บทที่ ๒ การสยมพร นางเท๎ราปที

หกกษัตริย์บรรทมใต้ร่มรุกข์ บรรเทาทุกข์บอบร่างในกลางหน
น้ำค้างพรมพฤกษ์พรูชูกมล ดุเหว่ารนร่ำร้องอยู่ก้องไพร
เสียงไก่ป่าจ้าขันสนั่นแจ้ว อยู่ตามแนวเนินผาริมป่าไผ่
เสียงหึ่ง ๆ ! ผึ้งพรูกันคลาไคล บินไสววู่ว่อนในดอนดง
ฝูงนกเนื้อเมื่อสางสว่างหล้า ก็เคลื่อนคลาจากที่มีประสงค์
ซึ่งภักษาซ่าไปในไพรพง อาทิตย์ส่งแสงฉันพรรณราย
ดอกไม้ดงส่งกลิ่นประทิ่นฉม ปลุกบรรทมหกองค์ค่อยทรงหาย
จากหิวหอบบอบช้ำระกำกาย ออกผันผายด้นเดาลำเนาไพร
เปนช้านานผ่านมาตามป่ากว้าง จึงพบทางจรดลถนนใหญ่
ไม่ทราบแจ้งแห่งหนตำบลใด เกรงพวกไพรีร้ายจักหมายปอง
จึงแปลงองค์ทรงเพศทุเรศรูป เอาฝุ่นลูบไล้ตัวให้มัวหมอง
นุ่งห่มผ้าเปื้อนเปรอะเลอะละออง ตามทำนองผู้อนาถต่างคลาดคลา
สงสารองค์ชนนีเทวีเจ้า เป็นยายเฒ่าถ่อมชาติวาสนา
ทั้งหกต่างผายผันตามมรรคา ไม่รู้ว่าเป็นเขตต์ประเทศใด
เดิรมาพบพวกพรามณ์จึงถามทัก ว่า “ท่านจักจรดลไปหนไหน ?”
เข้าเดิรชิดติดตามพวกพราหมณ์ไป เพื่อถามไต่ถิ่นฐานและบ้านเมือง
พวกพราหมณ์ฟังทั้งหกงันงกถาม จึงเล่าความแต่ต้นยุบลเรื่อง
“มีพิธีศรีกรุงอันรุ่งเรือง เขาลือเลื่องทั่วเทศเขตต์นคร
สมเด็จพระภูบาลบัญจาลราช ให้โอกาสพระบุตรีศรีสมร
ทรงเลือกคู่อภิรมสยมพร พวกเราจรไปยังที่พิธีการ”
ทั้งหกองค์ทรงฟังตั้งวิตก ด้วยตนวกเวียนมาหาสถาน
แห่งศัตรูคู่ขันประจัญบาน แต่สุดซานเซไปให้ไกลแดน
เหมือนหนีเสือหานทีเดิรรี่เร่ จรเข้ขึ้นรับอาภัพแสน
หนีขึ้นต้นไม้ก็ พบต่อแตน จำพำนักพักแคว้นเป็นแดนภัย
ปางบดินทร์ถิ่นฐานบัญจาลรัฐ องค์กษัตริย์ท๎รุบทมียศใหญ่
เคยรบกับภ๎ราดาทั้งห้าไท เมื่ออยู่ในจังหวัดหัสดิน
รบกันมาช้านานบัญจาลราช ได้พลั้งพลาดแพ้ห้าภ๎ราดาสิ้น
โท๎รณพราหมณ์เป็นใหญ่ในโยธิน ยกโทษให้ภูบดินทร์ให้คืนแดน
จึงจอมภพภูบาลบัญจาลรัฐ เห็นฝีหัตอรชุนอดุลแสน
ชาญธนูดูคือฝีมือแมน ชายในแคว้นธานีไม่มีปาน
ท้าวเธอปลงหฤทัยใคร่ประสงค์ อยากได้องค์อรชุนคุณพิศาล
เปนบุตรเขยคุ้มกันเขตต์บัญจาล หวังสมานเจ้าห้าพระภ๎ราดา
ทั้งนี้ทรงคิดไว้มิได้แพร่ เพราะแล้วแต่พระบุตรีศรีสมร
จักพิเคราะห์คู่ชมสยมพร พระภูธรไร้สิทธิ์ดังคิดปลง
แต่ทรงมั่นพระกมลคิดกลไว้ กันมิให้สมหวังชายทั้งผอง
สร้างธนูแข็งใหญ่พระทัยปอง เพื่อจะลองผู้ยงก่งธนู
สร้างปลาทองห้อยสายอยู่ปลายหลัก มuกงจักรหมุนกั้นปลานั้นอยู่
ทรงประกาศราษฎร์สิ้นถิ่นชมพู ใครเป็นคู่พระธิดาผู้ลาวัณย์
ก่งธนูได้คล่องไม่ต้องพัก ยิงลอดจักรต้องตาแห่งปลานั้น
พอหมดห้าลูกธนูเปนรู้กัน ทั้งนี้มั่นพระกมลในกลการ
ว่านักรบทั่วหล้าไม่สามารถ หมดโอกาสทั่วสิ้นทุกถิ่นฐาน
พระอรชุนองค์เดียวผู้เชี่ยวชาญ จักทำการลุสมอารมณ์ปอง
ทรงตระหนักแน่ในพระทัยมาด จึงประกาศทั่วเทศแจ้งเหตุผอง
สยมพรแห่งธิดาหาคู่ครอง ทั่วถิ่นท้องชมพูรู้ระบิล
ให้ตบแต่งพระนิเวศน์เขตต์สถาน ป้อมปราการก่องตาโศภาสิ้น
สร้างมณฑปพลับพลาหน้าบุรินทร์ ถางที่ดินปรับพื้นระรื่นตา
สร้างสนามยิงธนูดำรูล้ำ สร้างปะรำเรียงรายทั้งซ้ายขวา
สร้างตำหนักพักเหล่าเจ้านานา- ประเทศมาแข่งขันประชันกร
สร้างศาลาอาศัยผู้ไกลถิ่น ซึ่งถวิลหวังชิงมิ่งสมร
สองสัปดาห์หน้าบรมสยมพร พระภูธรเริ่มมีพิธีการ
แต่งพาราดาดาษราชวัติ์ ปักธงฉัตรรอบราชนิวาสสถาน
แต่งมณฑปงามแม้นแมนวิมาน พื้นเพดานดาษดาวดูพราวพราย
พวงมะโหดใหญ่น้อยห้อยสลับ เสาประดับพระวิสูตรัดรูดสาย
ระยับด้วยสีสันพรรณราย สลับลายเงินทองผ่องประไพ
