ครั้นเตรียมเสร็จสมหมายอุบายลับ |
เตรียมต้อนรับเตรียมนิวาสราชฐาน |
พระหน่อไททุรโยธน์แสนโปรดปราน |
จึงเข้าเฝ้าภูบาลพระบิดร |
พลางประณตจดนลาตแทบบาทไท้ |
ร่ำพิไรทูลกิจอดิศร |
แสร้งกันแสงโศกศัลย์รำพันวอน |
เนตรภูธรเยิ้มหยัดอัสสุชล |
“ข้าแต่องค์พระชนกผู้ปกเกล้า |
ข้าบาทเศร้าโศกแสนคับแค้นล้น |
ด้วยปาณฑพหลานยาทั้งห้าคน |
ซึ่งจุมพลปราณีแบ่งที่ทาง |
แสนโอหังตั้งแข็งเหมือนแมงป่อง |
ซึ่งลำพองผันผกกะดกหาง |
เห็นผู้คนยกยอทำข้อกาง |
บัดนี้สร้างกรุงไกรออกใหญ่โต |
หัสดินบุรีเคยมีชื่อ |
บัดนี้หรือย่อมเยาว์ว่าเขาโข |
ทั้งปราสาทราชฐานตระการโอ! |
ล้วนแต่โสภายิ่งทุกสิ่งไป |
ท้องพระคลังคั่งคับด้วยทรัพย์สิน |
ดังเมืองอินทร์ลอยมาก็ว่าได้ |
ข้ามหน้าเราเหลือแสนน่าแค้นใจ |
ข้าบาทไม่อยากอยู่ให้ดูแคลน |
สู้วอดวายตายหนีเสียดีกว่า |
ในอกข้าบาทช้ำระกำแสน |
นี่หากลุงศกุนิช่วยตริแทน |
บรรเทาแค้นขุ่นลงจึงคงชนม์ |
ท่านชี้แจงแยบคายอุบายให้ |
ข้าบาทไตร่ตรองเห็นว่าเป็นผล |
อาจหักราญคู่แข่งด้วยแต่งกล |
ให้มัวมนท์เมาข้างทางพะนัน |
จักเชิญองค์พระกนิษฐ์ยุธิษเฐียร |
มามนเทียรที่แต่งไว้แข่งขัน |
เล่นสะกาท้าเติมซึ่งเดิมพันธุ์ |
ซึ่งหมายมั่นว่าชะนะทุกกะดาน |
เอาด้วยกลจนกว่าข้าพระบาท |
ได้คืนราชสมบัติพัสถาน |
ซึ่งตบแต่งแบ่งขาดพระราชทาน |
มาสู่ร่มสมภารดังเดิมมา |
แม้ข้าบาทขาดโชคโฉลกลาภ |
จะรับบาปโดยดีสู้หนีหน้า |
ให้เขาได้ปกป้องครองสีมา |
เป็นราชาเชิดอยู่แต่ผู้เดียว |
มิฉะนั้นข้าต้องปกครองครบ |
ไม่ควรลบหักอีกเป็นซีกเสี้ยว |
แคว้นหนึ่งมีสองไท้ไม่ได้เจียว |
ต้องขับเคี่ยวแข่งกันนิรันดร์ไป |
ราศีหนึ่งดาราคู่ราศี |
จะต้องมีหมู่หนึ่งจึงจะได้ |
จะให้มีหลายหม่ดูกระไร |
ภูวไนยจงคิดพินิจตรอง” |
ธฤตราษฎร์ฟังพจน์โอรสรัก |
ดำรัสตักเตือนไปมิให้หมอง |
“ลูกเอ๋ย! กลีบตาเจ้า, เจ้าก็มอง |
ไม่เห็น, ผองชนเห็นได้เด่นชัด |
ความเศร้าใจใหญ่โตด้วยโทษะ |
ชั่วขณะคลั่งไคล้ใจวิบัติ |
ด้วยไฟคือโทษะเผามนัส |
ไม่เป่าปัดหรือไฉนอย่างไรกัน |
โทษัคนีมีอยู่ครู่ขณะ |
ควรหรือจะผลาญญาติคิดคาดคั้น |
เขาได้ทนทุกข์ยากลำบากครัน |
ควรผ่อนผันให้เขาเนาสราญ |
ก่อร้ายต่อไพรีมีอำนาจ |
เหมือนปลุกราชไกรสรมาย้อนผลาญ |
อนึ่งเรื่องการพะนันอันธพาล |
อย่ามาขานชื่อให้พ่อได้ยิน |
มันมีแต่แส่เพาะความเคราะห์ร้าย |
พาฉิบหายย่อยยับแห่งทรัพย์สิน |
