บทที่ ๑๑ สงครามกุรุเกษตร

การที่องค์ทรงฤทธิ์พระกฤษณ์กลับ จากระงับสงครามตามถวิล
กลับเปนการยั่วใจผู้ไพริน ให้เธอผินพักตร์จ้องปองประจัญ
ไม่ช้าพระทุรโยธน์ผู้โกรธกล้า ส่งศาส์นท้าทันทีขมีขมัน
ทรงใช้คำหมิ่นประมาทกาจฉกรรจ์ มากกว่าบรรหารส่วนชวนสงคราม
ในคำท้าว่า “ท่านสาบานไว้ จะชิงชัยแก้เผ็ดให้เข็ดขาม
เวลานี้เหมาะล้ำจงทำตาม ให้สมความปรารถนาที่สาบาน
เราเป็นโจรแย่งชิงทุกสิ่งสิ้น แย่งชิงถิ่นแว่นแคว้นแดนสถาน
มเหสีท่านเล่า, เราประจาน ซ้ำโกงท่านเนรเทศจากเขตต์คัน
ไหนภีมผู้อวดโอ้กินโลหิต แห่งกนิษฐ์ทุศศาสน์น่าหวาดหวั่น
ทุศศาสน์รอคอตกกลัวงกงัน เชิญมาพลันมาชิมให้อิ่มใจ
อรชุนอวดเก่งในเพลงศร ไปซุกซ่อนอยู่หนตำบลไหน
เชิญสำแดงแสงศรซ่อนทำไม เพื่อขู่ให้ฝูงเด็กเล็ก ๆ เกรง”
และอะไรต่ออะไรล้วนไค้แค่น พูดดูแคลนทับถมเชิงข่มเหง
ความอาฆาตคิดชังตั้งแต่เพรง อวดมาเองอื้อฉาวในคราวนี้
ยุธิษเฐียรฟังคำทีพร่ำท้า ไปปรึกษาพร้อมกันขมันขมี
ตกลงต้องตัดญาติขาดไมตรี แล้วจึงมีราชศาสน์ประกาศรบ
ส่งไปยังหัสดินถิ่นอมิตร เพื่อแจ้งกิจการรณพ้นจะหลบ
ใช้ถ้อยคำเรียบราบสุภาพครบ ด้วยอ่อนนบพระเจ้าลุงผะดุงเวียง
ทุรโยธน์รับศาส์นไม่นานช้า เกณฑ์พลากรเอิกเกริกเสียง
เกณฑ์พลพลฉกรรจ์สรรทุกเชียง เกณฑ์สะเบียงอาวุธยุทธภัณฑ์
ฝ่ายเมืองออกนอกในมิได้ช้า เกณฑ์ผลากรสรรพยกทัพขันธ์
มายังกรุงหัสดินสิ้นด้วยกัน ไม่นานวันพลรบก็ครบสรรพ
ทุรโยธน์บัญชาประกาศิต ตั้งพระภิษม์แก่หง่อมเป็นจอมทัพ
ตั้งโท๎รณาจารย์เฒ่าเข้ากำกับ ให้บังคับปีกขวาเสนาพล
ตั้งพระลุศกุนิริพิฆาต ถ่วงลูกบาศก์บอกข้อคิดฉ้อฉล
ให้ช่วยโท๎รณาจารย์คิดการรณ และให้พลพารา ‘คันธารี’
มือถือทวนล้วนขี่พาชีครบ เข้าสมทบปีกขวามอบหน้าที่
ตั้งทุศศาสน์น้องรักผู้ภักดี คุมโยธีปีกซ้ายเปนนายพล
ธฤตราษฎร์ราชาละล้าละลัง ยกตามหลังเพื่อสังเกตซึ่งเหตุผล
ให้สญชัยสารถีชี้ยุบล ทูลรายงานการรณแก่ทรงธรรม์
ลุเวลารุ่งรางสว่างหล้า สั่งให้คลาเคลื่อนพหลพลขันธ์
เป็นกระบวนจตุรงค์อังยงยรร ออกจากคันเขตต์รัฐหัสดิน
แซ่สำเนียงพลไกรครรไลเลื่อน ก้องกระเทือนทั่วเขตต์ประเทศถิ่น
เสียงเท้าม้าคลาคล่ำย่ำแผ่นดิน เสียงพลสิ้นด้วยกันสนั่นไป
เสียงม้าช้างร้องลั่นสนั่นหล้า เสียงรถคลาเคลื่อนลั่นสนั่นไหว
ผงคลีมืดมรคาที่คลาไคล หญ้าและไม้ปี้ป่นด้วยคนเดิร
เร่งขับพลด้นไคลต่างใจกล้า ทหารม้าวิ่งเหยาะดังเหาะเหิร
เปนเหล่า ๆ แต่ล้วนด่วนดำเนิร ข้ามโขดเขินเขาไม้ไม่ระอา
ทหารช้างเชิดขอไม่ย่อย่น ไสช้างด้นดั้นไคลมิได้ช้า
พวกนายทัพขับรถไม่ลดลา เทียมด้วยม้าพ่วงพีมีกำลัง
สารถีกำกับนั่งขับรถ ให้เลี้ยวลดสมหมายดังนายสั่ง
ทหารราบแน่นหนาดาประดัง เป็นเหล่าๆ แลสะพรั่งคับคั่งไป
ล้วนแต่งตนตามเหล่าดูเพราเพริศ สวมเสื้อเทริดงามงดสีสดใส
ถือศัสตราตามเหล่าเต้าคระไล เหล่าหน้าไม้ดาพโล่ห์เหล่าโตมร
เหล่าถือทวนเชิดชูดูยะยาบ เหล่าถือดาพสองมือเหล่าถือศร
ดูดังคลื่นดื่นมาเต็มสาคร เป็นตอนๆ ตามกันเต็มมรรคา
ฝ่ายข้างเจ้าปาณฑพเตรียมครบสรรพ ล้วนกองทัพโยธีที่อาสา
ยุธิษเฐียรจัดสรรทรงบัญชา ‘ธฤษฏทยุมน์’๑๔ น้องยาเท๎ราปที