มโหรสพครบครันประชันก้อง ด้วยฆ้องกลองครื้นครั่นสนั่นไหว
ราษฎรดื่นดาษเกลื่อนกลาดไป ผู้ดีไพร่พรั่งพรูมาดูงาน
ครั้นถึงวันพระพิธีศรีสวัสดิ์ พราหมณ์กษัตริย์มาสิ้นทุกถิ่นฐาน
ประชันแต่งอินทรีย์ศรีสคราญ บริวารแวดล้อมพรั่งพร้อมมา
เจ้าหน้าที่เชิญนั่งออกคั่งคับ ตามลำดับยศใครน้อยใหญ่กว่า
ดูหลามล้นกล่นกลาดดาษดา มิทันช้าแน่นไปในประรำ
หน้ามณฑปดื่นดาษทวยราษฎร์รอบ เป็นคันขอบกันไว้ไม่ถลำ
พนักงานยืนดูอยู่ประจำ มิให้ล้ำเลยมาหน้าพระลาน
ต่างเยียดยัดอัดแอแซ่สนั่น เบียดเสียดกันเข้ามาล้อมหน้าฉาน
ชะเง้อแหงนแน่นอยู่คอยดูงาน บ้างคิดการต่อขาเอาม้ารอง
บ้างตะกายขวายขวนขึ้นต้นไม้ เพื่อให้ได้เห็นการงานทั้งผอง
บ้างเถียงกันอึงมี่แย่งที่มอง ออกเต็มท้องที่ฐานการพิธี
ลุเวลากำหนดท๎รุบทราช ประทับอาสน์โอ่อ่าสง่าศรี
พระมารดาพาเจ้าเท๎ราปที ประทับที่แท่นรัตน์ถัดภูธร
พระหัตถ์ทรงมาลัยประไพพักตร์ นางพนักงานเคียงเรียงสลอน
พระญาติล้อมพร้อมหน้าทรงอาภรณ์ งามบวรแวดวงเป็นกงกำ
ต่อออกไปเสนาพฤฑฒามาตย์ กับทวยราชบริวารสคราญล้ำ
พร้อมด้วยพราหมณ์พฤฑฒ์ครูผู้ประจำ เพื่อกระทำพิธีศรีสักการ
เบื้องปะรำซ้ายขวาล้วนดาดาษ กษัตริย์ชาติเชิดพักตร์อัครฐาน
ทุรโยธน์โดดเด่นเป็นประธาน พระกรรณปาณฑพพร้อมซึ่งปลอมมา
พระกฤษณาวตารชาญสนาม พระพลรามเรืองเดชผู้เชษฐา
เจ้ายาทพหลายองค์ก็ทรงมา อีกราชาสินธูหมู่โอรส
พระราชาเจดีศรีกษัตริย์ อีกจอมรัฐโกศลชนบท
พระราชามัทรราษฎร์พิลาสยศ นอกกำหนดจากนี้ยังมีมาก
ทั้งกษัตริย์ทั้งพราหมณ์ออกหลามล้น ล้วนแต่งตนเต็มที่มีหลาก ๆ
แน่นปะรำสำรองทั้งสองฟาก ต่างคนพากภูมิอิ่มกระหยิ่มใจ
เจ้าปาณฑพมารดาเมื่อมาถึง ได้ที่พึ่งศาลาพักอาศัย
ของช่างหม้อพอผ่อนหย่อนฤทัย เมื่อทราบในเหตุการณ์งานพิธี
จึงแต่งร่างอย่างพราหมณ์ตามตำรับ ครั้นเสร็จสรรพมาประณตบทศรี
พระมารดาลาไปในพิธี เข้านั่งที่แทรกอยู่ในหมู่พราหมณ์
ทุกดวงตาต่างพิศ ‘กฤษณา’ คือกันยา ‘เท๎ราปที’ ศรีสนาม
ประหนึ่งจันทร์แจ่มฟ้าสง่างาม ล้วนมีความหมายมั่นกัลยา
พอองค์ ‘ธฤษฏทยุมน์’ เจ้าหนุ่มน้อย น้องพระสร้อยเท๎ราปทีมีสง่า
ยืนประกาศข้อความตามสัญญา ต่างตั้งหน้านิ่งฟังสิ้นทั้งปวง
คำประกาศนั้นว่า “ธิดาเจ้า พระนางเท๎ราปทีบุตรีหลวง
พระหัตถ์ทรงมาลาพกาพวง พระทัยหน่วงหาผู้เป็นคู่รัก
ก่งธะนูนี้ได้ดังใจมุ่ง แล้วยิงพุ่งตรงไปลอดใบจักร
ที่หมุนอยู่ร่ำไปมิได้พัก ไปถูกจักษุปลาสัญญากัน
ถ้าเป็นเผ่าผู้ดีศรีสง่า นางจักเป็นชายาตุนาหงัน”
แล้วแจ้งนามท้าวพระยาทั่วหน้ากัน ชี้แจงบรรยายคุณสกุลวงศ์
ให้นางฟังโดยย่อแต่พอรู้ แม้นเจ้าผู้ใดสิทธิ์กิจประสงค์
ให้นางนำมาลัยไปสวมลง ที่ศอองค์เจ้านั้นตามสัญญา
ต่อนี้เริ่มแข่งขันประชันศิลป์ แขกทั้งสิ้นล้วนคิดแต่อิดหนา-
ระอาใจไม่ค่อยจะคล้อยคลา กลัวขายหน้าแข็งใจเข้าไปลอง
บางพระองค์ก่งธนูอยู่เป็นพัก แต่ไม่ยักก่งไหวหทัยหมอง
บางพระองค์เข้าไปได้แต่มอง คิดสยองขนกลับมาฉับพลัน
บางพระองค์คึกคักใจหักหาญ เผ่นทะยานเร็วรี่ขมีขมัน
เกร็งพระองค์ก่งธนูใบหูชัน พัลวันล้มลุกอยู่คลุกคลี
จนเหงื่อตกงกงันสั่นศีรษะ เดิรเปะปะเซซังมายังที่
สะทกสะเทินเขินใจใช่พอดี แสร้งทำสีพักตร์ชื่นเหมือนรื่นเริง
พินิศพักตร์ท้าวพระยาที่มาแขก เมื่อครั้งแรกดังอุตบลเมื่อชลเจิ่ง
บัดนี้เหมือนอุตบลที่ลนเพลิง ต่างนั่งเบิ่งบ่มแค้นแสนทวี
เห็นเพื่อนเข้าขันแข่งแสร้งยิ้มช่วย เห็นเพื่อนขวยเขินมาทำตาหยี
บ้างกระซิบติการงานพิธี เสียงอู้อี้พึมพำงึมงำไป
