๔๔

ฝ่ายนายบ้านกับชายแก่พาพวกลูกบ้านซึ่งเป็นบริวารมาเห็นฝูงนกบินวนเวียนบังแสงพระอาทิตย์ให้ไต้ซุ่นทำนาอยู่ดังนั้น นายบ้านจึงว่ากับชายแก่นั้นว่า ไต้ซุ่นมีกตัญญูต่อบิดามารดา เทพยดาจึงบันดาลให้ฝูงนกฝูงหนึ่งบินวนเวียนปิดบังมิให้แสงพระอาทิตย์ต้องตัวไต้ซุ่น แล้วเราพากันมาช่วยไต้ซุ่นทำนาด้วยนั้นก็จะได้บุญทั้งคุณก็จะมีด้วย ครั้นพูดปรึกษากันดังนั้นแล้วก็พากันเข้าไปหาไต้ซุ่น ๆ จึงถามว่าท่านจะพากันไปข้างไหน ชายแก่จึงคำนับแล้วบอกว่า ข้าพเจ้าพากันมาจะช่วยท่านทำนา ไต้ซุ่นได้ฟังดังนั้นก็มีความยินดี แล้วนายบ้านจึงว่าแก่พวกชาวบ้านซึ่งมาช่วยไต้ซุ่นทำนาอยู่ก่อนนั้นว่า ท่านทั้งปวงนี้ก็มีไร่นาทุกคน ท่านมาช่วยไต้ซุ่นอยู่ดังนี้ ผลประโยชน์ของท่านจะมิขาดไปหรือ ท่านจงกลับไปทำไร่นาของท่านเถิด พวกข้าพเจ้านี้จะมาช่วยไต้ซุ่นทำนาให้แล้ว ท่านทั้งปวงอย่าได้เป็นธุระเลย ชาวบ้านได้ฟังดังนั้นก็มีความยินดี จึงพูดกันว่ามีผู้มาช่วยไต้ซุ่นทำนามากอยู่แล้ว พวกเราจงพากันลาไต้ซุ่นไปทำไร่นาของเราเถิด ครั้นพูดกันดังนั้นแล้วก็พากันลาไต้ซุ่นไปทำนาของตัว

ฝ่ายพวกพ้องของนายบ้านนั้น ก็พากันช่วยไต้ซุ่นทำนาได้สองวันสามวัน นายบ้านจึงว่าแก่ไต้ซุ่นว่า บิดาของท่านเกณฑ์ให้ท่านมาทำนา ก็เห็นว่าท่านคงจะทำไม่แล้ว ปรารถนาจะให้ท่านขาดพ่อขาดลูกกัน พวกข้าพเจ้านี้มีความสงสารแก่ท่านเป็นอันมาก จึงได้พากันมาช่วยท่านผู้กตัญญูต่อบิดา แต่ข้าพเจ้าเห็นว่าถึงท่านทำนาได้ห้าสิบไร่แล้ว ไปภายหน้าบิดาท่านก็คงจะคิดหาเหตุอื่น ๆ แกล้งใช้ท่านอีก ท่านจงได้ระวังตัวจงดีเถิด ไต้ซุ่นได้ฟังนายบ้านว่าดังนั้นจึงตอบว่า ซึ่งท่านมาช่วยข้าพเจ้านั้นบุญคุณมีแก่ข้าพเจ้าเป็นอันมาก บัดนี้ท่านมาว่ากล่าวให้ข้าพเจ้ามีความสงสัยในบิดาข้าพเจ้านั้นไม่ควร ท่านอย่าได้ว่าดังนี้ต่อไป ด้วยธรรมดามนุษย์เกิดมาเป็นบุตรแล้วก็ย่อมมีกตัญญูรู้จักคุณบิดามารดาเป็นที่ตั้ง ถ้าได้ทำราชการเป็นขุนนางก็ต้องรู้จักคุณเจ้านายจึงจะถูกต้องด้วยประเพณี เมื่อท่านจะช่วยข้าพเจ้าหรือไม่ช่วยนั้นก็ตามแต่ใจของท่านเถิด