บทที่ ๘ พวกเการพยกทัพเข้าเหยียบแดนกรุงวิราฎ

ครบกำหนดเนาป่าแห่งห้าเจ้า พอย่างเข้าถึงปีที่สิบสาม
ทุรโยธน์ส่งคนเที่ยวค้นตาม ทุกเขตต์คามค้นจบไม่พบพาน
ซ้ำส่งผู้ลาดตระเวนซึ่งเจนป่า เที่ยวค้นหาทั่วไปในไพรสาณฑ์
เที่ยวดั้นด้นค้นคว้าอยู่ช้านาน ทุกสถานถิ่นที่ไม่วี่แวว
เชื่อแน่ว่าภ๎ราดาทั้งห้านั้น คงพากันวายปราณเสียนานแล้ว
ด้วยเดิรด้นดงชัฏพนัสแนว คงไม่แคล้วสัตว์ร้ายทำลายชนม์
เมื่อเธอหลงปลงเห็นไปเช่นนี้ เชื่อเป็นที่แน่ใจไม่ฉงน
ว่าปาณฑพมิได้อยู่เปนผู้คน สมกมลมุ่งไว้ดีใจครัน
พราหมณ์โท๎รณะพระภิษม์บัณฑิตแก่ ผมขาวแลดุจฝ้ายไม่หมายมั่น
อาฆาตใคร, ใจมุ่งผดุงธรรม์ ไม่พักผันผ่อนเห็นว่าเป็นดี
ซ้ำไม่เชื่อเหตุการณ์เรื่องปาณฑพ จะเป็นศพลงเป็นเหยื่อแห่งเสือสีห์
นักรบผู้ศักดิ์สิทธิ์เรืองฤทธี ท้าวเธอมีศัสตราทั้งห้าองค์
จักให้สัตว์กัดกินจนสิ้นไซร้ ถึงใครๆ ก็ต้องคิดพิศวง
พระชนม์แปดสิบพรรษ์อันมั่นคง สอนพระภิษม์ให้ทรงพิจารณ์การณ์
มีข้อหนึ่งสอนให้ ‘อย่าใหลหลง รีบจบลงเร็วนักไร้หลักฐาน’
เธอสำคัญมั่นจิตต์คิดวิจารณ์ ว่าห้าปาณฑพนั้นไม่บรรลัย
อรชุนชายชาญในการศร หรือจะนอนให้เขาฆ่าน่าสงสัย
เธอคงเที่ยวสัญจรซุกซ่อนไป กว่าจะได้พ้นปีที่สัญญา
เกรงว่าพระทุรโยธน์ผู้โฉดเขลา พระทัยเฝ้าใฝ่ฝันคิดหรรษา
หลงว่าปาณฑพตายคลายสงกา ศึกจะมาโจมจู่ไม่รู้ตน
ท่าน ‘กฤปาจารย’ ผู้รอบรู้เหตุ ได้สังเกตกิจการวิจารณ์ผล
ก็เห็นพ้องต้องกันมั่นกมล ทั้งสามคนมิได้งำเฝ้าอำพราง
เมื่อทุรโยธน์ตรัสถามข้อความนี้ ต่างทูลชี้เหตุผลจนกระจ่าง
ที่สุดทูลแนะนำเป็นคำกลาง ให้สองข้างพี่น้องปรองดองกัน
“ความจริงข้าครุ่นคิดพิศวง ห่วงพระองค์ว่าจะได้ภัยมหันต์
ซึ่งจะเกิดภายหลังตั้งอนันต์ ยังมิทันเตรียมตนผจญภัย
ส่วนปาณฑพห้าไท้ข้าไม่ห่วง เธอทั้งปวงยังคงไม่สงสัย
พอบขวบปีที่สิบสามพ้นข้ามไป คงจะได้พบกันเป็นมั่นคง
บัดนี้ก็เกือบหมดกำหนดแล้ว ข้าบาทแน่วแน่จิตต์คิดประสงค์
ให้ไมตรีมีคืนอยู่ยืนยง ร่วมเป็นวงศ์เดียวกันนิรันดร
รีบสมานไมตรีศรีสวัสดิ์ เพื่อพิพัฒน์ภีย์โยสโมสร
ช้าไม่ได้, ภัยแท้เป็นแน่นอน จะเกิดร้อนรนราษฎร์และญาติไท”
