๑๓

อยู่มาวันหนึ่งพระเจ้านางหนึ่งออสีฮ่องเต้รับสั่งให้งอเหลงขุนนางทำขลุ่ยเป่า จะได้กันอุปัทวะอันตรายทั้งปวง งอเหลงขุนนางก็จัดหาไม้ไผ่ทำขลุ่ยตามรับสั่ง และสั่งสอนราษฎรให้ฝึกหัดกันเป่าขลุ่ยไปทุกบ้านทุกเมือง เสียงขลุ่ยก็เพราะเยือกเย็นเป็นที่ชอบใจเทวดา ภูตและปีศาจทั้งปวง ก็มิได้คิดที่จะเบียดเบียนมนุษย์ ตั้งแต่นั้นมาความไข้เจ็บก็ไม่มี มนุษย์ได้อยู่เย็นเป็นสุข อยู่มาวันหนึ่งขุนนางทูลถามว่าราษฎรซึ่งตั้งอยู่ที่เขาปุดจิวซัวมีความเดือดร้อนจะขอเข้ามาเฝ้า พระเจ้านางหนึ่งออสีฮ่องเต้จึงรับสั่งอนุญาตให้ราษฎรเข้าเฝ้า ขุนนางก็ออกไปนำราษฎรเหล่านั้นเข้าเฝ้าพระเจ้านางหนึ่งออสีฮ่องเต้ ราษฎรจึงทูลว่า ตั้งแต่คังฮวยเป็นกบฏตายไปแล้ว ที่ตำบลนั้นก็มืดไปไม่เป็นกลางวันกลางคืน แล้วหนาวนั้นจัดขึ้นกว่าแต่ก่อนราษฎรเหลือทน พวกข้าพเจ้าจึงอุตส่าห์มาเฝ้าทั้งนี้ก็ต้องจุดคบเพลิงส่องหนทางจึงมาได้ พระเจ้านางหนึ่งออสีฮ่องเต้ได้ฟังราษฎรทูลดังนั้นก็ทรงพระดำริในพระทัยเห็นประหลาดนัก ครั้นจะให้ขุนนางไปพิเคราะห์ดูเหตุกลัวว่าจะไม่รู้ถึงการณ์ จำจะต้องเสด็จเองให้รู้เหตุผลว่าจะเป็นอย่างไรจึงได้มืดไป ทรงดำริแล้วจึงสั่งขุนนางให้จัดพลทหารแล้วเสด็จไปถึงที่ทิศเหนือทอดพระเนตร พิเคราะห์ดูได้เห็นเขานั้นเป็นรอยร้าวเจ็ดแปดแห่ง เพราะดังนั้นลมอากาศที่เย็นลงมาได้ ประเทศที่นั้นจึงได้เกิดหนาวมากกว่าแต่ก่อน ครั้นได้ทรงทราบเหตุดังนั้นแล้วก็เสด็จกลับพระนคร จึงรับสั่งให้ขุนนางไปหาตัวจอกเอียสีถึงเมืองหุนจุยเข้ามาเฝ้า ตรัสเล่าความซึ่งเหตุการณ์ให้จอกเอียสีฟัง จอกเอียสีจึงทูลว่า เมื่อข้าพเจ้ารบกับคังฮวย ๆ แพ้ข้าพเจ้าแล้วเอาศีรษะโดนเขาปุดจิวซัว ๆ นี้เป็นเขาสูงใหญ่กว่าเขาทั้งปวง

แชร์ชวนกันอ่าน

แจ้งคำสะกดผิดและข้อผิดพลาด หรือคำแนะนำต่างๆ ได้ ที่นี่ค่ะ