บทที่ ๑๖ อวสานแห่งสงคราม

เมื่อพระกรรณสิ้นชนม์พลทหาร ต่างพลุกพล่านพากันคิดหวั่นไหว
ต่างหลบหลีกปลีกตนให้พ้นภัย ทั้งนายไพร่มิได้อยู่เป็นหมู่กอง
จึงท่านกฤปาจารย์ชาญฉลาด เห็นพลขาดนายพลย่นสยอง
ควรจักมีนายคุมช่วยคุ้มครอง หาไม่ผองเการพจักสบภัย
จึงเข้าไปทูลพระทุรโยธน์ “ประทานโทษข้านี้ขอชี้ไข
เวลานี้พระกรรณก็บรรลัย กองทัพให้ขัดสนคนสำคัญ
ธรรมดารี้พลพหลหาญ ถึงชำนาญยุทธ์แย้งแข็งขยัน
ถ้าขาดนายควบคุมคอยคุ้มกัน ก็เป็นฉันโจรในไพรพนม
เปนช่องให้อรชุนเข้ารนรุก ไม่มีขลุกขลักจิตต์สนิทสนม
จะถางเล่นเช่นหญ้าด้วยพร้าคม เราต้องล้มแหลกแท้เป็นแน่นอน
เลือดเนื้อก็พอการประมาณหมาย ที่สองฝ่ายเสียไปในสมร
ถ้าสู้ไปวงศ์ญาติคงขาดรอน ควรผันผ่อนยอมแพ้เห็นแก่วงศ์
ยุธิษเฐียรคงให้อภัยโทษ และคงโปรดปรานตามความประสงค์
ด้วยท้าวเธอทรงธรรม์อันมั่นคง พระทัยทรงเมตตาและการุณย์”
ทุรโยธน์ฟังว่าบัญชาตอบ ท่านกล่าวกอบด้วยธรรม์ไม่หันหุน
ถูกทำนองคลองชอบขอขอบคุณ เพื่ออุดหนุนให้มีไมตรีกัน
ท่านได้ไกล่เกลี่ยเรามาเก่าแก่ แต่เหลือแก้ไขคิดให้บิดผัน
เพราะเป็นการเลยล้ำจะจำนรรจ์ ให้เราหันเหหาสามัคคี
ยุธิษเฐียรหรือจะคิดเปนมิตรด้วย มีแต่ช่วยฉุดคร่าห์ไปหาผี
ภีมผู้ลั่นวาจาจะฆ่าตี หรือจะมีจิตต์อ่อนกลับถอนคืน
อรชุนครุ่นแค้นทดแทนบุตร ไหนจะหยุดยั้งโกรธอันโหดหืน
เขาอาฆาตแค้นจิตต์ดังพิษปืน ซึ่งจะขืนข่มได้เห็นไม่มี
ถึงเขายอมหยุดรบสงบศึก เรายังนึกข้องขัดด้วยบัดสี
ข้าเจ้าไม่ด้านไปไขวจี โดยมิได้ใยดีแก่ญาติเรา
ซึ่งได้พามาตายมากมายนัก แล้วไม่พักแก้แค้นทดแทนเขา
หรือจะนั่งนิ่งขรึมทำซึมเซา ไม่ฟังเขาร้องแซ่ให้แก้แค้น
ประการหนึ่งข้าเจ้าเผ่ากษัตริย์ จะยกหัตถ์อัญชลีบัดสีแสน
ชนทั้งปวงล่วงรู้จะดูแคลน ร้ายกว่าต้องแตกแตนหรือวายปราณ
คนนำทัพต่อไปให้พระศัลย์ ผู้ราชันมัทรราษฎร์ซึ่งอาจหาญ
เป็นนายทัพแทนพระกรรณประจัญบาน ไม่ยอมกรานกราบก้มประณมกร
ทหารเราเหลืออยู่แม้ผู้หนึ่ง อย่าคะนึงว่าจะพ่ายลดสายศร
ขอสู้จนชีวาตม์จะขาดรอน เพื่อไว้เกียรติกำจรทั่วแดนไตร”
เมื่อพระกรรณบรรลัยในสนาม บังเกิดความหม่นหมองไม่ผ่องใส
แก่เการพทั่วหน้าไม่ว่าใคร ทั้งนายไพร่พรั่นท้อย่อกมล
แต่ปาณฑพครบครันต่างหรรษา เหมือนผักหญ้าชื่นฉ่ำด้วยน้ำฝน
ไม่หลับนอนผ่อนพักเลยสักคน โกลาหลเหิมหรรษ์สนั่นไป
แต่นายทัพทั่วผู้ไม่ดูหมิ่น เกรงไพรินซึ่งแพ้จักแก้ไข
เข้ารบรับกลับฟื้นเพื่อคืนชัย ถึงวันใหม่เตรียมรบเสร็จครบครัน
ได้เวลาคลาพลพหลหาญ ไม่ช้านานพบกับทัพพระศัลย์
นำเการพแก้แค้นแทนพระกรรณ เข้าประจัญโจมตีทวีคูณ
ถึงปาณฑพใฝ่ใจไม่ประมาท เห็นอาฆาตไพรินไม่สิ้นศูนย์
แต่ยังคิดผิดพลาดขาดคำนูณ เรื่องไพรีเพิ่มพูนพลไกร
แต่พอเห็นศัตรูเข้าสู้รบ ดังน้ำถั่งหลั่งลบเหลือวิษัย
เจ้าปาณฑพสี่องค์พะวงใจ กลัวศึกใหญ่โจมตีพระพี่ยา
จึงล้อมองค์ทรงฤทธิ์ยุธิษเฐียร ป้องกันเสี้ยนศึกอยู่ดูรักษา
มิให้ทัพพระศัลย์บุกบั่นมา เข้ารบรารุมองค์พระทรงธรรม
ยุธิษเฐียรเห็นน้องคุ้มครองไท้ เพราะเกรงไพรีบุกรุกถลำ
จึงตรัสขอให้พระองค์ได้ทรงนำ พลเข้ารำบาญแก้ที่แพ้มา
“พระน้องเอ๋ย ! ฟังคำพี่ร่ำขาน น้องทำการสมมาดปรารถนา
ต่างชิงชัยได้ชื่อเลื่องลือชา แต่พี่หาสมไม่, น่าใคร่อาย
ทีนี้พี่ขอรับทัพพระศัลย์ เพื่อแก้กันเกียรติยศที่หดหาย
‘สาต๎ยกี’๓๐ คุมพหลพลนิกาย กองทัพฝ่ายปีกขวารักษาการ
ปีกซ้ายธฤษฎทยุมน์ควบคุมทัพ ให้ภีมรับทัพหน้าโยธาหาญ
ทัพหลังให้อรชุนหนุนรำบาญ ทัพหลวงพี่ว่าขานเป็นกองกลาง
จัดดังนี้แม้ว่าอุตสาหะ คงชะนะแน่ชัดไม่ขัดขวาง
จงพวกเราเอาธุระอย่าละวาง จะสมอย่างปรารถนาในครานี้”
ต่างรับราชบัญชารีบมาจัด ตามดำรัสเร็วพลันขมันขมี
ครั้นครบเสร็จพร้อมกันประจัญตี รุกไพรีรามรุมตะลุมบอน
เสียงสนั่นหวั่นไหวมิได้ว่าง ทั้งสองต่างห้าวหาญชาญสมร
เข้ายุทธิ์แย้งแข่งขันประชันกร แลสลอนล้นหลามสนามรณ
ธรรมราชรักษาวาจาไท้ ซึ่งตรัสไว้แน่นอนในตอนต้น
ทรงรบรากล้าหาญและทานทน ก็สบผลดังตรัสในบัดใจ
คือพระองค์นำหน้าโดยกล้าหาญ พาจิตต์ปาณฑพมั่นไม่หวั่นไหว
ต่างตั้งพักตร์หักเข้าเพื่อเอาชัย ทั้งนายไพร่พร้อมพรั่งประดังตี
การรบกันวันนี้เป็นที่สุด วิธียุทธิ์สับสนก้นป่นปี้
ต่างประจัญบั่นบุกเข้าคลุกคลี เท่าธุลีฟุ้งกลบตลบไป
ท่านแม่ทัพขับพลประจญสู้ ดังลมกล้าบ้าหมูสนั่นไหว
ข้างหน้าทัพสับสนพลไกร เข้าชิงชัยชุลมุนอย่างรุนแรง
พระศัลย์กับบพิตรยุธิษเฐียร ต่างพากเพียรรบร้าด้วยกล้าแข็ง
ต่างยรรยงองอาจไม่พลาดแพลง ทั้งสองแผลงศรสาดพิฆาตกัน
ศรแห่งองค์ธรรมราชสาดดังฝน ต้องรี้พลไพร่นายฝ่ายพระศัลย์
ต่างล้มตายพ่ายหนีอยู่นี่นัน ปาณฑพพลันได้ทีตีระดม
ธงชัยแห่งพระศัลย์สะบั้นหัก องครักษ์ถูกศรลงนอนล้ม
พลเการพแตกพล่านเที่ยวซานซม ไม่ประสมกันได้ทั้งไพร่นาย
ฝ่ายพระศัลย์ขันสู้อยู่ครู่หนึ่ง ต้องศรถึงชีวาตม์ขาดสลาย
ข้างปาณฑพได้ทีตีกระจาย สังหารฝ่ายไพรีไม่มีละ
สนามรณกลว่าโรงฆ่าเนื้อ อนาถเหลือแลพบศพระกะ
ทั้งม้าช้างต่างล้มจมปะทะ รถทำลายรายระสนามรณ
พลทหารปาณฑพเข้ารบรุด อุตลุดฟันฝ่าโกลาหล
พระภ๎ราดาห้าไท้นำไพร่พล ไล่ประจญศัตรูอยู่เป็นควัน
เข้าหวดซ้ายป้ายขวาฆ่าพิฆาต แขนขาขาดคอขาดน่าหวาดหวั่น
สหเทพโถมปราดเข้าฟาดฟัน ศกุนิโกงพะนันถึงวายปราณ
พระภีมผู้ทรงตระบองจ้องพิฆาต ตีทุศศาสน์ล้มผางลงกลางย่าน
ตัดศีรษะดื่มเลือดแก้เดือดดาล ร้องว่า “หวานนี่กระไร,สมใจกู”
พลเการพตายยับไม่นับได้ ที่เหลือใจจิตต์ฝ่อไม่ต่อสู้
ทุรโยธน์รู้ชัดว่าศัตรู จักเข้าจู่จับคร่าไปฆ่าฟัน
พระองค์เดียวโดดออกนอกสนาม พยายามหลบลี้ขมีขมัน
ทรงบั่นบุกซุกซ่อนจรจรัล พระหัตถ์นั้นทรงคทารีบคลาไคล
ถึงหนองน้ำใหญ่กว้างอยู่ขวางหน้า ไม่รู้ว่าจักด้นไปหนไหน
เกรงศัตรูตามทันหวั่นพระทัย ด้วยไม่ไกลกับสนามสงครามนัก
จึงลงซ่อนศัตรูอยู่ในน้ำ แล้วทรงดำเข้าหาพุ่มหญ้าผัก
ด้วยคิดว่าข้าศึกหายคึกคัก แล้วจึงจักหลบลี้ค่อยหนีภัย
ต่อนี้เหล่าเการพสยบย่น ยอมจำนนศัตรูไม่สู้ไหว
ปาณฑพตีแตกยับทุกทัพไป ทั้งนายไพร่ล้มตายลงก่ายกัน
เการพรณหนนี้เป็นที่สุด ต่างยงยุทธ์ยิ่งยวดอย่างกวดขัน
จนเสียหายนายทัพนับอนันต์ เหลืออัศวัตถามันกับสองนาย