อำมาตย์ผู้สืบการณ์เรื่องปาณฑพ ได้ฟังจบสามท่านทูลขานไข
ไม่กล้าขัดทัดทานประการใด เพราะสืบไม่ทราบข่าวเรื่องราวมา
จึงเอาข่าวคราวเรื่องเมืองวิราฎ เป็นโอกาสผันแปรทูลแก้หน้า
“ขอเดชะ, พระราชอาชญา ไม่พ้นข้าบาทมูลขอทูลไท
เจ้าปาณฑพภ๎ราดาอย่าฉงน คงวายชนม์มั่นคงสิ้นสงสัย
ข้าบาทได้ข่าวดีกว่านี้ไป คือข่าวในกรุงวิราฎ, ฆาตกรรม
กิจกะมิตรท่านเจ้าปาณฑพ ผู้นักรบเรืองชื่อฝีมือล้ำ
ถูกทำลายชีวาตม์อุบาทว์นำ สิ้นผู้สำคัญจักพิทักษ์เมือง
บุญพระองค์ทรงภพเการพรัฐ จักพิพัฒน์แผ่เขตต์เดชกระเดื่อง
ธงเการพจักตั้งมลังเมลือง ปลิวอยู่เบื้องบนราชปราสาทชัย
แห่งวิราฎกรุงไกรในมิช้า เกียรติจักปรากฏจบสบสมัย”
ทุรโยธน์ฟังคำร่ำพิไร ปลื้มพระทัยอย่างดรุณรุ่นคะนอง
ลืมเหตุการณ์ปาณฑพปรารภอยู่ ไม่ฟังผู้สอนสั่งสิ้นทั้งผอง
ตรัสประภาษขาดคำด้วยลำพอง ให้เตรียมกองพลรบจงครบครัน
เพื่อโจมเข้ารบพุ่งกรุงวิราฎ ในโอกาสทันทีขมีขมัน
ฝ่ายนายทัพรับบัญชาไม่ช้าพลัน มาเกณฑ์กันอลหม่านทุกด้านไป
ในไม่ช้าทัพเหล่าพวกเการพ ก็เตรียมครบครันดังรับสั่งไข
ถึงวันดีกรีธาพลคลาไคล มุ่งตรงไปกรุงวิราฎรีบคลาดคลา
แม่ทัพใหญ่นำพหลพลขันธ์ สุศรมัน นามขนาน, ซึ่งหาญกล้า
พร้อมแม่ทัพนายกองรองลงมา ล้วนลือชาเชี่ยวชาญการสงคราม
ทัพเการพครั้งนี้เป็นที่เยี่ยม เพราะตระเตรียมแต่ทหารชาญสนาม
พร้อมสรรพสี่เสนาสง่างาม เป็นเหล่าหลามแลหลากมากอนันต์
เสนาม้าขี่ม้าสง่าเลิศ ถือทวนเชิดชูทวนล้วนแข็งขัน
เสนาช้างขี่ช้างสำอางครัน ถือของ้าวชูชันของ้าวงอน
เสนารถขับรถงามชดช้อย ถือศรง่าบ่าห้อยแล่งลูกศร
เสนาเดิรเท้าเร้าเดิรเท้าจร ถือศัสตราร่าร่อนรำศัสตรา
ทุกเสนาร่าเริงบันเทิงถ้วน เดิรขบวนพลขันธ์ด้วยหรรษา
ยกทัพกรุงหัสดินสิ้นทุกครา ไม่เคยร่าเริงล้นเหมือนหนนี้
เพราะต่างเห็นเป็นแท้แน่ชะนะ ทุกคนกระหยิ่มเอมเกษมศรี
พอทัพชัยใกล้แดนแคว้นบุรี ข่าวทัพนี้ทราบสิ้นถิ่นนคร
ฝ่ายข้างท้าวเจ้าวิราฎประกาศให้ เตรียมกรุงไกรตรวจการด่านขนอน
ขมักเขม้นเกณฑ์พหลพลนิกร เพื่อราญรอนต้านทานทุกด้านทาง
พระองค์ทรงปรึกษาเสนามาตย์ เห็นเด็ดขาดควรจัดรีบขัดขวาง
