๑๒

ฝ่ายคังฮวยซึ่งพระเจ้าฮอกฮีสีฮ่องเต้ตั้งเป็นขุนนางจงกงสีแล้วได้เลื่อนที่เป็นเสียงก๊กคืออุปราชฝ่ายขวา แล้วให้เป็นจูเฮ้าผู้รักษาเมืองเม่งฮอ และคังฮวยคนนี้หน้าดำเหมือนสีเหล็ก ผมนั้นแดงเหมือนชาด ตัวสูงสิบหกศอก เส้นขนนั้นมีทั่วทั้งตัว ดวงตาสว่างดังดาว ถ้าเหตุผลสิ่งใดจะมีขึ้นแล้ว คังฮวยดูบนอากาศก็รู้เหตุผลดีและร้าย ครั้นพระเจ้าฮอกฮีสีฮ่องเต้สิ้นพระชนม์แล้ว คังฮวยนึกแต่ลำพังใจของตัวว่า ขุนนางทั้งปวงยกนางหนึ่งออสีให้เป็นฮ่องเต้นั้น เห็นว่าเป็นหญิงผิดธรรมเนียมกษัตริย์ที่ได้เป็นมาแต่ก่อนๆ อนึ่งตัวเราก็ได้เป็นถึงจูเฮ้าผู้รักษาเมืองเม่งฮออยู่แล้ว ควรที่จะได้เป็นฮ่องเต้ ขุนนางเหล่านั้นก็มิได้ยกตัวให้เป็นกษัตริย์มีความเสียใจมาก ตั้งแต่นั้นมาก็มิได้ไปคำนับพระเจ้านางหนึ่งออสีฮ่องเต้ แล้วมีใจกำเริบยกตัวขึ้นเป็นใหญ่ตั้งแข็งเมืองขึ้นแต่นั้นมา ปิดน้ำในคลองใหญ่ให้ท่วมล้นขึ้นตามหัวเมืองที่ใกล้เคียง แล้วคุมทแกล้วทหารเที่ยวทำร้ายแก่ราษฎร ๆ ได้ความเดือดร้อนก็พากันหนีแตกตื่นไป บรรดาหัวเมืองเหล่านั้นทราบแล้วมีใบบอกแจ้งข้อความถึงขุนนางเจ้าพนักงานในเมืองหลวง ขุนนางตำแหน่งรับหนังสือนั้นแล้วนำขึ้นกราบทูลพระเจ้านางหนึ่งออสีฮ่องเต้ ๆ ก็ทรงพระวิตกจึงรับสั่งว่า คังฮวยมีใจกำเริบขึ้นดังนี้ จึงให้หาขุนนางทั้งปวงมาแล้วตรัสว่า คังฮวยคิดตั้งตัวขึ้นเอง ควรจะยกกองทัพไปปราบปรามเสี้ยนหนามแผ่นดินเสียจึงจะชอบ ขุนนางจึงทูลว่าคังฮวยคนนี้ พระเจ้าฮอกฮีสีฮ่องเต้ชุบเลี้ยงตั้งแต่งยกย่องให้เป็นใหญ่ แล้วก็ได้มีอำนาจว่ากล่าวกิจการบ้านเมือง แต่คังฮวยนี้มีกำลังและฝีมือวิชาก็มาก ซึ่งจะให้แต่ขุนนางไปปราบปรามคังฮวยนั้นเห็นจะไม่สำเร็จ ขอเชิญพระองค์เสด็จไปด้วย พระเจ้านางหนึ่งออสีฮ่องเต้ได้ทรงฟังดังนั้นจึงรับสั่งให้ตระเตรียมพลทหารสิบหมื่น ให้เปกฮวงสีเป็นแม่ทัพหน้าฝ่ายขวา ให้เอียงฮวงสีเป็นแม่ทัพฝ่ายซ้าย ครั้นจัดทัพเสร็จแล้ว พระเจ้านางหนึ่งออสีฮ่องเต้เป็นทัพหลวง เสด็จยกกองทัพไปถึงตำบลเม่งฮอ ก็สั่งให้หยุดทัพพักอยู่ที่นั่น