- คำนำ
- คำปรารภ
- ประณามคาถา
- บทที่ ๑ ความริษยาแห่งญาติ
- บทที่ ๒ การสยมพร นางเท๎ราปที
- บทที่ ๓ ที่ประชุมรัฏฐมนตรีกรุงหัสดิน
- บทที่ ๔ กรุงอินทรปรัสถ์ แห่งเจ้าปาณฑพ
- บทที่ ๕ การพะนันน่าสยดสยอง
- บทที่ ๖ เจ้าปาณฑพต้องเนรเทศ
- บทที่ ๗ กรุงวิราฎ
- บทที่ ๘ พวกเการพยกทัพเข้าเหยียบแดนกรุงวิราฎ
- บทที่ ๙ พวกเการพทราบข่าวเจ้าปาณฑพ
- บทที่ ๑๐ หารือสงบศึกไม่สำเร็จต่างเตรียมรบ
- บทที่ ๑๑ สงครามกุรุเกษตร
- บทที่ ๑๒ ความวิตกของทุรโยธน์
- บทที่ ๑๓ โท๎รณาจารย์จอมทัพใหม่ฝ่ายเการพ
- บทที่ ๑๔ มรณะของอภิมันยุ
- บทที่ ๑๕ ท้ายสงคราม
- บทที่ ๑๖ อวสานแห่งสงคราม
บทที่ ๗ กรุงวิราฎ
จะกล่าวถึงพระบุรีศรีวิราฎ | อันโอภาสผ่องฉันพระจันทร์ฉาย |
พิศดูวังเวียงอันเรียงราย | ด้วยปราสาทมาศพรายเรืองรูจี |
มียอดเยี่ยมเทียมฟ้าอยู่ดาดาษ | อีกวังราชตระกูลจำรูญศรี |
เรือนอำมาตย์ราษฎรสลอนมี | พร้อมวิถีบกน้ำน่าสำราญ |
กำแพงป้อมล้อมเหมือนกับเขื่อนเพ็ชร์ | ไพรีเข็ดขามขยาดไม่อาจหาญ |
มารบรกบุกบั่นประจัญบาน | พระสมภารบารมีคลี่ขจร |
พระผู้จรรโลงหล้าประชานาถ | มีพระราชเทพีศรีสมร |
ทรงพระลักษณ์เลิศอย่างนางอมร | พระบังอรมีพระอนุชา |
ทรงพระนาม ‘กิจกะ’ ยุวราช | พระวิลาสเลิศลักษณ์สุดจักหา |
อยู่ร่วมวังอัคเรศ, ด้วยเมตตา | พระน้องยาร่วมครรภ์พันทวี |
วันหนึ่งองค์ภูมินทร์ปิ่นวิราฎ | เสร็จประพาสณสภาสง่าศรี |
ทรงสถิตแท่นสุวรรณ์อันรูจี | เสนามาตย์มนตรีเฝ้าเรียงรัน |
ตรัสประภาษราชกิจวินิจฉัย | คดีให้ราษฎรทรงผ่อนผัน- |
เพิ่มพิพัฒน์ผาสุกยุกติธรรม์ | ต่างพากันชื่นชมพระสมภาร |
ทันใดนั้นภูบดีศรีประเทศ | ทอดพระเนตรตรงมาทางหน้าฉาน |
เห็นพวกชายชาวไพรใกล้ทวาร | มีอาการทุกข์ทนทุรนทุราย |
มีพระราชโองการบรรหารให้ | อำมาตย์ไปสืบถามความทั้งหลาย |
ทราบว่าเป็นแขกมาทั้งห้านาย | หวังถวายอภิวาทบาทบงสุ์ |
ดำรัสให้พามาหน้าที่นั่ง | เพื่อทรงฟังข้อคดีที่ประสงค์ |
โปรดให้กราบทูลได้ดังใจจง | ทั้งห้าองค์กราบก้มประณมกร |
เจ้าองค์หนึ่งในห้าภราดานั้น | บังคมคัลทูลกิจอดิศร |
“ข้าแต่องค์ภูบดินทร์นรินทร | พระนครอินทรปรัสถ์อุบัติเป็น |
ด้วยพระองค์ทรงฤทธิยุธิษเฐียร | พระเคราะห์เปลี่ยนแปลงให้เธอได้เข็ญ |
ถูกเนรเทศจากแดนแสนลำเค็ญ | ด้วยการเล่นแข่งขันพะนันโกง |
ข้าพระบาทเป็นข้าภ๎ราดาเจ้า | เหมือนถูกเผาเขตต์ขัณฑ์ควันโขมง |