คือท่าน ‘กฤปาจารย์’ ชาญวุฑฒิ และ ‘เกียรติวรมัน’ สามสหาย
เห็นสู้ไปไม่รอดคงวอดวาย จึงยอมพ่ายปาณฑพไม่รบรา
ฝ่ายทหารปาณฑพสิ้นรบแล้ว ต่างผ่องแผ้วพร้อมกันเพิ่มหรรษา
ต่างกลับค่ายสรวลเสเสียงเฮฮา แต่ราชาธรรมบุตรสุดระทม
ด้วยพระองค์ทรงคิดชีวิตญาติ น่าอนาถนึกไปดูไม่สม
ที่มีชัยน้อยหนึ่งไม่พึงชม เพราะญาติล้มแทบศูนย์ประยูรวงศ์
ระหว่างเขาเบิกบานโองการว่า “เออ ! ตูข้าเจ้าคิดพิศวง
ด้วยมีชัยไร้เหล่าพวกเผ่าพงศ์ เป็นราชันย์ยรรยงแห่งผีตาย”
มีผู้ทูลข่าวพระทุรโยธน์ ซึ่งได้โลดหลบลี้แล้วหนีหาย
ว่าอยู่ในหนองน้ำงำพระกาย, ทรงฟังคลายทุกข์ถมระทมทรวง
แต่มิได้หมายจับมาสับฆ่า ปรารถนาตัดศึกสิ้นนึกห่วง,
หมายขอคืนอินทรปรัสถ์ดำรัสทวง ไม่หมายล่วงโลภรัฐหัสดิน
ตั้งพระทัยเผื่อแผ่เห็นแก่ญาติ เพื่อให้ราชตระกลไม่ศูนย์สิ้น
พาสี่น้องคลาไคลดังใจจินต์ ไปยังถิ่นหนองนั้นในทันใด
เที่ยวค้นรอบสอบสวนทวนตลบ ก็ไม่พบพานองค์ให้สงสัย
ยุธิษเฐียรเรียกร้องกึกก้องไป ตะโกนให้ทราบความแต่ตามตรง
ทุรโยชน์ฟังว่าไม่กล้าขาน เกรงเป็นการลวงล่อแต่พอหลง
ครั้นได้ฟังวาจาท้าพระองค์, ให้ประจญรณรงค์ตัวต่อตัว
จึงร้องบอกออกมาว่า “ข้านี้ มอบบุรีหัสดินทุกถิ่นทั่ว
ข้าขอไปไพรสัณฑ์ไม่พันพัว ถือศีลชั่วชีวิตนิจจกาล
ธรรมบุตรบอกว่า “ตัวข้าเจ้า จักไม่เอาสมบัติพัสถาน
โดยไม่มีโชคชัยได้รำบาญ ให้เจ้าของแหลกลาญในสงคราม”
ทุรโยธน์ตอบว่า “ถ้าฉะนั้น จงให้สัญญาเราเข้าสนาม
ตัวต่อตัวแล้วข้าพยายาม ท่านยอมตามสัญญาหรือว่าไร?”
ธรรมบุตรรับพลันด้วยพรรษา ยืนคอยข้าศึกอยู่เป็นครู่ใหญ่
ทุรโยธน์รีรอด้วยท้อใจ ไม่ขึ้นไปรบกันตานสัญญา
พระภีมเห็นช้านานบันดาลโกรธ จึงร้องเร่งทุรโยธน์ออกไปว่า
“ถ้ายังทำบึกบึนไม่ขึ้นมา จะไปคร่าห์คอคุมเช่นกุมภีล์”
ทุรโยธน์โกรธแค้นแน่นอุระ ขึ้นจากสระเร็วพลันขมันขมี
ภีมหัวร่ององันในทันที ด้วยเห็นพักตร์ภูบดีเปื้อนโคลนตม
พระทุรโยธน์โกรธจัดตรัสแถลง “กูจะแปลงดวงหน้าให้สาสม
หน้าหัวร่อนั้นจักชักระทม เป็นหน้าตรมตรอมใจในมิช้า”
ภีมผู้ตั้งปฏิญญาณศาบานไว้ ขอตีให้สมมาดปรารถนา
แกว่งตระบองจ้องเพ่งเขม็งตา ทั้งสองรารบรุกอย่างคลุกคลี
ยงต่อยงยุทธ์แย้งกำแหงหาญ ชาญต่อชาญเชิงรณไม่ร่นหนี
โกรธต่อโกรธเกรี้ยวกราดเข้าฟาดตี พระพักตร์มีเลือดฝาดออกดาษแดง
ต่างต่อยุทธ์รุทรร้ายดังควายป่า มีดวงตาโพลงพราววะวาวแสง
ทันใดภีมตีพลั้งกำลังแรง เลยพลาดแพลงพล้ำลงพระองค์เซ
ทุรโยธน์ฟาดผางลงกลางเศียร พระภีมเจียนล้มหงายพระกายเห
แต่ยั้งได้ไม่ซวนถึงปรวนเปร สมคะเนได้ทีกลับตีปึง !
ถูกทุรโยธน์ที่ขาสะบ้าหลุด พอกายซุดตีซ้ำลงต้ำผึง
พระทุรโยธน์ล้มคว่ำขะมำตึง ครั้งนี้ถึงที่สุดยุทธการ
พระภีมพิศเพ่งดูศัตรูล้ม เป็นการสมปฏิญญาที่ว่าขาน
พลางรำรอบทุรโยธน์โลดทะยาน ออกอุทานวาจาแกว่งอาวุธ
นี่แหละคือบาดแผลที่แก้แค้น เพื่อทดแทนเท๎ราปทีถึงที่สุด
ยุธิษเฐียรเห็นน้องลำพองยุทธ์ ตรัสให้ฉุดภีมไปเสียไกลกัน
เพื่อมิให้ทุรโยธน์พิโรธแค้น ด้วยภีมแค่นไค้เคาะพูดเยาะหยัน
พอภีมออกนอกวง, จึงทรงธรรม์ คุกเข่าลงทรงบรรยายความ
ท่านเป็นนายข้าเจ้าขอเคารพ ที่ปาณฑพจ้วงจาบทำหยาบหยาม
เพราะท่านไม่เมตตาพาสงคราม ให้ลุกลามแหลกลงทั้งวงศ์วาน
แต่พระวาจาไท้ไร้ประโยชน์, ทุรโยธน์เนตรหลับดับสังขาร
หมดทราบถ้อยมธุรสพจมาน หมดเห็นการคุกเข่าด้วยเคารพ
หมดรู้สึกนึกชอบหรือขอบจิตต์ หมดชีวิตทั้งร่างเป็นอย่างศพ
กลิ้งอยู่กลางปฐพีในที่รบ นับว่าจบแข่งขันประจัญบาน
พอถึงยามสนธยาเวลาพลบ ฝ่ายเการพนายทัพกับทหาร
ที่ยังไม่สิ้นชนม์ก็ลนลาน มาทำการเคารพพระศพนาย
ต่างมีความโศกเศร้าให้เหงาหงอย น้ำเนตรย้อยหยดอยู่ไม่รู้หาย
ต่างเซาซบนพไหว้อยู่ใกล้กาย บรรยายทูลลาด้วยอาลัย
ในราตรีที่สุดการยุทธ์นั้น อัศวัตถามันแสนหม่นไหม้
แค้นพระธฤษฏทยุมน์กลุ้มพระทัย ที่เธอได้เข่นฆ่าบิดาตน
ชวนเกียรติวรมะ,๓๑ กฤปะ, ผู้ ยังเหลืออยู่สามนายคิดขวายขวน
พอยามดึกกองทัพต่างหลับกรน เข้าค่ายค้นไพรีที่จำนง
ฆ่าพระธฤษฏทยุมน์ด้วยคุมแค้น ตายคาแท่นบรรทมสมประสงค์
ศิขัณฑิน๓๒หลับอยู่ไม่รู้องค์ ก็เข้าปลงชีพไท้เมื่อไสยา
แล้วฆ่าห้าพระกุมาร๓๓บุตรปาณฑพ ผู้สมภพจากวนิตกฤษณา
หิ้วเศียรห้าพระกุมารทะยานมา วางไว้หน้าร่างกายศพนายตน
ฆ่ารี้พลมากมาย๓๔แล้วพ่ายหนี เที่ยวหลบลี้ซ่อนเร้นไม่เห็นหน
ฝ่ายปาณฑพ, เช้าตรู่เห็นผู้คน ล้มตายกล่นเกลื่อนอยู่จึงรู้ความ
สงสารเจ้าเท๎ราปทีทวีทุกข์ นางแสนขุกแค้นเจ็บดังเหน็บหนาม
พระปาณฑพภัสดาพยายาม ตรัสห้ามปรามโลมเล้าเอาพระทัย
นางไม่คลายหายแค้นด้วยแสนเศร้า เหลือบรรเทาทุกข์ทนพ้นวิษัย
พระภีมกับอรชุนต่างขุ่นใจ ออกตามไพรีทั่วได้ตัวมา
แต่เห็นเป็นบุตรครูจึงสู้อด- พระทัยงดโทษไว้มิได้ฆ่า
แต่ริบแก้ว๓๕ทำขวัญกัลยา ให้นางคลาคลายโกรธยกโทษทัณฑ์
ครั้นเสร็จการรณรงค์จึงปลงศพ แห่งนักรบไพร่นายทำลายขันธ์
ทั้งสองข้างต่างกลุ้มประชุมกัน ล้วนโศกศัลย์ทั่วหน้าต่างอาลัย
ยกศพสู่เชิงตะกอนสลอนสลับ ตามลำดับเจ้านายรายไสว
จัดตามยศลดหลั่นเรียงกันไป ถึงศพไพร่รวมสุมเปนกลุ่มกัน
ศพที่หนึ่งศพพระทุรโยธน์ ตบแต่งโชติช่วงเชิดงามเฉิดฉัน
ครั้นจัดแจงแต่งศพขึ้นครบครัน คอยทรงธรรม์ธฤตราษฎร์ลีลาศจร
ป่างพระจอบหัสดินปิ่นสถาน กับนางคานธารี๓๖ศรีสมร
ทราบข่าวนี้ชีวิตแทบปลิดรอน ทรวงสะท้อนทุกข์ถมตรมพระทัย
สงสารบุตรร้อยองค์ทรงพินาศ สงสารราชนารีศรีสะใภ้
ซึ่งพลัดพรากภัสดาผู้ยาใจ ต่างร่ำไห้โหยหาถึงสามี
อีกทั้งเหล่าภรรยาเสนามาตย์ และเหล่าราชตระกูลเศร้าศูนย์ศรี
ต่างกำสรดโศกศัลย์พันทวี ประหนึ่งชีวิตพรากออกจากกาย
จึงสมเด็จภูบดี, เทวีนาถ พร้อมด้วยราชบริพารประมาณหลาย
ทั้งฝ่ายหน้าฝ่ายในพร้อมไพร่นาย รีบผันผายมายังที่ตั้งศพ
พระทรงธรรมนำหน้าพาสนม เดิรระทมตรงข้ามสนามรบ
เสด็จขึ้นเบื้องบนพระมณฑป ข้าเฝ้าครบครันล้อมอยู่พร้อมเพรียง
เมื่อประทานเพลิงศพนักรบนั้น สังคีตครั่นครื้นโครมประโคมเสียง
เหล่าพระญาติร่ำร้องซร้องสำเนียง สนั่นเพียงแผ่นดินจะภินท์พัง
แสนสงสารมารศรีสตรีม่าย ต่างฟูมฟายชลนัยน์พิไรสั่ง
ด้วยสำเนียงอื้ออึงคะนึงดัง สยายผมรุงรังร่ำโอดครวญ
พระพักตร์เคยผ่องเหมือนกับเดือนผ่อง มาเศร้าหมองมัวคล้ำด้วยกำสรวล