นายบ้านเห็นว่าไต้ซุ่นพูดจาเป็นคำโกรธดังนั้นก็นิ่งอยู่ มิได้พูดจาอีกประการใด ครั้นเวลาเย็นก็ลาไต้ซุ่นกลับไปบ้าน ครั้นถึงบ้านแล้วจึงให้คนใช้ไปหาตัวลุยเต๊กที่ปรึกษามาถึงจึงบอกว่า ไต้ซุ่นออกไปไถนาเมื่อใดก็มีนกฝูงหนึ่งมาบินวนเวียนปิดบังไม่ให้แสงพระอาทิตย์ถูกต้องตัวไต้ซุ่น ๆ นี้ลักษณะดีจะมีบุญวาสนามาก แล้วมีรูปตุ๊กตาในแววตาไต้ซุ่นข้างละสองรูป รูปวงตายาวลูกตาก็ยาว ไม่เหมือนแววตาท่านทั้งปวง เราคิดจะชักชวนให้ไต้ซุ่นหนีบิดาและมารดามาอยู่ด้วยเรา ๆ จะยกบุตรหญิงของเราให้เป็นภรรยาไต้ซุ่น ท่านจงพูดจาชักชวนให้ไต้ซุ่นมาอยู่ด้วยเราเถิด แล้วเล่าความซึ่งได้พูดจาแก่ไต้ซุ่น ๆ พูดจาโต้ตอบประการใด ๆ นายบ้านก็เล่าความให้ลุยเต๊กฟังทุกประการ ลุยเต๊กจึงว่าท่านไม่รู้จักอัธยาศัยน้ำใจไต้ซุ่น ๆ เป็นคนมีกตัญญูก็ต้องพูดความกตัญญูนั้นให้แก่ไต้ซุ่นฟัง ซึ่งท่านพูดจาแก่ไต้ซุ่นอย่างอื่นดังนี้ก็เป็นคำยุยงไต้ซุ่น ๆ จึงได้มีความโกรธ ซึ่งท่านอยากทะนุบำรุงไต้ซุ่นนั้นท่านอย่าได้วิตกเลย ข้าพเจ้าจะชักชวนให้ไต้ซุ่นไปอยู่แก่ท่านให้จงได้ ครั้นพูดจาปรึกษากันแล้วก็พากันนอน ครั้นรุ่งขึ้นเวลาเช้านายบ้านก็พาลุยเต๊กไปหาไต้ซุ่น แล้วลุยเต๊กว่าแก่ไต้ซุ่นว่า ข้าพเจ้าได้ยินกิตติศัพท์เลื่องลือว่าท่านเป็นคนมีกตัญญูต่อบิดามารดานั้น ข้าพเจ้ามีความยินดีจะมาสนทนาแก่ท่านสักครั้งหนึ่ง ประการหนึ่งข้าพเจ้าได้ยินกิตติศัพท์ชาวบ้านพูดจาติเตียนว่าบิดามารดาของท่านนั้นคิดประทุษร้ายแก่ท่านเนือง ๆ ชื่อเสียงนั้นเสียไป ข้าพเจ้าคิดเสียดายชื่อเสียงบิดามารดาท่านหนักหนา ถ้าบิดามารดาของท่านทำดังนี้จริงแล้ว ก็จะต้องไปทนทุกข์เวทนาในเมืองผี เพราะคิดอาฆาตแก่ท่าน ถ้าท่านนิ่งอยู่ด้วยความกตัญญูดังนี้ บิดามารดาของท่านทำท่านลงเมื่อใดแล้ว คนทั้งปวงก็จะติเตียนท่านว่า ท่านรู้ตัวแล้วว่าบิดามารดาจะทำร้ายก็ไม่หลบหลีกไปเสีย สู้ทนให้บิดามารดาทำร้ายจนได้ เหมือนหนึ่งแกล้งให้ชื่อเสียงบิดามารดาเสียไป ตัวท่านก็เสียทางกตัญญูเหมือนกัน ถ้าท่านหลบหลีกไปเสียให้พ้นให้สมประสงค์ของบิดามารดาท่าน