บทที่ ๓ ที่ประชุมรัฏฐมนตรีกรุงหัสดิน

แต่นั้นมาห้าเจ้าค่อยเบาโศก คลายวิโยคยากยับซึ่งทับถม
ปลื้มพระทัยในเล่ห์เสน่ห์ชม สนิทสนมในเจ้าเท๎ราปที
พึ่งบรมสมภารบัญจาลราช อยู่ปราสาทสุขเสริมเฉลิมศรี
หมดวิตกห่วงใยกลัวไพรี ซึ่งต่างมีมุ่งมาดอาฆาตเคือง
จะขอกล่าวข่าวพระทุรโยธน์ ประจักษ์โสตเนตรสิ้นระบิลเรื่อง
ว่าปาณฑพหนีได้จากในเมือง จักก่อเรื่องร้อนจิตต์บิตุรงค์
ตั้งคะนึงพรึงพรั่นคิดหวั่นไหว ด้วยกลไม่สำเร็จเสร็จประสงค์
จักระบือลือลั่นเป็นมั่นคง เพราะภ๎ราดาห้าองค์ทรงแพร่งพราย
ซ้ำไปได้พระธิดาปัจจามิตร คงร่วมคิดแก้แค้นเป็นแม่นหมาย
ด้วยความคิดริษยาไม่คลาคลาย หวังทำลายล้างเหล่าเจ้าภ๎ราดา
ทราบถึงพระบิตุรงค์ทรงประกาศ ประชุมราชมนตรีที่ปรึกษา
ในพระโรงรัตนาสน์ราชสภา มนตรีมาพร้อมสรรพด้วยฉับพลัน
ธฤตราษฎร์บพิตรสถิตนั่ง เหนีอบัลลังก์ราชรัตน์พระฉัตรกั้น
บริวารแวดล้อมอยู่พร้อมกัน สมเด็จองค์ทรงธรรม์ก็บรรยาย
“ดูก่อนท่านมนตรีที่ปรึกษา ผู้ตั้งหน้าจงรักสมัครหมาย
มุ่งประกอบราชการไม่คร้านกาย ดังแขนซ้ายขวาเราเจ้าแผ่นดิน
บ้านเมื่องเราบัดนี้ก็มีท่าน เป็นหลักฐานแห่งเราดังเสาหิน
จะเสื่อมทรามหรือจะงามดังเมืองอินทร์ ก็อาศัยท่านสิ้นทุกสิ่งไป
ความรุ่งเรืองเริงร่าด้วยผาสุก แห่งราษฎร์ทุกถิ่นจบสบสมัย
ก็เพราะท่านมนตรีมีแก่ใจ ฝักใฝ่ในราชกิจไม่บิดเบือน
ความสัตย์ซื่อถือมั่นแห่งท่านสิ้น ต่อแผ่นดินต่างดีไม่มีเหมือน
เราเห็นใจจงรักไม่ชักเชือน ในเราเหมือนจิตต์แท้ไม่แปรปรวน
น้ำจิตต์ท่านบริสุทธิ์ประดุจมาศ ธรรมชาตินพคุณพิบุลล้วน
ปราศจากมลทินสิ้นทั้งมวล มีคุณควรบูชาทุกหน้าไป
“เราให้เชิญท่านมาณครานี้ ด้วยคดีเหลือคิดวินิจฉัย
ลำพังเราเล่าก็แหนงระแวงใจ กลัวจะไม่หมดสิ้นคำนินทา
ท่านผู้มีสามารถฉลาดเลิศ เร็วเข้าเถิดช่วยกันขบปัญหา
อย่าหน่ายแหนงแคลงจิตต์คิดระอา เห็นแก่ราชสีมาอีกสักคราว
“ท่านคงทราบเรื่องหลานเจ้าปาณฑพ อพยพจากบุรีเกิดมี่ฉาว
ไปผูกมิตรปฏิพัทธ์กษัตริย์ชาว บัญจาลด้าวแดนผู้ศัตรูเดิม
จักเป็นเหตุอันตรายณภายหน้า แก่อาณาจักรนี้ทวีเสริม
ท้าวบัญจาลได้หลานเราเพิ่มเติม จะเห่อเหิมหักหาญรำบาญเรา
อันความแตกสามัคคีนี้เป็นต้น ให้เกิดผลร้อนใจดังไฟเผา
จะคิดแก้แปรผันผ่อนบรรเทา ให้หมดเค้าเงื่อนภัยฉันใดดี”
พระทุรโยธน์ลุกยืนอื้นพระโอษฐ์ “ประทานโทษข้าเห็นเป็นฉะนี้
ติดสินบนพวกมหาเสนาบดี แห่งไพรีเพื่อให้ผิดใจกัน
เมื่อเขาแตกสามัคคีป่นปี้แล้ว เราก็แคล้วอันตรายดังหมายมั่น
นี้อุบายธรรมดาเป็นสามัญ ยังอุบายสำคัญนั้นยังมี
คือใส่ร้ายบ้ายผิดกฤษณา ให้หมดท่าแก้ตัวจนผัวหนี
คงบำราศขาดรักสามัคคี ต่อไปนี้เมืองเราจักเบาใจ
เบื่อยาพิษตัวดีภีมเสน อ้ายตัวเวรฮึกฮักคือยักษ์ใหญ่
ให้มันตายวายชนม์จักพ้นภัย หมดลำบากยากใจเป็นแน่นอน”
ทุรโยธน์ทรุดนั่งยังพระที่ พระกรรณ์ยืนทูลคดีอดิสร
“ขอเดชะ พระนรินทร์ปิ่นนคร ขออุทธรณ์แย้งคำที่รำพัน
ข้าพระบาทเห็นมีวิธีแก้ อย่างเดียวแต่แรงรณพลขันธ์
จงโปรดส่งพลไกรไปประจัญ อย่าให้ทันศัตรูได้รู้ตน
เข้ารุกรบไพรีซึ่งมีน้อย ให้แตกย่อยยอมแพ้เสียแต่ต้น
อย่าให้ทันเมืองเพื่อนได้เคลื่อนพล มาช่วยรณรุกรบสมทบกัน
เช่นราชากฤษณะ, คุชราต ไม่ทันได้โอกาสเข้ากางกั้น
ข้าบาทเห็นอย่างนี้แหละดีครัน แล้วแต่องค์ทรงธรรม์จะโปรดปราน”
ต่อนี้ไท้ธฤตราษฎร์ประภาษให้ พระภิษม์เฒ่าเจ้าใหญ่ทรงไขขาน
พระภิษม์จึงทูลชี้คดีการณ์ “ขอประทานโทษทูลมูลคดี
เมื่อมีพระโองการบรรหารให้ ข้าบาทไขความเห็นมาเช่นนี้
ต้องกราบทูลตามสัตย์อรรถคดี ซึ่งบางทีจักแคลงแหนงกมล
ปาณฑุราชครองรัฐหัสดิน ประชาสิ้นรู้แพร่มาแต่ต้น
ปาณฑุราชล่วงลับดับพระชนม์ สมบัติดลบุตรห้าพระภ๎ราดร
ยุธิษเฐียรควรได้ไอศวรรย์ เพื่อสืบสันตติวงศ์พระทรงศร
ย่อมประจักษ์ทั่วหน้าประชากร พระภูธรโปรดจงทรงวิจารณ์
แม้พระองค์อาลัยมิให้หมด ก็ควรลดกึ่งเท่าให้เจ้าหลาน
เพื่อพะยุงยุกติธรรมจำประทาน ให้จัดการตามคำข้ารำพัน
แม้ไม่แบ่งปันส่วนหลานควรได้ ผูกพระทัยขึ้งเคียดเฝ้าเดียดฉันท์
คงเกิดความย่อยยับขึ้นฉับพลัน กระหม่อมฉันท้วงทักด้วยภักดี
ความลโมภเกินไปพาให้ชาติ และเหล่าญาติขุ่นข้องได้หมองศรี