เปนจอมทัพนำทหารฝ่ายปาณฑพ ตั้งแต่งครบเสนาตามหน้าที่
อนึ่งชายหนุ่มกล้ายอดชาตรี ก็คือศรี ‘อภิมันยุ’ ยรรยง
ผู้บุตรพระอรชุนอดุลศักดิ์ กับนงลักษณ์ ‘สุภัทรา’ นวลหงส์
ผู้พระน้องของพระกฤษณ์ฤทธิรงค์ เป็นเอกองค์อาจหาญการสงคราม
เทียบจำนวนแห่งพหลพลรบ พลปาณฑพยังเป็นรองสองกับสาม
ครั้นได้ฤกษ์เรืองรณมงคลยาม เดิรพลหลามเลื่อนออกนอกบุรี
เสียงฆ้องกลองก้องกึกพิลึกลั่น ประดังกันแซ่ซ้องก้องวิถี
ฝุ่นตลบกลบดงเป็นผงคลี ด้วยฤทธิ์ฝีเท้าพลด้นครรไล
พลขันธ์บรรลุ ‘กุรุเกษตร’ เป็นประเทศที่ทางทุ่งกว้างใหญ่
พอปะทะรี้พลสกลไกร แห่งพวกไพรีรัฐหัสดิน
ทั้งสองฝ่ายหมายมุ่งเอาทุ่งนี้ เป็นแดนกรีฑาเทิดล้ำเลิศถิ่น
ดังสภาโรงธรรมอัมรินทร์ ที่ตัดสินยุกติธรรมนักรำบาญ
ทั้งสองทัพยับยั้งต่างตั้งค่าย ทั้งสองฝ่ายเกณฑ์พลอลหม่าน
ปันหน้าที่ถี่ถ้วนกระบวนการ ด้วยเชี่ยวชาญเชิงรณกลวิธี
ผู้นำทัพสองข้างต่างสันทัด ต่างฝ่ายจัดพลขันธ์ขมันขมี
ด้วยใจชื้นชื่นบานดาลฤดี ดังผู้ที่ชื่นบานการกีฬา
‘กุรุเกษตร’ ทุ่งกว้างเคยว่างเปล่า มีแต่เหล่าติณชาติขึ้นดาษหนา
บัดนี้แลโอฬารตระการตา ดาษดาค่ายคูดูวิไล
แสนยากรแต่งกายดูพรายเพริศ มีธงเทิดฟ้าลิ่วปลิวไสว
พลม้าพลรถคชไกร เดิรขวักไขว่ทั่วทิศผิดโบราณ
แต่ก่อนเคยแซ่ซ้องเสียงผองสัตว์ เสียงลมพัดฮือๆ! อื้อสะท้าน
บัดนี้ช้างม้าร้องก้องกังวาน เสียงทหารโห่ร้องเสียงกลองชัย
เสียงกงรถกึงกัง ! เสียงศังข์เป่า เสียงฝีเท้าทวยหาญสะท้านไหว
เสียงพูดจาจอแจเซ็งแซ่ไป แสงคบไต้แจ่มจ้าในราตรี
ต่างตั้งค่ายคูสมอารมณ์หมาย ทั้งสองฝ่ายจัดกระบวนโดยถ้วนถี่
เสร็จแล้วต่างยับยั้งฟังคดี จอมโยธีตรวจตราบัญชาการ
เมื่อสองทัพจ้องดูกันอยู่นั้น อัศจรรย์เผยแผ่แก่ทหาร
ยุธิษเฐียรมาหยุดยุทธยาน หน้าค่ายปาณฑพตั้งยับยั้งพล
ลงจากรถปลดเกราะเดิรเหยาะยาตร ไม่มีศาสตราวุธสุดฉงน
ไม่มีราชองครักษ์แต่สักคน จรดลเข้าในค่ายพวกไพรี
ฝ่ายนายทัพทั่วไปได้พินิศ เห็นบพิตรหัตถ์เปล่าเศร้าฉวี
เชื่อแน่ว่าเธอมาขอปราณี เข้าภักดีต่อฝ่ายมูลนายตัว
ธรรมเนียมว่าผู้ใดไร้อาวุธ ใครประทุษฐ์ต่อท่านเป็นการชั่ว
จึงไม่มีใครกั้นเข้าพันพัว ตลอดทั่วทุกชั้นเป็นหลั่นไป
เหล่าทหารแห่งไท้ฤทัยหวั่น ต่างแลงันงวยงงด้วยสงสัย
ฝ่ายทหารไพรีต่างดีใจ นึกว่าไท้ยอมแพ้เป็นแน่นอน
พลนิกายก่ายกองทั้งสองฝ่าย ต่างมุ่งหมายมององค์พระทรงศร
ยุธิษเฐียรเศร้าใจคระไลจร จนถึงตอนเจ้านายอยู่ภายใน
เข้าเฝ้าองค์ทรงฤทธิ์พระภิษม์เฒ่า ทรงน้อมเกล้าแทบบาทประภาษไข
ขอขมาโทษองค์พระทรงชัย ผู้พระญาติยิ่งใหญ่ในตระกูล
ประเพณีวีรชาติญาติผู้ใหญ่ ผู้น้อยไปหาญหักยศศักดิ์ศูนย์
ต้องขอโทษญาติใหญ่ในประยูร ต่อจากทูลทรงฤทธิ์พระภิษม์ไป
ขอโทษท่านโท๎รณพราหมณ์ประณามนบ อาจารย์อบรมมาศึกษาไสย
ตลอดลุเล่ห์กลรณชัย ด้วยจำใจรบรากับอาจารย์
ฝ่ายนักรบสองเฒ่าเศร้าสลด รับประณตทรงธรรม์ต่างบรรหาร
อนุญาตตามแยบแบบโบราณ ด้วยเหลือการขัดขืนให้คืนดี
เสร็จขมาโทษทัณฑ์ทรงผันผาย กลับยังค่ายโดยพลันขมันขมี
ต่างประกาศขาดกันบั่นไมตรี ตามวิธีรณรงค์เริ่มสงคราม
ว่า “สนามงามปานทวารฟ้า ความเมตตาคลาดแคล้วแล้วสนาม!”