มีทุกข์ภัยใกล้ตัวทุกชั่วโมง | ข่าวคงโด่งดังมาซ่าพระกรรณ |
แต่ข่าวพระบารมีธุลีบาท | กรุงวิราฎรุ่งเรืองดังเมืองสวรรค์ |
ข้าบาทจึงหลีกลี้หนีภยันต์ | สู้ด้นดั้นมาถึงซึ่งนคร |
ขอพึ่งโพธิสมภารพระผ่านเผ้า | เพื่อบรรเทาอันตรายให้หายร้อน |
ข้าบาทเที่ยวหางานทะยานจร | ในสำนักภูธรหลายบุรี |
มีแต่ทรงปฏิเสธทุกเขตต์ขัณฑ์ | จึงพากันจากจรซุกซ่อนหนี |
กลัวถูกจับส่งให้พวกไพรี | จงทราบเบื้องบทศรีพระทรงธรรม” |
ได้ทรงฟังดังนั้นแสนรันทด | ภูวไนยให้สลดพระทัยล้ำ |
ผินพักตร์ทางกรมวังนั่งประจำ | คอยฟังดำรัสใช้ในมนเทียร |
ตรัสว่า “การก่อเล่ห์เนรเทศ | นฤเบศร์บพิตรยุธิษเฐียร |
ให้มิตรเธอเศร้าใจไปจำเนียร | เหมือนเบียดเบียฬราษฎรให้ร้อนรน |
เมื่อเจ้านายร่ายเร่เนรเทศ | ออกจากเขตต์อินทรปรัสถ์แสนขัดสน |
ร้อนถึงชาวเขตต์ขัณฑ์หลายพันคน | ต้องดั้นด้นพลัดพรายกระจายไป |
ความลามกทุรโยธน์ผู้โหดร้าย | ก่อฉิบหายมั่นคงไม่สงสัย |
เขามาพึ่งเรานี้เพราะหนีภัย | และเต็มใจตรากตรำกระทำการ |
จักไม่รับเขาไว้เห็นไม่ชอบ | ผิดระบอบแบบแผนเป็นแก่นสาร |
ใช่เขาเป็นเหล่ากอพวกขอทาน | ภิกขาจารพร่ำเพรื่อไปเมื่อไร |
จงรับเป็นคนใช้ตามใจรัก | ให้ที่พักพึ่งพาผ่อนอาศัย” |
พระภ๎ราดาห้าเจ้าแสนเบาใจ | บังคมไหว้ถอยออกนอกทวาร |
ต่อนั้นมายังมีสตรีสาว | ดูเป็นชาวนาไร่แต่ใจหาญ |
มีผ้าผ่อนปอนล้นดูลนลาน | ดำเนิรผ่านเลยไปเข้าในวัง |
แจ้งแก่นางข้างในขอไปเฝ้า | พระแม่เจ้าฝ่ายในด้วยใจหวัง |
เพื่อกราบทูลข้อคำแต่ลำพัง | เขาให้ยั้งหยุดอยู่ประตูใน |
สมเด็จองค์มหิษีนารีนาถ | ประทับอาสน์เอี่ยมอ่องงามผ่องใส |
นารีนั่งเฝ้ากลาดดื่นดาษไป | เมื่อทรงได้ฟังข่าวหญิงชาวนา |
จะขอเฝ้าบาทบงสุ์อนงค์นาถ | ทรงประหลาดหฤทัยจึงให้หา |
ไม่นานหญิงผู้เฝ้าก็เข้ามา | หมอบกราบฝ่าพระบาทพระนาถนาง |
ทรงพินิจรูปทรงงามองค์อาจ | เพราะอนาถทุกข์ทนจุงหม่นหมาง |
ถึงผ้าผ่อนปอนอยู่ดูสำอาง | มีท่าทางบอกอยู่ว่าผู้ดี |
“เจ้าชื่อไร ?” ไยพรากจากสถาน | เจ้าอยู่บ้านเมื่องไรไฉนนี่? |
ดูหน้าเจ้าโศกศัลย์พันทวี | ที่มานี้ต้องการสถานไร?” |
เท๎ราปทีได้ฟังรับสั่งถาม | ประดิษฐ์ความทูลแจ้งแถลงไข |
“ข้าบาทนี้ตรอมตรมระทมใจ | ชื่อว่า ‘ไศรินธรี’ ผู้มีกรรม |
ทุกข์ระทวยด้วยวิโยคสุดโศกเศร้า | ขอแม่เจ้าชูชุบอุปถัมภ์ |
