๑๗

พระเจ้าเอี้ยมเต้สินล่งสีฮ่องเต้มีพระราชธิดาองค์หนึ่ง ชื่อนางเจงอ๋วยกงจู๊ อายุได้สิบห้าปี หน้านางนั้นนวลขาวดังฝุ่น ริมฝีปากแดงเหมือนลิ้นจี่ คิ้วดำมัวดังสีหมอก สะเอวเล็กกลมบาง รูปร่างงามบริสุทธิ์สะอาด มีกิริยาเรียบร้อยยิ่งกว่าสตรีทั้งปวง แต่ยังไม่มีสามี

อยู่มาวันหนึ่ง นางเจงอ๋วยกงจู๊ไปเที่ยวเล่นได้เห็นแมลงภู่คลึงเคล้าเกสรดอกไม้ และดอกไม้นั้นต้องลมพัดก็เหี่ยวโรยร่วงหล่นไป นางจึงคิดว่ามนุษย์ทุกวันนี้ ถ้าอายุมากแล้วกายก็ถึงความแก่ชรา เปรียบเหมือนดอกไม้ที่บานแล้วก็โรยร่วงหล่นไป ยิ่งคิดก็ยิ่งสลดใจเป็นอันมาก นางจึงคิดต่อไปอีกข้อหนึ่งว่า ตัวเราทำประการใดจึงจะไม่แก่ไม่ตาย คิดพลางนางก็เที่ยวไปจนเวลาค่ำ ก็มีกลิ่นหอมเย็นชื่นใจฟุ้งมา นางก็แลไปดูเห็นรถลอยมาแต่อากาศคันหนึ่งใกล้ลงมาที่ตรงหน้า แล้วเห็นสตรีอายุประมาณยี่สิบปี รูปร่างงามบริสุทธิ์สะอาด มีสาวใช้สองคนสวมเสื้อเขียว มือนั้นถือต้นไม้หลายต้น และต้นไม้นั้นมีกลิ่นหอมตระหลบทั่วไปทั้งนั้น และสตรีนั้นก็พากันเข้ามาคำนับนางเจงอ๋วยกงจู๊ ๆ จึงเชิญให้นั่ง สตรีผู้นั้นก็บอกว่าตัวชื่อ ไซอ้องป๊อ ไปเที่ยวเล่นที่ทะเลทิศตะวันออก บัดนี้เราจะกลับไปทิศตะวันตกคือเขาคุณหลุนซัวซึ่งเป็นที่อยู่แห่งเรา ๆ มาได้ยินท่านคิดรำพึงว่า อยากจะไม่ให้แก่ไม่ให้ตาย เราจึงลงมาอยากจะใคร่ชี้แจงสงเคราะห์แก่ท่าน นางเจงอ๋วยกงจู๊ตอบว่าข้าพเจ้าเป็นเด็กยังไม่รู้จักสิ่งใด ซึ่งท่านจะชี้แจงให้ข้าพเจ้ารู้จะแจ้งนั้นมีพระเดชพระคุณแก่ข้าพเจ้าเป็นอันมาก บัดนี้ข้าพเจ้าอยากจะรู้ว่าที่อยู่แห่งท่านกับที่อยู่ของข้าพเจ้านี้ที่แห่งใดจะดีกว่ากัน นางไซอ้องป๊อจึงบอกว่า ที่ตำบลเคียกุ้ยสินจิวนั้นมีทิศอยู่สี่ทิศ แต่ทิศตะวันออกนั้นเป็นทิศใกล้ฝ่ายข้างทะเล แต่ทิศตะวันตกนั้นใกล้ภูเขา มีเทพยดามาเที่ยวเล่นอยู่เนือง ๆ แต่ทิศเหนือกับทิศใต้สองทิศนั้น เทพยดามิได้มาเที่ยวเล่น นางเจงอ๋วยกงจู๊ว่าข้าพเจ้าอยากจะทราบว่า ฝ่ายทิศตะวันออกนั้นจะมีที่สุขสบาย