้ เมื่อพระเจ้าท้ายกังเต้ได้เสวยราชสมบัติปีมะเส็ง พระเจ้าท้ายกังเต้ครั้นเสวยราชแล้ว ก็เลื่อนที่ขุนนางตามตำแหน่งสมควร ครั้นอยู่มาพระองค์ก็ลุ่มหลงไปด้วยสตรีเสพย์สุราเป็นนิจ มิได้มีพระทัยสอดส่องไปในราชกิจการแผ่นดินละเลยเพิกเฉยเสีย แล้วก็ไม่ได้รับสั่งให้ทหารพวกจูเฮ้าเจ้าเมืองทั้งหลายเข้ามาทำสัตย์สาบานถวายตัวตามอย่างธรรมเนียมแผ่นดินแต่ก่อน พวกจูเฮ้าเจ้าเมืองทั้งปวงเห็นว่าพระเจ้าท้ายกังเต้ประพฤติผิดประเพณีก็พากันแข็งเมืองขึ้นหลายตำบล พระเจ้าท้ายกังเต้เสวยราชได้เจ็ดปี วันหนึ่งพระองค์เสด็จออกว่าราชการจึงตรัสแก่ขุนนางว่า เราอยากจะไปเที่ยวประพาสป่าจับสัตว์ที่ตำบลลกซุ้ย เราจะให้โฮ่งี้อยู่เฝ้าพระนคร พวกขุนนางก็พากันทูลขัดทัดทานไว้มิให้เสด็จไป พระองค์มิได้ทรงเชื่อฟังรับสั่งให้ไซอี่ ซุยคี้ขุนนางที่ชอบอัธยาศัยตามเสด็จไปด้วย ครั้นเสด็จไปถึงตำบลลกซุ้ยก็ขึ้นม้าทรงเกาทัณฑ์เที่ยวไปยิงสัตว์ในป่ากับไซอี่ ซุยคี้ แล้วพระองค์ประทับแรมอยู่ที่ตำบลลกซุ้ยหลายราตรี

ฝ่ายโฮ่งี้อยู่เฝ้าพระนคร ปรึกษาแก่ขุนนางทั้งปวงว่าพระเจ้าท้ายกังเต้ละราชการบ้านเมือง ไปเที่ยวยิงสัตว์เล่นดังนี้ผิดธรรมเนียมประเพณีกษัตริย์แต่ก่อน ด้วยกฎหมายในกรุงจีนนี้ ถ้าเป็นกษัตริย์ฮ่องเต้ไปเที่ยวไม่ได้ เราจะยกพระเจ้าท้ายกังเต้ออกจากราชสมบัติเสีย จะยกเชื้อพระวงศ์ขึ้นเป็นพระเจ้าแผ่นดินใหม่ ท่านทั้งปวงจะเห็นประการใด พวกขุนนางทั้งปวงคิดเห็นว่าจะไม่ยอมก็ไม่ได้ เพราะโฮ่งี้นั้นมีฝีมือเข้มแข็ง แล้วได้บังคับว่ากล่าวพวกทแกล้วทหารด้วย พวกทแกล้วทหารก็อยู่ในบังคับโฮ่งี้ทั้งสิ้น และโฮ่งี้ก็สำเร็จราชการด้วย ครั้นขุนนางทั้งปวงได้ฟังโฮ่งี้ปรึกษาดังนั้นก็พากันเกรงกลัวจึงรับว่าชอบแล้ว ก็หามีขุนนางผู้หนึ่งผู้ใดจะโต้ทานไม่ โฮ่งี้จึงแต่งหนังสือประกาศว่าพระเจ้าท้ายกังเต้ละเลยราชการอยู่นาน เสร็จสิ้นข้อความแล้วก็พาพวกขุนนางออกไปคอยพระเจ้าท้ายกังเต้อยู่ที่ในประตูริมกำแพงเมือง

ฝ่ายต้งกังอ๋องผู้เป็นอนุชาพระเจ้าท้ายกังเต้แจ้งความทั้งนี้ ก็ปรึกษาแก่ขุนนางทั้งหกซึ่งออกไปหาตัวอิวอี้เฮ้าแต่ครั้งแผ่นดินพระเจ้าคี้เต้นั้นว่า บัดนี้โฮ่งี้เขียนหนังสือกฎหมายบัญญัติของพระเจ้าซุ่นเต้ฮ่องเต้ แล้วคิดประทุษร้ายพระเจ้าท้ายกังเต้นั้น ท่านทั้งปวงจะคิดฉันใดดี พวกขุนนางทั้งหกจึงว่าซึ่งโฮ่งี้คิดการทั้งนี้ ข้าพเจ้าเห็นว่าท่านกับพวกข้าพเจ้าจำจะต้องพากันไปตามเฝ้าพระเจ้าท้ายกังเต้ แล้วจะได้ทูลความอันนี้ทราบจึงจะชอบ ต้งกังอ๋องรู้ว่าขุนนางทั้งหกเต็มใจไปด้วยแล้วก็มีความยินดี พาขุนนางทั้งหกออกไปตามเฝ้าพระเจ้าท้ายกังเต้ พบพระองค์แล้วทูลความอันนั้นให้ทรงทราบ พระเจ้าท้ายกังเต้ทรงทราบความแล้วก็ตกพระทัย ตรัสด้วยไซอี่ ซุยคี้ ว่าโฮ่งี้คิดประทุษร้ายเราดังนี้ ท่านทั้งสองจะคิดประการใด ไซอี่ ซุยคี้ จึงทูลว่า โฮ่งี้นั้นพระองค์ก็ได้ชุบเลี้ยงถึงขนาด ข้าพเจ้าเห็นว่าโฮ่งี้คิดดังนี้ปรารถนาจะให้พระองค์กลับพระนครโดยเร็ว ด้วยพระองค์เสด็จออกมาอยู่คิดได้ถึงห้าเดือนแล้ว ถ้าโฮ่งี้คิดประทุษร้ายพระองค์จริงแล้ว เห็นว่าพระองค์ว่ากล่าวโฮ่งี้ก็จะคิดถึงพระเดขพระคุณ ขอเชิญพระองค์กลับเข้าพระนครเถิด พระเจ้าท้ายกังเต้ได้ทรงฟังดังนั้นก็เห็นชอบด้วย จึงเสด็จกลับเข้าพระราชวังเข้าไปใกล้ถึงประตูพระนคร โฮ่งี้แกล้งทำไม่รู้จักแล้วให้ทหารปิดประตูเมืองไว้ แล้วพาพวกขุนนางขึ้นไปบนกำแพงเมือง ร้องบอกลงมากับพวกทหารซึ่งเข้ามาด้วยพระเจ้าท้ายกังเต้ว่า พระเจ้าท้ายกังเต้ไม่อยู่ไปเที่ยวยิงสัตว์ บัดนี้พวกเจ้าเหล่านี้พากันมานั้นจะชิงราชสมบัติหรือ ฝ่ายไซอี่ ซุยคี้ได้ยินโฮ่งี้ร้องว่าดังนั้นจึงบอกโฮ่งี้ว่า พระเจ้าท้ายกังเต้เสด็จกลับเข้ามาแล้วท่านจำไม่ได้หรือ โฮ่งี้จึงร้องว่าพระเจ้าแผ่นดินกลับจริงแล้ว ทำไมจึงไม่เสด็จมาให้เราเห็นพระองค์เล่า อนึ่งเจ้าทั้งสองนี้ชักชวนให้เจ้านายไม่ตั้งอยู่ในยุติธรรม จนพระองค์เสพย์สุราหลงด้วยสตรี แล้วละราชการบ้านเมืองเที่ยวแรมคืนอยู่ดังนี้มีความผิดมาก ไซอี่ ซุยคี้สองคนได้ฟังดังนั้นตกใจกลัวไม่ได้พูดตอบประการใด แล้วก็พากันไปทูลพระเจ้าท้ายกังเต้ว่า โฮ่งี้ว่าไม่เห็นพระองค์เสด็จมาจะเปิดประตูรับไม่ได้ พระเจ้าท้ายกังเต้ก็ให้ทหารขับรถเสด็จออกไปว่ากับโฮ่งี้ว่า เรากลับมาแล้วเหตุใดท่านจึงไม่เปิดประตูเมืองรับเล่า โฮ่งี้จึงว่าพระองค์ประพฤติผิดด้วยอย่างธรรมเนียมกษัตริย์ซึ่งอยู่ในยุติธรรม และกษัตริย์ซึ่งอยู่ในยุติธรรมนั้นท่านไม่ละราชการบ้านเมือง ท่านตั้งพระทัยแต่ทะนุบำรุงให้ไพร่บ้านพลเมืองมีความสุข มิได้ละราชสมบัติไปเที่ยวยิงสัตว์เล่นในป่า โฮ่งี้ว่าดังนั้นแล้วก็ให้แต่เกียขุนนางอ่านหนังสือประกาศให้พระเจ้าท้ายกังเต้ฟัง ในคำประกาศนั้นมีความว่า พระเจ้าซุ่นเต้ฮ่องเต้มีพระราชบัญญัติไว้ว่า กษัตริย์พระองค์ใดประพฤติการทุจริตเสพย์สุราและหลงด้วยสตรีละราชการบ้านเมืองไปเที่ยวป่า กระทำให้อาณาประชาราษฎรได้ความเดือดร้อนแล้ว ก็ให้ยกกษัตริย์พระองค์นั้นออกจากราชสมบัติเสีย แล้วให้หาผู้ตั้งอยู่ในยุติธรรมยกขึ้นเป็นกษัตริย์ใหม่ บัดนี้พระเจ้าท้ายกังเต้ไม่ตั้งอยู่ในยุติธรรม เสพย์สุราหลงไปด้วยสตรี ละราชการบ้านเมืองกระทำผิดด้วยอย่างธรรมเนียม ต้องพระราชบัญญัติของพระเจ้าซุ่นเต้ฮ่องเต้ ขุนนางทั้งปวงพร้อมใจกันจะยกพระเจ้าท้ายกังเต้ออกจากราชสมบัติ ถ้าพระเจ้าท้ายกังเต้ไม่ยอมโดยดี ก็จะเกิดมีอันตรายขึ้นต่าง ๆ ครั้นขุนนางอ่านคำประกาศสิ้นเท่านั้นแล้ว