ปรางเคยปลั่งดังมะปรางสำอางนวล บัดนี้ล้วนเลอะน้ำตาทุกหน้านาง
เนตรเคยขำดำนิลก็สิ้นแสง บัดนี้แดงด้วยช้ำดังน้ำฝาง
เกศเคยมุ่นโมฬีสีสำอาง บัดนี้สิ้นเสยสางสยายยาว
เคยเคียงคู่สู่สมภิรมย์รัก บัดนี้จักจำนิราศอนาถหนาว
เคยแต่งกายพรายแพรวงามแวววาว มาถึงคราวตรมตรอมดูมอมแมม
ไม่ห่างศพสามีทวีเทวษ ชลเนตรนองซาบลงอาบแก้ม
พระพักตร์คล้ำดำเหมือนกับเดือนแรม หมดความแช่มชื่นทั่วทุกตัวนาง
ผลสงครามครั้งนี้ทวีโศก ให้วิโยคจากญาตินิราสร้าง
ทิ้งนารีแร่รวยสวยสำอาง เป็นม่ายต่างเศร้าสร้อยตั้งร้อยพัน
ที่พรากลูกพรากหลานประมาณหลาย พรากลุงอาน้าชายและเขยขวัญ
เสียงกำสรดพาองค์พระทรงธรรม์ พระทัยหวั่นว้าเหว่อยู่เรรวน
พระนางคานธารี๓๗ศรีสมร จูงภูธรคลาไคลพลางไห้หวล
มาที่ศพทุรโยธน์ทรงโอดครวญ เศร้ากำสรวลโศกศัลย์พันทวี
พระบิดาทรงกลั้นซึ่งกันแสง ก้มพักตร์แฝงกำสรดสลดศรี
แต่ฝ่ายพระมารดาคานธารี เหลือจะมีอารมณ์ข่มพระทัย
กันแสงไห้โฮ ๆ ! เรียกโอรส แล้วกล่าวพจน์พร่ำว่าทรงปราศรัย
เหมือนโอรสนางนั้นไม่บรรลัย กล่าวต้อนรับบุตรให้ประเวศวัง
แล้วพระนางนิ่งอยู่สักครู่หนึ่ง ไม่กล่าวถึงทุกข์ทนในหนหลัง
ซึ่งทรงขุ่นมุ่นหมกเพียงอกพัง ที่สุดพลั้งเผลอพร่ำทรงรำพรรณ
“นี่ทุรโยธน์ลูกยาหรือหาไม่ โอ้! ลูกรักหรือมิใช่ที่เหิ่มหรรษ์
เมื่อลูกพรากจากวังหวังประจัญ ลำพองผันเพียงว่าม้าคะนอง
เจ้าขอพรมารดาในครานั้น แม่รำพรรณอวยชัยไขสนอง
ให้ลูกรักมีชัยสมใจปอง ให้เทพเจ้าคุ้มครองพระลูกยา
คำที่แม่พร้องพร่ำยังจำได้ ‘จงยึดธรรม์มั่นไว้หนาลูกหนา !
แม้ธรรมมีที่ไหนชัยก็มา ให้เจ้าสมปรารถนาเป็นแน่นอน’
อนิจจา ! ผู้ใดจะได้คาด ว่าโอวาทแม่ได้พิไรสอน
เป็นโอวาทอวสานแห่งมารดร คำอวยพรแม่นั้นช่างผันแปร
แม่สงสารลูกแล, แต่ไม่เท่า แม่สงสารผ่านเกล้าสามีแม่
จักเปลี่ยวเปล่าหฤทัยอาลัยแล พระยิ่งแก่ไหนจะฝ่าทุกข์ครานี้
โอ้ ! ทุรโยชน์ลูกแม่, เคยแซ่ซ้อง ด้วยเกียรติก้องเกริกคุณวิบุลศรี
เป็นกษัตริย์ศักดิ์สง่าในธาตรี โอ้ ! บัดนี้ลูกนับจะลับไป
เจ้าฝากชื่อเสียงฝากซึ่งซากศพ ซึ่งสงบนิ่งนอนดังท่อนไม้
แต่วิญญาณลูกยาเจ้าคลาไคล สถิตในถิ่นสถานพิมานแมน
แม่สงสารสุณิสา-ชายาเจ้า ตั้งแต่เร้ารรรทดกำสรดแสน
ประหนึ่งทรวงนางแยกต้องแตกแตน แม่สุดเศร้าโศกแทนอรทัย
เจ้าจากผัวจากบุตรสุดที่รัก เหลือจะหักเศร้าสร้อยละห้อยไห้
รรรทดถึงภัสดาผู้ยาใจ และอาลัยลูกรักลักษมัน
เหมือนไม่แน่แก่ใจว่าใครจัก เป็นที่รักกว่าใครตั้งใฝ่ฝัน-
ถึงทั้งบุตรภัสดาเฝ้าจาบัลย์ เหลือจะกลั้นตรอมตรมถมทวี
‘อนิจจา! ทุรโยธน์ผู้โรจน์รุ่ง พระเกียรติฟุ้งเฟื่องหล้าสง่าศรี
เสวยราชย์เรืองนามสิบสามปี พระมาหนีน้องรักให้หนักทรวง
อนิจจา ! ทุรโยธน์ไยโกรธน้อง ทรงห่างห้องเหิรเห็จเสด็จสรวง
พระสละละทิ้งสิ่งทั้งปวง ให้น้องห่วงโหยหาโศกาลัย
พระคงสบสุขสันติ์อันวิเศษ ตามพระเวทชี้แจงแถลงไข
ถ้าทวยเทพทั้งหมดไม่ปดไซร้ พระคงไปสู่สวรรค์เป็นมั่นคง’
เมียเจ้าร้องดังๆ ฟังหรือเปล่า? แม่ฟังเขาร่ำไห้อาลัยหลง
ฟังซิ! เมียน้องเจ้าเฝ้าพะวง กันแสงส่งเสียงหาภรรดาตน”
พระนางจูงราชาไปหน้าศพ ประทานเพลิงนักรบทุกแห่งหน
เสียงกันแสงแซ่ซ้องข้องระคน กับเสียงก้องกาหลแห่งดนตรี
เสียงโหยหาอาลัยเสียงไห้หวน เสียงโอดครวญครื้นครั่นสนั่นแซ่
ผองพระญาติต่างก็จรลี เดิรเสียดสีกันเข้าเผาพระศพ
ประชาชนอลหม่านอยู่นานช้า จนการฌาปนกิจสัมฤทธิ์ครบ
ประชุมเพลิงพร้อมกันควันตลบ ต่างเคารพร่ำไห้อาลัยลา
ผู้ไว้ทุกข์ทั่วกันต่างผันผาย ชำระกายล้างบาปเครื่องหยาบช้า
ในแม่น้ำนับถือชื่อคงคา เสร็จแล้วมากอบกิจทำพิธี
ให้แก่ศพครบในไสยศาสตร์ ขณะญาติพร้อมกันขมันขมี
ทำบุญตามอุปเท่ห์ประเพณี พระเทวี ‘ปฤถา’๓๘ จึงคลาไคล
ไปหาบุตรปาณฑพครบทั้งห้า ซึ่งโศกาดูรช้ำด้วยร่ำไห้
นางเล่าถึงพระกรรณผู้บรรลัย ให้เธอได้ทราบเรื่องแต่เบื้องบรรพ์
พระกรรณกับอรชุนต่างครุ่นแค้น ต่างคนแสนมุ่งมาดพิฆาตคั้น
จึงพระภิษม์เผยแผ่แก่พระกรรณ เมื่อทรงธรรม์ใกล้กาลลาญพระชนม์
ถึงพระกรรณทราบดีเรื่องพี่น้อง เธอยังจองเวรกรรมยิ่งล้ำล้น
เธอมิให้ใครรู้สักผู้คน ตราบเท่าจนพระกรรณถึงบรรลัย
พระนางเจ้าเล่าขานเหตุการณ์ครบ ให้ปาณฑพขอขมาเชษฐาใหญ่
ให้ทำบุญแผ่ผลกุศลไป ตามคัมภีร์ชี้ไขจงครบครัน
เสร็จการศพ, ธฤตราษฎร์ประกาศศาส์น ให้จัดการต้อนรับซึ่งทัพขันธ์
เข้ายังกรุงหัสดินสิ้นด้วยกัน พระทรงธรรม์ให้มีพิธีการ
อภิเษกบพิตรยุธิษเฐียร ขึ้นมนเทียรโอภาสราชฐาน
แทนทุรโยธน์ซึ่งได้บรรลัยลาญ เป็นราชาว่าขานการแผ่นดิน
สมเด็จไท้ธรรมบุตรมกุฎราษฎร์ ทรงประศาสน์สองรัฐจรัสสิ้น
คือ นครอินทรปรัสถ์, หัสดิน พิพัฒน์ภิญโยยิ่งทุกสิ่งไป
ถึงท้าวเธอทรงราชย์โอภาสเพิ่ม ยศศักดิ์เสริมสารพันดังนั้นไซร้
ท้าวมิทรงเปรมปรีด์ดีพระทัย คุ้มที่ได้เนรเทศเทวษมา
ซ้ำยังทรงโศกเศร้าถึงเหล่าญาติ ต่างอาฆาตเคี่ยวเข็ญเข้าเข่นฆ่า
อย่างโหดร้าย, ตายกลาดดาษดา เหล่านี้พาให้พระองค์ทรงระทม
จึงวยาสมุนี๓๙ ฤษีเฒ่า ผู้เปนเจ้าไคลคลาจากอาศรม
เข้าเฝ้าไท้เทศนาปลุกอารมณ์ ให้เริงรื่นชื่นชมชูพระทัย
ที่สุดสอนพระองค์ให้ทรงจัด พิธีอัศวเมธ๔๐ตามเวทไสย
เพื่อบำบัดอกุศลให้พ้นไป ทั้งจะได้เกียรติคุณจรุญเรือง
ธรรมบุตรโสมนัสส์ให้จัดสรร ม้าสีจันทร์ขาวเจือเรื่อ ๆ เหลือง
ใบหูดำข้างหนึ่ง, ถึงจะเปลือง- ทรัพย์ด้วยเรื่องเสาะหาไม่ว่าไร
ด้วยบุญญาภินิหารไม่นานช้า ก็ได้ม้าสมที่คัมภีร์ไข
ให้ทำแผ่นทองคำงามอำไพ เขียนนามาภิไธยพระภูบาล
ประดับเป็นครอบหน้าแห่งม้านี้ ทำพิธีเสี่ยงสัตย์อัธิษฐาน
ให้อรชุนนำพลด้นทะยาน ตามม้าแก้วอุปการ๔๑กำกับไป
ราตรีวันเพ็ญเขตต์เจตรมาส ก็เริ่มราชพิธีคัมภีร์ไสย
คือเดือนเมษายน, จุมพลไท ดำรัสให้ปล่อยม้าจากธานี
ส่วนกองทัพอรชุนก็หนุนเนื่อง ออกจากเมืองแรมทางกลางวิถี
ได้รบรกบุกบันประจัญตี กับเมืองที่มุ่งร้ายระคายเคือง
ครั้งแรกรบราชามาลวะ ซึ่งปะทะขัดขวางกระด้างกระเดื่อง
ที่สุดต้องแพ้พ่ายถวายเมือง ยกทัพเนื่องหนุนกำลังประดังตาม
เธอรบรับขับสู้ศัตรูพ่าย ทั่วทุกรายส่งพลช่วยล้นหลาม
จัดสะเบียงมอบส่งช่วยสงคราม จนม้าข้ามเขตต์บุรีมณีบูร
กษัตริย์ซึ่งครองเขตต์ประเทศนี้ ตัดไมตรีธรรมราชให้ขาดศูนย์