ฟังแสยงเยี่ยงตนเปื้อนมลทิน |
เหมือนกลากกินหูเหืองฟังเรื่องมัน |
พ่อแสนเบื่อเหลือจะอนุญาต |
เพราะขยาดแหยงจิตต์ให้คิดพรั่น |
ถามวิทูรดูบ้างเห็นต่างกัน |
หรือเป็นอันเห็นพ้องลองบรรยาย” |
พระวิทูรทูลพลันเพราะคันโอษฐ์ |
“ประทานโทษข้านี้ขอชี้ถวาย |
แต่โดยสิ่งจริงใจใช่อุบาย |
ด้วยมุ่งหมายสัทธรรมนำเจริญ |
ไม่เท็จทูลสอพลอแต่พอให้ |
นายพอใจพอกรรณได้สรรเสริญ |
เหตุนี้คำหม่อมฉันมักพันเอิญ |
จะก้ำเกินก่อให้ผิดใจนาย |
ครั้งนี้เห็นค่อนข้างเป็นอย่างนั้น |
ขอทรงธรรม์ตรองความให้งามหลาย |
กระหม่อมฉันเห็นว่าน่าละอาย |
ที่มุ่งหมายแย่งสินและดินแดน |
จากพี่น้องของไท้ด้วยใจคด |
อัปยศอัปลักษณ์เสียศักดิ์แสน |
ภายหน้าผลป่นปี้ถึงบี้แบน |
จักมาแทนที่ผลซึ่งตนปอง |
ข้าพระบาทเห็นว่าเป็นหน้าที่ |
ซึ่งจะชี้แจงการณ์สารสนอง |
เตือนพระองค์ทรงชัยโปรดไตร่ตรอง |
ความคิดของข้าเห็นเป็นฉะนี้” |
ความไม่พอหฤทัยในพระบาท |
ธฤตราษฎร์บิตุรงค์ผู้ทรงศรี |
ซ้ำวิทูรค้านต่อข้อคดี |
ทำให้มีริษยาขึ้นกว่าเดิม |
ให้บังเกิดมานะไม่ละลด |
กิจกำหนดเตรียมไว้ก็ได้เริ่ม |
ส่งทูตไปลวงล่อคิดต่อเติม |
เฝ้าผูกเพิ่มไมตรีทุกวี่วัน |
แล้วจึงเชิญปาณฑพครบทั้งห้า |
เสด็จมายังนิเวศน์ณเขตต์ขัณฑ์ |
เล่นสะการ่าเริงเชิงพะนัน |
ตามเยี่ยงฉันญาติเชื้อเพื่อสำราญ |
ยุธิษเฐียรบพิตรอดิศร |
เกียรติกำจรโจษแจแผ่พิศาล |
ประชาราษฎร์รื่นร่มพระสมภาร |
ด้วยภูบาลทรงธรรมอันอำไพ |
พระทรงโปรดเล่นสะกากีฬาหลวง |
นี้เป็นบ่วงคล้องบาทไม่คลาดได้ |
ทรงรับเชิญทุรโยธน์โปรดกระไร |
มอบกรุงไกรแก่มหาเสนาบดี |
ชวนมารดามหิษีและสี่น้อง |
พร้อมด้วยผองเสนาสง่าศรี |
เสด็จจากอินทรปรัสถ์สวัสดี |
ถึงบุรีหัสดินดังจินดา |
สมเด็จไท้ธฤตราษฎร์พระญาติพร้อม |
มาแห่ห้อมทรงธรรม์ด้วยหรรษา |
พาเสด็จสู่วังอลังการ์ |
รับรองผาสุกใจทั้งไพร่นาย |
ครั้นเสร็จการต้อนรับประทับพัก |
ณตำหนักโอฬารตระการหลาย |
ก็เริ่มต้นเล่นสะกาตามท้าทาย |
กับเจ้าชายทุรโยธน์ด้วยโปรดปราน |
แสนสงสารบพิตรยุธิษเฐียร |
ไม่ทราบเสี้ยนศึกร้ายหมายประหาร |
เขาถ่วงลูกบาศก็ไว้ด้วยใจพาล |
ทุกกะดานภูบดีไม่มีชัย |
ปรึกษาพี่น้องกันว่าวันร้าย |
จึงฉิบหายปี้ป่นทนไม่ไหว |
จึงหยุดพักพ้นวันเปนจัญไร |
เล่นวันใหม่ก็ไม่สมอารมถ์เปอง |
ยิ่งทรงแพ้พาให้ใจกระหาย |
หมดเสียดายทรัพย์สินสิ้นทั้งผอง |
มีเท่าใดใฝ่หาเอามากอง |