พวกขุนนางในเมืองเม่งฮอก็นำความไปแจ้งแก่คังฮวย ๆ รู้ความแล้วก็คุมทหารออกตั้งค่ายรับอยู่นอกกำแพงเมือง แล้วคังฮวยถือมีดใหญ่เล่มหนึ่งขึ้นม้าออกมานอกประตูค่าย พอเปกฮวงสีเอียงฮวงสีแม่ทัพพระเจ้านางหนึ่งออสีฮ่องเต้มาถึงแล้วขึ้นม้าออกมาหน้าค่าย และเปกฮวงสีซึ่งเป็นทัพหน้าฝ่ายขวา หน้าแดงเหมือนผลพุทราสุก จักษุโปนเหมือนกระดึง ตัวสูงสิบแปดศอกเศษ มือถือขวานขี่ม้าสีแดง และเอียงฮวงสีนั้นหน้าและหนวดขาว ตัวสูงสิบเจ็ดศอกคืบ มือถือขวานขี่ม้าสีขาว พากันชี้มือแล้วร้องด่าคังฮวยเป็นคำหยาบช้าว่า เอ็งไม่คิดฉลองคุณพระเจ้าฮอกฮีสีฮ่องเต้ซึ่งสิ้นพระชนม์ไป เอ็งพากันประทุษร้ายมาคิดกบฏให้ราษฎรได้รับความเดือดร้อน จนขุ่นเคืองถึงพระเจ้านางหนึ่งออสีฮ่องเต้ต้องเสด็จมาปราบปราม เอ็งจะหนีไปแห่งใดหรือ ๆ จะเข้ามาหาโดยดี ถ้าเอ็งดีมีกตัญญูอยู่แล้วจงลงจากหลังม้ามัดมือตัวเองเข้ามาคำนับรับสารภาพขอโทษตัวต่อพระเจ้านางหนึ่งออสีฮ่องเต้ จึงจะพ้นจากความตาย คังฮวยได้ยินดังนั้นมีความโกรธร้องตอบว่า เมื่อครั้งพระเจ้าฮอกฮีสีฮ่องเต้ได้เป็นกษัตริย์นั้น เราได้ช่วยทะนุบำรุงแผ่นดินจนมีเกียรติยศปรากฏไปทั้งแปดทิศ ความชอบของเรามีอยู่ในแผ่นดินเป็นอันมาก ทำไมจึงไม่ยกเราเป็นฮ่องเต้ มายกหญิงขึ้นเป็นกษัตริย์ดังนี้ไม่กลัวราษฎรเขานินทาหรือ เปกฮวงสีเอียงฮวงสีแม่ทัพทั้งสองได้ยินดังนั้นก็โกรธ แล้วตอบว่า พระเจ้านางหนึ่งออสีฮ่องเต้เป็นสตรีก็จริง แต่พระองค์ตั้งอยู่ในยุติธรรมหาได้เบียดเบียนผู้หนึ่งผู้ใดให้ความเดือดร้อนเหมือนมึงไม่ มึงเป็นคนกังฉินเสียคนแล้ว ว่าแล้วเปกฮวงสีก็จับอาวุธขับม้าจะฆ่าฟันคังฮวย คังฮวยยกมีดขึ้นรับได้ รบกันประมาณห้าสิบเพลง เอียงฮวงสีเห็นกำลังเปกฮวงสีอ่อนลง จึงขับม้าเข้ารบได้สี่สิบเพลงไม่แพ้ไม่ชนะแก่กัน ต่างคนต่างเลิกกลับไปค่าย ครั้นรุ่งขึ้นคังฮวยคิดอุบายในการวิชาของตัวได้แล้วก็ขับม้ามาถึงหน้าค่ายแล้วร้องว่า เฮ้ยอ้ายสองคนมารบกับเราลองฝีมือกันดูอีกสักครั้งหนึ่ง เปกฮวงสีเอียงฮวงสีสองคนได้ยินดังนั้นแล้วแต่งตัวขึ้นม้าขับมารบกับคังฮวยได้ยี่สิบเพลง คังฮวยทำอุบายแพ้ชักม้าหนี