๒๙

ครั้นฝังพระศพพระเจ้ากิมเต๊กอ๋องฮ่องเต้เสร็จแล้ว จึงเชิญกอเอียงสีให้ครองราชสมบัติแทนพระเจ้ากิมเต๊กอ๋องฮ่องเต้ต่อไป ทรงพระนามว่าพระเจ้าจวนยกตี่ฮ่องเต้ ๆ องค์นี้เดิมเป็นบุตรเชียงอี่ ๆ เป็นพระเชษฐาต่างพระชนนีของพระเจ้าอึ้งตี่ฮ่องเต้ มารดาพระเจ้าจวนยกตี่ฮ่องเต้ชื่อนางเชียงป๊อกเป็นเชื้อวงศ์จอกเอียสี และเมื่อนางเชียงป๊อกจะมีครรภ์นั้น นางฝันว่าได้กลืนดวงพระจันทร์ นางมีครรภ์ได้สิบสองเดือนก็คลอดพระเจ้าจวนยกตี่ฮ่องเต้ ๆ ยังทรงพระเยาว์อยู่นั้นเฉลียวฉลาดกว่าเด็กทั้งปวง พระเจ้ากิมเต๊กอ๋องฮ่องเต้ทรงพระเมตตาว่าซื่อตรงเฉลียวฉลาด พระเจ้ากิมเต๊กอ๋องฮ่องเต้เมื่อจะสวรรคตนั้น จึงมอบเวนศิริราชสมบัติให้กอเอียงสี และเมื่อกอเอียงสีได้เป็นกษัตริย์ทรงพระนามว่าพระเจ้าจวนยกตี่ฮ่องเต้ ได้ครองราชสมบัตินั้นพระชันษาได้ยี่สิบปี ซึ่งพระราชโอรสพระเจ้ากิมเต๊กอ๋องฮ่องเต้ทั้งสี่องค์นั้น พระเจ้าจวนยกตี่ฮ่องเต้ก็ชุบเลี้ยง องค์ที่หนึ่งให้นามว่าเทียนต๋องแปลว่าธาตุทอง องค์ที่สองให้นามว่าทีก๊ายแปลว่าธาตุลม องค์ที่สามให้นามว่ายินซิวแปลว่าธาตุน้ำ องค์ที่สี่ให้นามว่าฮัวฮี้แปลว่าธาตุไฟ แล้วตั้งเกาเหลงพระราชบุตรพระเจ้าเอี้ยมเต้สินล่งสีฮ่องเต้ ซึ่งเป็นแม่ทัพไปตีเมืองจอกกอกครั้งก่อนนั้น ให้เรียกว่าเกาเหลงอุยโท้วแปลว่าธาตุดิน แล้วพระเจ้าจวนยกตี่ฮ่องเต้ตรัสว่า ท่านทั้งหลายนี้เราให้นามนั้นคือธาตุทั้งห้าเปรียบเหมือนธาตุในตัวเรา ท่านจงช่วยกันรักษาแผ่นดินและทะนุบำรุงราษฎรให้มีความสุขเถิด ตรัสดังนั้นแล้วก็เสด็จเข้าข้างใน ตั้งแต่นั้นเจ้าห้าองค์ให้ตั้งศาลาและจัดหาซินแสที่มีสติปัญญาวิชาความรู้มาสั่งสอนคนทั้งปวง ให้เล่าเรียนรู้ศิลปศาสตร์ต่าง ๆ ราษฎรมีความสุขมากขึ้นกว่าแต่ก่อน แล้วพวกขุนนางก็พากันประพฤติการยุติธรรมเป็นสุจริต พระเจ้าจวนยกตี่ฮ่องเต้ก็ขนานนามเมืองใหม่ให้เรียกว่าเมืองเกาเอี๋ยง บ้านเมืองก็เป็นสุขไม่มีศึกสงคราม

ฝ่ายกีวหลีพี่น้องเก้าคนซึ่งอยู่จอกกอกนั้น ครั้นเกาเหลงกับพวกจูเฮ้ายกทัพกลับไปแล้ว ก็มิได้คิดที่จะยกไปตีกิมเต๊กอ๋องเลย สงบอยู่ช้านานถึงห้าสิบปี ครั้นอยู่มาวันหนึ่งหลีทำผู้พี่ชายใหญ่จึงปรึกษาแก่น้องชายทั้งแปดว่า บัดนี้เราทราบความว่ากิมเต๊กอ๋องฮ่องเต้ตายแล้ว พวกขุนนางพากันยกกอเอียงสีวงศ์พระเจ้าอึ้งตี่ฮ่องเต้ขึ้นเป็นกษัตริย์ครองราชสมบัติได้สิบเจ็ดปีมาแล้ว