จนเงินทองสิ้นองค์ทรงเดือดดาล |
พระพักตร์มืดหมดอายหมายชะนะ |
ไม่เลือกละม้ารถคชสาร |
ทรงปลดเปลื้องเครื่องทรงอลงการ |
ตีประมาณค่าเติมเป็นเดิมพันธุ์ |
ก็แพ้เขาเบาองค์แทบทรงคลั่ง |
ไม่หยุดยั้งหฤทัยคิดใฝ่ฝัน |
เอาสมบัติในพระคลังตั้งพะนัน |
ที่สุดขัณฑาสีมาอาณาจักร |
ก็แพ้รุดหลุดหัตถ์ให้อัดอั้น |
ถึงกระนั้นยังกระหายสิ้นขายพักตร์ |
เอาสี่น้องและองค์พระทรงศักดิ์ |
ที่สุดองค์นงลักษณ์เท๎ราปที |
เข้าขันสู้กู้ชัยก็ไม่สม |
กลับล่มจมสารพัตรน่าบัดสี |
เสียพระน้องปองรักด้วยภักดี |
เสียเทวีร่วมใจอาลัยลาน |
พระภิษม์, พราหมณ์โท๎รณะ, พระวิทูร |
ต่างอาดูรด้วยพระองค์คิดสงสาร |
ฝ่ายพระกรรณยิ้มละไมด้วยใจพาล |
กับกุมารทุศศาสน์ราชกนิษฐ์ |
แห่งองค์พระทุรโยธน์ปราโมทย์นัก |
ต่างพะยักเย้ยเยาะด้วยเหมาะจิตต์ |
พระทุรโยธน์ชื่นชมด้วยสมคิด |
ประกาศิตสั่งวิทูรพูลฤดี |
“ไปนำนางกฤษณามาในห้อง |
ข้าอยากมองดูหน้านางทาสี |
ซึ่งเดิมเด่นเป็นมหาราชินี |
ยังจะมีหยิ่งยศหรือลดลง” |
พระวิทูรทานทัดขัดบรรหาร |
“ขอประทานโทษข้าฝ่าประสงค์ |
ข้าบาทเห็นเป็นโทษโปรดอย่าทรง |
กระทำ, คงเกิดมีกลีภัย |
เหมือนยั่วปาณฑพให้ผูกใจแค้น |
ดังเพลิงแล่นลุกฮือกระพือไหม้ |
เอานางมาว่าเย้ยเห็นเลยไป |
เหมือนหมิ่นต่ออรทัยด้วยใจจินต์ |
หมิ่นอย่างยั่วโทโษให้โตเติบ |
จะกำเริบลามลุกไปทุกถิ่น |
ตลอดเม็ดกรวดทรายรายแผ่นดิน |
นครอินทรปรัสถ์เป็นศัตรู |
ทุรโยธน์ฟังขัดทรงตรัสพ้อ |
พลางด่าทอกริ้วกราดตวาดขู่ |
โกรธวิทูรฉุนเฉียวไม่เหลียวดู |
“เฮ้ย ! ใครอยู่นั่นหวาอย่าช้าที |
ไปเกาะนางกฤษณามาให้ได้ |
เร็วเข้า ! ไปเร็วพลันขมันขมี” |
ราชบุรุษจึงพลันอัญชลี |
รีบไปที่พระตำหนักห้องพักนาง |
วิทูรผู้ซื่อสัตย์เหลือขัดไท้ |
ถอนใจใหญ่นึกบ่นด้วยหม่นหมาง |
“โอ้ ! ทุรโยธน์หยาบใหญ่น้ำใจวาง |
ทอดทิ้งทางธรรมสิ้นไม่ยินดี |
นิยมทางทุจจริตคิดสมคบ |
มุ่งประสพแต่อบายไม่หน่ายหนี |
เมื่อหว่านพืชใดลงก็คงมี |
ผลตามที่หว่านไว้มิได้แปร” |
สงสารเจ้าเท๎ราปทีผู้มีศักดิ์ |
ไม่ประจักษ์ภัยพ้องโดยถ่องแท้ |
ประทับแท่นแสนห่วงในดวงแด |
อยากทราบแพ้และชะนะตกกะใคร |
พอบุรุษรับสั่งมายังห้อง |
ดูทำนองอาจองค์น่าสงสัย |
มาถึงทูลข้อความแก่ทรามวัย |
ตามที่ไท้ทุรโยธน์โปรดบัญชา |
ตกพระทัยไหวหวั่นสั่นสะท้าน |
ทรงห้ามการเศร้าไว้แต่ในหน้า |
แข็งพระทัยไต่ถามตามสงกา |
“พนายจ๋า ! ฉันฟังดูยังแคลง |