แม่ทัพทั้งสองไม่รู้ในอุบายก็ขับม้าไล่ติดตาม คังฮวยจึงอ่านเวทมนต์ก็บันดาลให้น้ำไหลมาทั้งสี่ทิศท่วมพลทหารพระเจ้านางหนึ่งออสีฮ่องเต้ ทหารพระเจ้านางหนึ่งออสีฮ่องเต้ทิ้งเครื่องศัสตราวุธว่ายน้ำหนีไป เปกฮวงสีและเอียงฮวงสีจึงชักม้ากลับมาระวังรักษาพระเจ้านางหนึ่งออสีฮ่องเต้ไว้มิให้เป็นอันตราย เปกฮวงสีเอียงฮวงสีสองคนทูลพระเจ้านางหนึ่งออสีฮ่องเต้ว่า คังฮวยมีวิชาเรียกน้ำให้ไหลท่วมทหาร ๆ ได้รับความลำบากมากนัก ขอเชิญเสด็จกลับไปก่อนจึงค่อยคิดการรบพุ่งต่อภายหลัง พระเจ้านางหนึ่งออสีฮ่องเต้เห็นชอบด้วย สั่งทหารตระเตรียมพร้อมแล้วพากันเลิกทัพกลับไปเมืองหลวงได้ตรวจดูพลทหารตายประมาณครึ่งหนึ่ง

ฝ่ายคังฮวยนั้นก็พาทหารกลับเข้าเมือง หาได้ยกทัพซ้ำเติมกองทัพพระเจ้านางหนึ่งออสีฮ่องเต้ไม่ ครั้นรุ่งขึ้นเวลาเช้าพระเจ้านางหนึ่งออสีฮ่องเต้เสด็จออกว่าราชการตรัสแก่ขุนนางทั้งปวงว่า พระเจ้าฮอกฮีสีฮ่องเต้สิ้นพระชนม์แล้ว คังฮวยมาคิดกบฏให้ราษฎรได้ความเดือดร้อน เราจึงยกกองทัพไปปราบปรามหมายจะให้ราบคาบก็อัปราชัยมาดังนี้ ท่านทั้งปวงจะคิดประการใด เอียงฮวงสีจึงทูลว่าข้าพเจ้าทั้งปวงนี้ใช่ว่ากำลังและฝีมือจะสู้รบคังฮวยไม่ได้นั้นหามิได้ คังฮวยนั้นเป็นคนมีวิชาเรียกน้ำมาช่วย ข้าพเจ้าจึงได้แพ้คังฮวย พระเจ้านางหนึ่งออสีฮ่องเต้จึงตรัสว่าการเป็นดังนี้แล้ว ท่านทั้งปวงจะคิดประการใดต่อไป เอียงฮวงสีจึงทูลว่าข้าพเจ้าได้ยินว่า เมื่อครั้งแผ่นดินพระเจ้าฮอกฮีสีฮ่องเต้ มีขุนนางคนหนึ่งชื่อจอกเอียสีไปรักษาเมืองหุนจุย และจอกเอียสีคนนี้มีกำลังและสติปัญญามาก แล้วก็รู้วิชาเวทมนต์ต่างๆ ตัวนั้นสูงสิบแปดศอกคืบหกนิ้ว หน้าขาวเหมือนหยก ฟันและหนวดนั้นแดง แล้วก็มีทหารหลายหมื่น ขอพระองค์ได้รับสั่งให้หาตัวมาช่วยปราบปราม พระเจ้านางหนึ่งออสีฮ่องเต้ทราบความแล้วเห็นชอบด้วย จึงรับสั่งใช้เอียงวังสีเป็นข้าหลวงเชิญตราออกไปหาตัวจอกเอียสี เอียงวังสีรับตราแล้วคำนับลามาบ้าน จัดคนใช้พร้อมแล้วรีบเดินไปเมืองหุนจุย