ชิงต้านทานราญรณแต่ต้นทาง อย่าให้ย่างเหยียบแดนแคว้นบุรี
ทรงเตรียมทัพสรรพเสร็จเสด็จยาตร ขึ้นทรงราชรถทองอันผ่องศรี
เคลื่อนพหลพลขันธ์ในทันที พร้อมด้วยสี่เสนารีบคลาไคล
ประทะทัพหัสดินณถิ่นกว้าง เป็นทุ่งห่างเขาเขินเนินไศล
ทั้งสองฝ่ายหยุดพหลพลไกร เพื่อตรวจไตรเตรียมรบให้ครบครัน
ต่างชะงักพักอยู่เพื่อดูท่า ดังพญาเสือสองผยองผัน
เมื่อยามมาพบปะประทะกัน ต่างคุมชั้นเชิงเฝ้าเข้าประจญ
ลงท้ายสุศรมันไม่งันอยู่ กะเกณฑ์หมู่เสนาโกลาหล
ครั้นพร้อมพรั่งสั่งให้ครรไลพล เข้ารุกรณรำบาญทุกด้านไป
ข้างฝ่ายทัพกรุงวิราฎอันอาจหาญ เข้าต้านทานทัพขันธ์สนั่นไหว
เสียงฝีเท้าม้ารถคชไกร เสียงกลองชัยเภรีตีระดม
เสียงทหารโห่อึกทึกลั่น ก้องสนั่นทุ่งกว้างปางถล่ม
ต่างเหยียบย่ำคาแฝกล้มแหลกจม ลงประสมฝุ่นกลบตลบไป
พอสองทัพใกล้กันประชันหน้า ก็โปรยห่าฝนลูกศรว่อนไสว
เสียงหวือหวู ! ดูประหนึ่งฝูงผึ้งไพร ซึ่งบินในเวหาสดาษดา
เสียงสายศรผางผึงอึงสนั่น เสียงลูกศรโดนกันลั่นเวหา
ที่บางลูกแล่นถูกจมูกตา ถูกแขนขาร่างกายพวกฝ่ายบร
บางลูกแล่นหวือไปโดยไร้ผล ตกดินกล่นกลาดไปในสมร
ทั้งสองทัพขับพลเข้ารณรอน ดูพลจรดุจคลื่นดาษดื่นไป
ไม่ช้าสองทัพขันธ์ประจันหน้า ม้าต่อม้าเข้าประจัญสนั่นไหว
มือถือทวนเทิดจ้องต่างว่องไว ควบม้าไล่รำทวนเข้าสวนแทง
พลช้างเชิดของ้าวคมขาววับ ต่างก็ขับช้างชนไม่ย่นแหยง
ช้างเข้าเสยงางัดคัดตะแบง ผู้ขี่แกว่งขอฟาดเสียงฉาดฉับ
เสนารถเร่งรถไม่ลดละ เข้าปะทะไพรีซึ่งรี่รับ
กุมศรแสงแผลงขนาบเสียงขวาบขวับ ต่างกลอกกลับแกล้วกล้าดูน่าชม
พลเดิรเท้าเข้าประเชิญพลเดิรเท้า สำเนียงเหล่าทวยหาญขานขรม
เสียศัสตราประกันลั่นระงม ต่างเกลียวกลมกลาดกลุ้มตะลุมบอน
ทันใดท้าวเจ้าวิราฎผู้อาจหาญ กรรมบันดาลไท้ถูกซึ่งลูกศร
แต่แผลไม่สาหัสถึงตัดรอน พระภูธรฝืนองค์ดำรงกาย
เข้ารบรุกเรื่อยไปมิได้ยอ เพื่อให้ก่อหาญกล้าเสนาหลาย
ต่างเข้าโถมโจมใส่ทั้งไพร่นาย ทั้งสองฝ่ายฝ่ารุกต่างบุกบัน
ที่สุดทัพชาววิราฎขยาดย่น ด้วยอ่อนรณอ่อนแรงไม่แข็งขัน
เหลือจักยั้งตั้งอยู่สู้ประจัญ ก็พากันถอยร่นไม่ทนทาน
‘สุศรมัน’ ขับรถสะกดไล่ พอเข้าใกล้เจ้าวิราฎผ้อาจหาญ