โสตฉันฟังถูกแท้แน่ละหรือ? |
ท่านผู้ถือเที่ยงตรงจงแถลง |
หรือสามีดีฉันท่านแสดง |
ว่าแพ้แข่งขันสิ้นยังกินใจ |
หรือทรงเสียพระสติดำริหลง |
เอาเมียลงเล่นสะกาว่าไฉน? |
หรือหมดทรัพย์สิ้นท่าว่ากระไร? |
โปรดบอกให้ชัดหน่อยจะคอยฟัง” |
ราชบุรุษทูลว่า “หามิได้ |
สติให้ดังเดิมไม่เคลิ้มคลั่ง |
แต่ทรงเสียทรัพย์สินสิ้นพระคลัง |
และเสียทั้งแดนดินถิ่นนคร |
เสียพระน้องเสียองค์ผู้ทรงราชย์ |
เสียพระนาฏราชินีศรีสมร |
แก่ท้าวไททุรโยธน์, โปรดให้จร |
มาตามองค์บังอรเสด็จไป” |
พระนางฟังคั่งแค้นด้วยแสนเศร้า |
แข็งบรรเทาโศกศัลย์ไม่หวั่นไหว |
ขยับองค์ทรงยืนฝืนพระทัย |
แถลงไขด้วยแค้นแน่นกมล |
ถ้าราชาสามีของดีฉัน |
เอาพระองค์ลงพะนันเป็นชั้นต้น |
เมื่อแพ้เขาก็เป็นทาสอนาถจน |
ก็หลุดพ้นภูมิเก่าเป็นเจ้านาย |
จึงหมดสิทธิ์จะเอาฉันพะนันเขา |
เพราะทาสเปล่าทรัพย์สินสิ้นทั้งหลาย |
ฉันยังเปนราชินีน๋ะ! พี่ชาย |
ทาสจะขายฉันได้อย่างไรกัน? |
ไปบอกแก่ภัสดาดังว่านี้ |
ว่า ‘ไม่มีผู้ใดเคยได้ฉัน’ |
ราชบุรุษฟังคำนางรำพัน |
ครั้นจบผันจรดลสู่มนเทียร |
จึงนำคำราชินีขึ้นชี้ไข |
แก่ท้าวไททรงฤทธิ์ยุธิษเฐียร |
พระทุรโยธน์ด่าทอว่าล้อเลียน |
เกาพระเศียรแสนโกรธพิโรธแรง |
ดำรัสใช้ทุศศาสน์ราชอนุช |
“เร็ว! ไปฉุดโฉมนางแม่คางแข็ง |
มาเฝ้าเราที่นี่มาชี้แจง |
ให้แจ่มแจ้งต่อหน้าประชาชน” |
ฝ่ายว่าองค์อนุชพระทุศศาสน์ |
หินชาติจิตต์ใจไร้กุศล |
ถือรับสั่งรีบรัดมาบัดดล |
กรากเข้าห้องนฤมลเท๎ราปที |
ครั้นถึงทูลนงเยาว์ “โอ้! เจ้าหญิง |
ผู้ยอดมิ่งบัญจาลพิศาลศรี |
เธอไม่รู้หรือว่าท่านสามี |
เอาเธอตีเป็นทรัพย์นับพะนัน |
บัดนี้เธอตกลงคงเป็นสิทธิ์ |
แก่บพิตรทุรโยธน์,โปรดให้ฉัน- |
พาเธอไปเฝ้าองค์พระทรงธรรม์ |
ตามอย่างฉันที่เป็นนายข้างฝ่ายเธอ |
บัดนี้เธอตกไปในฐานะ |
เป็นบาทบริจาริกาเหนอ! |
แม่ตาแจ๋วจัดจ้านการบำเรอ |
คงโปรดเลอเลิศลอยอย่าน้อยใจ” |
นางสดับวาจาปรามาส |
หมิ่นประมาทเหลือล้นพ้นวิสัย |
พระกายสั่นริกรัวด้วยกลัวภัย |
ดาลพระทัยขึ้งแค้นแน่นพระทรวง |
พระหัตถ์สองป้องพักตร์ทรงลักเศร้า |
มิให้เจ้าทุศศาสน์เอื้อมอาจล่วง |
ดูถูกนาง, ปรางเผือดเดือดระลวง |
บัดเดี๋ยวช่วงโชติเลือดด้วยเดือดดาล |
หทัยเต้นเช่นตีเภรีย่ำ |
ให้ทรงอ้ำอึ้งอกสะทกสะท้าน |
นางกะโดดโลดออกนอกทวาร |
ให้พ้นการจับต้องในห้องใน |
พลันทุศศาสน์ผาดโผนกระโจนเข้า |