และมีสิ่งของที่จะชมเชยได้บ้างนั้นจะมีหรือไม่ นางไซอ้องป๊อจึงบอกว่า ฝ่ายทิศตะวันออกนั้นในกลางทะเลมีเขาอยู่ห้าเขา เขาหนึ่งชื่อไตอือ เขาหนึ่งชื่ออี้เคี้ยว เขาหนึ่งชื่อฮองหู เขาหนึ่งชื่ออ๋องจิวเป็นที่อยู่แห่งเทพยดา แต่เขาอ๋องจิวที่อยู่ตำบลผ้องไหลนั้นเป็นที่รโหฐานมีความสุขมาก ไกลกับตำบลเคียกุ้ยสิ้นจิวหลายสิบโยชน์ แล้วมีวิมานทำด้วยทองคำ และหยกต้นไม้ใบและกิ่งก้านก็ชื่นชุ่มอยู่เป็นนิจ ผู้ใดได้ไปเที่ยวที่ตำบลนั้นอายุก็จะยืน นางเจงอ๋วยกงจู๊จึงถามต่อไปอีกว่า ตำบลผ้องไหลนั้นมีที่รโหฐานอยู่แต่ที่เขาอ๋องจิวตำบลเดียวหรือ ๆ ว่าที่ตำบลแห่งอื่นก็มีบ้าง นางไซอ้องป๊อบอกว่ายังมีเขาอีกเขาหนึ่งชื่อกู๊ซิซัว มีสระอยู่สระหนึ่ง ในสระนั้นก็มีทองคำ น้ำนั้นใสบริสุทธิ์ ถ้าผู้ใดได้อาบน้ำสระนั้นก็เย็นทั่วถึงในใจ เม็ดทรายในสระนั้นสีเหลืองดังทองคำ ซีกข้างทิศเหนือถ้าขุดลงไปถึงดินดาล ทรายนั้นมีสีขาวเหลืองแดง แล้วก็ติดกันเป็นช่อ ๆ เหมือนดอกไม้ เทพยดาทั้งหลายที่อยู่ในตำบลนั้นชวนกันเก็บมาชมเล่นมิได้ขาด นางเจงอ๋วยกงจู๊จึงถามว่า เขาอ๋องจิวนั้นชัยภูมิที่จะเป็นสุขประการใดบ้าง นางไซอ้องป๊อบอกว่าเขาอ๋องจิวนั้นมีเขาเล็กอยู่บนเขาอ๋องจิวเขาหนึ่งเรียกว่าจูคุด มีต้นไม้สิบอย่าง ๆ หนึ่งชื่อสิ้นถัน และเก้าอย่างนั้นชื่อชวนฮุน ถ้ามนุษย์ป่วยเจ็บสลบไปได้กินต้นไม้สิ้นถันนั้นแล้วก็ฟื้นขึ้นมาเป็นปกติ แต่ต้นสิ้นถันนั้นใบใหญ่วิเศษกว่าต้นไม้เก้าอย่าง แล้วยังมีเขาอีกเขาหนึ่งชื่อเย็กกอซัวมีน้ำไหลลงมาตามซอกห้วยลำธาร น้ำนั้นมีกลิ่นเหมือนสุรา ถ้ามนุษย์ที่แก่ชราได้กินน้ำนั้นแล้ว ร่างกายก็กลับเป็นหนุ่มเป็นสาวขึ้น นางเจงอ๋วยกงจู๊จึงถามอีกว่า ฝ่ายข้างทิศตะวันตกนั้น จะมีที่รโหฐานประการใดบ้าง นางไซอ้องป๊อบอกว่าทิศตะวันตกนั้นมีเขาชื่อว่าคุณหลุนซัว เขานั้นมียอดเล็ก ๆ หกยอด ยอดหนึ่งชื่อเหียงโพ้ว ยอดหนึ่งชื่อเจกเจียะเอี้ยนปัง ยอดหนึ่งชื่อลังฮวง ยอดหนึ่งชื่อฮ่อไก ยอดหนึ่งชื่อเทียนเถียว