มิช้าถึงพระกรรณเข้าขันแข่ง เดิรแสดงยิ้มย่องดูผ่องใส
ยกธนูชูคันก่งทันใด ก็ขึ้นได้เสร็จสมอารมณ์ปลง
พระราชาท๎รุบทโอรสราช ต่างทรงหวาดหวั่นจิตต์พิศวง
ด้วยพระกรรณต่ำชาติไร้ญาติวงศ์ เกรงจะทรงสมจิตต์ได้ธิดา
พอพระนางเท๎ราปทีมีดำรัส ขอทานทัดทางชาติวาสนา
พระกรรณบุตรสารถีมีสัญญา ไม่ควรมาขันสู้เปนคู่ครอง
พระกรรณปลดลดธนูอดสูจิตต์ ไปสถิตที่ตนกมลหมอง
ต่อนี้ไปหลายองค์ได้ทรงลอง ไม่สมปองสักพระองค์ทรงระอา
ที่ลองแล้วนั่งดูหดหู่จิตต์ ไม่สมคิดสมมาดปรารถนา
แสร้งสำรวลสรวลเสอยู่เฮฮา! ท้าวพระยาทั่วกันประชันกร
ฝ่ายพวกพราหมณ์หลามหลากไม่อยากเข้า เพียงดูเขาคิดแหนงแสยงหยอน
มีพราหมณ์หนุ่มหนึ่งนายอยู่ท้ายตอน บทจรรีมาท่าทะนง
ผู้นั่งใกล้เตือนลั่นสนั่นจ้า “เราเป็นกาหรือจะสู้กับหมู่หงส์
ท่องพระเวทดีกว่าอย่าพะวง กษัตริย์ทรงชาญรณยังจนใจ”
บางพวกเห็นขบขันพากันยุ ว่า “พราหมณ์ลุเลิศดีคัมภีร์ไสย
ชำนาญจบครบทั่วไม่กลัวใคร ไป! พ่อไปลองดูให้รู้กัน”
บ้างคะนึงนิ่งคิดพิศวง บ้างก็ลงเนื้อเห็นว่าเล่นขัน
เจ้าพราหมณ์เปลื้องเครื่องห่มพรหมจรรย์ แล้วผายผันยังที่พิธีการ
ประทักษิณรอบธนูดูสง่า ภาวนาน้อมจิตต์อธิษฐาน
ทุกดวงตาต่างมองจ้องพิจารณ์ ดูพราหมณ์หาญนั้นว่าทำท่าไร
เจ้าพราหมณ์หนุ่มกุมธนูขึ้นชูอวด แล้วก่งพรวดเดียวเสร็จสำเร็จได้
ต่างตบมือลือชาออกซ่าไป และตั้งใจจ้องดูอยู่มิวาย
เจ้าพราหมณ์ชักลูกธนูขึ้นดูดัด เห็นสันทัดสมมาดจึงพาดสาย
ตาเขม็งเกร็งเหนี่ยวยืนเอี้ยวกาย พอเหมาะหมายลั่นถูกตรงลูกตา-
แห่งปลาทอง, ตกผางลงกลางพื้น ต่างฮาครืนตบมือบันลือซ่า
ท้าวท๎รุบทพร้อมด้วยทวยเสนา- มาตยากรขึงตลึงแล
ฝ่ายว่าเจ้าเท๎ราปทีศรีพิลาส สถิตอาสน์โฉมช่วงดังดวงแข
ถือมาลัยใจเพ่งเฝ้าเล็งแล เพื่อรู้แน่ว่าใครจักได้ครอง
ลอบชมโฉมท้าวพญาทุกหน้าไท้ ไม่เหมาะใจเลยสักคนกมลหมอง
เห็นกษัตริย์องค์ใดเข้าไปลอง สยดสยองยั่นอยู่มิรู้วาย
ไม่อยากให้ท้าวพญาที่มานั้น เข้าแข่งขันเสร็จสมอารมณ์หมาย
จนเห็นหน้าพราหมณ์น้อยจึงค่อยคลาย หวนกระหายประติพัทธ์กลัดกมล
เห็นพราหมณ์เพ่งเล็งเป้าเฝ้าประหวัด น้อมมนัสนึกช่วยอำนวยผล
พอถูกเบ้าสมหวังพลั้งสกนธ์ ลืมอายคนทั่วไปลุกไคลคลา
ถึงพราหมณ์น้อยน้อมก้มประณมไหว้ นำมาลัยสวมกัณฐ์ด้วยหรรษา
แซ่สำเนียงเสียงเหล่าชาวประชา ต่างซู่ซ่าอื้ออึงคะนึงไป
จะกล่าวถึงท้าวพญาที่มาแขก อายแทบแทรกดินพ้นจะทนได้
เห็นพราหมณ์ป่ากล้าวิ่งมาชิงชัย ได้มาลัยสวมคอยืนล่อตา
ด้วยความอายคลายธรรมประจำอาตม์ มุ่งอาฆาตแค้นคิดริษยา
ต่างฮัดฮืออื้อฉาวกล่าววาจา “พวกเรามานั่งดูมันอยู่ไย
หรือปล่อยให้อ้ายกาเข้าคร่าหงส์ ให้เสื่อมวงศ์วีรชาติประดาษไร้”
ชักศัสตราวิ่งพรูกรูเข้าไป ด้วยหมายใจชิงเอาเท๎ราปที
ท้าวท๎รุบทพรอบด้วยทวยพระญาติ ทั้งอำมาตย์เสนาเจ้าหน้าที่
หมดสามารถจะระงับดับคดี ยืนขวางรีอยู่สะพรั่งจังงังงัน
เจ้าพราหมณ์น้อยชักกะบี่รี่เข้ารับ ย่างขยับเวียนวกอยู่ผกผัน
เหล่ากษัตริย์อัดแอแร่เข้าฟัน พราหมณ์ที่ไปด้วยกันขันชะนะ
พวกพรามณ์โลดโดดรับขยับท่า แกว่งศัสตราขวักไขว่มิได้ผละ
เสียงฉาดฉับรับรองป้องปะทะ เสียงเอะอะคุกคามคำรามรณ
ถิ่นสยมพรดูหรูอร่าม เป็นสนามรบร้าโกลาหล
เสียงดนตรีเงียบสงัดลงบัดดล เหลือเสียงคนขู่ตวาดเสียงศาสตรา
เหล่ากษัตริย์ทั่วหน้าที่มาแขก ในชั้นแรกหลงเล่ห์เสน่หา
ที่แก่กายหมายปลื้มลืมชรา อนิจจา ! นอนตายเรียงรายไป
มัจจุราชช่างกระไรไม่สมเพช จะแจ้งเหตุล่วงหน้าก็หาไม่