ไปจิกเกล้ากัลยาไม่ปราศรัย |
สงสารเจ้าเท๎ราปทีไม่มีใจ |
พักตร์ทรามวัยเผือดสีฉวีวรรณ |
อ่อนพระกายบ่ายเกล้าตามเขาคร่า |
ดังต้นไม้เมื่อพายุพัดผัน |
ย่อมออนเอนเบนลู่ไม่ชูชัน |
พระนางยันย่อเข่าลงเฝ้าวอน |
“โปรดอย่าต้องอินทรีย์ให้มีหม่น |
ด้วยมือมลทินมัวเหมือนตัวหนอน |
ท่านสุภาพทราบแท้เป็นแน่นอน |
ผมบังอรสตรีนี้ศักดิ์สิทธิ์ |
ธรรมดานารีที่สุภาพ |
แต่งกายหยาบน่าอายระคายคิด |
จักให้เฝ้าท้าวไทไม่สนิท |
จงมีจิตต์กรุณาโปรดปราณี” |
ทุศศาสน์ผู้ใจดำอำมหิด |
ไม่พินิจฟังว่ามารศรี |
จักวิงวอนสักเท่าไรไม่ไยดี |
ตอบวจีนางไปด้วยใจพาล |
“ไมว่ามีผ้าทรงหรือองค์เปล่า |
ต้องไปเฝ้าทรงธรรม์ตามบรรหาร |
จงเดิรตามข้าพเจ้าอย่าเนานาน |
แม้นดื้อด้านก็จะลากกระชากไป” |
ฝ่ายนงเยาว์เท๎ราปทีหมดที่หวัง |
ต้องเซซังผายผันจิตต์หวั่นไหว |
ภูษาทรงย่อยยับคับฤทัย |
ชลนัยน์นองเนตรทุเรศครัน |
พระเกศยุ่งเหยิงยับด้วยจับคร่า |
ถึงสภาออมอดกำสรดศัลย์ |
เห็นผู้คนกล่นกลุ้มชุมนุมกัน |
นางจึงบรรยายข้อขออภัย |
“ข้าแต่ท่านผู้ประธานสถานนี้ |
โปรดปราณีตูข้าอัชฌาสัย |
ที่แต่งตนกลนี้บัดสีใจ |
ยกโทษให้ข้าเจ้าผู้เข้ามา” |
พระภิษม์ผู้อาวุโสพราหมณ์โท๎รณะ |
อีกหมู่อมาตย์นั่งประดังหน้า |
เหลือบเห็นองค์อัคเรศเวทนา |
ต่างไม่กล้ามองดูอดสูใจ |
แต่องค์พระทุรโยธน์ผู้โหดเหี้ยม |
สันดานเปี่ยมทุจจริตเป็นนิสสัย |
ประภาษสั่งดังลั่นสนั่นไป |
“ทุศศาสน์ ! ไวเข้าน้องเปิดของดี |
เปลื้องภูษาผ้าสะไบอย่าให้เหลือ |
ชมผิวเนื้อนวลนางสำอางศรี |
ให้เห็นเต็มดวงตาพี่ยาที ! |
เร็วหน่อยพี่อยากชมให้สมปอง” |
พอวาจาลามกตกจากโอษฐ์ |
แสยงโสตผู้ฟังสิ้นทั้งผอง |
ต่างตะลึงลานลนชักขนพอง |
เพราะเป็นของอุกอาจอุจาดครัน |
เกิดเรรวนป่วนปั่นไหวหวั่นวุ่น |
บางท่านขุ่นแค้นเหลือตัวเนื้อสั่น |
เอามือคลำด้ามกะบี่ยักยี่ยักยัน |
ทำดังนั้นโกรธเหมือนค่อยเคลื่อนคลาย |
ทุศศาสน์ผู้ใจพาลปานพระพี่ |
ฟังวจีทุรโยธน์ผู้โหดร้าย |
ตรงเข้ายึดเยื้อแย่งเครื่องแต่งกาย |
ตามพี่ชายบัญชาไม่ช้าที |
แสนสงสารเท๎ราปทีนารีนาถ |
ให้หวั่นหวาดพระกมลเสือกสนหนี |
นางขอความช่วยเหลือเอื้ออารี |
จากท่านที่นั่งดูทุกผู้ไป |
“ข้าแต่ท่านหัวหน้าเจ้าขา ! ท่าน |
โปรดสงสารข้าน้อย, ปล่อยไฉน |
ท่านก็มีภรรยาธิดา, ไย |
จึงปล่อยให้สตรีผู้มีธรรม |
ถูกข่มเหงหยาบช้าต่อหน้าท่าน |