ยอดหนึ่งชื่อเซ่งอวน ยอดที่ชื่อเซ่งอวนนั้นเป็นที่อยู่แห่งข้าพเจ้า และยอดหกยอดนั้นมีวิมานทำด้วยหยกประดับด้วยพลอย นางเจงอ๋วยกงจู๊จึงถามอีกว่า กิ่งไม้ที่นางสาวใช้ถือมานั้นเรียกว่าต้นอะไร นางไซอ้องป๊อบอกว่าเมื่อเวลาเช้านี้ ข้าพเจ้านี้กับนางสาวใช้ไปเที่ยวเล่นที่เขาอ๋องจิว นางสาวใช้หักกิ่งไม้ที่เขาอ๋องจิวถือติดมือมาด้วยคนละอย่าง อย่างหนึ่งชื่อสิ้นถัน อย่างหนึ่งชื่อเอียมก ถ้าชูขึ้นเมื่อเวลาตะวันเที่ยงแล้วก็มีเงาถึงร้อยเงา ท่านจะต้องการก็เอาไว้เถิด นางเจงอ๋วยกงจู๊ถามว่า ข้าพเจ้าอยากจะไปทะเลข้างตะวันออก หนทางประมาณสักเท่าใดจึงจะถึง นางไซอ้องป๊อบอกว่า ถ้าท่านจะไปก็ต้องคิดทำเรือขึ้นจึงจะไปได้ และเมื่อจะไปนั้นให้ตั้งจิตคิดตรงไป ใจนั้นอย่าได้เตลิดเพลินด้วยการสิ่งใด ๆ ถ้าพลั้งเผลอเสียสติไปแล้วจิตนั้นจะคิดแปลกเปลี่ยนวิปริตไป จะบังเกิดลมพายุและคลื่นใหญ่ เรือนั้นก็จะล่มจมอยู่ที่นั้น นางเจงอ๋วยกงจู๊ได้ฟังดังนั้นก็ทราบในข้ออธิบายทุกประการ นางจึงให้ความสัตย์ปฏิญาณว่า ถ้าข้าพเจ้ามีใจคิดวอกแวกไปอย่างหนึ่งอย่างใดแล้ว ขอให้ข้าพเจ้าเป็นอันตรายไปต่าง ๆ นางไซอ้องป๊อทราบดังนั้นแล้วก็ลากลับไป ครั้นรุ่งขึ้นเวลาเช้านางเจงอ๋วยกงจู๊จึงไปกราบทูลลาพระเจ้าเอี้ยมเต้สินล่งสีฮ่องเต้พระราชบิดาว่า จะไปหาสรรพคุณยาที่ทะเลข้างทิศตะวันออก พระเจ้าเอี้ยมเต้สินล่งสีฮ่องเต้รับสั่งว่า ตัวเราได้ลองสรรพคุณยาชื่อหกหลงมีคุณมาก ถ้าขูดเปลือกที่ดำออกให้หมดแล้วตำเป็นผงใส่ในสุราผนึกไว้ได้ร้อยวันจึงกินสักปีหนึ่งสองปีสามปีแล้วเนื้อหนังจะบริบูรณ์ เพราะไม่มีโรค แล้วก็จะมีกำลังว่องไว เวลากลางคืนนั้นศีรษะจะมีแสงสว่าง นางฟ้าก็จะลงมาอยู่ด้วย แล้วก็พากันเป็นเทพยดาไปด้วยกัน ซึ่งเจ้าจะไปหายาวิเศษที่ตำบลผ้องไหลนั้นหาต้องการไม่ หนทางที่จะไปนั้นก็ลำบาก ต้องข้ามทะเลไปหลายหมื่นโยชน์ ตัวเจ้าเป็นสตรีรูปร่างก็เล็กอายุยังน้อยอยู่ บิดามีความวิตกมากนัก นางเจงอ๋วยกงจู๊ก็อ้อนวอนจะไปให้จงได้ นางเทงปวดมารดาจึงว่ากับพระราชธิดาว่า พระบิดาของเจ้าก็สำเร็จเป็นเทพยดาอยู่แล้วได้ทำยาขึ้นไว้รักษามนุษย์ ๆ ที่ชราและเป็นโรคนั้นได้กินแล้วก็หาย อายุก็ยืนไปได้นาน เจ้าอย่าไปเลย นางเจงอ๋วยกงจู๊ได้ฟังพระบิดาพระมารดาห้ามมิได้โปรดให้ไปดังนั้น นางก็ทรงพระกรรแสงกลิ้งเกลือกไป จนพระเจ้าเอี้ยมเต้สินล่งสีฮ่องเต้มีพระทัยสงสาร พระองค์ก็พยุงพระราชธิดาให้ขึ้นนั่งแล้วจึงตรัสว่าบิดาจะให้ช่างมาต่อเรือให้เจ้าไป ถ้าเจ้าไปถึงแล้วอย่าอยู่ให้ช้านานนัก สักเดือนหนึ่งหรือสองเดือนเจ้าจงกลับมา นางเจงอ๋วยกงจู๊มีความยินดีเป็นอันมากจึงกราบทูลว่า ข้าพเจ้าไปครั้งนี้ได้สำเร็จเป็นเทพธิดาแล้วคงจะกลับมาฉลองพระเดชพระคุณพระบิดาพระมารดาอย่าได้ทรงพระวิตกเลย พระเจ้าเอี้ยมเต้สินล่งสีฮ่องเต้ได้ฟังพระราชธิดาว่าดังนั้น จึงรับสั่งให้เจ้าพนักงานจัดเงินสองพันตำลึงไปซื้อไม้ที่ตำบลตังไหล ให้นายช่างชาวทะเลผู้หนึ่งชื่อเฮงตงมาทำ เฮงตงรับคำสั่งแล้วเรียกไซ่หู้มาคิดอ่านต่อเป็นเรือใหญ่ขึ้นแล้วเข็นเรือลงน้ำ เรือนั้นก็หันหมุนไปไม่ตรงทาง เพราะไม่มีอันใดอยู่ข้างท้าย เฮงตงเห็นเรือหมุนไปดังนั้นก็เสียใจเป็นอันมาก เฮงตงตรึกตรองอยู่หลายเวลาก็หมดปัญญาแก้หมุนไม่ได้ เฮงตงนึกรำคาญใจจึงเดินไปตามชายป่า เห็นต้นไม้ใหญ่ต้นหนึ่งเป็นที่ร่มเย็นเฮงตงก็เข้าไปนั่งนึกเป็นทุกข์อยู่ที่ใต้ต้นไม้ใหญ่นั้น

ฝ่ายพรานป่าคนหนึ่ง ชื่อเหมงฉองถือธนูเที่ยวยิงนกตามชายเขา เวลาวันนั้นฝนตกมากนกเที่ยวแอบอยู่ตามซอกเขาเหมงฉองก็เที่ยวเสาะหาต่อไป พบนกเอ๋งตัวหนึ่งจับอยู่บนยอดไม้ เหมงฉองเห็นแล้วก็มีความยินดีนึกว่านกตัวนี้คงได้เป็นอาหาร คิดดังนั้นก็จับธนูโก่งขึ้นแล้วยิงไป ถูกนกเอ๋งตัวนั้นพลัดตกลงมาจากยอดไม้ เหมงฉองหยิบเอานกเอ๋งใส่ปลายธนูคอนขึ้นบนบ่าของตัวแล้วเดินไปตามทางชายป่าได้ครู่หนึ่งถึงต้นไม้ใหญ่ ครั้นแลไปก็เห็นคนนั่งกอดเข่าอยู่ที่นั่น เหมงฉองจึงถามว่าท่านมานั่งอยู่ที่นี่ด้วยเหตุอันใด ดูหน้าตาไม่สู้สบาย