ฝ่ายจอกเอียสีทราบว่าพระเจ้านางหนึ่งออสีฮ่องเต้ให้เอียงวังสีเป็นข้าหลวงเชิญตรามาถึงแล้ว แต่ไม่ทราบว่าจะมีราชการสิ่งใด จึงให้ตั้งโต๊ะเครื่องบูชาคำนับรับท้องตราฉีกผนึกออกอ่านทราบความแล้วคำนับ และให้จัดโต๊ะเลี้ยงเอียงวังสีอิ่มสำเร็จแล้ว เอียงวังสีจึงว่าคังฮวยคิดกบฏต่อพระเจ้านางหนึ่งออสีฮ่องเต้ ๆ ได้เสด็จยกกองทัพไปปราบปรามก็ไม่มีชัยชนะ แล้วทรงทราบว่าท่านเป็นคนมีสติปัญญา จึงรับสั่งให้ข้าพเจ้ามาเชิญท่านไปช่วยปราบปรามคังฮวย จอกเอียสีจึงตอบว่าคังฮวยถือตัวว่ามีสติปัญญาวิชาความรู้มาก แต่ข้าพเจ้าเห็นว่าคังฮวยเป็นคนมัวเมาด้วยสตรี จะตั้งตัวเป็นใหญ่เห็นจะไม่ได้ ข้าพเจ้านี้คิดจะกำจัดคังฮวยมาแต่ก่อนแล้ว แต่เห็นว่าพระเจ้าฮอกฮีสีฮ่องเต้ชุบเลี้ยงคังฮวยเป็นเสียงก๊กฝ่ายขวา บัดนี้คังฮวยคิดกบฏขึ้นนั้น ข้าพเจ้าจะขออาสาไปปราบปรามให้ราษฎรมีสุข เอียงวังสีได้ฟังดังนั้นมีความยินดี แล้วคำนับลากลับมาเมืองหลวง

ฝ่ายจอกเอียสีนึกว่าเป็นการรับสั่งในฮ่องเต้จะรออยู่ช้าก็ไม่ควรแล้ว สั่งนายหมวดนายกองรีบจัดได้ทหารสามหมื่นล้วนแต่มีกำลังแข็งแรงยกออกจากเมือง ไปพักทหารอยู่ที่ตำบลจับยี่โล่เค้าคือริมประตูเมืองหลวง จอกเอียสีจัดพลให้อยู่เรียบร้อยแล้วก็เข้าไปในเมือง เฝ้าพระเจ้านางหนึ่งออสีฮ่องเต้แล้วทูลว่า ข้าพเจ้าได้ทราบคำรับสั่งของพระองค์ก็รีบยกพลทหารมาสามหมื่นจะมาช่วยปราบปรามพวกอ้ายกบฏ พระเจ้านางหนึ่งออสีฮ่องเต้ได้ทรงฟังก็ดีพระทัยให้จัดโต๊ะเลี้ยง แล้วให้ขุนนางผู้ใหญ่เข้ามาเป็นเพื่อนกินโต๊ะด้วยจอกเอียสี แล้วรับสั่งว่าคังฮวยเป็นคนอกตัญญูคิดกบฏ ซึ่งท่านจะยกกองทัพไปปราบปรามนั้น ท่านเป็นคนมีสติปัญญาก็จะได้ชัยชนะ จอกเอียสีจึงทูลว่าคังฮวยเป็นคนมีวิชาก็จริง แต่ไม่ได้ศึกษาต่ออาจารย์ เป็นแต่หยิบแยบคายมากระทำได้บ้างเล็กน้อย ก็มาถือตัวว่าไม่มีผู้ใดเสมอแก่ตน ข้าพเจ้าก็คิดจะเอาชัยชนะฉลองพระเดชพระคุณพระองค์ให้จงได้ พระเจ้านางหนึ่งออสีฮ่องเต้และขุนนางทั้งปวงได้ฟังดังนั้นก็มีความยินดี พากันเสพย์สุราและบริโภคอาหารพูดจากันตามสบาย ครั้นรุ่งขึ้นเวลาเช้า จอกเอียสีเข้ามาเฝ้าทูลลาพระเจ้านางหนึ่งออสีฮ่องเต้ ๆ ตรัสว่า ท่านไปทำศึกได้ชัยชนะแล้ว เราจะจารึกความชอบของท่านไว้มิได้ลืมเลย จึงรับสั่งให้เจ้าพนักงานไปเอาม้าที่ดีมีกำลังแข็งแรงมาพระราชทานให้จอกเอียสีม้าหนึ่ง แล้วพระเจ้านางหนึ่งออสีฮ่องเต้ตรัสให้พรว่า ท่านไปครั้งนี้ขอให้เสียงเต้ ๆ คือพระอิศวรจงพิทักษ์รักษาท่านให้มีชัยชนะแก่ผู้คิดกบฏ จอกเอียสีรับพรแล้วมีความยินดี ก็ถวายบังคมลาออกไปจัดทหาร ยกทัพตรงไปเมืองเม่งฮอ

ฝ่ายคังฮวยตั้งแต่ได้ชัยชนะแก่พระเจ้านางหนึ่งออสีฮ่องเต้แล้วก็มีใจกำเริบ สั่งให้เลือกสตรีที่มีรูปงามมาไว้ปรนนิบัติเป็นอันมาก แล้วลุ่มหลงไปไม่ออกว่าราชการ อยู่มาวันหนึ่งคังฮวยกินโต๊ะเสพย์สุราอยู่ด้วยนางโจสีภรรยา ได้ยินเสียงอื้ออึงอยู่นอกกำแพงเมืองแต่ไม่ทราบว่าอะไร ประมาณสักครู่หนึ่งคนใช้เข้ามาบอกแก่คังฮวยว่า จอกเอียสียกกองทัพเข้ามาตั้งอยู่ใกล้กำแพงเมืองท้าทายว่าจะรบ เสียงกลองและม้าล่อเอิกเกริกนัก คังฮวยได้ฟังดังนั้นตบมือแล้วก็หัวเราะ นางโจสีภรรยาเห็นดังนั้นจึงถามว่า ข้าศึกเข้ามาถึงเมืองแล้ว เหตุใดท่านจึงตบมือหัวเราะดังนี้ คังฮวยจึงว่าจอกเอียสีแม่ทัพที่ยกมานั้นเป็นคนบ้า นางโจสีสั่นศีรษะแล้วตอบว่า ธรรมดาข้าศึกถ้ายกมาถึงชานเมืองแล้วไม่ควรจะหมิ่นประมาทแก่ข้าศึก หนึ่งท่านมาดูถูกแม่ทัพว่าเป็นบ้านั้นเห็นจะเป็นท่านกินสุราเมื่อตะกี้นี้เมามากดอกกระมัง คังฮวยจึงพูดตอบว่าเราหาได้เมาสุราไม่ ซึ่งแม่ทัพคนนี้ไม่รู้จักอะไรเลย จึงได้ยกกองทัพมาสู้รบกับเราครั้งนี้จอกเอียสีเห็นทีจะตายด้วยฝีมือเรา นางโจสีว่าท่านนี้ทำไมจึงคิดว่าแม่ทัพเขาโง่เง่า คังฮวยจึงพูดตอบอีกว่าเราจะพูดให้ฟัง ตัวเราเป็นธาตุน้ำตั้งมั่นอยู่ทิศเหนือ จอกเอียสีเป็นธาตุไฟอยู่ทิศใต้จะมาทำร้ายเรานั้นไม่ได้ ว่าแล้วก็จัดทหารสามหมื่นยกออกจากเมือง