ไล่กองทัพขับม้าให้อาดูร ต่างเพิ่มพูลพลขันธ์ประจัญบาน
แต่รบไปไม่นานก็ลาญยับ ด้วยกองทัพอรชุนรุนประหาร
จนสมัครพรักพร้อมน้อมสักการ ถวายพระภูบาลธรรมบุตร
เมื่อม้าแก้วอุปการเข้าผ่านเขตต์ ทุกประเทศทั่วหล้าวางอาวุธ
ได้ประมาณขวบปีเป็นที่สุด ม้าจึงรุดเร่มายังธานี
ระหร่างนั้นบพิตรยุธิษเฐียร ทรงพากเพียรบำเพ็ญเช่นฤษี
จนเวลาม้าถึงซึ่งบุรี พร้อมด้วยแสนเสนีพลากร
ปวงประชามารับกองทัพขันธ์ ประดังกันอัดแอแลสลอน
เสียงอำนวยอวยชัยเสียงให้พร โห่ร้องรับซับซ้อนด้วยปรีดี
ถึงวันเพ็ญมาฆมาสประกาศจัด พิธีอัศวเมธพิเศษศรี
ให้จัดแจงแต่งเมืองเรืองรูจี เชิญพราหมณ์ชีราชาท้าวสามนต์
ปลูกมณฑปกลางย่านตระการล้ำ สำหรับทำการพิธีศรีกุศล
ปลูกสุวรรณพลับพลาอ่าอำพน ปะรำรอบมณฑลโรงพิธี
กลางมณฑปตั้งราชอาสน์สอง อาสน์ต้นของธฤตราษฎร์โอภาสศรี
ธรรมบุตรอาสน์รองอ่องรุจี อาสน์พราหมณ์ชีผู้ใหญ่อยู่ใกล้เคียง
ครั้นบรรลุลัคนา๔๒มหาฤกษ์ สังคีตเอิกอึงลั่นสนั่นเสียง
พราหมณ์ก็พร่ำมนตร์ถวายอยู่รายเรียง แซ่สำเนียงซู่ซ่าไม่คลาคลาย
ยุธิษเฐียรทรงฤทธิ์, กฤษณา ผูกชายผ้าติดกันแล้วผันผาย
เสด็จสรงคงคาอ่าพระกาย ทรงเครื่องเลิศเพริศพรายทั้งสองไท
ทรงเริ่มแรกนาขวัญอันกำหนด- เขตต์ปรากฏตามที่คัมภีร์ไข
ชีพ่อพราหมณ์ตามองค์พระทรงชัย กับทรามวัยเท๎ราปทีศรีอนงค์
เสด็จทรงไถทองอันอ่องโอ่ เที่ยมพระโคขาวปลั่งสีดังหงส์
กฤษณานงรามตามพระองค์ หว่านพืชลงตามพิธีคัมภีร์พราหมณ์
เสียงสวดฉันท์บรรเลงอยู่เครงครื้น สตรีดื่นดาษไปในสนาม
ต่างร้องเพลงอวยชัยครรไลตาม ด้วยมีความจงรักและภักดี
ณที่ว่างกลางแดนสร้างแท่นหลวง สำแดงดวงชาตา๔๓บอกราศี
ซึ่งดาวเคราะห์มาประจำตามคัมภีร์ บอกนาฑีลัคนาบูชายัญญ์
กสางแท่นใหญ่นี้มีเตาสี่เหลี่ยม จึงตระเตรียมพร้อมหมดมีกลดกั้น
ครั้นได้ฤกษ์ก่อไฟด้วยไม้จันทน์ เอาน้ำมันและเอาเข้าสาลี
และสิ่งของศักดิ์สิทธิ์บูชิตใส่ ในกองไฟโพลงแจ้งด้วยแสงสี
หอมตลบกลบสิ้นถิ่นพิธี พวกพราหมณ์ชีบรรยายถวายพร
จึงกษัตริย์ทั่วหน้าที่มานี้ หกสิบสี่เดิรเรียงเคียงสลอน
ตักน้ำในคงคาพากันจร มาพรมเศียรภูธรธรรมบุตร
เสียงสวดมนตร์เสียงโหมประโคมครื้น ลั่นดังพื้นดินล่มถล่มทรุด
พอเสร็จกิจพิธีถึงที่สุด จึงทรงหยุดแจกจ่ายถวายทาน
แจกรางวัลราชาที่มาช่วย ทรงแจกทวยข้าเฝ้าเหล่าทหาร
เลือกแต่นายครบถ้วนพอควรกาล แล้วเริ่มงานนำม้าบูชายัญญ์
เอาม้าไปอาบน้ำล้างชำระ น้ำมนตร์ประพรมกายนำผายผัน
มายังที่เตรียมไว้ใกล้ ๆ กัน ยืนรอฤกษ์เรียงรันตามพิธี
พระภีมถือดาพยาวคมขาวปลาบ พอได้ฤกษ์ลงดาพขมันขมี
พร้อมด้วยเสียงกาหลเหล่าดนตรี ส่วนพาชีคอขาดเลือดสาดนอง
แต่หัวม้าหายไปสงสัยสิ้น ต่อหน้าคนคอยดูอยู่ทั้งผอง
อัศจรรย์จิตต์ใจเหลือไตร่ตรอง ต่างแซ่ซ้องโมทนาสาธุการ
แล้วชำแหละเนื้อม้าบูชาใส่ ณกองไฟ,ทำกิจอธิษฐาน
ถวายองค์ทรงศักดิ์ภัควาน เพื่อประทานศุภผลมงคลชัย
ท้ายพิธีนี้องค์พระทรงฤทธิ์ บำเพ็ญกิจตามที่คัมภีร์ไข
จนครบกิจพิธีซึ่งมีใน พระเวทชี้แจงไว้ทุกประการ
แล้วเลี้ยงดูชีพราหมณ์ออกหลามล้น บำเพ็ญผลทักษิณามหาสาร
ให้พระภีมเป็นผู้คอยดูงาน ถวายทานพราหมณ์ชีทีละคน
เมื่อเวลาเสร็จการทำทานนี้ เสียงอึงมี่โมทนาโกลาหล
พร้อมทั้งเสียงอวยชัยแห่งไพร่พล ดังเสียงคลื่นคำรนในสาคร
ต่อนี้ไปหัสดินบุรินทร์รัฐ เพิ่มพิพัฒน์ภิญโญสโมสร
เกียรติคุณธรรมบุตรสุดขจร ราษฎรร่มเย็นเป็นนิรันดร์
ความเมตตากรุณารักษาสัตย์ ความเคร่งครัดยุตติธรรมประจำมั่น
ความแผ่เผื่อเจือจุนอุดหนุนกัน ทุกสิ่งพลันเพิ่มพูลจรูญเรือง
มนเทียรรัตน์ในบุรินทร์อินทรปรัสถ์ ซึ่งรกชัฏ, กลับงามอร่ามเรื้อง
บำรุงเรี่ยมเอี่ยมอ่องทั้งสองเมือง งามประเทืองเทียมด้าวดาวดึงส์
ตั้งแต่ท้าวธฤตราษฎร์คลาดโอรส ตั้งระทดหฤทัยอาลัยถึง-
พระลูกเธอทุกพระองค์ทรงคะนึง นึกรำพึงพูนเศร้าเปล่าพระทัย
ยุธิษเฐียรเพียรปลอบให้ชอบชื่น ก็ไม่คืนคลายหมองกลับผ่องใส
ไม่มีทรัพย์ศฤงคารประการใด จะจูงให้ท้าวสิ้นถวิลตรม
เห็นสมบัติฉัตรชัยไอศวรรย์ พระกำนัลนารีศรีสนม
ประหนึ่งเงาคราวฝันเมื่อบรรทม ไม่ควรงมงายปองเป็นของตน
ผู้ปกครองของนี้เห็นมีสุข ที่แท้ทุกข์แทรกแซงทุกแห่งหน
สุขแท้ไม่ใช่สุขมีทุกข์ปน ไม่ระคนกามคุณเครื่องหมุนเวียน
ที่สุดทรงเบื่อหน่ายมอบหมายราชย์ แก่พระบาทบพิตรยุธิษเฐียร
จึงเข้าป่าหาเย็นบำเพ็ญเพียร เจริญเรียนอบรมพรหมจรรย์
กับนางคานธารีศรีสมร วิทูรน้องภูธรผู้ร่วมฉันท์
ยุธิษเฐียรตามส่งพระทรงธรรม์ กับพงศ์พันธุ์บริพารพลุกพล่านตาม
ครั้นเสด็จคลาไคลถึงไพรสัณฑ์ พวะทรงธรรม์ธฤตราษฎร์ประภาษห้าม
มิให้ผู้ตั้งหน้าพยายาม เข้าบุกป่าฝ่าหนามติดตามไป
ทรงตรัสขอบหฤทัยผู้ไปส่ง อวยพรองค์ธรรมราชประภาษไข
โอ้!ปาณฑพบุตร๔๔ข้าผู้ยาใจ เจ้าจงได้รู้จิตต์ของบิดร๔๕
ทุรโยธน์น้องเจ้าบุตรเก่าพ่อ เขาผู้ก่อทุกข์สุมให้รุ่มร้อน
บัดนี้เขาทิ้งทอดด้วยมอดมรณ์ เหมือนพาก้อนทุกข์พรากไปจากทรวง
แต่ทุกข์ใหม่ที่พรากไปจากบุตร เข้ามาอุดอกใจเป็นใหญ่หลวง
ทุกข์ถึงราษฎร์ไร้เจ้าเฝ้าระลวง ทั้งเป็นห่วงหัสดินจะสิ้นวงศ์
บัดนี้ได้หลานขวัญเป็นฉันบุตร รับมกุฎสืบตระกูลประยูรหงส์๔๖
พ่อเลื่อมใสในธรรม์อันยรรยง ที่เจ้าทรงปกป้องครองนคร
บัดนี้พ่อมีใจอันใสสด เพราะเจ้าปลดเปลื้องปลิดซึ่งพิษร้อน
ขอลาเจ้าเนาสงัดตัดนิวรณ์ ขออวยพรให้เจ้าเนาสราญ
ธรรมบุตร, บริวารฟังสารไท้ น้ำเนตรไหลหลั่งลงด้วยสงสาร
ต่างน้อมเศียรลงประณตบทมาล ลาภูบาลกลับหลังยังนคร
ธรรมบุตรบำรุงผะดุงรัฐ พูนพิพัฒน์ภิญโญสโมสร
ได้สองปีมีผู้ทูลภูธร ว่าธฤตราษฎร์, มิ่งสมรคานธารี
กับนักบวชบริวารวายปราณสิ้น ไฟไหม้ถิ่นโดยพลันไม่ทันหนี
พระภูธรร้อนเร่าเศร้าทวี ซ้ำยังมีทุกข์ทนมาปนปะ
ทูตทวาราวดี๔๗ศรีสถาน นำข่าวศาส์นบพิตรกฤษณะ
เรื่องพระญาติบาดหมางเหลือสางสระ ขอเชิญพระอรชุนไปห้ามปราม
เกิดเหตุจากทรงฤทธิ์พระกฤษณ์ไท้ มิให้ใครเสพสุราบัญชาห้าม
นักเลงเหล้าในประเทศทุกเขตต์คาม ต่างมีความร้อนรนกะวนกะวาย
ครั้นถึงนักขัตตฤกษ์เกริกประเทศ พระภูเบศร์เห็นชนรนกระหาย
ยอมให้กินเหล้าจนเมามาย เกิดวุ่นวายทั่วไปในนคร
พระญาติท้าวร้าวราญรำคาญขุ่น จึงขอแรงอรชุนไปสั่งสอน