เรื่องบุตรไท้ทุจจริตคิดมิดี หวังคลอกพี่น้องให้บรรลัยลาญ
ข่าวขจายพรายแพร่งทุกแห่งหน ประชาชนทราบสิ้นทุกถิ่นฐาน
ว่าทุรโยธน์หยาบช้าแสนสามานย์ เอาไฟผลาญพี่น้องปองสมบัติ”
พระกรรณยืนขึ้นกล่าวเป็นคราวสอง ตอบสนองโวหารพูดค้านคัด
“คำพระภิษม์เพ้อพร้องเห็นข้องขัด ฟังน่าบัดสีหูแก่ผู้คน
ใจพระภิษม์บิดผันด้วยฉันทะ จักษุเซอะเงอะงะอกุศล
ไม่เห็นทางยุกติธรรมนำกมล ให้ดื้อด้นเดาคิดที่ผิดธรรม์
คงจะมีโรคภัยอย่างไรแน่ มาปรวนแปรปรุงจิตต์ให้บิดผัน
เป็นหน้าที่ที่ปรึกษาทั่วหน้ากัน ช่วยแก้ปัญหาให้ด้วยใจเย็น
ไม่ควรหวั่นพรั่นในสิ่งใดหมด แถลงพจน์ตามการพิจารณ์เห็น
ผู้พูดเพ้อเผลอพล้ำมักลำเค็ญ เพราะว่างเว้นหว่านล้อมโดยพร้อมมูล
ย่อมทำให้บ้านเมืองได้เคืองแค้น ความปึกแผ่นโค่นหักยศศักดิ์ศูนย์”
โท๎รณพราหมณ์ฟัง ‘กรรณ์’ จึงพลันทูล เพราะเห็นมูลเพิ่มให้ผิดใจกัน
จึงห้ามว่า “หยุดพลันเถิดกรรณ์เอ๋ย ! หยุดเฉลยลิ้นลมอันคมสัน
ลิ้นที่หยิ่งโยโสโอ้จำนรรจ์ กระดิกมันเมื่อยเปล่าไม่เข้าการ
หรือจักให้ราชวงศ์ดำรงราชย์ แห่งเราขาดศูนย์สิ้นเพราะลิ้นท่าน
สิ่งทิ่ทำด้วยปากไม่ยากนาน ยากอยู่ที่ทำการให้สมคำ”
วิทูรพลันค้านพระทุรโยธน์ “ประทานโทษข้าขอค้านข้อขำ
เพราะหน้าที่ข้าพเจ้าเร้าให้ทำ เสนอนำแจ้งสิ่งที่จริงใจ
ผลจะเป็นเช่นไรณภายหลัง เหลือกำลังจักคิดวินิจฉัย
เรื่องนี้จัดตามเห็นให้เป็นไป โดยรุนแรงแล้วไซร้, ข้าไตรตรอง
วงศ์กษัตริย์เรานี้จักปี้ป่น ที่สุดจนแผ่นดินสิ้นทั้งผอง
เหตุฉะนี้น้ำจิตต์ข้าคิดปอง ควรปรองดองคืนมีไมตรีเธอ
ด้วยอุบายตามจิตต์พินิจเห็น ควรให้เป็นยุกติธรรมสม่ำเสมอ
ศานติสุขจักขาดจากญาติเกลอ เพราะไม่เอออวยรักสมัครกัน”
พอสิ้นถ้อยโต้เถียงกันเพียงนี้ ภูบดีเห็นจริงทุกสิ่งสรรพ์
จึงมีพระสีหนาทเด็ดขาดพลัน ให้เปนอันปรองดองโดยคลองธรรม
รับพระหลานผ่านซึ่งกึ่งประเทศ พระทรงเดชจักชุบอุปถัมภ์
ให้หมดความทุกข์ยากที่ตรากตรำ ให้ต่างบำรุงรักสามัคคี
ต่อไปนี้ไม่นานโองการสั่ง ให้แต่งตั้งทูตพลันขมันขมี
คุมบรรณาการไปผูกไมตรี กับบุรีบัญจาลรับหลานยา