ท่านคงนึกโกรธว่าชะล่าใจ เดิมมิได้เชิญมาปรึกษาการ
ขอปวงปราชญ์เมื่อคิดกิจธุระ จงเชิญพระมัจจุราชผู้อาจหาญ
มาปรึกษาร่วมด้วยช่วยพิจารณ์ ยกสังขารขึ้นเสนออย่าเผลอตัว
มัจจุราชคงมีไมตรีโปรด ยกคุณโทษชี้แจงให้แจ้งทั่ว
คงไม่ตายโดยเขลาฤทธิ์เมามัว อย่างควายวัววอดวายน่าอายคน
ฝ่ายพระกรรณขันสู้เปนครู่ใหญ่ ด้วยว่องไวรบรับอยู่สับสน
ยิ่งเฉียวฉุนหมุนจี๋รี่ประจญ ลมบ้าหมูวู่วนก็ปานกัน
ข้างพวกพราหมณ์ก็ชำนาญและหาญกล้า ที่แขนขาถูกธนูไม่รู้พรั่น
เลี้ยวตลบรบรุกเฝ้าบุกบัน พลวันวกเวียนเปลี่ยนอุบาย
สงสารเจ้าเท๎ราปทีไม่มีขวัญ พระองค์สั่นเทาอยู่ไม่รู้หาย
ทุกข์ระทมแทบว่าประดาตาย นางฟูมฟายอัสสุชลบ่นรำพัน
“โอ้! อนาถวาสนาของข้าหนอ เกิดมาก่อทุกข์โทษโหดมหันต์
ทำลายเกียรติบิตุรงค์ผู้ทรงธรรม์ พร้อมด้วยสรรพ์ส่ำญาติอนาถใจ
สตรีงามทรามกว่าผกาสวย เพราะฆ่าทวยชายคิดพิสมัย
อันความงามแห่งผกาไม่ฆ่าใคร ซ้ำล่อให้ผึ้งชมประสมพันธุ์”
ต่อรู้สึกปลอดภัยจึงไร้เศร้า ค่อยบางเบาทุกข์ใจที่ใฝ่ฝัน
เพราะนางเห็นนักรบสงบกัน พราหมณ์หนุ่มนั้นอยู่ดีไม่มีภัย
ด้วยพระกรรณอันชาญในการยุทธ์ ชะงักหยุดยั้งอยู่สู้ไม่ไหว
เห็นพราหมณ์เก่งเพลงรณเป็นพ้นใจ พวกกษัตริย์สู้ไปคงได้ตาย
จึงถามพราหมณ์เชิงว่าสารภาพ ว่าตนหลาบเลิกมาดอาฆาตหมาย
“ดูก่อนท่านผู้เลิศประเสริฐชาย ท่านเชื้อสายพราหมณ์แท้หรือแปรปลอม
เราเห็นว่าผิดพราหมณ์ตามพินิศ ทั้งจริตกิริยาสง่าพร้อม
ฝีมือรบเก่งกล้านับว่าจอม พวกเรายอมรับว่าปราชัย
‘ปรศุราม’ พราหมณ์เดียวผู้เชี่ยวรบ ฆ่ากษัตริย์ทั่วภพเพรงสมัย
นอกจากนี้แล้วพรามหณ์มีนามใด ที่เกรียงไกรการรบไม่พบพาน
พราหมณ์อนาถวนิพพกระหกระเห็น เที่ยวดุ่มเดิรด้นหาภิกขาหาร
รู้แต่พล่ามพูดยอเที่ยวขอทาน จะเชี่ยวชาญเชิงรณฉงนนัก
อันนักรบฝีมือที่ลือแซ่ ก็มีแต่อรชุนอดุลศักดิ์
เดี๋ยวนี้ใครไหนมีขอชี้ชัก ที่หาญหักแข่งขันประจัญเรา
อรชุนชายเดียวซึ่งเชี่ยวยุทธ์ ฤทธิรุทรแรงกว่าสู้ข้าเจ้า
เราพินิจแน่ใจมิได้เดา นอกจากเขาผู้นี้ไม่มีใคร”
พราหมณ์หนุ่มผู้มีชัยได้สดับ พลางยิ้มรับในหน้าแทนปราศรัย
ต่างพาเจ้ากฤษณาลาครรไล มุ่งตรงไปที่พักสำนักตน
สงสารเจ้าเท๎ราปทีเมื่อลีลาศ พระทัยหวาดว้าเหว่ระเหระหน
ทั้งสองเนตรย้อยหยัดอัสสุชล ด้วยจำจนจำใจครรไลจร
ทรงกระทำอัญชลีเหนือศีรษะ อาลาพระบิตุรงค์ผู้ทรงศร
ลาพระราชมารดาด้วยอาวรณ์ ทรวงสะท้อนเดิรตามเจ้าพราหมณ์ไป
ฝ่ายพระนางกุนตีศรีวิลาส ซึ่งประพาสศาลาที่อาศัย
ตั้งหน้าห่วงหาลูกผูกพระทัย ซึ่งปลอมไปเที่ยวชมสยมพร
แห่งนงเยาว์เท๎ราปทีศรีประเทศ อันทรงเดชบิตุรงค์ผู้ทรงศร
ก็เคยเป็นไพรีตีนคร แพ้ลูกยาภ๎ราดรแต่ก่อนมา
แม้นข้าศึกพานพบประสพพักตร์ ก็คงจักแค้นคิดริษยา
เข้ากลุ้มรุมราวีเฝ้าบีฑา โอ้! ลูกข้าไปดีหรือมีภัย
พระนางพร่ำรำพันด้วยหวั่นหวาด จนมิอาจงีบหลับระงับได้
พอแว่วเสียงลูกยามาข้างใน ปลื้มพระทัยถามถึงซึ่งคดี
ฝ่ายพระลูกทูลคำละล่ำละลัก “ลูกได้ ‘อัครลาภ’ เลิศประเสริฐศรี
มาสิ่งหนึ่งจึงมอบพระชนนี แล้วแต่มีบัญชาประกาศิต
ด้วยความอิ่มเอิบใจยังไม่ทราบ ว่า ‘อัครลาภ’ เป็นไฉนไม่พินิจ
จึงตอบบุตรด้วยมีไมตรีจิตต์ “เจ้าจงคิดเอออวยใช้ด้วยกัน”
ภายหลังนางเห็นบุตรสุดที่รัก พานงลักษณ์ล้วนเลิศงามเฉิดฉัน
ด้วยจริตกิริยาสารพัน ประดับสรรพาภรณ์ฉะอ้อนองค์
สร้อยสังวาลแวววามอร่ามรัตน์ นางกษัตริย์แลขึงตะลึงหลง
ถามพระลูกเรื่องไปได้อนงค์ ตามที่ทรงกังขาคิดอาวรณ์