ความวุ่นวายยิ่งทวีจึงหนีจร เข้าดงดอนด้วยแค้นแสนระทด
พระองค์เดียวเที่ยวซุ่มตามพุ่มไม้ มิให้ใครสังเกตแจ้งเหตุหมด
จนถูกพรานยิงพระองค์ทิวงคต เพราะกำหนดนึกเห็นว่าเป็นกวาง
เมื่ออรชุนไปถึงซึ่งบุเรศ ก็พบเหตุสวรรคตปรากฏขวาง
พระพลรามพี่ชายก็วายวาง- พระชนม์ไปไม่ห่างเวลากัน
ครั้นต่อไปไม่ช้าบิดาไท้- พระกฤษณ์ได้ลาลับทรงดับขันธ์
ต่อไปทวาราวดีก็มีอัน- จะเป็นพลันจมหายในสายชล
อรชุนนำข่าวกล่าวถวาย พระพี่ชายทราบเรื่องแต่เบื้องต้น
ทรงกันแสงโศกเศร้าเปล่ากมล พระจุมพลสังเวชในเหตุการณ์
ที่สุดทรงปลงเห็นว่าเป็นทุกข์ ที่มัวคลุกคลีคลั่งหลงสังขาร
ทรงเบื่อราชสมบัติชัชวาล มุ่งสราญร่มเย็นบำเพ็ญพรต
ทรงปรึกษาปรองดองกับน้องสี่ มเหสีพร้อมใจเลื่อมใสหมด
ต่างยินดีที่จะละศักดิ์ยศ ไปบวชเป็นดาบสบำเพ็ญธรรม
ครั้นแล้วไท้ธรรมบุตรมกุฎหล้า มีบัญชาแบ่งประเทศสองเขตต์ขัณฑ์
ให้ทายาทสององค์สืบพงศ์พันธุ์ คือบุตรองค์อภิมันยุนัดดา
ซึ่งทรงนามว่าพระ ‘ปริกษิต’๔๘ เป็นทายาทอันสนิทเสน่หา
สืบกษัตริย์หัสดินปิ่นประชา ส่วนพาราอินทรปรัสถ์ทรงจัดปัน
ให้น้องต่างมารดาพระทุรโยธน์ ‘ยุยุตสุ’๔๙ เป็นโสดครองเขตต์ขัณฑ์
เสร็จพิธีฐาปนาสองราชัน พระทรงธรรม์ให้โอวาทประสาทพร
ให้กษัตริย์สององค์ทรงสวัสดิ์ เพื่อพิพัฒน์ภิญโญสโมสร
ปกครองเขตต์เมตตาประชากร สองนครร่วมรักสมัครกัน
แล้วหกองค์ทรงเปลื้องเครื่องกษัตริย์ ดังสลัดน้ำลายแล้วผายผัน
มีสุนัขคู่ม้วยไปด้วยกัน ตามหกองค์ทรงธรรม์ไม่ห่างไกล
มีพระญาติถ้วนหน้าเสนามาตย์ ประชาราษฎร์อัดแอแซ่ไสว
มาส่งถึงแนวป่าด้วยอาลัย น้ำเนตรไหลอาบหน้าต่างจาบัลย์
ต่อไปนี้หกองค์ทรงประเวศน์ เข้าสู่เขตต์เขาไม้ในไพรสัณฑ์
ตั้งพักตร์สู่บูรพาฝ่าจรัล สุนัขภักดีดั้นคระไลตาม
ฝ่าพงหญ้าฝ่าแดดอันแผดเผา ฝ่าภูเขาคดเคี้ยวฝ่าเรียวหนาม
ฝ่าหมู่ไม้ในป่าพยายาม และฝ่าข้ามโขดคันแสนกันดาร
บัดนี้ทรงเนรเทศจากเขตต์ขัณฑ์ ด้วยทรงธรรม์มุ่งหมายหน่ายสังขาร
หาใช่ทรงเนรเทศด้วยเหตุการณ์ แห่งคนพาลริษยาด้วยอาธรรม
เธอระทมทุกข์ยากลำบากหลาย ไหนกระหายหิวหอบไหนบอบช้ำ
น่าจะทรงป่วยไข้ได้ระกำ แต่ด้วยน้ำหฤทัยเลื่อมใสจริง
ทรงอุททิศจิตต์กายถวายสวรรค์ พาจิตต์บันเทิงทวีเป็นที่ยิ่ง
ทุกข์สามเท่าคราวก่อนไม่ค้อนติง ซ้ำเป็นสิ่งสมถวิลทรงยินดี
มุ่งสลัดตัดห่วงเป็นบ่วงรัด หวังสวัสดิ์วายทุกข์เป็นสุขศรี
แม้พระกายยากยับทับทวี แต่จิตต์มีโสมนัสส์ตัดลำเค็ญ
ไม่กี่วันต่อมาเธอคลาคลาด ระบมบาทบั่นบุกแสนขุกเข็ญ
มนัสน้อมบริกรรมทรงบำเพ็ญ- ตบะเป็นอารมณ์ข่มนิวรณ์
จนพระนางกฤษณาไม่สามารถ ก้าวพระบาทตามองค์พระทรงศร
หมดกำลังล้มลงในดงดอน พระแรงอ่อนเหลือรั้งประทังชนม์
ลมอัสสาสปัสสาสพลันขาดผอย ทั้งร่างน้อยนางไว้ในไพรสณฑ์
ส่วนภ๎ราดาห้าองค์ปลงกมล อุททิศตนต่อสวรรค์มั่นพระทัย
ไม่กรรแสงโศกศัลย์ไม่หวั่นหวาด พ้นจากทาสแห่งชีวิตน้ำจิตต์ใส
มัจจุราชซึ่งเห็นว่าเป็นภัย บัดนี้ไม่หวั่นเศร้าทุกเช้าเย็น
เมื่อพระนางกฤษณาถึงอาสัญ พระภีมพลันทูลถามขอความเห็น
นางควรไปสวรรค์ทั้งยังเป็นๆ ไฉนได้ลำเค็ญถึงม้วยมรณ์
ธรรมบุตรฟังน้อง,สนองไข ว่าจิตต์ใจเท๎ราปทีศรีสมร
เป็นจิตต์ใจอรชุนร่วมทุนรอน ถ้าอรชุนทำร้อนบาปเรื่องใด
นางเป็นดังอรชุนรับขุ่นหมอง ไปตามคลองโลกธรรมที่นำให้
นี้เป็นคำธรรมบุตรวุฑฒิไกร ตอบภีมให้ตรึกตราปัญหาธรรม
ครั้นต่อไปภ๎ราดาผู้ฝาแฝด เธอตรำแดดตรำฝนทุกข์ทนล้ำ
ต่างล้มนิ่งทิ้งซากด้วยตรากตรำ ไม่ช้าบำราศปราณลาญสกนธ์
สหเทพและนกุลดับศูนย์ขันธ์ เหลือสามองค์ทรงดั้นเดิรไพรสณฑ์
ไม่กรรแสงโศกศัลย์มั่นกมล แล้วอรชุนสิ้นชนม์มิช้านาน
พระภีมทรงวาบหวาม, ถามบพิตร เป็นความผิดข้อไหน ? โปรดไขขาน
จึงทำให้อรชุนคุณอุฬาร “ถึงวายปราณก่อนยึดประพฤติธรรม”
ทรงตอบว่า “อรชุนมีขุ่นหมอง ครั้งหนึ่งพร้องโอหังพลั้งถลำ
อวดว่าตีศึกแหลกแตกระยำ โดยเข้ารำบาญสู้เพียงครู่เดียว
เธอทำไปไม่สมกับลมปาก ผลวิบากนั้นต้องมาข้องเกี่ยว
เวลานั้นองอาจด้วยปราชญ์เปรียว ไม่แลเหลียวสับปลับจึงรับทัณฑ์”
เหลือแต่ภีม, ธรรมบุตรไม่หยุดยั้ง พระทัยตั้งมั่นคงตรงสวรรค์
สุนัขซื่อตามไปไม่ไกลกัน พระภีมพลันล้มทับอยู่กับทาง
หมดกำลัง, รู้องค์ว่าคงม้วย ชีพจรอ่อนรวยระริกร่าง
ทูลถามด้วยเสียงเบากระเส่าพลาง “น้องได้สร้างกรรมไว้อย่างไรมา
จึงประสพมัจจุราชคลาดประสงค์ ซึ่งได้ปลงจิตต์ปองครองสิกขา
น้องเชื่อใจได้นึกด้วยตรึกตรา ไม่มีบาปหยาบช้าสิ่งไรเลย”
ธรรมบุตรตอบน้องจ้องเขม้น “เราไม่เห็นหน้าเราดอกเจ้าเอ๋ย
ใจน้องซื่อสัตย์สมควรชมเชย น้องไม่เคยมีผิดทางจิตต์ใจ
แต่ทางกายและวจีน้องมีบาป พูดก้าวร้าวกล่าวหยาบเป็นนิสสัย
ทั้งกินอยู่หยาบคายไม่อายใคร มรรยาทไม่เรียบราบด้วยหยาบคาย
พระภีมฟังเชษฐาบัญชาไข ฟัง ๆ ไปจนผอยลงม่อยหาย
ชีพจรอ่อนลดจนหมดกาย พระพี่ชายจ้องอยู่ดูพระทัย
เห็นหมดลมหายใจพระทัยท้าว ทรงหน่วงน้าวในธรรม์ไม่หวั่นไหว
อำลาศพพาสุวาณซมซานไป ไม่อาลัยเหนื่อยยากตรำตรากจร
จนข้ามเขตต์หิมวันต์ด้นดั้นเต้า ถึงเชิงเขาเมรุไกรพระทัยถอน
พอแว่วเสียงอมรินทร์ปิ่นอมร ร้องอัญเชิญภูธรด้วยยินดี
“มา! กษัตริย์ทรงธรรมเรานำท่าน ไปวิมานเมืองฟ้าสง่าศรี”
ยุธิษเฐียรฟังไท้, ไขวจี “ข้าเจ้านี้ยังไปมิได้เลย
เมียและน้องของข้าที่มาด้วย ต่างก็ม้วยกลางย่านหมด, ท่านเอ๋ย!
ข้าไม่อาจหนีผละทำละเลย- ผู้ที่เคยน้อมใจมุ่งในธรรม์
เมียและน้องของข้ารักษาพรต ล้วนหมดจดสุจริตไม่บิดผัน
อุททิศชีพร่วมม้วยมาด้วยกัน จะให้ผันผายห่างเขาอย่างไร”
สมเด็จองค์อมรินทร์ปิ่นสวรรค์ บันลือลั่นสุรนาทประภาษไข
“เมียและน้องท่านนั้นที่บรรลัย มาอยู่ในเมืองฟ้าทั่วหน้ากัน”
ธรรมบุตรตอบว่า “หมาตัวนี้ มันภักดี,ขอให้ไปสวรรค์”
จึงองค์ท้าวเทวราชประภาษพลัน “พวกสัตว์ชั้นดิรัจฉานขอทานทัด
เพราะไม่ควรขึ้นสวรรค์ทุกชั้นฟ้า สิ้นชีพมาเกิดใหม่แล้วไม่ขัด
เพราะสวรรค์ใช่ว่าเป็นป่าชัฏ ให้ฝูงสัตว์ต่ำช้าขึ้นมาปน”
พระภูธรวอนว่า “หมาตัวนี้ จิตต์ภักดีน้อมไปในกุศล
ไม่ให้ตามผันผายคงวายชนม์ ให้กมลข้าช้ำสิ้นสำราญ”
โกสีย์ตอบทรงฤทธิ์ว่า “ผิดอย่าง น้องและนางกฤษณาชายาท่าน
ซึ่งท่านรักมากมาย, ได้วายปราณ ท่านละด้วยใจบาน, ไม่ห่วงใย