ฝ่ายจอกเอียสีคิดว่าตัวเป็นธาตุไฟอยู่ทิศใต้ และคังฮวยนั้นเป็นธาตุน้ำอยู่ทิศเหนือ คังฮวยจะหมิ่นประมาททำวิชาให้น้ำมาท่วมเรา แต่หารู้ไม่ว่าเราเป็นธาตุไฟเกิดในแผ่นดิน จะเผาสิ่งอันใดให้เป็นเถ้าไปก็ได้ แม้นคังฮวยทำวิชาน้ำมาแล้ว เราจะเอาเถ้าทิ้งลงแก้วิชาคังฮวยสู้ดูสักครั้งหนึ่งก่อน คิดแล้วสั่งทหารให้หาเถ้าห่อไว้ทุกตัวคนจะได้แก้วิชาคังฮวย พอคังฮวยขับม้าออกมาถึงค่าย ว่าท่านแม่ทัพเชิญมาพูดจากัน จอกเอียสีก็ขึ้นม้าออกไปนอกค่ายคำนับแล้วจึงว่า ท่านก็เป็นขุนนางผู้ใหญ่ในครั้งแผ่นดินก่อน ควรที่ท่านจะกตัญญูรู้คุณพระมหากษัตริย์ และทะนุบำรุงไพร่บ้านพลเมืองให้มีความสุขจึงจะชอบ บัดนี้ท่านมาถือตัวว่าไม่มีผู้ใดจะเสมอท่าน แล้วลุ่มหลงด้วยสตรีกระทำให้ราษฎรได้ความเดือดร้อน พระเจ้านางหนึ่งออสีฮ่องเต้ทรงพระเมตตาแก่ท่าน ๆ ไม่คิดว่าตัวกระทำผิด ท่านจงคิดกลับใจเสียใหม่เถิด หนึ่งครั้งก่อนพระเจ้านางหนึ่งออสีฮ่องเต้รับสั่งให้เรามาไต่ถามว่าตัวท่านมีความผิดหรือไม่ ถ้าท่านรู้ว่าตัวผิดจงคิดกลับใจเสียใหม่รับสารภาพแล้ว เราจึงจะช่วยทูลพระเจ้านางหนึ่งออสีฮ่องเต้ให้ยกโทษท่านเสีย ถ้าท่านยังหลงใหลอยู่มิได้คิดกลับใจเสียใหม่ ศีรษะกับตัวท่านก็จะขาดไปจากกัน คังฮวยได้ฟังก็ยกมือขึ้นคำนับเย้ยให้แล้วหัวเราะว่า ท่านเป็นขุนนางครั้งแผ่นดินก่อนเหมือนกัน อายุท่านก็ชราอยู่แล้ว หารู้ว่าบ้านเมืองถึงคราวผลัดเปลี่ยนแผ่นดินใหม่หรือ จอกเอียสีร้องตอบว่า ซึ่งการผลัดเปลี่ยนแผ่นดินใหม่นั้นทำไมเราจึงจะไม่รู้ แต่ตัวท่านเป็นคนหาปัญญามิได้ไม่มีเมตตาจิต พระเจ้านางหนึ่งออสีฮ่องเต้รับสั่งใช้ให้เรามาจับตัวท่าน ๆ ยังยกกองทัพออกต่อสู้กับเรานั้น เราเห็นว่าท่านเป็นคนหาปัญญามิได้ ท่านจงกลับใจเสียใหม่เถิด คังฮวยจึงตอบว่า ท่านจงฟังคำเราว่า ตัวท่านนี้ถ้ารักชีวิตจะให้อายุยืนไม่อยากตายแล้ว จงไปตั้งมั่นแข็งเมืองอยู่ข้างทิศใต้อีกก๊กหนึ่ง ก็จะดีกว่าที่ท่านยกพลทหารมารบกับเราข้างทิศเหนือดังนี้เห็นจะไม่ชนะเรา แล้วแต่ก่อนพระเจ้านางหนึ่งออสีฮ่องเต้ยกทัพมาทำสงครามกับเราก็อัปราชัยไปครั้งหนึ่ง ท่านไม่รู้หรือ ครั้งนี้ท่านยกพลทหารจะมารบกับเราอีกนั้น ท่านก็เป็นแต่ขุนนางหัวเมืองมิใช่การของท่าน ถ้าไม่เชื่อเรา ๆ เห็นว่าท่านจะเอาตัวรอดไปมิได้ จอกเอียสีจึงตอบว่าเราก็ได้ว่ากล่าวสั่งสอนท่านโดยดีถึงสามครั้ง