เจ้าบุรินทร์อินทรปรัสถ์ทรงสัทธรรม | ซึ่งข้าพำนักมาทรงการุณย์ |
บัดนี้ต้องเตร็จเตร่เนรเทศ | จึงเป็นเหตุบ้านเมืองได้เคืองขุ่น |
ตัวข้าบาทนี้ไซร้พึ่งใบบุญ | แห่งพระคุณแม่เจ้าเท๎ราปที |
พระนางตามภัสดาเข้าป่ากว้าง | จำทิ้งขว้างตัวข้าผู้ทาสี |
ครั้นข้าบาทอยู่ไปในบุรี | ภัยคงมีแม่นมั่นจึงดั้นมา” |
สมเด็จไท้เทวีศรีวิราฎ | พระนางนาถนิ่งฟังด้วยกังขา |
พลางพินิศรูปพรรณกัลยา | ซึ่งมีผ้านุ่งห่มไม่สมองค์ |
พิศดูกิริยามารยาท | พิศลีลาสเลิศนางเหมือนอย่างหงส์ |
ให้บังเกิดรักใคร่ในอนงค์ | พระนางทรงปราศรัยด้วยไมตรี |
“เราประหลาดใจนักใคร่จักถาม | ว่าความงาม, ชาตา, เคราะห์, ราศี |
แห่งเจ้าผู้โศภาน่าปราณี | ไฉนไม่เป็นที่ป้องกันภัย?” |
จึงทูลตอบเสาวนีย์เทวีเจ้า | “เป็นกรรมเก่าก่อผลพ้นวิสัย |
พระนางเจ้าเท๎ราปทีศรีไผท | ยังต้องไร้ร้างวังตั้งระลวง |
ข้าบาทผู้ทาสีเทวีเจ้า | หรือจักเนานอนนั่งอยู่วังหลวง |
เมื่อเจ้านายทุกข์ถมระทมทรวง | บ่าวทั้งปวงก็ระกำเป็นธรรมดา |
พระเทวีฟังคำเจ้าร่ำไข | สงสารในนงลักษณ์ยิ่งนักหนา |
ดำรัสถามความประสงค์เจาะจงมา | นางทูลว่าอยากได้รับใช้การ |
ทรงโปรดให้ไศรินธรีอยู่ | ณห้องผู้สาวใช้ในสถาน |
เจ้าอุตส่าห์กอบกิจเป็นนิจจกาล | พระนงคราญเทวีปราณีครัน |
พระปาณฑพภ๎ราดาทั้งห้าเจ้า | สถิตเนาในนิเวศน์แห่งเขตต์ขัณฑ์- |
กรุงวิราฎพระบุเรศ, แปลงเพศพรรณ์ | อยู่ใกล้กันกับเจ้าเท๎ราปที |
เจ้าปาณฑพเป็นชายอยู่ฝ่ายหน้า | กฤษณาแปลงเป็นเช่นทาสี |
เป็นสาวใช้พระมหาราชินี | สำนักที่ฝ่ายในได้สราญ |
ด้วยมรรยาทจรรยามารศรี | ฝูงนารีในนิวาสราชฐาน |
ตลอดจนเทวีศรีสคราญ | ทรงโปรดปรานรักใคร่ผูกไมตรี |
จะกล่าวถึง ‘กิจกะ’ ยุวราช | พระน้องนาถอรทัยวิไลศรี |
ได้ยลพักตร์แห่งเจ้าเท๎ราปที | คือไศรินธรีศรีอนงค์ |
พินิศจ้องมองดูไม่รู้แล้ว | จนนางแคล้วคลาดไปอาลัยหลง |
ใคร่ประโลมโฉมฉายแต่อายองค์ | ด้วยดำรงอยู่ในรุ่นดรุณวัย |
ลืมเสวยลืมสรงทรงละห้อย | ให้เศร้าสร้อยสนจิตต์พิสมัย |
ประทับเหนือแท่นทองผ่องอำไพ | กนแต่ใฝ่ถึงนางไม่วางวาย |
“โอ้!พักตร์เอ๋ยพักตร์น้องผุดผ่องเช่น | พระจันทร์เพ็ญผ่องงามอร่ามฉาย |
โอ้! เนตรเอ๋ยเนตรงามเมื่อยามชาย | ดังแสงศรพระนารายณ์เรืองฤทธี |
โอ้! แก้มเอ๋ยแก้มพวงเชิดช่วงฉัน | ดังผลจันทน์เอี่ยมอ่องผ่องฉวี |
โอ้! โอษฐ์เอ๋ยโอษฐ์เยื้ยนเอื้อนวจี | แดงดังสีชาดแต้มรับแก้มนาง |