แต่สุนัขต่ำช้าไม่กล้าจาก เกิดลำบากขุกเข็ญเป็นไฉน?”
ธรรมบุตรบรรยายถวายไท “เมียและน้องข้าได้บรรลัยชนม์
หมดชีวิตจิตต์ใจเหมือนไม้ขอน จะว่าวอนอย่างไรก็ไร้ผล
แต่หมานี้ชีวิตยังติดตน จะพรากพ้นมันไปอย่างไรกัน?”
ดำรัสพลางแลมาหาสุนัข ไม่ประจักษ์หมามีอยู่ที่นั่น
รูปสุนัขกลายกลับโดยฉับพลัน เปนรูปองค์ทรงธรรม์พญายม
ทรงปราศรัยทรงฤทธิ์ยุธิษเฐียร “เจ้าผู้เพียรเพ็ญคุณวิบุลสม
พ่อ๕๐แปลงรูปเป็นสุนัขมาลักชม เจ้าอบรมจรรยาอยู่ช้านาน
เจ้าไม่ยอมทิ้งสุนัขซึ่งรักเจ้า นี้เป็นเค้ากรุณาอันกล้าหาญ
เจ้าผู้บุตรทรงธรรมล้ำอุฬาร จักพิบุลคุณสารสุดรำพรรณ”
เทพเจ้าจึงนำธรรมบุตร เหาะรีบรุดเร็วไปในสวรรค์
ซึ่งรื่นรมย์รุจิเรขอเนกอนันต์ ทุกสิ่งสรรพ์โสภณเป็นพ้นไป
ได้เห็นพระทุรโยธน์งามโชติช่วง พร้อมด้วยปวงเการพครบทุกไท้
บันดาที่รบกันถึงบรรลัย แต่ไม่ได้พบพานเหล่าปาณฑพ
ไม่เห็นเจ้าเท๎ราปทีและสี่น้อง ทรงมุ่นมองเท่าไรก็ไม่พบ
ทรงประหลาดหฤทัยได้ประสพ แต่เการพฝ่ายเดียวเหี่ยวกมล
จึงสมเด็จอมรินทร์ปิ่นสวรรค์ ทรงรู้ทันท่วงทีที่ฉงน
จึงดำรัสชี้แจงแจ้งยุบล เปลื้องกมลพิศวงแห่งทรงธรรม์
“มเหสีสี่น้องท่านต้องบาป ไม่มีลาภที่จะมาหาสวรรค์
เขาอยู่ภพอื่นไปห่างไกลกัน ท่านเท่านั้นควรอยู่ในหมู่เรา
ในสวรรค์นี้ขาดญาติมนุษย์ ท่านก็หลุดพ้นพรากออกจากเขา
ผู้ทำบาป ๆ ติดไม่ผิดเงา ไม่ควรเอาเป็นญาติ, ต่างชาติกัน”
ยุธิษเฐียรฟังไท้พระทัยท้อ ไม่ทรงพอหฤทัยในสวรรค์
ไม่เห็นด้วยเทวราชประภาษพลัน “ข้าแต่องค์ทรงธรรม์เทพไท
ซึ่งจะให้ข้าเจ้ากับเการพ อยู่ในภพร่วมกันนั้นมิได้
เมียและน้องปาณฑพอยู่ภพใด ขอตามไปสิงสู่อยู่ด้วยกัน
ไม่ขอพรากเมียน้องผู้ต้องทุกข์ มาเสพสุขแต่ตนบนสวรรค์
เห็นแก่ตัวชั่วช้าใจอาธรรม์ ข้าเจ้านั้นทำไปมิได้เลย”
อมรินทร์กริ้วกราดประภาษไข ท่านอยากไปนรกานต์หรือท่านเอ๋ย!
ขึ้นสวรรค์ว่าไม่ได้สะเบย อยากจะเชยชมไฟในนรก
ยุธิษเฐียรบรรยายถวายไท้ ไฟใดๆ ก็ไม่เท่าไฟเผาอก
หนักภูเขาเบากว่าถ้าจะยก หนักวิตกพรากรักนั้นหนักจริง
ครามรักที่เทียงแท้จะแก้ให้ ทุกข์ใดๆ กลับเป็นสุขขึ้นทุกสิ่ง
ถิ่นใดมีที่รักขอพักพิง จะให้ทิ้งรักมา, ทรวงข้าทรุด”
จุงองค์ท้าวเทวราชประภาษให้ เทพไทหนึ่งนำธรรมบุตร
เหาะทะยานผ่าฟ้าดังมารุต แล้วแหวกมุดพสุธาลงบาดาล
ทางยาวยืดมืดมนถึงก้นบึ้ง ก็เห็นซึ่งไฟแดงส่องแสงฉาน
ร้อนตลบอบตนพ้นประมาณ ตามทางถ่านเพลิงโชติรุ่งโรจน์ตา
เห็นกะโหลกหัวผีอัคคีโชติ เสียงร้องโอดโอยอยู่ออกซู่ซ่า
เสียงไห้หวนครวญครางตามทางมา ดังจะพาจิตต์ให้บรรลัยลาญ
จนมาถึงเตาไฟใหญ่พิลึก อัคคีคึก ๆ แดงส่องแสงฉาน
กองไฟอื่นหมื่นเตาไม่เท่าทาน อยู่กลางย่านน่าแสยงด้วยแรงไฟ
เธอเห็นเจ้าเท๎ราปทีและสี่น้อง อยู่กลางกองเพลิงนี้อัคคีไหม้
นอนกลิ้งเกลือกเสือกสนซุกชนไป พลางร่ำไห้โหยหวนและครวญคราง
เมื่อแรกไท้ธรรมบุตรหยุดชะงัก ตกพระทัยใคร่จักถอยออกห่าง
พอเหลียวแลซ้ายขวาเพื่อหาทาง ก็ได้ยินเสียงนางเท๎ราปที
กับเสียงน้องร้องให้ท้าวไทอยู่ มิให้ภูธรพรากทรงบากหนี
เพราะท้าวอยู่ดูเห็นร่มเย็นดี มิได้มีทุกข์ร้อนเหมือนก่อนกาล
ยุธิษเฐียรทรงฟังแสนสังเวช พระทรงเดชน้อมจิตต์อธิษฐาน
จะอยู่กับกฤษณายุพาพาล และน้องปาณฑพสี่ไม่หนีจร
ทรงขับทูตเทวดาที่มานั้น “ข้าเจ้ามั่นหฤทัยมิได้ถอน
จะอยู่กับชายาสี่ภ๎ราดร ถึงระทบทุกข์ร้อนจะสู้ทน”
ทันใดนั้นผันแปรแลประหลาด ด้วยอำนาจเทวดาน่าฉงน
ทางนรกยาวยืดและมืดมน ตลอดก้นห้องใหญ่ล้วนไฟกาฬ
ก็กลายวับกลับเห็นเป็นสวรรค์ สารพันผ่องใสแผ่ไพศาล
งามแสงแก้วแวววามตามวิมาน ชัชวาลยิ่งกว่าแสงอาทิตย์
งามสวนแก้วอุทยานสราญรื่น รุกขชาติดาษดื่นดูวิจิตร
งามสระศรีโศภาน่าพินิศ ล้วนแต่อิฏฐารมณ์น่าชมเชย
งามต้นปาริกชาติดอกดาษดื่น ส่งกลิ่นรื่นรอบไปไม่ระเหย
ทุกสิ่งสรรพ์โศภาน่าสะเบย แปลกจากเคยเห็นอยู่เพียงครู่เดียว
ท้าวเธอทรงอัศจรรย์เหมือนฝันเห็น พระทัยเต้นตั้งแต่เฝ้าแลเหลียว
โลมชาติชันชูอย่กรูเกรียว จึงเฉลียวหฤทัยทรงไตร่ตรอง
ก็ประจักษ์แจ้งเล่ห์เทวฤทธิ์ แสร้งประดิษฐ์บันดาลการทั้งผอง
พิสูจน์ให้ปรากฏด้วยทดลอง ว่าท้าวครองสัทธรรม์มั่นเพียงไร
เมื่อ ‘สัจจะ’ ‘เมตตา’ อันกล้าหาญ แห่งภูบาลธรรมราชไม่หวาดไหว
การพิสูจน์แพ้พ่ายละลายไป เทพไทโกสีย์ยินดีครัน
จึงอัญเชิญราชาให้มาสรง น้ำพระคงคาใหญ่ในสวรรค์
น้ำศักดิ์สิทธิ์แปลงองค์พระทรงธรรม์ ให้ผิวพรรณบริสุทธิ์ดุจอมร
ทรงสภาพเทวดาสง่าศรี รัศมีจำรัสปภัสสร
ทรงประดับภูษาเทพาภรณ์ พร้อมนิกรบริวารตระการตา
เธอประสพบพิตรพระกฤษณ์เทพ ซึ่งทรงเสพสมบัติจรัสฟ้า
มีรัศมีรุ่งโรจน์โชตินภา เทวดามากหลายเรียงรายไป
ล้วนทรงอาภรณ์พราววาววะวับ มาต้อนรับราชาต่างปราศรัย
เชิญเสด็จยังสถานพิมานไชย อันอำไพผ่องฟ้าสง่างาม
เธอประสพเท๎ราปทีและสี่น้อง รังสีผ่องพวยพุ่งรุ่งอร่าม
อาภรณ์เพริศพราวแพรววะแวววาม ต่างมีความยินดีเป็นที่สุด
ท้าวพานพบพวกสหายทั้งหลายสิ้น ที่เคยชินรักไท้ในมนุษย์
ต่างมีกายกุก่องงามผ่องผุด ล้วนเสพอุตดมสุขทั่วทุกคน
ธรรมราชบพิตรยุธิษเฐียร ทรงพากเพียรเพ็ญคุณบุญกุศล
ฝ่าลำบากตรากตรำซ้ำสกนธ์ มั่นกมลมุ่งธรรมอันอำไพ
จนปรากฏเกียรติเลิศประเสริฐสุด ว่าทรง ‘ยุตติธรรม์’ มั่นนิสสัย
เผยพระนาม’ธรรมราช’ ประกาศไกล แม้ถิ่นไทยก็นิยมชมพระคุณ
จึงมีไท้แห่งสยามทรงนามว่า ‘ธรรมราชา’ เชิดประเสริฐสุนทร์
เทียบนามองค์ทรงธรรม์อันอดุล ระบือบุญบพิตรนิจจกาล
ถึงทรงธรรม์ครรไลไปสวรรค์ คุณธรรม์ท้าวไทยังไพศาล
ให้ชาวชนบูชาอยู่ช้านาน ตราบเท่าโลกแหลกลาญประลัย เอย.
ศึกภารต นี้จิตรสัมฤทธิ์สรรพ์ กุมภาพันธ์ยี่สิบสี่ชี้เฉลย
ศกสองพันสี่ร้อยมีสร้อยเลย เจ็ดสิบเผยกาลนิยมอุตดมวาร
พร้อมพระฤกษ์แรกเริ่มเฉลิมรัฐ พิธีฉัตรมงคลกุศลสาร
พระบาทพระปกเกล้าพระเจ้าปราณ พระผู้ผ่านสยามรัฐฉัตรนคร
ข้า ‘พระยาอุปกิตศิลปสาร’ เป็นข้าเบื้องบทมาลย์นริศร
ตั้งมนัสน้อมนำซึ่งคำกลอน นี้, บูชาภูธรเปนสักการ
แต่เพราะมีอุปสรรคให้ชักช้า ต้องรอมาถึงพิธีศรีพิศาล
ฉลองกรุงเทพ ฯ ตั้งจิรังกาล ร้อยห้าสิบปีผ่าน พิพัฒน์มา
จึงตั้งหน้าสาทรพิมพ์กลอนนี้ เป็นพลีตามมาดปรารถนา
ดังบัวทองรองบาทนาถประชา แทนตูข้าอยู่สิ้นฟ้าดิน เทอญ.