เปลี่ยนชื่อเมืองนั้นใหม่เรียกว่าเมืองเกาเอียง บ้านเมืองเป็นสุขไม่มีศึกสงคราม แต่เกาเหลงซึ่งเป็นแม่ทัพมารบกับเรานั้นก็ชราแล้ว ทหารซึ่งจะเป็นคนดีมีฝีมืออยู่ในเมืองนั้นก็น้อย อนึ่งฝ่ายพวกเรานี้ก็ได้เป็นเชื้อสายของพระเจ้ายี่นอ่องสีฮ่องเต้ ได้เป็นกษัตริย์ครองสมบัติมาแต่ก่อน จำจะคิดเอาราชสมบัติของพระเจ้ายี่นอ่องสีฮ่องเต้นั้นคืน ถ้าได้สมความปรารถนาแล้ว เราพี่น้องจึงแบ่งเขตแดนตั้งตัวเป็นกษัตริย์ขึ้นด้วยกันทั้งเก้าคนจะไม่ดีหรือ น้องชายทั้งแปดก็เห็นชอบด้วย หลีกือว่าเมื่อครั้งก่อนเราออกรบกับจูเฮ้าเจ้าเมืองทั้งเก้านั้นเรามีความประมาท ไม่รู้ว่าเกาเหลงจะเป็นคนดีมีปัญญาจัดการทัพให้พวกจูเฮ้าเราจึงได้เสียที เมื่อครั้งเสียทีแก่เกาเหลงนั้นเราได้ตั้งค่ายชิดแฉตี้น ก็เป็นแต่สง่าอยู่ดังนั้น มิได้ช่วยกันรบให้เป็นสามารถ ก็ครั้งนี้ข้าพเจ้าอยากจะตั้งค่ายปัดโก๋ตี้น ๆ แปลว่ากลเลขยันต์แปดสถาน ตั้งค่ายเรียงรายพร้อมไว้แปดอย่างมีปีกกาอีกสองค่าย แต่เราจะไม่อยู่ในค่ายทั้งแปด จะยกไปตั้งอยู่ที่ค่ายปีกกาทั้งสอง ถ้าเสียทีแก่ข้าศึกแล้ว เราจึงเข้าตั้งอยู่ในค่ายแปดค่าย ค่ายปีกกาทั้งสองนั้นเราจะทำให้ใหญ่กว้างกว่าครั้งก่อน หลีทำได้ฟังดังนั้นก็เห็นชอบด้วย จึงเกณฑ์ทหารสามสิบหมื่นให้หลีฮูหลีปิดเป็นทัพหน้าซ้ายขวา ยกไปปราบที่จะตั้งค่าย ที่ใดเขินเป็นโขดและศิลาก็ปราบเสียให้ราบคาบ ที่ใดลุ่มเป็นห้วยหนองคลองบึงก็ทิ้งถมเสียให้เสมอเป็นอันดี อย่าให้เป็นลุ่ม ๆ ดอน ๆ ได้ ครั้นถึงเดือนสิบขึ้นค่ำหนึ่งเป็นวันฤกษ์ดี พวกกีวหลีพี่น้องก็คุมทหารสิบหมื่นยกเดินทางไป

ฝ่ายราษฎรชาวเมืองจิวเมืองกุ้ย คือเมืองใหญ่เมืองน้อยซึ่งอยู่ใกล้เคียงเมืองจอกกอกนั้น รู้ข่าวว่าพวกหลีทำพี่น้องเป็นกบฏยกกองทัพมาเป็นอันมาก คิดก่อการจะทำสงครามแก่พระเจ้าจวนยกตี่ฮ่องเต้อีก ราษฎรทั้งหลายพากันแตกตื่นตกใจหนี เจ้าเมืองจิวเจ้าเมืองกุ้ยมีผู้คนน้อยก็พลอยกันตกใจหนี มีหนังสือบอกส่งไปให้ขุนนางผู้ใหญ่กราบทูลพระเจ้าจวนยกตี่ฮ่องเต้ ขุนนางผู้ใหญ่ก็ให้เปิดหนังสือบอกออกอ่านดู ทราบความในหนังสือบอกนั้นแล้วก็รีบเข้าไปเฝ้าพระเจ้าจวนยกตี่ฮ่องเต้กราบทูลว่า บัดนี้มีหนังสือบอกมาว่าพวกหลีทำพี่น้องคิดก่อการจะทำสงครามแก่เมืองหลวงอีก ยกทัพมาเป็นอันมากเกือบจะใกล้ถึงเขตแดนหัวเมืองหน้าด่านแล้ว พระเจ้าจวนยกตี่ฮ่องเต้ได้ฟังขุนนางผู้ใหญ่ทูลดังนั้นจึงรีบสั่งให้หาเกาเหลง