ขว้างบ่วงบาศมัดไท้มิได้นาน จับภูบาลไปได้จากไพร่พล
ฝ่ายกองกัพกรุงวิราฎเห็นขาดเจ้า โทษะเร้าแรงกล้าโกลาหล
ไม่คิดตายหมายเข้าแย่งเจ้าตน ต่างรุกร้นเร่งทหารเข้าราญรอน
ผู้ใดยั่นฟันศีรษะไม่ละเว้น ระดมเผ่นโผนยุทธ์ไม่หยุดหย่อน
พวกไพรีมีขวัญประชันกร กลับตีต้อนแตกมาทุกคราไป
ในที่สุดสับสนอลหม่าน ต่างทะยานแย้งสู้อยู่ไสว
เข้าแทรกแซงแทงฟันสนั่นไป จนพวกไพรีร่นอย่฿ลนลาน
มีชายดำล่ำสันชื่อ ‘พัลลภ’ คือภิมหลบรับใช้ในสถาน
เข้าอาสาโรมรันประจันบาน เห็นทหารเกลื่อนกลาดโอกาสมี
รีบเข้าแก้องค์ท้าวเจ้าวิราฎ ตัดบ่วงบาศโดยพลันขมันขมี
แย่งพระองค์มาได้จากไพรี ต่างยินดีโห่ร้องกึกก้องไป
ทำให้ทัพหัสดินสิ้นทั้งหมด ต่างสยดแหยงอยู่ไม่สู้ไหว
ทัพวิราฎได้ทีก็มีใจ เข้ารุกไร่เการพอยู่ครบครัน
ฝ่ายเการพร่นพ่ายกระจายหนี กลับบุรีหัสดินสิ้นทั้งนั้น
ทั้งศัสตราอาวุธยุทธภัณฑ์ สุศรมันแม่ทัพถูกจับไป
ท้าววิราฏครั้นได้ชัยชะนะ ทรงมีพระกรุณาบัญชาไข
ให้ปล่อยสุศรมันเสียทันใด และส่งไปเมืองตนพ้นภยันต์
ฝ่ายว่าพระทุรโยธน์ลิงโลดล้น เพื่อหวังผลโชคชัยซึ่งใฝ่ฝัน
พอทราบผลแพ้พ้ายอับอายครัน พิโรธลั่นเหลือแค้นแน่นกมล
ให้เตรียมทัพนับทวีขมีขมัน อเนกอนันต์เสนาโกลาหล
พระองค์เป็นแม่ทัพบังคับพล เคลื่อนพหลเสนาเร่งคลาไคล
ป่างพระจอมนครินทร์ปิ่นวิราฎ เผอิญคลาดแคล้วออกนอกวิสัย
ด้วยคิดว่าไพรีป่นปี้ไป คงจะไม่อาจหาญมาราญรอน
ฝ่ายเสนาบดีเมื่อมีข่าว จะทูลท้าวก็ไม่ทันสุดผันผ่อน
จำปรึกษากันสู้กู้นคร เกณฑ์นิกรโยธารักษาการ
เชิงเทินป้อมพร้อมพรักพลรักษา ส่งเสือป่าแมวเซาสืบข่าวสาส์น
เร่งระดมพลขันธ์มิทันนาน เพื่อต้านทานต่อแย้งแย่งประจัญ
รัชชทายาทรับบังคับหมด ถึงกำหนดเคลื่อนพหลพลขันธ์
ดำเนิรพลจตุรงค์อันยงยัน จนประชันทัพหน้าปัจจามิตร
ฝ่ายทัพหน้ากรุงวิราฎผู้อาจหาญ หน่วงรบราญรับรองคอยป้องปิด
จนทัพหลวงล่วงไปเข้าใกล้ชิด ต่างเข้าติดพันกันประจันบาน
ต่างต้อนพลรณรุกทั่วทุกเหล่า เสียงฝีเท้าม้ารถคชสาร
เสียงเป่าศังข์สัญญาบัญชาการ เสียงทหารโห่ร้องเสียงกลองชัย
ดังดั่งแสนขวานฟ้ามาผ่าด้าว แผ่นดินราวจะเขยื้อนกระเทือนไหว