ทั้งสองฝ่ายบ่ายหน้าพยายาม เพื่อหาความยุกติธรรมด้วยรำบาญ
ณค่ายฝ่ายปาณฑพเตรียมครบสรรพ ผู้นายทัพนายหมวดตรวจทุกด้าน
อรชุนได้มิตรพระกฤษณ์ปาน ดังอาจารย์เชิดชี้วิธียุทธ์
แต่พระกฤษณ์สัญญารับหน้าที่ สารถีขับรถของดหยุด
ไม่เข้ารบเพราะไม่ใช้อาวุธ แต่ขออุดหนุนกันด้วยปัญญา
อรชุนนั่งยลอยู่บนรถ เห็นนายทัพทั่วหมดแทบทุกหน้า
ล้วนแต่ญาติ,บ้างเยาว์,เฒ่าชรา ทรงระอาอ่อนหาญในการรณ
จึงตรัสแก่บพิตรกฤษณะ “ใจข้าละหลีกท้อคิดย่อย่น
ผู้ที่เราใฝ่จิตต์คิดประจญ เพื่อหวังผลพึงหมายณฝ่ายเรา
ใช่อื่นไกลไหนเล่าคือเหล่าญาติ ผู้เกี่ยวพาดพงศ์เผ่าทั้งเราเขา
ถ้ารบราฆ่าญาติประมาทเมา แล้วจะเอาสุขอะไรที่ไหนกัน”
พระกฤษณ์ทรงพร่ำพร้องสนองถ้อย “โปรดฟังหน่อยอรชุนอย่าผลุนผลัน
อันนักรบรบราถึงฆ่าฟัน ไม่หมายมั่นเกียรติ์ตนหรือผลดี
ไม่ใช่โลกไม่ใช่ธรรมมากำชับ ไม่สำหรับเห็นข้างคนห่างถี่
เขาจะรบหรือจะรอไม่ต่อตี เพราะทำตามหน้าที่วีรชน
โดยมิได้ไหวหวั่นคิดครั่นคร้าม ไม่คิดข้ามคาคคะนึงไปถึงผล
ท่านก็เป็นชาติกษัตริย์จรัสรณ เปนหน้าที่ท่านประจญแทนราชา
ไม่คะนึงถึงตนและคนอื่น ไม่ต้องยื่นหน้าหมายผลภายหน้า
โปรดวิจารณ์จงดีด้วยปรีชา อย่าถือว่าขู่ขานให้ท่านกลัว
เกียรติ์นักรบใดจะปานเท่าการรบ กำจรจบหล้าลือระบือทั่ว
ความตายอันอุตดมโลกชมชัว ชูศักดิ์ชั่วกัปป์กัลป์นิรันดร
ก็คือตายในสนามเมื่อยามยุทธ์ ประเสริฐสุดศักดิ์เลิศเชิดกระฉ่อน
น่าประหลาด ! ญาติท่านคิดราญรอน จนเหลือผ่อนพูดจาให้รามือ
ยังจะมีผู้กล้ามาว่าขาน จับผิดท่านผู้เดียวได้เจียวหรือ?
ไฟสงครามถึงอย่างไรก็ไหม้ฮือ ท่านจะดื้อดับไฟไม่ได้เลย
คะนึงธรรมศักดิ์สิทธิ์คิดประพฤติ เป็นหลักยึดยั้งจิตต์เถิดมิตรเอ๋ย!
สนามยุทธ์เป็นไฉนก็ได้เคย สหายเอ่ย ! อ่อนแอมีแต่ทราม
ทรามไฉน ? ข้าเจ้าไม่เล่าต่อ เพราะท่านก็เชี่ยวชาญการสนาม
แต่ว่าความรักใคร่พาให้ความ- โลเลลามปัวเปียมักเสียการ”
อรชุนฟังมิตรพระกฤษณ์สอน น้ำใจอ่อนค่อยหายกลายเป็นหาญ
ได้สติเตรียมครบเพื่อรบราญ ด้วยเชี่ยวชาญเชิงกลรณรงค์
ต่อนั้นไปไม่ช้าโกลาหล อุบัติดลดาลจิตต์พิศวง
กึกก้องดังแดนยุทธ์จะทรุดลง ยิ่งกว่าสงครามใดที่ได้มี
สำเนียงศังข์หวู ! หวู่ ! ดังอยู่ทั่ว เสียงกลองรัวตึง ๆ ! อยู่อึงมี่
เสียงประสานขานโห่แห่งโยธี และเสียงฝีเท้าคนลุกลนจร
ทั้งนี้ทัพเการพครบทุกเหล่า ขับพลเข้าชิงชัยในสมร
พลพาชีขี่ห้อเข้าต่อกร พลราบต้อนพลบุกเข้ารุกราน
เหล่าพลรถเรียงรายล้วนนายทัพ สารถีขี่ขับล้วนกล้าหาญ
แล้วพลช้างย่างบุกรุกรำบาญ ล้วนชำนาญเชิงรบอยู่ครบครัน
ฝ่ายปาณฑพครบสรรพเตรียมรับอยู่ พินิศดูดังกำแพงล้วนแข็งขัน
พร้อมสะพรั่งตั้งชิดติดๆ กัน คอยตั้งมั่นมุ่งรับทัพศัตรู
ซึ่งถาโถมโจมผจญทุกหนแห่ง จนโรยแรงรี้พลต้องย่นยู่
ดังคลื่นที่ตีฝั่งอยู่พรั่งพรู ครั้นมาสู่ฝั่งกลับยับกระจาย
ทั่วทหารปาณฑพไม่หลบเลี่ยง ไม่มีเบี่ยงบิดเบือนเคลื่อนขยาย
พู่ขนนกก็ไม่ช้ำถูกทำลาย แม้สักรายหนึ่งไปก็ไม่มี
ได้โอกาสกองทหารแห่งปาณฑพ เริ่มเข้ารบพร้อมกันขมันขมี
เสียงศังข์กลองก้องลั่นขึ้นทันที ต่างก็รี่เดิรพหลพลไกร