- สิทฺธิรสฺตุ -

  1. ๓๐. สาต๎ยกี ท่านผู้นี้เปนญาติกับพระกฤษณ์ และเป็นสารถีของพระกฤษณ์ด้วย ในการสงครามคราวนี้จึงได้เข้าข้างปาณฑพตามพระกฤษณ์.

  2. ๓๑. คำนี้ศัพท์เดิมเป็น กีรฺติวรมนฺ มี นฺ การันต์ อย่างเดียวกับ ราชนฺ พฺรหฺมนฺ หสฺดินฺ ฯ ล ฯ ซึ่งท่านนิยมใช้ในภาษาไทยเป็น ๓ รูป คือ
    (๑) ใช้ตามภาษาเดิมว่าราชัน, พรหมัน (หรือพรหมาน), หัสดิน
    (๒) ตัด น. ทิ้ง เป็น ราช, พรหม, หัสดิ (ถ้านำหน้าคำสมาสต้องใช้รูปนี้อย่างเดียว, รูปอื่นใช้ไม่ได้)
    (๓) ตัด น. ทิ้งและฑีฆะ เป็นราชา, พรหมา, หัสดี, เพราะฉะนั้นจึงใช้ศัพท์นี้ตาม เป็น เกียรติวรมัน, เกียรติวรมะ และเกียรติวรมา.