ด้วยอาการหินชาติอุบาทว์ล้ำ |
จะนิ่งอยู่ดูใจให้เขาทำ |
ทรกรรมแก่สตรีนี้หรือไร? |
ประทานโทษกรุณาตูข้าด้วย |
พระเจ้าช่วยเถิดเจ้าข้า ! ขออย่าให้ |
ข้าเจ้ารับอับอายร้ายสุดใจ |
ท่านนิ่งได้หรือเจ้าขา ? โปรดปราณี” |
ต่อนี้เงียบเหงาอยู่สักครู่หนึ่ง |
พระนางจึงกล่าวซ้ำคำฉะนี้ |
“โอ้! ไฉนนิ่งอยู่, ท่านผู้ดี |
หรือไม่มีท่านผู้ใดใครสักคน |
จะเอ็นดูชูหัตถ์ขึนปัดป้อง |
เพื่อคุ้มครองกิตติศักดิ์อัครผล |
แห่งสตรีอาภัพผู้อับจน |
ซึ่งหามลทินใดมิได้เลย |
โอ้! อำนาจชาติกุรุที่กุก่อง |
โอ้! เกียรติของภารตปรากฏเผย |
ตลอดหล้าปรารมภ์แต่ชมเชย |
ยังไม่เคยขาดลือระบือนาม |
บัดนี้ศูนย์สิ้นแท้แน่ละหรือ? |
กษัตริย์ผู้ตรูชื่อลือสนาม |
เลิกเป็นนักรบร่นย่นสงคราม |
ปล่อยให้ทรามเสื่อมชื่อหมดหรือไร” |
จึงพากันนิ่งได้ไม่อุจาด |
หรืออยากมองของประหลาด, ไม่หวาดไหว- |
ต่ออธรรมทุจจริต โอ้! จิตต์ใจ |
จักนิ่งได้หรือท่านวิจารณ์ดู” |
พระภิษม์ฟังคั่งแค้นด้วยแสนโกรธ |
เหลือพิโรธรั้งใจแทบไม่อยู่ |
โท๎รณพราหมณ์ฮึดฮัดกำหมัดชู |
ดังจะจู่หยักรั้งเข้าสังเวียน |
วิทูรโอดครวญช่วยงงงวยอยู่, |
พระภิมผู้พระกนิษฐ์ยุธิษเฐียร |
แกว่งคทาด่าก้องห้องมนเทียร |
ศาบานตั้งหวังเพียรมิเว้นวาย |
ขอกินเลือดทุศศาสน์ผู้ชาติเขลา |
ขอตีเข่าทุรโยธน์ผู้โหดร้าย |
ให้ย่อยยับด้วยคทาก่อนหน้าตาย |
เพื่อแก้อายแห่งเจ้าเท๎ราปที |
ทุรโยธน์เห็นคนอลหม่าน |
ต่างรำคาญเคืองขัดเรื่องบัดสี |
กลับเหิมฮึกคึกใจไขวจี |
แก่ธรรมบุตรโดยที่ตนมีชัย |
“เธอผู้ซื่อถือสัตย์จงตรัสชี้ |
ให้ผู้ที่พิศวงสิ้นสงสัย |
เธอเสียทรัพย์ทุกสิ่งจริงหรือไร? |
เสียเวียงชัย, เสียน้อง, ตัวของเธอ |
เสียทั้งพระมหิษีผู้มียศ |
แก่เราหมดหรือไฉนอย่าไพล่เผลอ |
บอกเขาหน่อยเพื่อกันฝันละเมอ |
แห่งผู้เซ่อเซอะสิ้นซึ่งคำนินทา” |
ยุธิษเฐียรก้มหน้าไม่กล้าตอบ |
พระกรรณชอบชูคอหัวร่อร่า |
แต่พระภิษม์เนตรช้ำหล่อน้ำตา |
ไม่พูดจาทัดทานประการใด |
เป็นเวลาสายัณห์ตะวันอ่อน |
รังสีรอนโรยแรมไม่แจ่มใส |
วิหคเหิรหารังสะพรั่งไป |
นภาลัยแดงดีดังสีคำ |
พราหมณ์ทั้งหลายร่ายเวทตามเพศไสย |
เมื่อสมัยสนธยาเวลาค่ำ |
ธฤตราษฎร์บิตุรงค์ผู้ทรงธรรม |
พระทัยสำราญรื่นชื่นกมล |
ทรงสดับลางร้ายข้างภายนอก |
หมาจิ้งจอกหอนร้องน่าพองขน |
ตกพระทัยไหวหวั่นพรั่นสกนธ์ |
ณบัดดลภูบดินทร์ยินวิทูร |
กะหืดกะหอบทูลคดีที่สลด |