พุ่งเข้าตีเการพสยบย่น เคลื่อนที่ร่นรวนกันอยู่หวั่นไหว
ราวกับลมบ้าหมูพัดวู่ไป ฝุ่นตลบกลบในสนามรณ
เกิดลางร้ายให้มัวไปทั่วทิศ มีโลหิตโปรยปรอยเป็นฝอยฝน
หมาป่าหอนกลางวันลั่นอรญ ฝูงเหยี่ยวแร้งร่อนวนบนนภา
แผ่นดินลั่นหวั่นไหวไปทุกแห่ง บังเกิดแสงฟ้าแลบแวบเวหา
ไม่มีเมฆหมอกตั้งแต่หลังมา แต่ท้องฟ้ามืดมัวอยู่ทั่วไป
เสียงฟ้าร้องก้องลั่นสนั่นทุ่ง สายฟ้ารุ่งโรจน์กระจ่างสว่างไสว
เหนือดวงอาทิตย์ซึ่งพึ่งอุทัย แล้วแตกย่อยน้อยใหญ่อยู่เรียงราย
สว่างข้ามขอบฟ้าน่าพินิศ อยู่ทางทิศบูรพาพร่าเป็นสาย
บอกนิมิตรผิดผันอันตราย น่าใจหายหวาดหวั่นพรั่นกมล
แต่นักรบเหล่านี้ไม่มีหวาด ไม่ขยาดลางร้ายเท่าปลายขน
ท้าทายกันกึกก้องร้องคำรณ เข้าประจญหวังชะนะไม่ละกัน
พลพาชีขี่ขับเข้ารับรบ ทวนกระทบทวนดังฟังสนั่น
ดาพปะทะประดาพกระหนาบฟัน หอกซัดผันพุ่งหอกอยู่กลอกกลับ
เสียงลูกศรว่อนหวู ! ไม่รู้หยุด ศัสตราวุธประกันลั่นทุกทัพ
แซ่ประดังฟังอะไรมิได้ศัพท์ ชะอุ่มอับค่อยจางสว่างตา
ทั้งสองข้างต่างฝ่ายหมายพิฆาต พระภิษม์อาจหาญโหมเข้าโถมถา
ตีประดังหวังชัยมิได้รา จนสุดสามารถไท้มิได้ผละ
ทุรโยธน์นำทัพเข้ารับรบ โถมกระทบโยธีพระภีมะ
ทุศศาสน์ส่งโยธีเข้าตีดะ รุกทัพนกุลราชประกาศเกียรติ์
‘ศัลยราช’ ผู้กษัตริย์แคว้น ‘มัทระ’ เข้าปะทะบพิตรยุธิษเฐียร
โท๎รณาจารย์ขับพลอยู่วนเวียน ตั้งหน้าเพียรเพื่อยึดธฤษฏทยุมษ์
‘เจ้าสินธุ’ นามบัญญัติ ‘ชยัทรถ’ เข้าตีทัพท้าวท๎รุบทอยู่เกลื่อนกลุ้ม
เป็นคู่ ๆ ขับพลเข้ารณรุม เป็นตะลุมบอนใหญ่ทั้งไพร่นาย
ทั้งสองทัพขับเคี่ยวด้วยเกรี้ยวกราด ต่างไม่อาจเอาชัยดังใจหมาย
จนเวลาสายัณห์ตะวันชาย ยังไม่คลายเคลื่อนคลารบรากัน
ต่อมาองค์ ‘อภิมันยุ’ ขันแข็ง ผู้บตรแห่งอรชุนคิดหุนหัน
เห็นเสียเปรียบเการพก็ขบฟัน เข้าประจัญกับพระภิษม์ฤทธิรณ
ชูกระบี่ขี่รถไม่ลดละ เข้าฟันฉะธงชัยบรรลัยป่น
พระภิษม์ผู้ฤทธีวีรชน ไม่เคยถูกใครประจญเหมือนหนนี้
จึงคุมทัพเข้ารบเปนครบสอง เสียงรถก้องกึงกังอยู่อึงมี่
เข้ารบรุกบุกบันประจันตี จนเลือดนองธรณีอนาถใจ
อรชุนเห็นพลย่นสยบ ไพรีรบล่วงล้ำดังน้ำไหล
จึงขับรถเร่งพลรบร้นไป ต้านทานไพรีหยุดไม่รุดรณ
เกิดตะลุมบอนบุกรุกสะอึก มิได้นึกเป็นตายเท่าปลายขน
เข้าระดมก้มหน้าฝ่าประจญ มิช้าพลเการพหลบกระจาย
อรชุนรุนรุกเร่งบุกบั่น เข้าฆ่าฟันรี้พลปี้ป่นหลาย
ถึงแนวในแน่นล้นพลนิกาย ถูกฆ่าตายเกลื่อนกลาดดาษดา
พอบรรจบพลบค่ำต้องจำเลิก ศังข์กลองเอิกอึงลั่นสนั่นจ้า
บอกให้เลิกรบกันเป็นสัญญา ต่างก็รารบผ้ายสู่ค่ายตน
นี้เป็นวันแรกรบกระทบหัตถ์ ไม่ถนัดฝ่ายไหนจะได้ผล
ยุธิษเฐียรจอมทัพคับกมล เพราะเธอยลยุทธกิจติดจะขัด
เธอมิได้ผ่อนพักแต่สักนิด ด้วยทรงคิดขุ่นข้องหมองมนัส
พอกองทัพหลับเรียบเงียบสงัด จึงเลาะลัดลอบมาหาพระกฤษณ์
ทรงเล่าความมุ่นหมกวิตกถึง พระกฤษณ์จึงเตือนองค์พระทรงฤทธิ์
ให้ทรงตั้งพระสติดำริกิจ มิให้คิดย่นย่อท้อพระทัย
ครั้นดาวเคลื่อนเดือนดับลงลับฟ้า ยามอุษาแสงสูรย์จรญใส
เสียงศังข์กลองก้องลั่นขึ้นทันใด พลสองข้างต่างไคลเคลื่อนกระบวน
ธงพระภิษม์จอมพลยลตระหง่าน ดังต้นตาล, พลไกรเห็นได้ถ้วน