ฝ่ายพระเจ้าท้ายกังเต้ได้ฟังคำประกาศดังนั้นก็ตกพระทัย นึกว่ากฎหมายในพระเจ้าซุ่นเต้ฮ่องเต้มีในแผ่นดินกรุงจีน ครั้งนี้ได้เป็นฮ่องเต้หรือไม่ได้เป็นก็ไม่เที่ยง พระองค์นึกแล้วเรียกไซอี่ ซุยคี้สองคนเดินไปตามทางขึ้นเขาไป โฮ่งี้เห็นพระเจ้าท้ายกังเต้กับไซอี่ ซุยคี้ไปแล้ว โฮ่งี้พาพวกทหารเข้าไปในพระราชวัง ปรึกษาขุนนางทั้งปวงว่า เราจะยกต้งกังอ๋องซึ่งเป็นอนุชาของท้ายกังเต้ขึ้นเป็นกษัตริย์นั้น ท่านทั้งปวงจะเห็นดีชั่วประการใด ขุนนางทั้งปวงพร้อมกันเห็นชอบด้วย ก็พากันยกต้งกังอ๋องขึ้นเป็นกษัตริย์ ทรงพระนามว่าพระเจ้าต้งกังเต้

แชร์ชวนกันอ่าน

แจ้งคำสะกดผิดและข้อผิดพลาด หรือคำแนะนำต่างๆ ได้ ที่นี่ค่ะ