เรื่องโอรสภูเบนทร์นเรนทร์สูร |
ได้ก่อบาปหยาบช้าเกิดอาดูร |
ตามเค้ามูลมีมาสารพัน |
กษัตรย์บอดทอดถอนฤทัยท่าน |
พระโองการเสียงเบากะเส่าสั่น |
“อ้ายลูกบาปหยาบช้าใจอาธรรม์ |
มันทำฉันให้ตรมระทมทรวง |
ดูเถิดก่อความอายให้ขายหน้า |
ถึงราชาบัญจาลและหลานหลวง |
มันแกล้งทำอรทัยให้ระลวง |
เป็นการล่วงเกินเจ้าเท๎ราปที |
ผู้ทรงคุณบริสุทธิ์งามผุดผ่อง |
ทำให้ต้องลางร้ายทำลายศรี |
ขอไหว้ไท้เทวดาอย่าให้มี |
ความกลีลุกลามขึ้นตามลาง” |
โปรดให้นำกฤษณาเข้ามาเฝ้า |
พระตรัสเล้าโลมใจให้ใสสร่าง |
“โอ้! พระหลานรักยิ่งผู้มิ่งนาง |
จงเบาบางเดือดดาลสงสารลุง |
บุตรของลุงเลวทรามทำหยามหยาบ |
พอลุงทราบสงสารดาลสะดุ้ง |
ลุงจักเข้าช่วยเหลือเอื้ออำรุง |
พระหลานจุ่งยกให้อภัยมัน |
ขออย่าให้เทวทัณฑ์ฉกรรจ์กาจ |
ด้วยอำนาจพระเป็นเจ้าเนาสวรรค์ |
ลงกระหม่อมมันผู้ลบหลู่ธรรม์ |
จงถือขันตีเถิดประเสริฐดี |
ปรารถนาสิ่งไร ? ลุงใคร่ถาม |
จะให้ตามปรารถนามารศรี |
ฝ่ายว่าองค์นงเยาว์เท๎ราปที |
น้อมโมฬีบรรยายถวายชัย |
“ขอพระองค์ทรงคุณการุณย์เลิศ |
จงกอบเกิดความสุขทุกสมัย |
จงโปรดให้ภัสดาข้าเป็นไทย” |
สมเด็จไท้ธฤตราษฎร์ประสาทพลัน |
ทรงให้พรเท๎ราปทีครั้งที่สอง |
นางสนองทรงเดชขอเขตต์ขัณฑ์ |
พร้อมเสนาอาวุธยุทธภัณฑ์ |
พระทรงธรรม์อนุญาตประสาทพร |
“โอ้! ที่หลานร้องขอไม่พอโทษ |
ที่ทุรโยธน์ทำไว้ไม่หลุดถอน |
ลุงให้พรครั้งที่สามแก่งามงอน |
เชิญบังอรเลือกขอให้พอใจ” |
นางฟังราชโองการพระผ่านเผ้า |
จึงน้อมเกล้าชี้แจงแถลงไข |
‘ข้าแต่องค์ภูบดินทร์ปิ่นไผท |
ข้าเกิดในวงศ์กษัตริย์จรัสนาม |
จักไม่ขอเกินควรรบกวนไท้ |
ตามที่ได้กรุณาคราที่สาม |
เป็นการขอจู้จี้ดังชีพราหมณ์ |
จะเกินงามเกินร่มพระสมภาร” |
จงโปรดให้ภ๎ราดาทั้งห้าเจ้า |
ได้คืนเข้าแดนดินถิ่นสถาน |
พร้อมพหลพลนิกรดังก่อนกาล |
พระภูบาลค่อยเบาเศร้าพระทัย |
พอปาณฑพจากไปมิได้ช้า |
พระภ๎ราดาทุรโยธน์โหดนิสสัย |
ไม่ผาสุกทุกข์ถมระทมใจ |
ขึ้นเฝ้าไทบิตุเรศเทวษครวญ |
ทูลตัดพ้อบิตุรงค์ผู้ทรงศักดิ์ |
สะอื้นฮัก! โหยร่ำทรงกำสรวล |
“โอ้! พระองค์ทรงชัยพระไม่ควร |
ที่จะด่วนเสือกไสพวกไพรี |
เหมือนปล่อยเสือเข้าป่าน่าวิตก |
คงเวียนวกรบพุ่งถึงกรุงศรี |
เขาเกรียงไกรในวุฒิยุทธวิธี |
เราคงปี้ป่นแท้เป็นแน่นอน |
ฉะนั้นจึงเลี่ยงท้าสะกาเขา |
ใครแพ้เอาเมืองกันไม่ผันผ่อน |
เขาแพ้, แต่ภูบาลประทานพร |