กลับเป็นเป้าอรชุนหนุนคำนวณ ลูกศรถ้วนแล่นตรงไปธงชัย
ทั้งสองทัพขับพลประจญศึก เสียงโครมครึกครื้นครั่นสนั่นไหว
ราชบุตรท้าวท๎รุบทยศไกร เข้าชิงชัยครูชราโท๎รณาจารย์
ฝ่ายพระภีมขับพลเข้ารณรบ แล่นตลบไล่ล้างพลช้างสาร
ซึ่งจะเข้าเหยียบย่ำรุกรำบาญ จนช้างลานแหลกพ่ายกระจายไป
ทุรโยธน์ทรงยลพลรบ บางเหล่าหลบหลีกร่นให้หม่นไหม้
ละอายจิตต์คิดแค้นแน่นพระทัย จึงพิไรร่ำพ้อต่อพระภิษม์
“พระภิษม์เอ๋ย ! ข้าเจ้าเฝ้าฉงน ท่านจอมพลรับบัญชาอาชญาสิทธิ์
ผู้นำทัพขับสู้หมู่อมิตร มุ่งแต่คิดพึ่งโล่ห์โท๎รณพราหมณ์
โอ้! แม่ทัพเการพน่านบนอบ ไฉนยอบย่ออยู่ดูเป็นขาม
หรือรักปาณฑพห้าพยายาม กำบังความอาดูรอยู่มูลมอง
เช่นนี้ควรขอถอนคิดผ่อนผัน ให้พระกรรณนำทัพรับสนอง
ดีกว่าทำออดอิดผิดทำนอง จงโปรดตรองหน่อยนะปู่ครูตระกูล”
พระภิษม์ฟังเสียดสีทวีโกรธ พระพักตร์โชติช่วงแดงดังแสงสูรย์
แต่ทรงมีปรีชากลั้นอาดูร คิดถึงมูลเหตุให้ชิงชัยกัน
“ทุรโยธน์โฉดปานกุมารน้อย มุ่งแต่คอยจะให้ได้ดังใฝ่ฝัน
รบก็อยากมีชัยภายในวัน ไม่ได้ทันใจหมายระคายเคือง
กลับแค้นขัดตัดพ้อหาข้อผิด เหมาพระภิษม์เหลวใหลมิได้เรื่อง
คบเด็กคบหัวล้านสร้างบ้านเมือง คบยิ่งเปลืองปรีชาพาให้ทราม
เรานักรบเรียนรู้เป็นผู้ใหญ่ เด็กไฉนจ้วงจาบพูดหยาบหยาม”
พลางตอบด้วยเสียงสั่นรำพรรณความ สัตย์จริงตามตริไตรมิได้กลัว
“ภิษม์, โท๎รณะ, มิฉะนั้นก็กรรณะ ไม่อาจจะกลบกลิ่นมลทินชั่ว
คืออยุตติธรรม์ท่านพันพัว คิดตั้งตัวเหนือกฎหมายไม่อายธรรม์
ท่านผู้กอบทุจจริตจิตต์จะกละ หมายชะนะสุจริตจิตต์กระสัน
ตามทีเถิด, แต่ว่าตัวข้าอัน ไม่บิดผันพ่ายหนีหน้าที่ตน
เป็นนักรบก็จะรบไม่หลบเลี่ยง มิได้เบี่ยงเบนบ่ายเท่าปลายขน
จะสู้พลีชีวิตจนปลิดชนม์ ด้วยสัตย์ธรรม์มั่นกมลไม่มีคลาย
ตรัสแล้วขับรถชัยมิได้พรั่น ต้นพหลพลขันธ์ให้ผันผาย
เข้าบุกรุกคลุกคลีตีกระจาย เหล่าม้าพ่ายเผ่นแยกแตกกระบวน
เหล่ารถแหลกแตกไปมิใช่น้อย เหล่าช้างถอยพัลวันชักปั่นป่วน
และเหล่าราบร่ายเร่อยู่เรรวน ทัพทั้งมวลไหวหวั่นสนั่นไป
อรชุนดูฤทธิ์พระภิษม์รบ ให้สยบแหยงอยู่เป็นครู่ใหญ่
ต่อพระกฤษณ์สอนสั่งจึงตั้งใจ ขับม้าไล่เหล่าทหารเข้าราญรณ
ตีศัตรูยู่แยกแตกกะฉ่อน เป็นตอนๆ วุ่นว้าโกลาหล
กระจัดกระจายซ้ายขวาจลาจล ดูเกลื่อนกล่นกลาดกลุ้มตะลุมบอน
ตกเวลาสายัณห์ตะวันบ่าย มีสองชายหนุ่มหาญชาญสมร
เข้ารบรุกบุกบั่นประชันกร ต่างไม่หย่อนหยุดยั้งเพราะหวังชัย
ฝ่ายหนึ่งบุตรทุรโยธน์รุ่งโรจน์ยศ นามปรากฏ ‘ลักษมัณ’ ไม่หวั่นไหว
ฝ่ายหนึ่งบุตรอรชุนดรุณวัย ‘อภิมันยุ’ ไกรเกียรติกำจร
ลักษมัณนั้นเพลียจนเสียท่า ให้พวกข้าศึกกลุ้มรุมสลอน
ทุรโยธน์เห็นทัพรีบผันจร มาแก้กันราญรอนจึงรอดตน
แล้วกลุ้มรุมอภิมันยุกั้นล้อม เข้าแห่ห้อมหลังหน้าโกลาหล
อภิมันยุอยู่กลางหมู่พล ลำพังตนต่อสู้แต่ผู้เดียว
อรชุนฟังพลคำรนเร้า ร้องให้เข้ารบแก้จึงแลเหลียว
แลเห็นลูกถูกระดมรบกลมเกลียว ขับรถเลี้ยวลัดไปมิได้รอ
ตีปะดังพังพลแตกป่นปี้ ดังกวางลี้หลบเสือไม่เหลือหลอ
บ้างเห็นหน้าจึ่งโทงแล้วโก่งคอ ร้องว่า ‘อรชุน’! หนีวุ่นวาย