อุยโท้วเข้ามาเฝ้าแล้วตรัสว่า เมื่อครั้งแผ่นดินพระเจ้ากิมเต๊กอ๋องฮ่องเต้นั้น พวกหลีทำคิดจะชิงเอาราชสมบัติครั้งหนึ่ง ท่านก็ได้เป็นแม่ทัพคุมพวกจูเฮ้าเก้าเมืองยกกองทัพไปรบด้วยหลีทำ ๆ ก็ได้สงบเงียบมาถึงห้าสิบปี มาบัดนี้หลีทำกลับคิดการขึ้นอีกดังนี้ท่านจะคิดประการใดจึงจะกำจัดพวกหลีทำได้ เกาเหลงอุยโท้วจึงทูลว่า เมื่อหลีทำคิดทำศึกครั้งก่อนนั้นข้าพเจ้าได้ทูลพระเจ้ากิมเต๊กอ๋องฮ่องเต้ขอพวกจูเฮ้าเก้าเมืองไป ปรารถนาจะให้พวกเมืองจอกกอกเห็นฝีมือพวกจูเฮ้า ครั้นยกไปก็ทำไม่สำเร็จเพราะขาดเสบียงอาหาร และเมื่อข้าพเจ้ากับพวกจูเฮ้ายกไปทำศึกครั้งนั้น พวกหลีทำอายุหนุ่มมีกำลังแข็งแรงว่องไว ถึงจะทำศึกสงครามก็สมควร แต่กระนั้นก็ยังเสียทีแก่ข้าพเจ้าครั้งหนึ่ง จึงได้สงบเงียบมานานถึงห้าสิบปี จนถึงกาลพระองค์ได้เสวยราชสมบัตินี้ ข้าพเจ้าคิดเห็นว่าพวกหลีทำแก่ตัวลงกำลังก็คงถอยไม่เหมือนแต่ก่อน ที่ไหนจะอาจสามารถยกมาทำประทุษร้ายเมืองหลวง ข้าพเจ้าจึงเพิกเฉยเสียมิได้กราบทูลพระองค์ให้ยกไปปราบปรามพวกหลีทำอีก ครั้งนี้พวกหลีทำยกมาคิดประทุษร้ายจะทำสงครามต่อพระองค์อีกนั้น ข้าพเจ้าเห็นว่าพวกหลีทำมีใจเหมือนสัตว์เดรัจฉาน ไม่รู้จักประมาณในกำลังร่างกาย คิดแต่จะประทุษร้ายบุคคลผู้อื่น พระองค์อย่าได้ตกพระทัยเลย ข้าพเจ้าจะขอรับอาสาออกไปปราบปรามพวกหลีทำใหม่ แต่ข้าพเจ้าอยากจะขอพระราชโอรสของพระองค์ไปด้วยเก้าพระองค์ จะได้ทำสงครามแก่พวกหลีทำให้ปรากฏเป็นพระเกียรติยศของพระองค์สืบ ๆ ไป แล้วพระราชโอรสของพระองค์ทั้งเก้านั้น ก็ทรงพระกำลังและชำนิชำนาญในพิชัยสงคราม และชำนาญในเพลงอาวุธต่าง ๆ เห็นจะไม่เสียทีคงจะมีชัยชนะแก่ข้าศึก พระเจ้าจวนยกตี่ฮ่องเต้ได้ฟังดังนั้นจึงตรัสว่า บุตรของเรานั้นถึงจะมีกำลังและชำนาญในเพลงอาวุธต่าง ๆ และมีศิลปศาสตร์ในการสงครามก็ดี แต่เราไม่เห็นว่าผู้ใดจะเป็นคนมีสติปัญญาเลย วิสัยทำศึกสงครามนั้นต้องอาศัยสติปัญญาเป็นใหญ่ เกาเหลงอุยโท้วจึงว่า พระองค์อย่าได้ทรงพระวิตกถึงโดยพระราชโอรสของพระองค์ทั้งเก้านั้นจะทรงพระสติปัญญาน้อย ข้าพเจ้าจะขอรับอาสากำกับไปช่วยคิดการทำศึก เอาชัยชนะพวกหลีทำฉลองพระเดชพระคุณให้จงได้ พระเจ้าจวนยกตี่ฮ่องเต้จึงรับสั่งให้เกาเหลงอุยโท้วเลือกสรรเอาตามชอบใจ เกาเหลงอุยโท้วได้โอกาสแล้วจึงทูลขอเจ้าองค์ที่หนึ่งชื่อลูเบงอ๋อง