ต่างรบรับขับเคี่ยวเป็นเกลียวไป บัดเดี๋ยวไล่บัดเดี๋ยวร่นอยู่วนเวียน
แลดูพลกล่นเกลื่อนเหมือนกับคลื่น ล้วนดาษดื่นพลขันธ์ต่างหันเหียน
เปนกลุ่ม ๆ เกลื่อนกลาดดาษเดียร ดูอาเกียรณ์เกลื่อนกลาดดาษดา
ทัพวิราฎมีข่าวกล่าวขยาย เรื่องเจ้าชายหนึ่งนั้นชันษา
ยังเป็นหนุ่มคุมซึ่งทัพหนึ่งมา ตามบัญชาแม่ทัพบังคับการ
ขับรถไปใกล้สนามขามขยาด เห็นเลือดดาษแดงตนพลทหาร
เห็นศพคนศพม้าคชาธาร ล้มกลิ้งแผ่แลลานพระเนตรไป
แสยงยั่นพรั่นจิตต์คิดสลด เผ่นจากรถเร็วพลันจิตต์หวั่นไหว
รีบผันผายหมายมุ่งกลับกรุงไกร ไม่มีใครล่วงรู้ทุกหมู่กอง
เพราะต่างตาต่างมุ่งรบพุ่งอยู่ พอสักครู่สารถีอึงมี่ร้อง
เห็นรถเปล่าแปลกจิตต์พินิศมอง พากันจ้องหานายซึ่งหายไป
เดิมมั่นหมายนายถูกซึ่งลูกศร แล้วม้วยมรณ์มั่นคงแต่สงสัย
เพราะไม่เห็นศพอยู่ดูกระไร เลือดก็ไม่มีหยดปรากฏตา
จึงหยุดพลค้นนายวุ่นวายอยู่ ทหารหมู่หนึ่งด้นเที่ยวค้นหา
พบเจ้าชายเชิญให้ครรไลมา ประหนึ่งว่าผู้คุมกุมชะเลย
ครั้นถึงกองทัพขันธ์พากันว่า “พระเจ้าข้า ! ดูเถิดช่างเปิดเผย
ซึ่งความขลาดอวดไพร่ข้าไม่เคย ต่างก็เอ่ยอรรถเอื้อนตักเตือนนาย
ทันใดนั้นสารถีผู้มีจิตต์ ภักดีคิดเกื้อกูลทูลขยาย
ให้เธอมีท่าทางอย่างผู้ชาย อธิบายบอกกลรณรำบาญ
ประเพณีมีมาสารถี แต่ล้วนมีนิสสัยผู้ใจหาญ
อย่างผู้นั่งรถศึกฝึกชำนาญ รอบรู้การรณรงค์เชิงสงคราม
ครั้งนี้เห็นเจ้าชายผู้นายทัพ ใจขยับแหยงย่อท้อสนาม
“เธอทอดทิ้งวิ่งเตลิดอีกเกิดความ ข้าศึกตามจับได้ล้วนไม่ดี
ถึงไม่แพ้ก็ไม่พ้นผู้คนติ ต่างดำหนินินทาสารถี”
คิดตกลงใจพลันในทันที ว่าควรมีอาวุธยุทธภัณฑ์
จงขับรถเร็วไปมิได้ช้า นำพลากรไปข้างไพรสัณฑ์
พอใกล้ต้นไม้ใหญ่ในอรัญ รีบผายผันเผ่นตรงเข้าดงดอน
ปีนขึ้นบนต้นไม้ด้วยไวว่อง หยิบเอาของคู่มือกล่าวคือศร
พร้อมแล่งลูกแลคร่ำรีบนำจร มายังรถรีบต้อนนิกรพล
ถึงสนามรบพลันจึงผันหน้า บอกนาย “อย่าคิดขลาดขยาดย่น”
ทิ้งบังเหียนก่งศรไม่ร้อนรน ปากก็บ่นอธิบายให้นายฟัง
“ม้าจะพารถไปทางไหนนั้น ไม่ว่ามันปล่อยไปตามใจหวัง
เพราะไพรีร่นถอยน้อยกำลัง ล้วนพ่ายพังแพ้ทั่วกลัวอะไร ?
ดูข้าเจ้าจะแสดงการแผลงศร จำไว้รอนราณศึกฝึกให้ได้!”