ถ้าท่านคิดกลับใจได้เราจะช่วยทูลพระเจ้านางหนึ่งออสีฮ่องเต้ให้ยกโทษท่าน แล้วราษฎรก็จะมีความสุขมิได้มีความเดือดร้อนด้วย คังฮวยตอบว่าท่านอย่าได้พูดจาร่ำไรเช่นนี้ต่อไปอีกเลย เราหาเชื่อฟังคำไม่ ถ้าท่านรบชนะเราแล้ว เราจึงจะยอมแพ้แก่ท่าน จอกเอียสีได้ฟังดังนั้นก็ร้องตวาดว่า เอ็งเป็นชาติสัตว์เดรัจฉานไม่มีเมตตาจิต และไม่รู้จักคุณฟ้าและดิน และคุณพระมหากษัตริย์ และไม่รู้จักประมาณตัวว่าการชั่วการดีจึงได้มาว่ากล่าวดังนี้ ว่าแล้วก็ยกทวนเข้าแทงคังฮวย ๆ ยกมีดขึ้นรับไว้ พวกทหารทั้งสองทัพพากันโห่ร้องสู้รบกันเป็นสามารถ จอกเอียสีกับคังฮวยรบกันได้สี่สิบเพลง คังฮวยทำแพ้ชักม้าหนี จอกเอียสีก็ขับทหารไล่ติดตามคังฮวย ๆ จึงทำวิชาให้น้ำไหลมาท่วมจอกเอียสีและทหารทั้งปวง จอกเอียสีก็ให้ทหารเอาห่อเถ้าที่สำหรับแก้วิชาทิ้งลงในน้ำ ๆ ก็หายไป แล้วจอกเอียสีก็ขับทหารรบสะอึกเข้าไป คังฮวยเห็นวิชาของตัวเสื่อมเสียไปแล้ว ก็ชักม้ากลับเข้ารบเอามีดฟันจอกเอียสีไม่ถูก จอกเอียสีหลบตัวได้ จอกเอียสีเห็นได้ทีก็เอาทวนแทงถูกคังฮวยป่วยเจ็บเป็นสาหัส คังฮวยอ่อนกำลังลงขับม้าหนีไปได้ประมาณสามเส้น คังฮวยคิดว่าชีวิตของเราคงไม่รอดในคราวนี้เป็นแน่แล้ว ก็เอาศีรษะโดนเขาปุดจิวซัวตาย จอกเอียสีเห็นคังฮวยตายแล้วก็ลงจากหลังม้าตัดเอาศีรษะ

ฝ่ายทหารคังฮวยก็หนีตื่นแตกกันไปทั้งสิ้น จอกเอียสีจึงสั่งให้ทหารกวาดต้อนครอบครัวคังฮวยได้แล้ว ก็ให้ยกทัพกลับเข้าเมืองหลวง เข้าเฝ้าพระเจ้านางหนึ่งออสีฮ่องเต้แล้วทูลความซึ่งได้รบกับคังฮวยทุกประการ แล้วทูลถวายศีรษะคังฮวยและครอบครัวของคังฮวยที่กวาดมานั้น พระเจ้านางหนึ่งออสีฮ่องเต้ดีพระทัย จึงรับสั่งให้จัดโต๊ะเลี้ยงจอกเอียสีและนายทัพนายกอง และนายทหารทั้งปวงแล้ว ก็พระราชทานบำเหน็จรางวัลทแกล้วทหารให้ตามความชอบ แล้วตั้งให้จอกเอียสีมียศใหญ่ขึ้นเป็นจูเฮ้า สำเร็จราชการข้างทิศใต้อยู่ ณ เมืองเดิมต่อไป จอกเอียสีได้รับพระราชทานบำเหน็จรางวัลแล้ว มีความยินดีก็ทูลลาคำนับกลับไปเมืองหุนจุยดังเก่า

แชร์ชวนกันอ่าน

แจ้งคำสะกดผิดและข้อผิดพลาด หรือคำแนะนำต่างๆ ได้ ที่นี่ค่ะ