ท่านชื่อไรแซ่ไร เฮงตงจึงบอกชื่อและแซ่แล้วเล่าความทุกข์ของตัวที่เข็นเรือลงน้ำให้เหมงฉองฟังทุกประการ เหมงฉองได้ฟังทราบแล้ว จึงหยิบนกเอ๋งให้เฮงตงดู เฮงตงรับนกนั้นมาดู แล้วจับหางนกนั้นพลิกไปพลิกมาก็ยังไม่สู้เข้าใจจึงทำศีรษะผงก ๆ เหมงฉองเห็นดังนั้นก็หยิบดอกธนูของตัวยื่นให้เฮงตงดูอีก เฮงตงรับมาดูเห็นดอกธนูยาวศอกคืบ ข้างปลายดอกธนูนั้นคมแหลม ข้างต้นดอกนั้นมีเป็นใบบาง ๆ ติดอยู่เป็นหางธนู เฮงตงก็นึกออกว่าซึ่งดอกธนูจะไปตรงได้นั้น ก็เพราะมีใบอยู่ข้างต้นเป็นหางจึงไปตรงได้ เฮงตงคิดออกแล้วก็มีความยินดึจึงว่ากับเหมงฉองว่า ข้าพเจ้าขอบคุณท่านนัก ว่าแล้วต่างคนก็ต่างลากันไป ครั้นเฮงตงมาถึงที่ทำเรือแล้ว ก็คิดเอาหางนกเอ๋งกับใบที่ติดอยู่กับหางลูกธนูทั้งสองอย่างนั้นมาตรึกตรองออกแล้ว จึงเอาไม้มาทำเป็นหางเสือใส่ไว้ที่ท้ายเรือ ๆ นั้นก็ไปตรงและหันไปหันมาได้โดยสะดวก ครั้งนั้นประเทศจีนจึงมีเรือสำเภาไปมาค้าขายตั้งแต่แผ่นดินพระเจ้าเอี้ยมเต้สินล่งสีฮ่องเต้ ราษฎรจึงได้ต่อเรือใช้สอยต่อ ๆ มาจนทุกวันนี้ ครั้นเรือสำเภาตระเตรียมเสร็จแล้ว ขุนนางพนักงานก็กราบทูลพระเจ้าเอี้ยมเต้สินล่งสีฮ่องเต้ ๆ ได้ทราบ จึงสั่งให้ขุนนางจัดหาคนที่ชำนาญทางทะเลและคนงานให้พร้อม ขุนนางก็จัดหาคนชาวทะเลลงเรือพร้อมแล้วจึงมาทูลพระเจ้าเอี้ยมเต้สินล่งสีฮ่องเต้ ๆ ทราบ จึงพระราชทานทหารไปด้วยสองพัน นางเจงอ๋วยกงจู๊ทราบว่าพระราชบิดาจัดเรือและทหารพร้อมก็มีความยินดี นางจึงไปทูลลาพระราชบิดาแล้วไปทูลลาพระราชมารดาเสร็จแล้วก็ลงเรือสำเภาใช้ใบแล่นไป เรือไปถึงเมืองใดแล้ว จูเฮ้าผู้รักษาเมืองนั้นก็จัดเสบียงอาหารและผู้คนเพิ่มเติมลงทุก ๆ เมือง ครั้นนางเจงอ๋วยกงจู๊ใช้ใบแล่นเรือไปถึงเมืองตังไหล พวกชาวเมืองตังไหลทราบว่านางเจงอ๋วยกงจู๊รูปร่างงามเหมือนเทพธิดา จะหามนุษย์เปรียบเสมอเหมือนมิได้ ซึ่งเป็นพระราชธิดาของพระเจ้าเอี้ยมเต้สินล่งสีฮ่องเต้นั้นเสด็จมาถึงนี้ ต่างคนต่างก็แตกตื่นชวนกันมาดูรูปโฉมนางเจงอ๋วยกงจู๊ และในหมู่ราษฎรชาวเมืองตังไหลที่ชวนกันมาดูนั้นมีชายหนุ่มคนหนึ่งรูปงาม นางเจงอ๋วยกงจู๊นั้นตั้งแต่ทรงพระเยาว์มาจนพระชันษานางได้สิบห้าปี ก็มิได้เคยเห็นชายรูปงามเหมือนชายหนุ่มคนนั้น เวลาวันนั้นนางได้เห็นชายหนุ่มคนนั้นรูปร่างงามก็มีจิตคิดรักใคร่ผูกพัน จึงให้สาวใช้ไปเรียกชายหนุ่มคนนั้นเข้ามาใกล้ แล้วนางก็ถามชื่อและแซ่อายุและตำบลบ้านชายคนนั้น แล้วนางจึงชักปิ่นหยกออกจากผมสองคันให้แก่ชายคนนั้น แล้วสั่งว่าท่านจงคอยเราอยู่ก่อน เราไปครั้งนี้ถ้าเราได้สำเร็จเป็นเทพธิดาแล้วจะกลับไปเมืองเรา จึงจะทูลให้พระบิดาออกมารับท่านไปอยู่กินกับเรา

มีคำกลางว่า นางเจงอ๋วยกงจู๊ลืมความสัตย์ที่ได้ปฏิญาณไว้แก่นางไซอ้องป๊อ ว่ามิให้ใจวอกแวกปฏิพัทธ์รักชาย จะตั้งใจให้มั่นคงตรงไปหาเทพยดา ครั้นนางเสียความสัตย์ลงดังนั้น

ฝ่ายตังวั่งกงเทพยดาที่อยู่ที่ทิศตะวันออกไปหานางไซอ้องป๊อแล้วเหาะกลับมา ได้ยินเสียงนางเจงอ๋วยกงจู๊พูดจากับชายนั้น จึงคิดว่านางเจงอ๋วยกงจู๊นี้เดิมจะมาหาเทพยดา บัดนี้นางมีใจกลับกลอกเสียความสัตย์ คิดแล้วก็เหาะไปตำบลผ้องไหลเป็นที่อยู่ แล้วให้คนใช้ไปบอกพระยานาคว่า นางเจงอ๋วยกงจู๊คนนี้เดิมมีจิตคิดมาหาผู้วิเศษด้วยอยากจะเป็นเทพธิดา ครั้นมาถึงกลางทางเห็นชายหนุ่มรูปงามก็มีจิตกำหนัดจะยอมเป็นภรรยาชายคนนั้น ซึ่งเราจะปล่อยให้นางมาถึงตำบลผ้องไหลอ๋องจิวแล้ว นางเห็นคนใช้ของเราที่รูปร่างงามเหมือนสีหยก จะมีจิตรักใคร่ยิ่งกว่าชายผู้นั้นแล้วก็จะเกิดอุลามกขึ้น ประการหนึ่งนางได้ยาอายุวัฒนะไปแล้ว นางก็มีใจกำเริบขึ้นยาก็จะเสียไป เราจะให้ท่านไปคอยอยู่ที่นั้น ถ้าเรือนางเจงอ๋วยกงจู๊ใช้ใบแล่นมาถึงเขาปวดคีวกลางทะเลแล้ว ท่านจงทำให้มีลมพายุและคลื่นใหญ่ให้เรือนางล่มจมลงเสียที่นั่น พระยานาคได้ฟังดังนั้นก็ไปทำตามบังคับตังวั่งกง