หยิบลูกศรขึ้นพาดแผลงกราดไป ด้วยว่องไวแลลานตระการตา
ศรถูกหนึ่งตกลงตรงพระพักตร์ พระภิษม์นักรบอันสูงชันษา
ลูกหนึ่งตกแทบเท้าเฒ่าชรา คือโท๎รณาจารย์ผู้ครูโบราณ
ทั้งสองท่านตกใจรีบไขว่คว้า ลูกศรมาดูพลันสันนิษฐาน
ตระหนักจิตต์คิดรู้ว่าผู้ชาญ แผลงประหารเศียรท่านก็ลาญชนม์
ทั้งนี้เขาแผลงมาสักการะ สองท่านกะสังเกตในเหตุผล
จึงรีบทูลชี้แจงแจ้งยุบล แก่จอมพลทุรโยธน์ “จงโปรดตรอง
เดิมเราคิดมุ่งมาดคาดชะนะ ครั้งนี้จะหมดหวังสิ้นทั้งผอง
ลูกศรนี้ข้าได้สนใจมอง เห็นเป็นของอรชุนด้วยคุ้นกัน
เขาแผลงมาหาเราข้าเดาจิตต์ คงไม่คิดปองฆ่าให้อาสัญ
เปนแต่แผลงมานบอภิวันทน์ จึงให้มันตกมาข้างหน้าครู”
ทุรโยธน์ฟังคำแสร้งทำสรวล จิตต์ใคร่ครวญเหตุผลชอบกลอยู่
นึกอิ่มใจได้ประสพพบศัตรู จักได้ขู่คาดคั้นตามสัญญา
เพื่อเพิ่มโทษเนรเทศจากเขตต์ขัณฑ์ สิบสองพรรษาซ้ำสมน้ำหน้า
จึงนำข้อใคร่ครวญทั้งมวลมา สนทนากับพระภิษม์คิดทะยาน
พระภิษม์เฝ้าฟังตรัสสมบัติบ้า นึกระอาอัดอั้นใคร่บรรหาร
พออ้าโอษฐ์ทูลพลันก็บันดาล ได้ยินขานโห่ลั่นกระชั้นมา
ด้วยรถศึกฝ่ายวิราฎผู้อาจหาญ ขับทะยานบุกบั่นประชันหน้า
พร้อมไพร่พลกล่นกลาดดาษดา แผลงศรซ่าสาดไปยังไพร่พล
รถแม่ทัพขับมาหน้าทาหาร เข้ารำบาญบุกไร่มิได้ย่น
ทัพเการพวุ่นว้าจลาจล กระจายร่นเร่หนีป่นปี้ไป
พอข้าศึกแตกพ่ายกระจายหนี สารถีผู้หาญจึงขานไข
แก่เจ้าชายนายตน “จงสนใจ รบให้ได้ดังนี้” พลางชี้แจง
“ดูเถิดทัพไพรีแตกปี้ป่น แต่พวกพลเราราญหาญกำแหง
เพราะนายทัพโดยแท้เป็นแม่แรง ได้แสดงเดชไว้แก่ไพร่พล
จงฟังเสียงแซ่ซร้องกองหหาร สาธุการทั่วหน้าโกลาหล
เขาชมท่านหาญกล้าเข้าฝ่ารณ สู้ประจญไพรีจนมีชัย”
เจ้าชายฟังสารถีชี้แถลง พระพักตร์แดงยินดีจะมีไหน
ฟังประชาสาธุการเบิกบานใจ ต้อนพหลพลไกรกลับนคร
พลทหารโห่ลั่นสนั่นเสียง ฝ่าสำเนียงครวญครางกลางสมร
แห่งผู้บาดเจ็บกลาดอนาถนอน อยู่ซับซ้อนเลือดฝาดแดงดาษไป
เดิรทัพเข้ากรุงไกรด้วยใจชื่น ชาวเมืองดื่นดาษดูอยู่ไสว
เจ้าชายกับสารถีผู้มีชัย ต่างปราศรัยสนทนามาหน้าพล
เมื่อถึงที่พักทัพก็ยับยั้ง ชาวเมืองพรั่งพร้อมหน้าโกลาหล
ต่างกระหยิ่มอิ่มเอมเปรมกมล ด้วยฝ่ายตนมีชัยแก่ไพรี

 

แชร์ชวนกันอ่าน

แจ้งคำสะกดผิดและข้อผิดพลาด หรือคำแนะนำต่างๆ ได้ ที่นี่ค่ะ