  3. ๓๒. ศิขัณฑิน เป็นบุตรท้าวท๎รุบท เป็นพี่น้องกับธฤษฏทยุมน์ ดูอธิบายท้ายหน้า ๑๘๕

  4. ๓๓. กุมาร ๕ องค์นี้ เป็นบุตรนางเท๎ราปที กับปาณฑพทั้ง ๕ องค์ องค์ละองค์มีชื่อดังนี้ คือ บุตรยุธิษเฐียร ชื่อ ประติวินธยะ บุตรภีมะ ชื่อ ศ๎รุตโสม, บุตรอรชุน ชื่อ ศ๎รุตเกียรติ์, บุตรนกุล ชื่อ ศตานึก, บุตรสหเทพ ชื่อ ศ๎รุตกรรม.

  5. ๓๔. นอกจากฆ่ารี้พลมากมายแล้ว ในเรื่องพิสดารยังได้กล่าวไว้ว่า ฆ่าพระปริกษิต บุตรอภิมันยุ ซึ่งยังอยู่ในท้องนางอุตตราผู้มารดา ด้วยอาวุธทิพย์ แต่พระกฤษณ์ช่วยไว้ จึงได้รอดมาจนได้รับราชสมบัติสืบสันตติวงศ์ต่อพระยุธิษเฐียร ผู้เป็นพระเจ้าปู่ใหญ่. อรชุนเป็นปู่ตัว.

  6. ๓๕. อัศววัตถามัน มีแก้ววิเศษอยู่ดวงหนึ่ง, เมื่ออรชุนจับตัวมาได้จึงบังคับให้ถวายแก้วนี้แก่นางเท๎ราปที แล้วปล่อยตัวไป นางเท๎ราปทีได้เอาแก้วนี้ถวายยุธิษเฐียร.

  7. ๓๖. พระนางคานธารี, (มคธเป็นคันธารี, อย่าง ส. มาทรี, ม. มัทรี) มหิษีท้าวธฤตราษฎร์. นางเป็นธิดาแห่งพระราชประเทศคันธาระ, นางขอบุตรต่อพระฤๅษีวยาส, และพระวยาสก็ให้พรเพื่อให้ได้บุตร, ต่อมานางทรงครรภ์อยู่ ๒ ปี แล้วคลอดก้อนเนื้อออกมา, พระฤๅษีวยาสแบ่งก้อนเนื้อนี้ออกเป็น ๑๐๑ ก้อนขึ้นใส่ในผอบ ชิ้นแรกเกิดเป็นพระทุรโยธน์ และชิ้นต่อๆ ไปก็เกิดราชบุตรในเวลาห่างกัน ๑ เดือนจนครบ ๑๐๐ องค์ และบังเกิดพระธิดาองค์ ๑ ชื่อ ทุศศลา (ทุศลา) บุตรท้าวธฤตราษฎร์ทั้ง ๑๐๐ องค์นี้เรียกรวมว่าเการพ, แต่ที่ปรากฏชื่อเฉพาะตัวอยู่ก็คือทุรโยธน์ และ ทุศศาสน์ ๒ องค์เท่านั้น.

  8. ๓๗. ศัพท์นี้ในมคธใช้ คันธารี. ในที่นี้ใช้อย่างสันสกฤต. ท้าวธฤตราษฎร์ (ม. ธตรฎฺฐ เรามักใช้ ธตรฐ) เป็นกษัตริย์บอด จะเสด็จไปไหนพระนางคานธารีต้องจูงพระองค์ไปเสมอ แต่อยู่ในพระราชวัง พระนางเอาผ้าปิดพระพักตร์ไม่ให้เห็นสิ่งใดอย่างพระราชสวามีด้วยความจงรักภักดี.

  9. ๓๘. อ่าน ‘ป๎ริถา’ คือนางกุนตี มเหสีที่ ๑ ท้าวปาณฑุ เป็นมารดายุธิษเฐียร ภีมและอรชุน, คู่กับนางมัทรี มเหสีที่ ๒ มารดานกุล และสหเทพ. นางกุนตี เมื่ออยู่ในตระกูลมีบุตรกับพระอาทิตย์คนหนึ่งชื่อพระกรรณ ตามปรากฏข้างต้น นางเล่าเรื่องนี้ให้ปาณฑพฟังในที่นี้.

  10. ๓๙. คือ พระฤษีวยาส ซึ่งมีนามว่า กฤษณไท๎วปายน์ ซึ่งได้แสดงไว้หน้า ๗ แล้ว.

  11. ๔๐. อัศวเมธ แปลว่า บูชาม้า เป็นพิธีที่พระราชาธิราชกระทำเพื่อประกาศเกียรติยศ คือ ปล่อยม้าอุปการและมีกองทัพตามไปด้วยอย่างที่พระรามทำ, เมื่อม้าอุปการเที่ยวไปทุกบ้านเมืองจนกลับมาเมืองตัวโดยไม่มีเมืองใดขัดขวางม้านั้น ก็เป็นอันว่าเมืองนั้นๆ กลัวอำนาจยอมให้เป็นราชาธิราช แล้วฆ่าม้านั้นบูชายัญถวายพระเป็นเจ้า.

  12. ๔๑. คำนี้เรียกตามเรื่องรามเกียรติ์ของเรา คือ พระรามทำพิธีปล่อยม้าอุปการให้หนุมานคุมม้านั้นไป.

  13. ๔๒. ลัคนา (ควรอ่าน ลัก-- นา) คือเวลากำหนดที่จะทำกิจการใด ๆ ซึ่งโหรได้คำนวณตามวิธีโหราศาสตร์แล้วเขียนลงใน ดวงชาตา ซึ่งทำเปนวงกลมแล้วแบ่งเป็น ๑๒ ราศี, และเวลานั้นดาวพระเคราะห์ใดสถิตอยู่ราศีใดก็จดลงไว้ด้วย. ดาวพระเคราะห์นั้นใช้เลขแทน คือ อาทิตย์เลข ๑ เป็นลำดับไปจนถึงราหู ๘, พระเกต ๙, ดาวมฤตยู ๐, และลัคนาเขียนเป็นตัว ส. (ซึ่งหวัดมาจากตัว ล, มีไม้ผัด) คำลัคนานี้ เราอ่านและเขียนเพี้ยนไปเป็น ลักขณา ซึ่งผิด, ที่ถูกเป็นลัคนา.

  14. ๔๓. ลัคนา (ควรอ่าน ลัก-- นา) คือเวลากำหนดที่จะทำกิจการใด ๆ ซึ่งโหรได้คำนวณตามวิธีโหราศาสตร์แล้วเขียนลงใน ดวงชาตา ซึ่งทำเปนวงกลมแล้วแบ่งเป็น ๑๒ ราศี, และเวลานั้นดาวพระเคราะห์ใดสถิตอยู่ราศีใดก็จดลงไว้ด้วย. ดาวพระเคราะห์นั้นใช้เลขแทน คือ อาทิตย์เลข ๑ เป็นลำดับไปจนถึงราหู ๘, พระเกต ๙, ดาวมฤตยู ๐, และลัคนาเขียนเป็นตัว ส. (ซึ่งหวัดมาจากตัว ล, มีไม้ผัด) คำลัคนานี้ เราอ่านและเขียนเพี้ยนไปเป็น ลักขณา ซึ่งผิด, ที่ถูกเป็นลัคนา.

  15. ๔๔. ที่จริงเป็นลุงและหลานกัน ที่เรียกเช่นนี้ คงเป็นด้วยรักกันสนิทอย่างบิดากับบุตร.

  16. ๔๕. ที่จริงเป็นลุงและหลานกัน ที่เรียกเช่นนี้ คงเป็นด้วยรักกันสนิทอย่างบิดากับบุตร.

  17. ๔๖. ประยูรหงส์ แปลว่าวงศ์หงส์ ไทยเราหมายความว่าวงศ์ประเสริฐด้วยถือตามไสยศาสตร์ว่า หงส์เป็นสัตว์ประเสริฐ คือ เปนพาหนะของพระพรหม, อย่างเดียวกับโคซึ่งเป็นพาหนะของพระอิศวร, ซึ่งได้เปรียบกับผู้ประเสริฐ เช่นเรียกพระพุทธเจ้าว่า มุนิปุงควะ เป็นโคผู้ของนักปราชญ์ ‘นราสภ’ เป็นโคผู้ของคน ฯลฯ คำว่าโคนี้ท่านเอาความว่าประเสริฐ.

  18. ๔๗. ทวาราวดี กับ ทวารกา เป็นเมืองเดียวกัน เรียกได้ทั้ง ๒ อย่าง.

  19. ๔๘. อ่าน ‘ปะริก-สิต’ พระปริกษิตเป็นหลานพระอรชุน คือ เป็นบุตรอภิมันยุกับนางอุตตรา, เมื่อคืนวันเการพแพ้สงคราม อัศวัตถามันบุตรโท๎รณพราหมณ์กับเพื่อน ๓ คน คิดอาฆาตลอบเข้าไปในค่ายปาณฑพ ฆ่าธฤษฎทยุมน์, ศิขัณฑิน กับนายทหารซึ่งกำลังหลับอยู่ตายเป็นอันมาก ปริกษิตยังอยู่ในครรภ์ก็ถูกฆ่าด้วยเวทมนตร์ด้วย แต่พระกฤษณ์ช่วยไว้ได้ เธอคลอดภายหลังอภิมันยุผู้บิดาตาย. เธอรับราชสมบัติแทนพระเจ้าปู่ใหญ่ (พี่ชายของปู่) แล้วทิวงคตด้วยงูกัด.

  20. ๔๙. อ่าน ‘ยุ-ยุด-สุ’ พระยุยุตสุ เป็นบุตรท้าวธฤตราษฎร์มารดาเป็นหญิงสาวใช้ตระกูลแพสย์, จึงเปนน้องต่างมารดากับพระทุรโยธน์, เมื่อจวนเกิดสงครามเธอหนีมาเข้าข้างฝ่ายปาณฑพ.

  21. ๕๐. พระยมเป็นบิดายุธิษเฐียร จึงกล่าวว่า ‘พ่อ.’

 

แชร์ชวนกันอ่าน

แจ้งคำสะกดผิดและข้อผิดพลาด หรือคำแนะนำต่างๆ ได้ ที่นี่ค่ะ