บิดามารดาของท่านก็จะไม่ได้ทำร้ายท่าน แล้วก็จะได้ความสุขสบายด้วยกัน ก็จัดว่าเป็นความกตัญญูอย่างหนึ่งเหมือนกัน ก็ท่านเป็นคนมีปัญญาอย่าได้โกรธข้าพเจ้าจงตรึกตรองดูเถิด เมื่อครั้งท่านพาเสียงบุตรมารดาเลี้ยงไปเล่นที่คันนานั้นท่านผลักเสียงตกคันนาจริงหรือ ไต้ซุ่นได้ฟังลุยเต๊กว่าดังนั้นก็ไม่ตอบประการใด คิดเสียใจหน้าสลดแล้วร้องไห้ ลุยเต๊กก็ลาไต้ซุ่นกลับไปแจ้งความแก่นายบ้านแล้วบอกแก่ชาวบ้านว่า พรุ่งนี้ข้าพเจ้าจะไปพูดจาแก่ไต้ซุ่นอีก ฝ่ายไต้ซุ่นครั้นลุยเต๊กกลับไปแล้วก็นอนตรึกตรองอยู่จนหลับไป

ฝ่ายนางอ๊อกเตงมารดาไต้ซุ่นซึ่งถึงแก่กรรมนั้นมาเข้าฝันแก่ไต้ซุ่นว่า ซึ่งลุยเต๊กกับชาวบ้านบอกเจ้าว่าบิดาเจ้าและมารดาเลี้ยงเจ้าคิดจะฆ่าเจ้านั้น เจ้าเชื่อถ้อยคำเขาเถิด แล้วตัวเจ้าและบิดาเจ้าก็จะได้มีความสุข ครั้นมารดาเข้าฝันดังนั้นไต้ซุ่นตื่นขึ้นแล้วร้องไห้คิดถึงมารดา เวลารุ่งสว่างไต้ซุ่นก็ไปไถนา แล้วลุยเต๊กมาถามไต้ซุ่นว่าซึ่งข้าพเจ้าว่าแก่ท่านนั้น ท่านตรึกตรองเห็นผิดและชอบประการใด ไต้ซุ่นจึงตอบว่าบิดามารดาข้าพเจ้าเกลียดชังคิดจะทำร้ายข้าพเจ้า ๆ ยังไม่เห็นจริงด้วย ลุยเต๊กจึงว่า ข้าพเจ้ารู้อยู่ว่าท่านออกจากบ้านจากเรือนเมื่อใด บิดามารดาท่านมีความรื่นเริง ถ้าท่านอยู่บ้านอยู่เรือนด้วยแล้ว บิดาและมารดาของท่านนั้นไม่สบาย ด้วยไม่อยากจะเห็นหน้าท่าน ๆ จงสังเกตดูเถิดก็จะได้เห็นความจริง ไต้ซุ่นได้ฟังดังนั้นก็นิ่งอยู่ไม่ตอบประการใด ครั้นเวลาค่ำเลิกทำนาแล้ว ไต้ซุ่นกลับไปบ้านได้ยินเสียงบิดามารดาร้องเพลงเล่นเป็นที่รื่นเริงอยู่ด้วยกัน ไต้ซุ่นจึงเรียกคนใช้เปิดประตูรับแล้วเข้าไปหาบิดามารดา บิดาและมารดาก็ด่าไต้ซุ่นว่าเอ็งทำนาไม่แล้วกลับเข้ามาทำไม ถ้าไม่กลับไปเดี๋ยวนี้จะทำโทษให้สาหัส ไต้ซุ่นได้ฟังดังนั้นจึงบอกว่า นาห้าสิบไร่นั้นข้าพเจ้าทำที่ไว้เสร็จแล้ว จึงเข้ามาขอข้าวปลูกไปหว่าน บิดามารดาก็ด่าไต้ซุ่นแล้วว่า นาห้าสิบไร่เอ็งไปทำอยู่เจ็ดแปดวันเท่านั้นเหตุใดจึงจะแล้ว ไต้ซุ่นจึงว่าพวกชาวบ้านเขาพากันมาช่วยทำ บิดามารดาจึงว่าแต่ก่อน ๆ กูไปทำนานั้นชาวบ้านไม่มีใครมาช่วย ก็เอ็งมีบุญคุณแก่พวกชาวบ้านประการใด เขาจึงจะได้มาช่วยเอ็ง ๆ นี้คงจะลักเงินกูไปแจกให้แก่ชาวบ้าน ๆ จึงได้มาช่วยเอ็งทำนา ตั้งแต่วันนี้เอ็งกับกูขาดพ่อขาดลูกกัน เอ็งจงไปเสียให้พ้นอย่าได้มาบ้านมาเรือนกูอีกเลย แล้วเงินของกูซึ่งเอ็งลักไปนั้นก็เป็นแล้วกันเถิด ทรัพย์สิ่งของเงินทองของกูซึ่งมีอยู่นั้น กูจะให้แก่เสียงผู้เดียว ครั้นว่าดังนั้นแล้วก็หยิบไม้ไล่ตีไต้ซุ่น ไต้ซุ่นจึงหนีกลับออกไปนา เวลาค่ำวันนั้นมารดาไต้ซุ่นกลับมาเข้าฝันไต้ซุ่นอีกว่า เจ้าจงหนีบิดาตัวมารดาเลี้ยงเอาตัวรอดเถิด มารดาก็ได้มาบอกเจ้าครั้งหนึ่งแล้ว เจ้าก็ไม่เชื่อมารดา และเมื่อมารดายังมีชีวิตอยู่นั้น น้าสาวของเจ้ามายืมปิ่นปักผมไปสองอันกับกำไลมือคู่หนึ่ง ทองคำหนักยี่สิบตำลึง เจ้าจงไปขอมาไว้จะได้ทำทุนซื้อขายหากินต่อไป แล้วลุยเต๊กพูดจาประการใดเจ้าจงเชื่อฟังถ้อยคำลุยเต๊กเถิด ครั้นมารดาเข้าฝันไต้ซุ่น ๆ ตื่นขึ้นก็ร้องไห้ ครั้นรุ่งขึ้นเช้าไต้ซุ่นไปเล่าความฝันให้น้าสาวฟัง น้าหญิงจึงว่าบิดาเจ้าและมารดาเลี้ยงเจ้าคิดประทุษร้ายนั้นเรารู้ความมานานแล้ว ครั้นจะบอกเจ้าก็กลัวเจ้าจะไม่เชื่อ บัดนี้มารดาของเจ้ามาบอกแก่เจ้าแล้ว เจ้าจงจำความไว้เถิด ว่าแล้วก็ไปหยิบปิ่นกับกำไลนั้นมาให้ไต้ซุ่น ๆ กับน้าหญิงพากันร้องไห้ แล้วไต้ซุ่นก็ลาน้าหญิงกลับไปที่นา พอกู๋โซวบิดาออกไปที่นาพบไต้ซุ่นด่าไต้ซุ่นว่า ไอ้ลูกขี้ขโมยอย่าทำนากูเลยไปเสียให้พ้นเถิด ถ้าไม่ไปกูจะตีให้ตาย ว่าดังนั้นแล้วก็ถือไม้ไล่ตีไต้ซุ่น ๆ ก็หนีออกไปพบนายบ้านกับลุยเต๊ก นายบ้านกับลุยเต๊กก็พาไต้ซุ่นไปอยู่ด้วยที่บ้านริมเขาเล็กซัว แล้วนายบ้านหาจีนแสมาสอนให้ไต้ซุ่นอ่านหนังสือ แล้วยกบุตรหญิงของตัวให้เป็นภรรยาไต้ซุ่น ให้ไต้ซุ่นบังคับว่ากล่าวพวกชาวบ้านซึ่งเป็นบริวารประมาณแปดพันคน ครั้นอยู่มานายบ้านซึ่งเป็นใหญ่นั้นถึงแก่กรรม ไต้ซุ่นก็ได้ว่ากล่าวสั่งสอนพวกชาวบ้านนั้นให้ทำการเลี้ยงชีวิตโดยสุจริตธรรม มิให้เที่ยวกระทำโจรกรรมเบียดเบียนพวกบ้านอื่น ๆ ให้ทำไร่นาหากินเหมือนชาวบ้านทั้งปวง แล้วไต้ซุ่นเขียนหนังสือและทำแผนที่ทำบัญชีจำนวนคนซึ่งขึ้นอยู่นั้น ให้คนใช้ถือเข้าไปให้ขุนนางนำขึ้นกราบทูลแก่พระเจ้าเงี่ยวเต้ฮ่องเต้ ในหนังสือนั้นว่าเดิมพวกชาวบ้านในที่ตำบลเขาเล็กซัวนั้นเป็นคนใจพาลเที่ยวเป็นโจรลักชิงข้าวของราษฎรทั้งปวง ราษฎรได้ความเดือดร้อนเป็นอันมาก ครั้นนายบ้านตายแล้วข้าพเจ้าไต้ซุ่นได้สั่งสอนให้ชาวบ้านเป็นช่างทำการงานต่าง ๆ และทำไร่ทำนาค้าขายหากินสิ่งซึ่งเป็นยุติธรรม ครั้นนานมาเห็นว่าพวกชาวบ้านเหล่านั้นเป็นปกติอยู่ในศีลในธรรมแล้วจึงได้ชักชวนมาขอให้เป็นนายทหารกองนอก พระเจ้าเงี่ยวเต้ฮ่องเต้ได้ทรงทราบในหนังสือดังนั้นแล้วก็โปรดให้ ครั้นอยู่มาได้สามปีพระเจ้าเงี่ยวเต้ฮ่องเต้ทรงพระชรา จึงตรัสแก่พวกขุนนางว่า ทุกวันนี้เราก็ชราลงมากแล้วกลัวจะเสียราชการไป เราปรารถนาจะให้ท่านทั้งปวงสืบเสาะหาท่านผู้อยู่ในยุติธรรม จะได้มอบสมบัติให้แทนตัวเรา ท่านทั้งปวงจะหาได้หรือมิได้ ข้าราชการทั้งปวงก็นิ่งอยู่

ขณะนั้นขุนนางผู้หนึ่งเป็นเจ้าพนักงานหนังสือจึงทูลว่า ข้าพเจ้าเห็นชายผู้หนึ่งชื่อเช่าฮู้รูปร่างงามมีกิริยาเรียบร้อยอายุประมาณห้าสิบปีเศษ แล้วก็เป็นคนมักน้อยสันโดษ ถ้าฤดูร้อนก็ทำห้างไม้อาศัยอยู่บนต้นไม้ ถ้าฤดูหนาวก็ขุดหลุมแล้วมุงเป็นหลังคาอยู่ใต้ต้นไม้ แล้วเครื่องใช้สอยนั้นก็ใช้แต่เครื่องไม้ ไม่ได้ใช้ถ้วยชามเหมือนเราท่านทั้งปวง พระเจ้าเงี่ยวเต้ฮ่องเต้ได้ทรงฟังดังนั้นก็ดีพระทัยแล้วตรัสว่า ทำอย่างไรจึงจะได้ตัวเช่าฮู้เข้ามา ขุนนางผู้นั้นจึงทูลว่าข้าพเจ้าจะรับอาสาออกไปพูดจาให้เช่าฮู้เข้ามาเฝ้า พระเจ้าเงี่ยวเต้ฮ่องเต้จึงตรัสว่า เช่าฮู้เป็นผู้วิเศษ ซึ่งท่านจะออกไปหาตัวเช่าฮู้เข้ามานั้นไม่ควร ถ้าถึงวันดีเมื่อใดเราจะออกไปหาตัวเช่าฮู้เองจึงจะชอบ อนึ่งเราอยู่ในราชสมบัติก็ได้เจ็ดสิบปีแล้ว นางฮองเฮาก็เกิดบุตรชายด้วยเราคนเดียวชื่อไถจู๊ตันจู เรามีความวิตกมากด้วยไถจู๊ตันจูนั้นเป็นคนเขลาไม่รู้จักการดีและชั่ว เราจะให้ครองราชสมบัติต่อไปนั้นราษฎรก็จะหามีความสุขด้วยกันทั้งแผ่นดินไม่ เพราะว่าธรรมเนียมเป็นกษัตริย์นั้นต้องให้รู้จักรักษาน้ำใจไพร่บ้านพลเมืองและขุนนางทั้งปวง จึงจะมิได้มีความเดือดร้อนในแผ่นดิน ซึ่งเราว่าดังนี้ท่านทั้งปวงอย่าได้มีความสงสัยแคลงใจเราเลย อนึ่งถ้าเราได้ผู้ที่ตั้งอยู่ในสุจริตธรรมเหมือนท่านกล่าวนั้นเรามีความยินดีนัก เราจะได้มอบสมบัติให้แทนตัวเรา แล้วจะได้ฝากบุตรภรรยาของเราและขุนนางกับราษฎรทั้งแผ่นดินด้วย และการซึ่งเราจะออกไปหาเช่าฮู้ที่เขากิซัวนั้น เราจะต้องตั้งเมตตาจิตกินบวชครบสามวันแล้วเราจะไปด้วยท่านทั้งปวง ตรัสดังนั้นแล้วก็เสด็จเข้าข้างใน ขุนนางทั้งปวงพูดกันว่า แบบแผนพระราชพงศาวดารตำรับกษัตริย์แต่ก่อน ๆ ซึ่งเราได้ยินได้ฟังมานั้น ก็มิได้ปรากฏว่ากษัตริย์พระองค์ใดตั้งพระทัยรักราษฎรเหมือนพระเจ้าแผ่นดินพระองค์นี้ ๆ รักราษฎรยิ่งกว่าพระราชโอรส ครั้นพูดจากันดังนั้นแล้วก็ลากันกลับไปบ้าน ครบสามวันพวกขุนนางก็พากันเข้ามาในพระราชวัง คอยตามเสด็จพระเจ้าเงี่ยวเต้ฮ่องเต้ ครั้นเสวยบวชครบสามวันแล้วก็เสด็จขึ้นรถ ไปได้สามวันสามคืนขุนนางทั้งปวงก็ตามเสด็จไปด้วย ครั้นถึงเขากิซัวพระเจ้าเงี่ยวเต้ฮ่องเต้จึงรับสั่งให้พวกขุนนางเที่ยวค้นหาเช่าฮู้ ขุนนางไปพบเช่าฮู้เลี้ยงกระบืออยู่ริมห้างบนต้นไม้ ขุนนางจึงกลับมาทูลพระเจ้าเงี่ยวเต้ฮ่องเต้ ๆ ก็เสด็จลงจากราชรถทรงพระดำเนินไปหาเช่าฮู้ ๆ เห็นแล้วจึงร้องถามว่า ท่านทั้งปวงพากันมาทั้งนี้จะประสงค์สิ่งอันใด พระเจ้าเงี่ยวเต้ฮ่องเต้จึงตรัสว่า พวกเรามาจะสนทนาแก่ท่านสักครั้งหนึ่ง เช่าฮู้ทราบดังนั้นแล้วก็เดินเข้ามาพูดจาด้วยพระเจ้าเงี่ยวเต้ฮ่องเต้ ๆ พิเคราะห์ดูเช่าฮู้แล้วจึงตรัสว่า ท่านเป็นคนมีลักษณะดีสมควรที่จะเป็นนักปราชญ์ เหตุใดจึงไม่ไปช่วยกันรักษาแผ่นดิน เช่าฮู้ตอบว่านิสัยผู้รักษาแผ่นดินกับชาวป่าไม่เหมือนกัน น้ำใจประพฤติก็ต่างกัน ข้าพเจ้าจึงอยู่ตามประสาชาวป่า พระเจ้าเงี่ยวเต้ฮ่องเต้ได้ทรงฟังเช่าฮู้เจรจาเป็นนักปราชญ์ สมดังคำเล่าลือและขุนนางกราบทูลก็มีพระทัยยินดี จึงตรัสแก่เช่าฮู้ว่า เรานี้คือเงี่ยวเต้ บัดนี้เราชราลงแล้ว เราทราบว่าท่านเป็นคนใจบุญประพฤติแต่สุจริตธรรม ไม่ประพฤติเป็นพาล จะมาเชิญท่านไปครองราชสมบัติทะนุบำรุงราษฎรแทนตัวให้เป็นสุข ท่านจงได้รับธุระเราช่วยทะนุบำรุงราษฎรทั้งปวงเถิด เช่าฮู้ได้ฟังดังนั้นจึงตอบว่า ข้าพเจ้าเป็นคนชาวป่าชาวดงเลี้ยงกระบือก็มีความลำบากเป็นอันมากอยู่แล้ว บัดนี้ท่านจะมายกราชสมบัติให้ข้าพเจ้าเป็นกษัตริย์เลี้ยงดูผู้คนและรักษาแผ่นดินราษฎรชาวบ้านชาวเมือง รับทุกข์แทนพระองค์ฮ่องเต้นั้น ข้าพเจ้าจะมิมีความลำบากมากกว่าเลี้ยงฝูงกระบือไปอีกหรือ ซึ่งการลาภและยศนั้นข้าพเจ้าไม่มีความปรารถนา ขอพระองค์จงได้มอบราชสมบัติให้แก่ผู้อื่นเถิด เช่าฮู้พูดดังนั้นแล้วนึกว่าได้ฟังคำที่ไม่ชอบใจก็จูงกระบือเดินหลบหลีกไปข้างหลังเขา ถึงที่ลำธารมีน้ำไหลลงมา เช่าฮู้ก็วักน้ำล้างหูทั้งสองข้างให้หมดที่ได้ยินคำอันนั้นเสีย

ขณะนั้นยังมีชายผู้หนึ่งชื่อเซียงหยง เป็นคนสุภาพมีกิริยาเรียบร้อย จะพูดจาสิ่งใดก็ค่อยพูดค่อยจา จะเจรจาสิ่งใดก็มักระแวงระวังผิด เป็นคนทำไร่ทำนาหากินเที่ยวเลี้ยงกระบืออยู่ตามริมเขา ครั้นเวลาตะวันเที่ยงแดดร้อนจึงจะจูงกระบือมากินน้ำ เห็นเช่าฮู้วักน้ำล้างหูทั้งสองข้างนั้นจึงร้องถามไปว่า ท่านล้างหูทำไมเจ็บป่วยเป็นอย่างไรหรือ เช่าฮู้จึงตอบว่า เราไม่ได้เจ็บป่วยเป็นอะไรดอก ด้วยพระเจ้าแผ่นดินมาเชิญให้เราไปเป็นกษัตริย์ จะยกราชสมบัติให้แก่เรา ๆ ได้ยินคำอันนั้นเราเห็นว่าเป็นกษัตริย์ ต้องรับทุกข์รับธุระคนทั้งแผ่นดิน จะนั่งนอนยืนเดินกินอยู่ก็ไม่เป็นสุข เราคิดว่าเห็นว่าเป็นการลำบากอย่างยิ่งนัก เราไม่ขอได้ยินได้ฟังคำอันนี้ต่อไป เราจึงล้างหูทั้งสองข้างของเราเสีย พูดดังนั้นแล้วก็เดินขึ้นบนเขาไป เซียงหยงที่จูงกระบือมากินน้ำได้ฟังดังนั้น ก็คิดว่าน้ำล้างหูซึ่งเป็นของโสโครกไหลลงมา กระบือของเราจะกินน้ำโสโครกนั้นเข้าไป กระบือของเราก็จะเป็นที่กินน้ำไม่สะอาดกลัวจะเสียกระบือไป จึงจูงกระบือไปกินน้ำข้างทิศเหนือน้ำล้างหู

แชร์ชวนกันอ่าน

แจ้งคำสะกดผิดและข้อผิดพลาด หรือคำแนะนำต่างๆ ได้ ที่นี่ค่ะ