อรชุนรุนยุทธ์ช่วยบุตรได้ ยังซ้ำไล่เการพหลบสลาย
บั่นศีรษะฉะเชือดเลือดกระจาย พวกพลพ่ายเผ่นตะพือแตกฮือมา
ถึงหน้าทัพทุรโยธน์อุทโฆษลั่น พอตะวันด้อยดับลงลับหล้า
เสียงศังข์กลองก้องลั่นบอกสัญญา จึงต้องล่าเลิกกลับกองทัพตน
ครั้นรุ่งแจ้งแสงทองจับท้องฟ้า สีแดงพร่าแพรวพราวในหาวหน
ต้องโลหิตติดตามสนามรณ สีระคนดังสีมณีแดง
ดูระยับจับทุ่งเปนรุ้งรอบ จดถึงขอบนภดลอำพนแสง
เมื่อสองทัพหลับนอนพักผ่อนแรง ครั้นรุ่งแจ้งจัดพลเข้ารณรงค์
ฝ่ายปาณฑพจัดพหลพลขันธ์ เป็นรูปจันทร์แรม,จิตต์คิดประสงค์
โอบข้าศึกเข้าไว้อยู่ในวง ขับพลตรงห่อหุ้มตะลุมบอน
ทั้งสองข้างต่างรบไม่หลบละ เข้าปะทะโถมสู้อย่สลอน
พลนิกายตายกลาดอนาถนอน เลือดแดงดอนดงดาษดังชาดทา
ช้างม้าล้มถมดินดิ้นกระเดือก บ้างนอนเสือกกายแข็งเหยียดแข้งขา
เสียงคำรนปนร้องก้องนภา เกิดลางน่าหวั่นหวาดอนาถครัน
เห็นนักรบดาษดาบนอากาศ แต่หัวขาดเหลือแต่กายเที่ยวผายผัน
ก้อนเมฆเห็นเป็นปิศาจเข้าฟาดฟัน รุกรบกันในอากาศประหลาดใจ
ทุรโยธน์ยลตามสนามรบ ได้เห็นครบคิดพรั่นนึกหวั่นไหว
เห็นรถฟังช้างม้ามาบรรลัย พลไกรตายกลาดหวาดกมล
จึงปราศรัยทรงฤทธิ์พระภิษม์แก่ “ท่านมีแต่โชคร้ายทำลายผล
ให้พระกรรณ์ชายหนุ่มควบคุมพล เข้าผจญไพรีคงมีชัย
จิตต์และมือเท้าท่านวิการแน่ ดูอ่อนแอเอนเอียงเลี่ยงไถล
จักสงสารหลานยาหรือว่าไร ข้าสงสัยสุดแสนแน่นกมล”
พระภิษม์ตอบด้วยแค้นแสนพิโรธ “ทุรโยชน์เอ๋ย ! ไยใจฉงน
อานุภาพเสนาพลาพล หรือจะรณรบรุกยุกติธรรม์
การชะนะนั้นไซร้มิได้อยู่ ที่มากผู้พวกพหลพลขันธ์
ความหนุ่มแน่นมีกำลังตั้งอนันต์ หรือมีปัญญาเลิศประเสริฐชาย
ย่อมสู้เดชยุกติธรรม์นั้นไม่ได้ ท่านอย่าใฝ่ฝันเพลินจนเกินหมาย
คนดัง ‘กรรณ’ ดาษดื่นตั้งหมื่นนาย ไม่ทำลายยุกติธรรมให้ชำนะ
ตรัสแล้วขับรถศึกสะอึกเข้า ต้อนพลเร้ารุกใหญ่มิได้ผละ
เข้าตีอย่างทรหดไม่ลดละ ปาณฑพด้อยถอยฉะพัลวัน
พวกเการพได้ทีตีกระหน่ำ พระภิษม์นำพลไกรไล่ถลัน
ปาณฑพจวนจะกระจายวุ่นวายกัน พอสายัณห์ย่ำฆ้องกลองสัญญา
ต่างเลิกทัพกลับค่ายทั้งนายไพร่ เตรียมตัวไว้รบกันในวันหน้า
ผู้บาดเจ็บเกลื่อนกลาดดาษดา หามพะยุงจูงมาอเนกอนันต์
วันที่สี่แสงสูรย์จำรูญฉาย ทั้งสองฝ่ายจัดพหลพลขันธ์
เร่งกระบวนพลทหารรำบาญกัน แซ่สนั่นแน่นหลามสนามรณ
ต่างรบรุกบุกบันฉกรรจ์กาจ ไม่ขยาดย่นพ่ายเท่าปลายขน
จนเลือดหลั่งแหล่หลายดังสายชล ต่างเสียพลล้มตายลงก่ายกอง
ผลัดกันร่นผลัดกันรุกเฝ้าบุกบั่น ถึงสี่วันยังมิได้ชัยสนอง
นอกจากพลตายกลาดเลือดฝาดนอง ม้าช้างต้องล้มตายลงก่ายกัน
สนามรบบัดนี้มีทหาร ต่างทะยานยุทธ์แย้งด้วยแข็งขัน
พระภิษม์กับอรชุนวุ่นประจัญ ต้อนพลขันธ์เข้ากลุ้มตะลุมบอน
บัดเดี๋ยวราบัดเดี๋ยวแรงเข้าแย้งยุทธ์ อุดตลุดลั่นไปในสมร
ต่างกำแหงแข็งข้อเข้าต่อกร ไม่ย่อหย่อนย่นแพ้ลงแก่กัน
มีกำลังดังเช่นพระเป็นเจ้า ประทานเท่ากันแกล้งให้แข่งขัน
บัดพระภิษม์รบรุกเข้าบุกบัน บัดอรชุนผลุนผลันเข้ารุกราญ
ผลัดกันรุกผลัดกันร่นอยู่จนเที่ยง ต่างไม่เพลี่ยงพล้ำพลาดด้วยอาจหาญ
ฝ่ายพระภีมเพ่งดูอยู่เป็นนาน คิดรำคาญขับพลประจญตี