เมือเหล่าทูตถึงด่านบัญจารัฐ ก็แจ้งอรรถแก่ตัวท่านหัวหน้า
นายด่านทราบส่งทอดตลอดมา จนถึงพาเข้าเฝ้าเจ้าบัญจาล
ขณะนั้นปาณฑพครบทั้งห้า เผ้าราชาธิบดินทร์ปิ่นสถาน
อยู่ในราชสำนักอัครอุฬาร เกษมศานต์สนทนากันร่าเริง
ท้าวท๎รูบทตรัสถ้อยด้วยพลอยโศก “ยุธิษเฐียรเอ๋ย ! โลกนี้ยุ่งเหยิง
มีวิโยคโศกศัลย์มีบรรเทิง อาศัยเพลิงแห่งกิเลสเป็นเหตุการณ์
ไม่มีเรื่องแห่งใครในปวัตติ์ สารพัตรขุ่นข้องเช่นของท่าน
อนิจจา ! ญาติชิดกลับคิดพาล น่าสงสารท่านนักน่าหนักใจ”
ยุธิษเฐียรทูลว่า “อานุภาพ กับทั้งลาภ,สองนี้กลีใหญ่
มันทำพี่กับน้องให้หมองใจ มันทำให้พ่อลูกไม่ถูกกัน
อนึ่ง ทรัพย์, อำนาจ, ชาติผู้หญิง ของสามสิ่งนี้ใครเฝ้าใฝ่ฝัน
ย่อมเสื่อมถอยย่อยยับโดยฉับพลัน เพราะว่ามันเป็นมารผลาญประชา”
ท้าวท๎รุบทฟังคำ ‘ธรรมบุตร’ พระพักตร์ผุดผ่องพรรณด้วยหรรษา
“ข้าเจ้ากล่าวยิงยันให้สัญญา ถึงแม้ว่าท่านไซร้ไม่ไยดี
ในยศศักดิ์ศฤงคารตามท่านแจ้ง แต่ควรได้ส่วนแบ่งบุรีศรี
แม้ไม่แบ่งปันให้ด้วยไมตรี พวกเรานี้ช่วยแบ่งด้วยแรงรณ”
พอประภาษขาดคำมีอำมาตย์ บังคมบาททูลเรื่องแต่เบื้องต้น
เพื่อนำทูตเฝ้าราชบาทยุคล พระจุมพลให้หามาข้างใน
ทูตเข้าไปบังคมบรมบาท มีพระราชดำรัสทรงปรัศรัย
ทูตก็ทูลตอบองค์พระทรงชัย ที่สุดได้กราบทูลมูลคดี
“พระราชาข้าบาทประภาษสั่ง ให้ข้าทั้งมวลมาณครานี้
เพื่อนำข่าวพระพิพัฒน์สวัสดี ซึ่งทรงมีปราโมทย์แสนโปรดปราน
ทรงทราบความเกี่ยวดองสองประเทศ พระทรงเดชห่วงใยในพระหลาน
พร้อมด้วยองค์เทวีศรีสคราญ พระวงศ์วานไพรฟ้าประชากร
ต่างยินดีเตรียมสรรพรับเสด็จ กษัตริย์เจ็ดคืนวังดังแต่ก่อน
ท้าวท๎รุบททรงฟังดังจะรอน เอาพระกรขาดวิ่นเป็นสินไป
เสียดายเขยปาณฑพครบทั้งห้า ทั้งธิดาดวงจิตต์พิสมัย
ไม่รู้ที่ห้ามปรามต้องตามใจ ตัดพระทัยอนุญาตให้คลาดคลา
ให้เตรียมพลจตุรงค์ส่งเสด็จ ให้สรรพเสร็จสมมาดปรารถนา
เสนามาตย์จัดสรรดังบัญชา ต่างคอยท่าเจ้าเจ็ดเสด็จจร
ฝ่ายปาณฑพภ๎ราดามารดานาถ ทั้งพระราชบุตรีศรีสมร
ขึ้นเฝ้าองค์ภูบดีศรีนคร เพื่อลาจรจากด้าวแห่งท้าวไท
พระราชาราชินีศรีสลด แถลงพจน์โอวาทประภาษไป