พระลูกจึงเล่าเรื่องแต่เบื้องต้น ตลอดจนได้นางกลางสมร
ทรงยินดีรี่รับจับพระกร จูงบังอรกฤษณามาข้างใน
พลางปลดเปลื้องเครื่องทรงอลงกต พลางพร่ำพจน์ปลอบนางทางปราศรัย
ให้นงลักษณ์พักผ่อนหย่อนฤทัย ร่วมณไสยาสน์นางอย่างกันดาร
ขอย้อนกล่าวข่าวหลังถึงวังราช เมื่อแขกขาดเสร็จสิ้นกลับถิ่นฐาน
พระจอมราษฎร์ราชันท้าวบัญจาล ทรงเดือดดาลอาดูรพูนทวี
ประทับนั่งนึกหาธิดาราช อยู่กับอาสน์เปลี่ยวเปล่าเศร้าฉวี
ให้หงุดหงิดพระหทัยถึงไล่ตี เจ้าหน้าที่พระกำนัลสนั่นวัง
ทันใดนั้นทรงยศโอรสราช ยุรยาตรเข้ามาหน้าที่นั่ง
บังคมบาทบิตุรงค์พระทรงวัง พระพักตร์ปลั่งเปล่งศรีฉวีวรรณ
ทอดพระเนตรพักตร์บุตรเห็นผุดผ่อง พาขุ่นข้องหฤทัยที่ใฝ่ฝัน
ให้บรรเทาเบาลงทรงจำนรรจ์ “ธิดาฉันอยู่ไหนใครได้นาง”
พระสุรเสียงสั่นเบากระเส่าพร่ำ “โอ้กรรม ๆ ลูกเอ๋ย ! ไม่เคยร้าง
เคยสะอาดอรองค์ทรงสะอาง จะระคางขุ่นแค้นแสนทวี
แต่นี้เจ้าจักตกระหกระเหิน ต้องดุ่มเดิรด้นซอกตรอกวิถี
เที่ยวขอทานเดิรตามพวกพราหมณ์ชี จะหมดศรีโสภาคย์ผากสลด
ทานที่เขาการุณย์ทำบุณย์ให้ เจ้าจักได้ไปเป็นเช่นสมรส
ภาชนะใส่ภิกขาจะปรากฏ เป็นเครื่องยศอย่างมงกุฎสุดละอาย
อนิจจา ! กรรมจริงยิ่งเทวษ จักสมเพชลูกนางไม่ห่างหาย
เมื่อยามเห็นลูกเจ้าเผือดเศร้ากาย เดิรสะพายย่ามอยู่ในหมู่พราหมณ์
พ่อได้สร้างบาปไว้ปางไรหนอ จึงให้พ่อพบบาปอันหยาบหยาม
โอ้! อับอายขายพักตร์ยศศักดิ์ทราม ซ้ำได้ความวิประโยคโศกฤทัย
เหลือระงับดับแล้วลูกแก้วข้า เหลือปัญญาผันแปรคิดแก้ไข
ร่างกายจักซูบผอมเพราะตรอมใจ คงบรรลัยแน่แล้วไม่แคล้วเลย
พ่อตั้งใจให้เจ้าลำเพาพักตร์ เป็นคู่รักอรชุน โอ้!บุญเอ๋ย
ไม่ส่งผลดลให้เจ้าได้เชย เพราะไม่เคยคู่กันจึงผันแปร
ความรัญจวญครวญคร่ำร่ำพิลาป พ่อก็ทราบแต่ต้นไร้ผลแน่
โอ้! ครั้งนี้เหลือดับระงับแด ก็มีแต่ชีวาตมี?จักขาดรอน”
‘ธฤษฏทยุมน์’ ผู้หนุ่มน้อย น้องพระสร้อยเท๎ราปทีศรีสมร
ตั้งพระทัยทูลกิจพระบิดร พอขาดตอนพระจำนรรจ์ลงทันใด
ก็ชิงทูลโดยด่วนสวนพระโอษฐ์ ด้วยปราโมทย์ยิ้มย่องพักตร์ผ่องใส
‘ข้าแต่พระบิตุรงค์ผู้ทรงชัย ขอจงได้ดับเศร้าเบากมล
พราหมณ์ผู้ได้พระพี่มีสกุล อรชุนปลอมมาอย่าฉงน’
พระเนตรอันย้อยหยัดอัสสุชล แห่งจุมพลโพลงพลันในทันที
ทรงปลื้มปลาบวาบว่างสร่างพระโศก พลางชะโงกพักตร์พลันขมันขมี
“จริงหรือเจ้าจงได้ไขคดี ให้พ่อนี้ฟังบ้างเป็นอย่างไร”
พระโอรสกราบทูลซึ่งมลเหตุ ว่า “พราหมณ์เทศผู้แขกแปลกวิษัย
เสร็จต่อสู้ไพรีเธอมีชัย พาพระพี่หนีไปห่างไกลเรา
ลูกติดตามพราหมณ์ไปมิได้ช้า ถึงศาลาที่พักสำนักเขา
เข้าข้างในจำนรรจ์กันเบา ๆ ลูกจึงเอาหูแอบแนบทวาร
ฟังตระหนักแน่ชัดรหัสเหตุ ซึ่งพราหมณ์เทศพากันเฝ้าบรรหาร
ให้แม่ฟังทั้งสิ้นระบิลการณ์ ครั้นทราบสารเสร็จสรรพจึงกลับมา
ห้าพราหณ์หนุ่มคลุมบังด้วยหนังเสือ พระโปรดเชื่อ,-ปาณฑพครบทั้งห้า
ปลอมเป็นพราหมณนักสิทธิ์ อนิจจา! พามารดาดั้นเตร่พเนจร
ทุรโยธน์ทรยศคิดคดเขา แกล้งคลอกเผาด้วยไฟให้ไหม้หมอน
เธอหนีได้ทางอุมงค์ออกดงดอน พากันจรบากบั่นถึง ปัญจาล”
สมเด็จท้าวท๎รุบทค่อยหมดเศร้า ด้วยสำเนาศุภพจน์โอรสขาน
พระพักตร์อิ่มยิ้มเยื้อนเอื้อนโองการ ไปบอกท่านมหาเสนาบดี
ให้สืบความลูกรักประจักษ์แจ้ง มาแถลงเร็วพลันขมันขมี
เวลาเช้าเหล่าราชเสวี ไปยังที่ศาลาแห่งภ๎ราดร
ต่างหมอบราบกราบกรานเจ้าปาณฑพ เริ่มปรารกชมชัยในสมร
แห่งการเลือกคู่ชมสยมพร แห่งบังอรโฉมเฉลาเท๎ราปที
“พวกข้าเจ้ามาแจ้งแถลงถ้อย ในการพลอยปลื้มเปรมเกษมศรี
ที่ท่านล่วงลุชัยแก่ไพรี เป็นยอดฝีหัตถ์ทั้งกำลังกาย
ปรากฏแก่บริษัทขนัดแน่น ประจำแม่นมั่นอยู่มิรู้หาย
ไปภายหน้าท่านกวีจะคลี่คลาย บรรยายยอยกดิลกคุณ
นักขับร้องก็จะร้องผยองยศ ให้ปรากฏเกียรติ์เลิศประเสริฐสุนทร์
เป็นประวัติยืนอยู่ชูสกุล เมื่อทวยขุนแข่งขันประชันกร
พระราชาข้าเจ้าทรงเศร้าจิตต์ ถึงพระธิดาหลวงทรวงสะท้อน
เกรงจักไร้คู่ชมสยมพร นี่แหละก้อนเมฆดำเขากำบัง
บัดนี้ก้อนเมฆนั้นท่านกำจัด ให้กษัตริย์ข้าสมอารมณ์หวัง
ผู้ซึ่งได้พระธิดาสง่าวัง คืออรชุนจริงจังหรือยังแคลง
โองการตรัสให้ข้ามาทั้งนี้ เพื่อสืบเค้าคดีที่กินแหนง
ชาติสกุลถิ่นที่โปรดชี้แจง ข้าเจ้าแจ้งอย่างไรจักไปทูล”
เจ้าปาณฑพตอบคำเหล่าอำมาตย์ “ท่านประกาศคำไว้ยังไม่ศูนย์
ตระหนักแน่แก่เราเปนเค้ามูล ผู้สมบูรณ์ปฏิบัติกัติกา
ก็ควรได้พระธิดาดังว่าไว้ จะอรชุนหรือใครมิได้ว่า”
อำมาตย์นั่งฟังอยู่ต่างดูตา ชักสีหน้าขวยเขินสะเทิ้นอาย
ลำดับนั้นบพิตรยุธิษเฐียร แก้ฉงนวนเวียนอมาตย์หลาย
แถลงความเป็นไปเพื่อให้คลาย จากหมกมุ่นวุ่นวายวิตกใจ
“เจ้านายท่านทำกลล้นลำบาก เป็นยอดยากยิ่งล้ำจะทำได้
หวังจะยกธิดาผู้ยาใจ ประทานให้อรชุนพระคุณครัน
ก็สมหวังดังทรงประสงค์แล้ว ผู้ได้แก้วกฤษณาตุนาหงัน
ท่านจงกราบทูลองค์พระทรงธรรม์ ว่าเขานั้นคือพระอรชุน”
หมู่อำมาตย์ฟังคำที่ร่ำไข ต่างดีใจพ้นวิตกที่หมกมุ่น
ลาปาณฑพนบนอบขอบพระคุณ ชุลมุนมาทูลมูลคดี
ท้าวท๎รุบทบดินทร์ปิ่นประเทศ สดับเหตุปรีดิ์เปรมเกษมศรี
รับมารดาห้าเจ้าเข้าบุรี ให้อยู่ที่วังรัตน์จัดผจง
ทรงปรารภพระพิธีศรีสมรส ให้ปรากฏเกียรติ์ดังตั้งประสงค์
ระหว่างเจ้าเท๎ราปทีศรีอนงค์ กับด้วยองค์อรชุนอดุลชาย
ด้วยความซื่อบริสุทธ์แห่งบุตรห้า ต่อวาจาชนนีเป็นที่หมาย
ไม่ยอมคิดบิดเบือนให้เคลื่อนคลาย เพื่อทำลายคำขานของมารดา
เธอตรัสให้เอออวยใช้ด้วยกัน ห้าบุตรมั่นใจแม่นอยู่แน่นหนา
หากเป็นของอื่นที่มีราคา ใช้กันห้าองค์เห็นไม่เปนไร
แต่นี่เป็นโฉมยงเพียงองค์หนึ่ง ห้าบุตรซึ่งซื่อสัตย์จัดไฉน
อรชุนก็ไม่ลงปลงพระทัย รับนางไปเป็นคู่แต่ผู้เดียว
พระทัยเธอสัตย์ซื่อถือพระเวท ไม่มีเหตุอื่นหมดให้คดเคี้ยว
พระพักตร์ไท้ท้าวท๎รุบทสลดเชียว พระทัยเหี่ยวห่วงเจ้าเท๎ราปที
ได้เขยผู้ปาณฑพสงบเศร้า ยิ่งเป็นเจ้าอรชุนพิบุลศรี
ยิ่งสมมุ่งมาดไว้แต่ไรมี มาบัดนี้ผลกรรมไม่อำนวย
จึงตรัสให้มนตรี่ที่ปรึกษา กับเจ้าห้าปาณฑพสมทบด้วย
เพื่อแจ้งข้อพิศวงที่งงงวย ต่างพร้อมด้วยเสนาพลากร
ไปหาพรหมฤษีมุนีนาถ พระวยาสเนาในไพรศีขร
ได้รับคำบรรยายถวายพร พยากรณ์พระวยาสเด็ดขาดมา
“มารดาขานความใด, ไสยเวท ว่าวิเศษสิทธิ์ศักดิ์ควรรักษา
เป็นมงคลล้นจะคณนา ข้อนินทาสิ่งไรมิได้มี
ให้ปาณฑพห้าองค์ผู้ทรงยศ ร่วมสมรสพระธิดามารศรี
องค์หนึ่งครองสองทิวาและราตรี อย่าได้มีขึ้งเคียดรังเกียจกัน”
แสนสงสารเท๎ราปทีนารีรัตน์ เหลือจะขัดพระวยาสทรงหวาดหวั่น
ด้วยอับอายขายหน้าเฝ้าจาบัลย์ ไม่เป็นอันสรงเสวยสะเบยองค์
พระบิตุราชมาตุรงค์ต่างทรงเศร้า ด้วยผิดเค้าข้อที่มีประสงค์
แต่เคารพพระวยาสผู้อาจองค์ กับหวังทรงพึ่งห้าพระภ๎ราดร
จึงตัดเศร้าเบาลงต่างทรงกล่าว เพื่อโน้มน้าวพระบุตรีศรีสมร
ให้เบาบางสร่างซาอนาทร ซึ่งรุ่มร้อนอยู่ในพระทัยนาง
เจ้าเกรงพระวยาสนาถฤษี เกรงชนกชนนีจะมีหมาง
เกรงทวยราษฎร์ญาติมิตรคิดระคาง จึงหมดทางคัดค้านประการใด
ท้าวท๎รุบทเห็นว่าธิดานาฏ ไม่ขัดราชโองการบรรหารไข