เข้าแย้งยุทธ์ดุจว่าลมบ้าหมู พัดวู่ ๆ หอบฝุ่นขึ้นหมุนจี๋
พระภิษม์ต้อนเสนาเข้าราวี รบไพรีรุนแรงแข็งประจญ
แต่พระภีมขับพลเข้ารณรบ กลับสยบย่นพ่ายเป็นหลายหน
ด้วยไพรีรี่กลุ้มเข้ารุมรณ เห็นเหลือทนจึงให้ถอยเฝ้าคอยที
ยังฝากแผลแก่ ‘ศัลย์’ ‘ทุรโยธน์’ ทั้งสองโกรธกริ้วใหญ่ดังไฟจี้
คือเมื่อภีมบุกบันประจัญตี ทุรโยธน์จึงมีพระโองการ
ให้สิบสองน้องไท้ไล่รบร้า ถูกภีมฆ่าแปดองค์น่าสงสาร
นอกนั้นต่างหนีร่นอยู่ลนลาน ภีมประหารหักลงเป็นผงคลี
สนามรบภาคหนึ่งเอิกอึงลั่น ด้วยรบกันต่างฝ่ายไม่หน่ายหนี
กฤปาจารย์, โท๎รณะ, พระษาลี รุมเข้าตีอรชุนอยู่วุ่นวาย
การรบกันวันนี้มีขนบ พวกเการพรวมพลกมลหมาย
จัดกำลังพลใหญ่ไล่ทำลาย ปาณฑพรายกันอยู่ไม่รู้ตน
แต่ก็ถูกตีแหกแตกสะบั้น พัลวันวุ่นว้าโกลาหล
ทั้งสองข้างต่างหาญเข้าราญรณ ผลัดกันร่นผลัดกันรุกอยู่คลุกคลี
จนเวลาสายัณห์ตะวันดับ ต่างถอยทัพเลิกกันในวันนี้
ปาณฑพถูกหักโหมเข้าโจมตี เขย่าที่มั่นอยู่ไม่รู้วาย
แต่ก็เข้ายุทธ์แย้งด้วยแข็งกล้า จึงรักษาไว้ได้ไม่สลาย
แต่ค่อนข้างอ่อนใจทั้งไพร่นาย ซึ่งรับฝ่ายไพรีมีกำลัง
ครั้นรุ่งแสงสูรย์ฉันวันที่ห้า แสนเสนาสองฝ่ายรายสะพรั่ง
กระหายรบรีบร้นพลประดัง แซ่เสียงศังข์เสียงกลองกึกก้องไป
ท้องสนามหลามล้นพลทหาร แลตระการธงทิวปลิวไสว
ต่างยาตราร่าเริงบันเทิงใจ ดังจะไปฟากฟ้าสง่างาม
การรวมพลหมู่ใหญ่เข้าไล่รบ- พวกปาณฑพทั่วไปในสนาม
ซึ่งเการพอุตส่าห์พยายาม ไม่สมความปรารถนามาแล้วนั้น
ฝ่ายปาณฑพนำไปคิดใช้บ้าง นายทัพต่างรวมแรงแข็งขยัน
ภีมกับพระอรชุนอุดหนุนกัน รวมพหลพลขันธ์เข้าราวี
ทุรโยธน์มีเชาว์อันเคล่าคล่อง เห็นพี่น้องรวมรบก็หลบหนี
ปล่อยให้โท๎รณาจารย์เข้าต้านตี สองทัพพี่น้องนั้นประชันกร
โท๎รณะเป็นอาจารย์สองปาณฑพ ซึ่งเข้ารบกับครูเป็นผู้สอน
ถึงแม้จักแค้นใจดังไฟฟอน ก็ต้องผ่อนผันตามความนิยม
คือไม่ฆ่าครูม้วยด้วยกระบี่ ประเพณีเผยแผ่แต่ประถม
พวกเการพรู้ท่าจึงปรารมภ์ อาศัยร่มครูเฒ่าแฝงเงาฟัน
เป็นอุบายดีอยู่จับครูเชิด ถึงจะเกิดเดือดร้อน, พอผ่อนผัน
ทั้งสองข้างต่างโถมโจมประจัญ มิได้ยั่นย่อท้อต่างต่อกร
นักรบหนุ่มคู่เก่าผู้เคล่าคล่อง ซึ่งทั้งสองสู้กันในวันก่อน
ผลัดกันเสียทีรณคนละตอน มีผู้ช่วยราญรอนจึงรอดมา
ฝ่ายปาณฑพอภิมันยุขันแข็ง เข้ายุทธ์แย้งลักษมันประจันหน้า
หาญต่อหาญทรหดไม่ลดลา อยู่เป็นช้านาน, แต่ไม่แพ้กัน
จนทุรโยธน์เสียท่าต้องอาวุธ จำยั้งหยุดย่อย่นพลขันธ์
ให้ทรงเปลหามกลับโดยฉับพลัน พัลวันแห่ห้อมแวดล้อมไป
อภิมันยุได้มีชัยศึก พระทัยนึกยินดีจะมีไหน
กลับมาทูลธรรมบุตรวุฑฒิไกร แล้วคุมไพร่พลเข้าเร้ารำบาญ
ด้วยความฮึกเหิมใจมิได้ย่น เข้าประจญกับพระภิษม์ด้วยจิตต์หาญ
หวังตีแม่ทัพให้ประลัยลาญ ปวงทหารคงพ่ายกระจายไป
พระภิษม์เห็นอภิมันยุขันแข็ง ทรงยิ้มแฉ่งเจรจาเชิงปราศรัย
“เสียใจนักหน้าเจ้ายังเยาว์วัย ปากยังไม่ศูนย์สิ้นกลิ่นน้ำนม
เจ้าจากอกแม่มาไม่ช้านัก ข้าเจ้าจักชิงชัยดูไม่สม
ยกให้เจ้าเยาว์วัยไม่นิยม ไปอบรมอีกสักหน่อยจึงค่อยมา”
ก็พอดีศังข์กลองกึกก้องลั่น ด้วยตะวันด้อยดับลงลับฟ้า