เจ้าองค์ที่สองชื่อซังซูอ๋อง เจ้าองค์ที่สามชื่อกุยไข่อ๋อง เจ้าองค์ที่สี่ชื่อเตาอิ้นอ๋อง เจ้าองค์ที่ห้าชื่อไตนีมอ๋อง เจ้าองค์ที่หกชื่อพังหังอ๋อง เจ้าองค์ที่เจ็ดชื่อเท่งเกียงอ๋อง เจ้าองค์ที่แปดชื่อตังยงอ๋อง เจ้าองค์ที่เก้าชื่อซอกตัดอ๋อง พระเจ้าจวนยกตี่ฮ่องเต้ทราบแล้วรับสั่งให้หาพระราชบุตรเก้าองค์นั้นเข้าไปเฝ้า แล้วรับสั่งว่าเกาเหลงอุยโท้วสรรเสริญเจ้าว่ามีศิลปศาสตร์ในการสงคราม จะขอให้ออกไปช่วยปราบปรามพวกข้าศึก พระราชโอรสเก้าองค์จึงทูลว่า ถ้าเกาเหลงอุยโท้วเป็นแม่ทัพไปด้วยนั้นดีแล้ว ท่านเป็นผู้ใหญ่ข้าพเจ้าจะได้พึ่งสติปัญญาท่าน แล้วข้าพเจ้าพี่น้องนี้จะขอฉลองพระเดชพระคุณไม่ให้อายแก่ข้าศึก พระเจ้าจวนยกตี่ฮ่องเต้ได้ฟังพระราชโอรสทั้งเก้าทูลดังนั้นก็ทรงพระโสมนัส จึงตรัสพระราชทานพรแก่พระราชบุตรทั้งเก้าองค์ว่า เจ้าไปกระทำสงครามครั้งนี้ให้มีชัยชนะแก่ข้าศึกเถิด พระราชบุตรทั้งเก้าองค์นั้นก็พากันคุกเข่าลงคำนับรับพระพรแล้ว พระเจ้าจวนยกตี่ฮ่องเต้ก็เสด็จเข้าข้างใน พระราชบุตรเก้าองค์ก็พากันคำนับเกาเหลงอุยโท้วแล้วว่า ท่านยกย่องทูลขอพวกข้าพเจ้าไปทำสงครามครั้งนี้ ปรารถนาจะให้รู้จักในการศึกไว้ขอบคุณท่านหนักหนา ข้าพเจ้าทั้งเก้าคนนี้จะตั้งใจฉลองพระเดชพระคุณไม่ให้เสียทีท่านได้ทูลขอข้าพเจ้าไป แล้วพวกข้าพเจ้านี้ยอมอยู่ในโอวาทของท่าน ขอท่านได้สั่งสอนให้สติปัญญาแก่ข้าพเจ้า เกาเหลงอุยโท้วจึงว่า บุคคลผู้ใดรู้ประมาณกำลังกายและกำลังสติปัญญาแล้วก็เป็นคนอ่อนน้อม บุคคลผู้นั้นก็ย่อมจะได้ความสรรเสริญแต่สำนักแห่งนักปราชญ์ แล้วก็มิได้ว่ากล่าวประการใดต่อไป

ฝ่ายพระเจ้าจวนยกตี่ฮ่องเต้ ครั้นรุ่งขึ้นเวลาเช้าเสด็จออกว่าราชการพร้อมด้วยพระญาติวงศานุวงศ์และขุนนางผู้ใหญ่ผู้น้อยเฝ้าอยู่ตามตำแหน่งที่แล้ว พระองค์ก็ทรงตั้งลูเบงอ๋องพระราชโอรสที่หนึ่ง เป็นจองต๊กไต้ง่วนโซยแม่ทัพคุมทหารสิบหมื่น ตั้งเกาเหลงอุยโท้วเป็นเจงหลีโตชำมองที่ปรึกษา แล้วเจ้าน้องทั้งแปดองค์นั้นตั้งเป็นที่เจียงกุนนายทหาร พระราชทานดอกไม้ทองคำปักหมวกองค์ละสองช่อกับสุราองค์ละสามถ้วย แล้วรับสั่งว่าวันนี้ฤกษ์ดีจงพากันแต่งตัวไปที่กาเตีย คือสนามหัดจัดกระบวนทัพ พระราชโอรสทั้งเก้าพระองค์กับเกาเหลงอุยโท้วก็คำนับลาพระเจ้าจวนยกตี่ฮ่องเต้ออกไปแต่งตัว

แชร์ชวนกันอ่าน

แจ้งคำสะกดผิดและข้อผิดพลาด หรือคำแนะนำต่างๆ ได้ ที่นี่ค่ะ