ทรงสร่างทุกข์ยุคยากลำบากใจ ประกาศให้เริ่มมีพิธีการ
อภิเศกปาณฑพครบทั้งห้า กับธิดาท้าวไทในสถาน
ตามภาษิตพระฤษีผู้มีญาณ เมื่อเสร็จงาพพระพิธีศรีวิวาห์
สมเด็จนางชนนีศรีวิลาส พาพระราชบุตรีศรีสง่า
พร้อมพระญาติแห่ห้อมแวดล้อมมา ยังตำหนักเชษฐาธิบดี
ครั้นถึงจึงฝากฝังและสั่งสอน อำนวยพรเสร็จลากันมาที่
ยุธิษเฐียรเชิญเจ้าเท๎ราปที ขึ้นสู่ที่แท่นทองประคองกาย
แต่พระนางหมางหม่นกมลเศร้า น้ำเนตรเคล้าคลออยู่มิรู้หาย
ทรงประณตบทศรีพระพี่ชาย พลางฟูมฟายชลนัยน์พิไรทูล
“โอ้! พระพี่พระผู้ดำรูเกล้า น้องขอเคารพอยู่มิรู้ศูนย์
ขอเป็นน้องรองราชบาทมูล เพื่อเสื่อมซาอาดูรที่อับอาย
อรชุนมีชัยผู้ได้น้อง จึงขอรองบาทไท้ดังใจหมาย
เธอจะเลี้ยงเพียงไหนไม่ละอาย น้องถวายชีวาตม์เป็นทาสเธอ”
ยุธิษเฐียรเพียรซับชลเนตร พลางฟังเหตุนางร่ำพร่ำเสนอ
ทรงเพ่งพักตร์เพราเพริศอันเลิศเลอ งานเสมอดวงจันทร์เมื่อวันเพ็ญ
“โอ้! น้องเอ๋ยมารดาประกาศิต มิใช่พี่มีจิตต์คิดขู่เข็ญ
บุตรต้องเคารพทำเพราะจำเป็น น้องก็เห็นจริงแท้อยู่แก่ใจ
อรชุนซื่อตรงดำรงสัตย์ ไม่กล้าขัดวาจามารดาได้
ประชาราษฎร์ปราชญ์รู้ทุกผู้ไป ตามถ้อยไท้พระวยาสประกาศมา”
พลางอุ้มองค์นุชนาฏสู่อาสน์รัตน์ ปฏิพัทธ์ในเล่ห์เสน่หา
หัตถ์ประคองสองถันกัลยา พระนาสาสูดปรางไม่วางวาย
สองสนิทพิสมัยพระทัยชื่น ทุกข์สักหมื่นแสนอย่างก็ห่างหาย
แรงฤดีดาลปลื้มลืมพระกาย พระเนตรพรายแพรวพราวเห็นดาวเดือน
เห็นก้อนเมฆลอยล่องในท้องฟ้า ผ่านดาราเวียนวนอยู่กล่นเกลื่อน
มีฟ้าแลบแปลบปลาบวาบสะเทือน โสตฟังเหมือนฟ้าลั่นอยู่ครั่นครืน
รู้สึกในนาสาหอมมาเลศ หอมวิเศษส่งกลิ่นระรินรื่น
หอมผกาสารพันทุกวันคืน ไม่หอมชื่นเช่นชู้ฟูหทัย
สองสราญเริงจิตต์สนิทสนม ในเชิงชมชูชิดพิสมัย
เหมือนภมรร่อนร่ายกระหายใจ พบดอกไม้มัวเฝ้าแต่เคล้าชม
ผจงแหวกแทรกกลีบผกามาศ ซึ่งเยิ้มหยาดน้ำหวานตระการฉม
ลงเกลือกกลั้วเรณูชูอารมณ์ เฝ้าดูดดมรสกลิ่นด้วยยินดี
จนรุ่งแจ้งแสงสูรย์จรูญฟ้า เสียงไก่จ้า! แจ้ว! ขันประชันถี่
หอมสายหยุดยามเช้าเร้าฤดี ทั้งสองศรีฟื้นองค์ร่วมสรงชล
ร่วมเสวยพระกระยาร่วมปราศรัย ร่วมครรไลทั่วแหล่งทุกแห่งหน
ต่างร่วมสุขทุกประการบานกมล ประจวบจนสองทิวาและราตรี
ต่อนี้ไปใครบ้างจะอย่างนั้น ด้วยสองพรากจากกันขมันขมี
เพราะว่าองค์นงค์เยาว์เท๎ราปที เป็นของ ‘ภีมเสน’ เช่นสัญญา
นี่แหละเป็นตำรับฉะบับสอน แห่งนิกรชนสิ้นในถิ่นหล้า
สิ่งในโลกปรวนเปรทุกเวลา ไม่มีสามารถใดจัดให้คง
ผู้มีลาภหลามล้อมพรั่งพร้อมทรัพย์ บัดเดียวกลับยากไร้อาลัยหลง
ผู้ลือชาปรากฏมียศยง บัดเดียวลงเลวทรามไปตามกัน
ผู้ได้สุขสำราญเบิกบานจิตต์ บัดเดียวบิดเบือนโชคกลับโศกศัลย์
ผู้ได้รับสรรเสรญเพลิดเพลินครัน บัดเดียวผันแปรสิ้นถูกนินทา
นี่แหละคือโลกธรรมประจำสัตว์ ผู้อุบัติทั่วไปณใต้หล้า
ย่อมพบเห็นเปนประจำธรรมดา จะคลาดคลาแคล้วไปเป็นไม่มี
อาศัยจิตต์คิดยั้งตั้งสติ ไม่ดำริเป็นอารมณ์คิดข่มขี่
นี้เปนธรรมนำเจ้าเท๎ราปที ให้ปลงชีวาตม์อยู่กับคู่ครอง
นางจงรักภักดีภีมเสน จนหมดเวรวายชมประสมสอง
ถึงเวรองค์อรชุนซึ่งครุ่นปอง นางกลับนองชลเนตรเทวษครวญ
สะอึกสะอื้นฝืนหักหนักสะอื้น เหลือจะฝืนข้อช้ำยิ่งกำสรวล
แค้นความเก่าเฝ้าช้ำทำกระบวน ซึ่งรัญจวนจงรักด้วยภักดี
ฝ่ายองค์พระอรชุนให้ขุ่นข้อง เห็นพระน้องกำสรดสลดศรี
ทรงโลมเล้าเอาใจด้วยไมตรี เท๎ราปทีถอยห่างพลางรำพัน
“สตรีใดใหนเล่าจะเท่าข้า ต้องขายหน้าทั่วโลกเฝ้าโศกศัลย์