ต่างสงบรบกันตามสัญญา เหล่าเสนาเคลื่อนคลายเข้าค่ายตน
ครั้นอรุณเรื่อฟ้าเวลาเช้า ต่างเร่งเร้าเสนาโกลาหล
เดิรกระบวนล้วนหลามสนามรณ เข้าประจญรบรุกกันคลุกคลี
ทั้งสองฝ่ายไม่ย่อต่างต่อสู้ นักรบผู้แข็งขันในวันนี
ฝ่ายปาณฑพภีมผู้เข้าจู่ตี สองเสนีเการพสมทบรวม
คือท่าน ‘สุศรมัน’ ผู้สันทัด ‘อัสวัตถามัน’ ประจัญร่วม
จะว่าใครเพลี่ยงพล้ำก็กำกวม จนเลือดท่วมร่างกายไม่พ่ายกัน
กองโจรของทรงฤทธิ์ยุธิษเฐียร ได้พากเพียรไล่ล้างอย่างมหันต์
แล่นไล่กองโจมตีไพรีอัน เข้าประจัญโจมตี, ถอยหนีไป
ต่อนี้การราญรณทุกหนแห่ง ต่างเชื่อแรงรบกันสนั่นไหว
พระภีมตีรี่รุกบุกเข้าไป ถึงชั้นในแนวหนาหน้ากะดาน
ถูกพลเหล่าเการพตลบล้อม เข้าแห่ห้อมโหมรุกอยู่ทุกด้าน
ภีมมิได้ย่อหย่อนเฝ้ารอนราญ ไม่สะท้านจิตต์ท้อเข้าต่อตี
ทั้งมือเท้าเคล่าคล่องทำนองรบ ตีตลบข้าศึกไม่นึกหนี
แผลงศรสาดกราดไปถูกไพรี บ้างถึงชีวิตดับล้มทับกัน
บ้างถูกบาดเจ็บล้มจมสนาม บ้างหนีข้ามเขตต์รณพลขันธ์
บ้างเข้ารุกคลุกคลีตีประจัญ ภีมรบรับคับขันอยู่กลางแปลง
กำลังภีมสิบเท่าเหล่าทหาร ถูกรุมราญยิ่งซ้ำกลับกำแหง
ด้งเพิ่มอีกสิบเท่าเร้าให้แรง เข้ายุทธิ์แย่งอย่างกล้าดูน่ากลัว
ด้วยมุ่งหมายฆ่าพระทุรโยธน์ ด้วยความโกรธเกรี้ยวจัดใคร่ตัดหัว
ให้สมดังปฏิญญาวาจาตัว ครั้งถูกยั่วหยามเจ้าเท๎ราปที
ได้สมหมายแต่ไม่มากเพียงฝากแผล ให้ไว้แก่ทุรโยธน์ซึ่งโลดหนี
ถูกเจ็บไปใจท้อไม่ต่อตี รีบหลีกลี้หลบกายเข้าค่ายตน
ฝ่ายกองทัพปาณฑพซึ่งรบรับ เห็นภีมลับลี้ไปให้ฉงน
ยุธิษเฐียรภูธรทรงร้อนรน เกรงถูกพลไพรีรุมตีเอา
สั่งให้ธฤษฎทยุมน์คุมทหาร เข้ารบราญรุกฝ่าตามหาเขา
เจ้าชายหนุ่มคุมพลเที่ยวด้นเดา รบไต่เต้าตามไปไม่ไกลนัก
เห็นรถภีมจอดขวางอยู่กลางหน ในเขตต์รณด้านหนึ่งซึ่งประจักษ์-
แต่สารถีเป็นผู้อยู่พิทักษ์ ทหารสักคนไซร้ก็ไม่มี
รีบคลาไคลไปที่รถสลดยิ่ง ไต่ถามสิ่งสงกาสารถี
เมื่อได้ทราบเหตุการณ์ดาลฤดี ว่าภีมมีชีพอยู่เข้าสู้รบ
สารถีบรรยายถวายว่า มีเหล่าม้าไพรีตีตลบ
ล้อมพระภีมพัลวันอยู่ครันครบ ต่างสมทบทับถมระดมตี
พระภีมเผ่นจากรถไม่ลดละ เข้าฟันฉะเหล่าม้าไม่ล่าหนี
ฟันทหารตกม้าแย่งพาชี เผ่นขึ้นขี่ม้าได้ไล่กระจุย
พวกเหล่าม้าไพรีต่างลี้หลบ พลเการพร่นแตกต้องแหลกลุ่ย
แยกกระจายผายกว้างเหมือนทางกรุย ฝ่าตะลุยมากระทั่งถึงหลังทัพ
ธฤษฏทยุมน์นั่งยลอยู่บนรถ เห็นปรากฏการรบนั้นครบสรรพ
ภีมมิได้หลีกหลบเข้ารบรับ เการพขับพลห้อมเข้าล้อมตี
ภีมหวดซ้ายป่ายขวาด้วยสามารถ แต่ไม่อาจตีแตกให้แหลกหนี
เการพยิงบุกรุกเข้าคลุกคลี น่าเป็นที่หวาดหวั่นอันตราย
ธฤษฎทยุมน์จึงร้องประคองขวัญ “จงประจัญให้สมอารมณ์หมาย
พวกข้าเจ้ามาใกล้ทั้งไพร่นาย” พลางขับพลเข้าทำลายตะลุมบอน
ต่างตีฝ่าข้าศึกสะอึกอ้อม จนที่ล้อมลุ่ยแหลกแตกสลอน
ฝุ่นตลบกลบทุ่งฟุ้งขจร ตะวันรอนเร่ต่ำอยู่รำไร
บอกสัญญาอย่ารบสงบเลิก ศังข์กลองเอิกอึงลั่นสนั่นไหว
ทั้งสองทัพกลับค่ายผ้ายคระไล เพื่อจะได้พักผ่อนดังก่อนกาล
  1. ๑๔. อ่าน ‘ท๎รึดตะท๎ยุม’

แชร์ชวนกันอ่าน

แจ้งคำสะกดผิดและข้อผิดพลาด หรือคำแนะนำต่างๆ ได้ ที่นี่ค่ะ