คืนนครให้เขาน่าเศร้าใจ |
ถ้าฝ่ายเราแพ้ลงคงพินาศ |
ใครจะอาจหยิบยื่นมาคืนให้ |
เขาก็จักข่มขี่เพราะมีชัย |
ครองกรุงไกรหัสดินนั่งกินเมือง |
ซึ่งเขากล้าแข่งขันพะนันนี้ |
เพราะหวังมีอำนาจได้ปราชญ์เปรื่อง |
อยากได้รัฐหัสดินบุรินทร์เรือง |
ไม่ต้องเปลืองรี้พลประจญชัย |
แม้ไม่รบด้วยสกาในครานี้ |
ก็ต้องมีสงครามลุกลามใหญ่ |
กำลังเราอ่อนแอมาแต่ไร |
จะสู้ได้ก็สะกาท้าพะนัน |
จงโปรดเกล้าอนุญาตข้าบาทอีก |
เพื่อเลี่ยงหลีกยุทธภัยน่าไหวหวั่น |
เอาฝีมือเชิงสะกาเข้าว่ากัน |
เล่นแข่งขันเอาสีมาอาณาจักร |
ใครแพ้ต้องจรไปอยู่ไพรสัณฑ์ |
สิบสองพรรษาออกนอกสำนัก |
แล้วจะต้องส้อนเร้นไม่เปนหลัก |
มิให้ใครพบพักตร์อีกหนึ่งปี |
แม้ข้าบาทแพ้เขาจะเข้าป่า |
ภาวนาธรรมถือเป็นฤๅษี |
ไม่ต้องรบร้อนราษฎร์ขาดไมตรี |
ด้วยจิตต์มีกรุณาประชากร” |
ธฤตราษฎร์ฟังพจน์โอรสรัก |
ทูลชี้ชักชวนให้พระทัยอ่อน |
ตรัสว่า “กรรมๆ! แท้ เป็นแน่นอน |
เหลือจะสอนเหลือจะสั่งน่าคลั่งใจ |
ลูกก็หาญหลานก็หันเข้าขันแข่ง |
เหลือจะแบ่งจิตต์ผันตามมันได้ |
ทำเนาเถิดตัวข้าไม่ว่าใคร |
ภวไนยเยื้องย่างเข้าปรางทอง |
ทุรโยธน์พร้อมพระศกุนิ |
ปรึกษาตริตรึกไตรเห็นได้ช่อง |
จึงส่งทูตคลาไคลด้วยใจปอง |
ชวนพระน้องภ๎ราดาท้าพะนัน |
ฝ่ายพระองค์ทรงฤทธิ์ยุธิษเฐียร |
พระทัยเพียรผูกแค้นแสนกระสัน |
จะกู้ชัยฝ่ายเดียวขับเคี่ยวกัน |
พระทรงธรรม์มิได้แคลงระแวงกล |
พระมารดามหิษีและพี่น้อง |
อำมาตย์ผองทูลทัดก็ขัดสน |
จำเห็นพร้อมยอมอ่อนตามผ่อนปรน |
เป็นด้วยผลกรรมสร้างแต่ปางบรรพ์ |
เสด็จยังหัสดินบุรินทร์รัตน์ |
ตามอาณัติสัญญาที่ว่านั้น |
พร้อมอำมาตย์กลาดกลุ้มประชุมกัน |
ดูสององค์ทรงธรรม์พะนันเมือง |
ศกุนิแทนพระทุรโยธน์ |
โสดต่อโสดฝีมือล้วนลือเลื่อง |
ยุธิษเฐียรโชคร้ายระคายเคือง |
ไม่กระเตื้องขึ้นหน้ามาแต่ไร |
เพราะถูกลูกบาศก์ลวงถ่วงโลหะ |
หมดที่จะผันแปรคิดแก้ไข |
เธอไม่ทราบเหตุการณ์สถานใด |
ยิ่งทอดไปก็ยิ่งยับอัประมาณ |
ที่สุดทรงพ่ายแพ้เหลือแก้ไข |
พวกที่ใจซื่อตรงก็สงสาร |
น้ำเนตรหลั่งดังเลือดด้วยเดือดดาล |
เพราะรู้การณ์แต่ไม่กล้าพูดจาไป |
พวกที่ใจอำมหิดคิดประจบ |
ต่างก็ตบหัตถ์ลั่นสนั่นไหว |
ฝ่ายปาณฑพภ๎ราดาทั้งห้าไท |
ไม่หวาดไหวหวั่นคิดในกิจการณ์ |
จึงอำลาญาติวงศ์ทรงประเวศ |
เนรเทศจากบุรินทร์ถิ่นสถาน |
พร้อมพระราชเทวีศรีสคราญ |
คือนงพาลกฤษณาผู้ยาใจ |