จะมีคู่ดูแปลกผิดแผกธรรม์ เขาแบ่งกันชมเล่นเป็นกลี
ต้องหน้าด้านปานว่าแม่ค้าขาย ขนมร่ายเร่แผ่แลบัดสี
ผู้ได้เราเขาถือฝีมือดี ประกวดฝีมือใหม่ก็ได้นาง”
พ้อให้สมแค้นใจก็ไม่สม ทรวงระทมโหยไห้มิได้สร่าง
อรชุนชิดน้องตระกองกาง พระกรพลางรับขวัญกัลยา
พระนางยิ่งหยิกข่วนกำสรวลไห้ ชลนัยน์ฟูมฟายทั้งซ้ายขวา
ทรงค้อนควักผลักไสอยู่ไปมา ให้สมสาใจรักซึ่งภักดี
อรชุนครุ่นจิตต์คิดสงสาร ที่นงคราญกำสรดสลดศรี
พระเนตรคลอน้ำเนตรเทวษทวี กล่าววจีเสียงสั่นรำพันความ
“ขอน้องรักพักพ้อพอเท่านี้ ในอกพี่ยอกเจ็บดังเหน็บหนาม
ที่ทำให้วนิดาพงางาม ได้รับความอัปยศเหลืออดอาย
ถึงอย่างไรใจพี่ทวีรัก ไม่รู้จักจืดจางและห่างหาย
ถ้าน้องไม่กรุณาก็ท่าตาย เพราะสุขคลายคลาดสิ้นถวิลครวญ
บุรพกรรมนำเป็นไปเช่นนี้ มิใช่พี่บิดผันคิดหันหวน
ไม่มีสิ่งใดแก้ให้แปรปรวน น้องไม่ควรแค้นใจตัดไมตรี”
พลางอิงแอบแนบองค์พระนงลักษณ์ นางยิ่งผลักเพลาหัตถ์สะบัดหนี
ด้วยแยบยลมารยาแห่งนารี เพราะนางมีเสน่หามาแต่เดิม
อรชุนทราบเล่ห์เสน่ห์นุช ทำประดุจหน่ายแหนงกันแสงเสริม
แสร้งแค้นขัดตัดพ้อพูดต่อเติม มีเนตรเยิ้มย้อยหยัดอัสสุชล
“อนิจจา ! ความรักอันหนักแน่น มาคลอนแคลนคลาคลาดนิราศผล
ข้าเฝ้ารักอรทัยดังไฟลน เหลือจะทนอยู่แล้วต้องแคล้วจร
จงยกโทษโปรดให้ที่ได้ผิด ซึ่งเหิมคิดพันผูกร่วมฟูกหมอน
ขอฝากองค์มารดาสี่ภ๎ราดร ขอลาจรจากไปให้ไกลตา”
พลางจัดแจงแต่งองค์ทรงสะอื้น พระนางตื่นตกใจรีบไขว่คว้า
เข้าแย่งยื้อยุดไว้มิให้คลา ลืมโศกาดูรเฝ้าพะเน้าพะนึง
“นี่อย่างไร ใกล้ก็จักเฝ้าผลักไส ครั้นออกไกลกลับยุดเฝ้าฉุดทึ้ง
ดูสิยังแย่งยื้อทำดื้อดึง ไฉนจึงหยุดพร่ำ,ไม่รำพัน”
พระอุ้มองค์นฤมลขึ้นบนแท่น งามเงื่อนแม้นอมรินทร์ปิ่นสวรรค์
เมื่ออุ้มองค์สุชาดาวิลาวัณย์ ทรงรับขวัญน้องนางพลางประโลม
เออ!หยุดโกรธเสียบ้างเหมือนอย่างนี้ เพื่อใหพี่อภิรมย์ได้ชมโฉม”
หัตถ์ประคองสองเต้าเฝ้าตระโบม ด้วยแสนโสมนัสกำหนัดใน
สัพยอกยวนยีทรงซี้ซิก “โอ๊ย!เอ้า ! หยิกพี่ยาไม่ปราศรัย”
นางก้มหน้านิ่งอั้นตันฤทัย ยั่วเท่าไรก็ไม่เอื้อนเยื้อนยุบล
เพลินอารมณ์สมพาสสวาทชิด กามฤทธิ์ร้อนรุ่มทุกขุมขน
รู้สึกว่าจักรวาลบันดาลดล จลาจลทั่วหล้านภาลัย
ฟ้ากระหึมครึมครวญป่วนพายุ ทะเลดุดังลั่นสนั่นไหว
ต้นไม้ใหญ่โยกเอนระเนนไป ฝูงสัตว์ไพรพรูวิ่งเป็นสิงคลี
พระกอดน้องสองหัตถ์กระหวัดแน่น นึกว่าแท่นโคลงดูไม่อยู่ที่
ต่อถูกหยิกเข้าจึงรู้ว่าอยู่ดี เฝ้าจู๋จี๋จุมพิตเพลินชิดชม
มิจืดจางจนพรากไปจากห้อง ‘นกูล’ รองร่วมชิดสนิทสนม
ต่อไปถึง ‘สหเทพ’ เสพภิรมย์ สมาคมมิให้หมางระคางใจ
พระนางทรงจงรักสมัครมาด ในห้าราชปาณฑพสบสมัย
ปฏิบัติภรรดาทั้งห้าไท ต้องตามในวาจาพระอาจารย์
พระมารดาปราโมทย์โปรดสะใภ้ มีพระทัยปลื้มเปรมเกษมศานติ์
ค่อยห่างหายคลายเศร้าเนาสราญ ณเขตต์ขัณฑ์ปัญจาลบุรีรมย์
  1. ๕. อ่าน “ท๎ริยฏะทะยุม”

  2. ๖. อ่านว่า ‘ว๎ยาด’ คือผู้ร้อยกรองพระเวท, ถ้าเรียกว่าพระวยาสโดด ๆ เช่นนี้ ย่อมหมายถึงพระพรหมฤษี ผู้มีนามว่า กฤษณไท๎วปายน์ (กฤษณ แปลว่าดำ ไท๎วปายน์; แปลว่าชาวเกาะ, เพราะท่านเกิดที่เกาะ) ที่จริงพระวยาสองค์นี้เป็นกษัตริย์ เการพ และปาณฑพโดยตรงทีเดียว เพราะท่านเป็นบุตรหัวปีของนางสัตยวดี ผู้ย่าแห่งกษัตริย์ เการพ และปาณฑพ และท่านเปนบิดาของท้าวธฤตรามฎร์ และ ปาณฑุ โดยตรงด้วย (ดูหมายเหตุท้ายหน้า ๗).

แชร์ชวนกันอ่าน

แจ้งคำสะกดผิดและข้อผิดพลาด หรือคำแนะนำต่างๆ ได้ ที่นี่ค่ะ