อำนวยพรเจ็ดองค์ให้ทรงชัย บำราศภัยผาสุกทุกพระองค์
แต่พระราชชนนีนารีนาถ ทรงวาบหวาดหฤทัยแทบใหลหลง
พร่ำสั่งสอนเท๎ราปทีศรีอนงค์ เพราะเหตุทรงห่วงใยในพระนาง
แต่นี้เจ้าจำพรากจากชนก และจากอกแม่คลาดนิราศร้าง
จงถือพระภรรดาอย่าระคาง เสมือนต่างพระชนกผู้ปกครอง
จงถือพระแม่ผัวดังตัวแม่ จงดูแลปฏิบัติอย่าขัดข้อง
จงถือธรรมสุจริตจิตต์ประคอง เสมอของเครื่องทรงอลงกรณ์
อันโอวาทภัสดาเป็นภาระ ที่เจ้าจะเชื่อฟังเขาสั่งสอน
คำติชมบรรดาประชากร ให้บังอรเลือกเชื่อที่เนื้อธรรม
อันว่าการติชมเป็นลมปาก แม้เชื่อมากเกินควรชวนถลำ
ทุกสิ่งในสากลไม่พ้นคำ แห่งชนตำนิชี้หาที่ทราม
ดอกกุหลาบกลิ่นสีเป็นที่รัก มีผู้ทักท้วงที่กิ่งมีหนาม
การถนอมสามัคคีให้ดีงาม เป็นยอดความสุขใหญ่ในครอบครัว”
ถึงเวลาจวนเสด็จเจ็ดกษัตริย์ ก็ลาขัตติยวงศ์ทุกองค์ทั่ว
เสด็จจากโรงคัลคิดพันพัว ให้หมองมัวหฤทัยจำไคลคลา
ขึ้นทรงช้างสัปคับระยับย้อย ทหารคอยแห่แหนออกแน่นหนา
ท๎รุบทราชราชินีทรงลีลา พร้อมเสนาอำมาตย์ญาติวงศ์
ทั้งประชาชาวราษฎร์ออกดาษดื่น ยัดเยียดยืนพร้อมหน้ามุ่งมาส่ง
ครั้นได้ฤกษ์รีบรัดจัตุรงค์ เคลื่อนพลตรงมารัฐหัสดิน
จากบุรีแรมพักสำนักป่า นอกสีมาบัญจาลสถานถิ่น
ดำเนิรตามมัคคุเทศก์สังเกตชิน ข้ามโขดหินหุบผาในป่าดง
ชมลำเนาเขาไม้ในพนัส เป็นขนัดแน่นหนาป่าระหง
พฤกษชาติสดชุ่มเปนพุ่มพง ฝูงนกส่งเสียงแซ่อยู่แจจัน
เสียงผู้คนช้างม้าที่คลาคลาด กัมปนาททั่วไปทั้งไพรสัณฑ์
ฝูงสัตว์ป่าแตกตื่นตั้งหมื่นพัน แล่นถลันโลดโผนโจนทะยาน
ฝูงลิงค่างต่างวิ่งบนกิ่งไม้ ด้วยตกใจซ่อนซุกอยู่พลุกพล่าน
ชะนีโหนโยนตนหนีลนลาน ตัวบ่างผ่านโผซุ่มตามพุ่มพง
ดำเนิรพลผ่านมาในป่าชัฏ พ้นพนัสแนวไม้ไพรระหง
ลุหัสดินกรุงไกรดังใจจง ทราบถึงองค์บพิตรบิตุลา
โองการให้เตรียมสรรพรับพระหลาน แต่งสถานที่ทางอย่างสง่า
ปักธงฉัตรเฉิดฉันริมมรรคา และตามปราการพร้อมป้อมทวาร
เหล่าพระญาติและมหาเสนามาตย์ ประชาราษฎร์ปรีดิ์เปรมเกษมศานต์
มาคอยรับรอท่าหน้าพระลาน ต่างเบิกบานในกมลทุกคนไป