ฝ่ายนางเจงอ๋วยกงจู๊พูดจากับชายหนุ่มนั้นแล้ว ก็ให้ใช้ใบเรือแล่นไปถึงกลางทะเล จึงคิดว่าถ้าเราไปถึงผ้องไหลอ๋องจิวได้ยาวิเศษและต้นสิ้นถันทั้งสองอย่างแล้ว เราไปเที่ยวหาเซียนฮองที่รูปงาม ๆ ให้พาเราไปเที่ยวเล่นตามสบาย แล้วจึงจะกลับไปบ้านเมือง จะให้ยาอายุวัฒนะแก่ชายผู้นั้นกินให้เป็นเทพยดาอายุยืน จะได้อยู่กินด้วยกันให้เป็นสุขตามประเพณึ นางเจงอ๋วยกงจู๊คิดแล้วแล่นเรือไปได้หกวันถึงตำบลเขาปวดคีว ก็มีลมพายุพัดคลื่นใหญ่ซัดเรือนั้นแตก นางเจงอ๋วยกงจู๊กับคนเหล่านั้นก็จมน้ำลงไปด้วยกันทั้งสิ้น พระยานาคเห็นนางเจงอ๋วยกงจู๊รูปร่างงาม ก็อุ้มไปที่อยู่แล้วค่อยพูดจาเล้าโลม ปรารถนาจะให้นางเป็นภรรยา นางเจงอ๋วยกงจู๊คิดว่าพระยานาคนี้ช่วยเราได้รอดจากความตายมีบุญคุณแก่เราเป็นอันมาก ถึงตัวเราจะยอมเป็นภรรยาก็ควร แต่เห็นหน้าพระยานาคนั้นเป็นสีคราม ทั้งนัยน์ตาก็ใหญ่ หนวดก็แข็งเหมือนหนาม เนื้อก็หยาบดังกรวดและทราย แล้วนางก็กลับไปคิดถึงชายหนุ่มรูปงามผู้นั้นขึ้นมาแล้วก็เสียใจ ครั้นจะกลับคืนไปบ้านเมืองก็ไปไม่ได้ ครั้นจะตายก็ยังเสียดายชีวิตอยู่ ยิ่งคิดไปก็ไม่ตลอด ตัวนางก็กลับเพศจากมนุษย์กลายไปเป็นนก แล้วบินขึ้นไปจับอยู่ที่เขานำซัว นางยังมีจิตคิดพยาบาททะเลอยู่ จึงคาบไม้และศิลาไปทิ้งถมทะเลข้างทิศตะวันออกจะให้ทะเลนั้นตื้น มนุษย์จึงเรียกนกนั้นว่านกเจงอ๋วยมาจนทุกวันนี้ นกจำพวกนั้นมักคาบเอาไม้และศิลาไปทิ้งถมทะเลมิได้ขาด เพื่อจะให้ทะเลเต็มเสีย และพระเจ้าเอี้ยมเต้สินล่งสีฮ่องเต้นั้นพระองค์ทรงพระวิตกถึงนางเจงอ๋วยกงจู๊ซึ่งเป็นพระราชธิดา จึงรับสั่งให้ขุนนางไปข้างทิศตะวันออกให้เที่ยวสืบเสาะติดตามนางเจงอ๋วยกงจู๊ ขุนนางก็ไปเที่ยวติดตามสืบได้ความว่า เรือนางเจงอ๋วยกงจู๊ไปแตกที่ทะเลใกล้เขาปวดคีว คนในลำเรือนั้นตายสิ้น ครั้นสืบได้ความแล้วก็นำเอาเนื้อความขึ้นกราบทูลพระเจ้าเอี้ยมเต้สินล่งสีฮ่องเต้ ๆ กับนางเทงปวดพระอัครมเหสีได้ทรงทราบความดังนั้นก็อัดอั้นพระทัย ทรงพระกรรแสงโศกเศร้าด้วยความรักความเสียดายพระราชธิดา

แชร์ชวนกันอ่าน

แจ้งคำสะกดผิดและข้อผิดพลาด หรือคำแนะนำต่างๆ ได้ ที่นี่ค่ะ