เมื่อปาณฑพภ๎ราดาเธอมาถึง อึงคะนึงนี่นันสนั่นไหว
ด้วยสำเนียงราษฎรอวยพรชัย หมอช้างไสช้างประทับเทียบกับเกย
ต่างลงจากช้างทรงอลงกต งามพระยศโอ่อ่าดูผ่าเผย
เสียงประชาปรารมภ์แต่ชมเชย จนล่วงเลยครรไลเข้าในวัง
อำมาตย์ใหญ่ต้อนรับคำนับน้อม นำครรไลแวดล้อมอยู่พร้อมพรั่ง
ผ่านผู้คนเรื่อยมาดาประดัง จนเข้ายังโรงคัลพรรณราย
พระราชายุรยาตรจากอาสน์รัตน์ มาจงหัตถ์หลานขวัญให้ผันผาย
พระเทพีศรีนาฏทรงยาตรกราย จูงสองนางย่างย้ายเสด็จจร
พระราชาส้วมสอดกอดพระหลาน ทั้งห้ากรานกราบองค์พระทรงศร
มีพระราชโองการประทานพร ให้ภ๎ราดรหลานไท้ด้วยไมตรี
สมเด็จไท้เทพีกุนตีนาถ นำพระราชสุณิสามารศรี
บังคมบาทราชาราชินี สองไท้มีพจนารถประสาทพร
พระญาติหญิงยินดีศรีสะใภ้ ต่างปราศรัยรับรองสองสมร
ในพระยศยอดชั้นฐานันดร ร่วมอาสน์องค์บังอรราชินี
ธฤตราษฎร์ทรงธรรม์ตรัสบรรหาร เพื่อสมานมัวหมองแห่งน้องพี่
ซึ่งอาฆาตแค้นใจเป็นไพรี ให้ตั้งหน้าปราณีประนอมกัน
จึงตรัสแก่ทรงฤทธิ์ยุธิษเฐียร “ลุงนี้เพียรผูกรักสมัครมั่น
เพื่อไมตรีหลานลูกได้ผูกพัน สนิทฉันก่อนเก่าให้เนานาน
ลุงหวังให้วงศ์เราคือเการพ กับปาณฑพพี่น้องปองสมาน
ผูกสมัครรักกันนิรันดร์กาล ให้พระหลานครองซึ่งกึ่งสีมา
หลานจงตั้งกรุงใหม่ในจังหวัด ‘ปาณฑพปรัสถ์’ หรือที่ไหนตามใจหา
ตั้งเป็นเมืองพี่น้องสองภารา เพื่อรักษาเกียรติคุณสกุลวงศ์
ต่อนี้ไปหัสดินบูรินทร์รัฐ ก็ได้จัดแบ่งตามความประสงค์
ยุธิษเฐียรได้รัฐอัสดง เป็นป่าพงว้าเหว่ทะเลทราย
ตะวันออกของพระทุรโยธน์ ธัญญโภชชาหารตระการหลาย
มีบ้านเมืองคับคั่งตั้งกระจาย กันเรียงรายเรื่อยไปไม่กันดาร
  1. ๗. ‘ธรรม’ ที่นี้แปลว่าเที่ยงตรง. เป็นชื่อพญายม เพราะท่านเที่ยงตรง เมื่อใครถึงที่ตายก็เอาชีวิตไปโดยไม่เลือกหน้า เขาจึงเรียกว่า พระธรรม หรือ ‘ธรรมราช’ หรือ ‘ธรรมบุตร’ ก็คือบุตรพญายม ได้แก่ยุธิษเฐียร.

  2. ๘. ‘ปร๎ศรัย’ คำสันสกฤต ที่เราใช้เพี้ยนมาเป็น ‘ปราศรัย’ มหาชาติคำหลวงใช้เช่นนี้ชุกชุม.

แชร์ชวนกันอ่าน

แจ้งคำสะกดผิดและข้อผิดพลาด หรือคำแนะนำต่างๆ ได้ ที่นี่ค่ะ