โอ้! ผมเอ๋ยผมเจ้าเป็นเงาขลับ | ดำระยับหยดย้อยด้วยสอยสาง |
โอ้! กรรณเอ๋ยกรรณน้องอ่องสอาง | งามเหมือนอย่างกลีบบัวยั่วฤทัย |
โอ้! จมูกเอ๋ยจมูกงามถูกลักษณ์ | ดังขอชักชายงงเฝ้าหลงใหล |
โอ้! คอเอ๋ยดุจปล้องอ่องอำไพ | คอนกยูงอย่างวิไลก็ไม่ปาน |
โอ้! กรเอ๋ยกรนางสำอางเอี่ยม | งามเรียวเทียมเทียบงาพระยาสาร |
โอ้! ทรวงเอ๋ยทรวงเต่งงามเบ่งบาน | ชวนให้ดาลจิตต์แนบอิงแอบทรวง |
โอ้! ถันเอ๋ยถันอยู่ในภูษา | ยังนูนผ้าเพียงพุ่มปทุมหลวง |
โอ้! รูปเอ๋ยรูประทวยสวยทั้งปวง | พี่ระลวงเหลือรักภัคินี” |
ขอกล่าวถึงปรางค์ทองผ่องพิลาส | แห่งพระราชกัลยามารศรี |
ยามกลางคืนดื่นช่วงดวงอัคคี | เรืองรูจีแจ่มใสวิไลครัน |
ในห้องพระมหิษีนารีนาถ | งามโอภาสพรรณรายแสงฉายฉัน |
ด้วยประทีปโคมไฟใส่น้ำมัน | มีสุคันธ์ปนปรุงฟุ้งขจร |
งามแสงไฟฉายฝาจ้าระยับ | ซึ่งสลับลวดลายรายสลอน |
เป็นรูปเฟี้ยมเอี่ยมอ่องช่องบัญชร | งามบวรม่านชักปักสุวรรณ |
เครื่องประดับคฤหาสน์เครื่องลาดพื้น | ล้วนน่าชื่นชมเลิศงามเฉิดฉัน |
ตำหนักหนึ่งอยู่เคียงเรียง ๆ กัน | ในห้องชั้นในมีที่ประทม |
กิจกะอนุชามารศรี | ทุกข์ทวีเหลือนับเข้าทับถม |
นอนอยู่เหนือแท่นงาเศร้าอารมณ์ | เหลือจะข่มโศกเศร้าให้เบาไป |
พระเชษฐภคินีทวีเทวษ | ด้วยสมเพชน์พระอนุชสุดวิสัย |
ประทับข้างน้องน้อยกลอยฤทัย | อ้อนวอนไล่เลียงหาพระอาการ |
พระหัตถ์ลูบพระนลาตราชกนิษฐ์ | พระเนตรพิศพักตร์ทรงแสนสงสาร |
ทรงพิทักษ์รักษาพยาบาล | พระกุมารก็ไม่ฟื้นคืนสราญ |
ที่สุดทรงลืมเนตรเทวษเศร้า | ดูพระเจ้าพี่นางพลางบรรทาร |
ทรงสะอื้นฝืนเทวษเล่าเหตุการณ์ | ด้วยเหลือทานทนตรมระทมใจ |
“โอ้! ทูลเกล้าเจ้าพี่ผู้ที่รัก | พระพี่จักทิ้งน้องให้หมองไหม้ |
จนดับชีพหรือเจ้าขา, หรือว่าไร ?” | “หามิได้น้องยาอย่าละเมอ |
เจ้าประชวรเล็กน้อยปล่อยสติ | ไปดำริเรื่องตายบรรยายเพ้อ |
จะหายในไม่ช้าดอกหนาเธอ | พระน้องเพ้อพูดมาหรือว่าไร ?” |
ฟังพระพี่ตรัสเป็นไม่เห็นอก | เธองันงกทูลชี้คดีไข |
“โอ้! พระพี่ดูเผินจนเกินไป | อาการไข้น้องนี้ถึงที่ตาย |
สมุฏฐานเกิดในหัวใจน้อง | มีอยู่สองวิธีชี้ถวาย |
หนึ่งไข้ของน้องนี้ไม่คลี่คลาย | คงจักวายชีพแท้เป็นแน่นอน |
อีกอย่างหนึ่งซึ่งทรงคิดสงสาร | ช่วยเอาภารปัดเป่าบรรเทาถอน |
ซึ่งโรครึงตรึงใจดังไฟฟอน | แม้นพระผ่อนปรนได้ก็ไม่ตาย |
ถ้าทรงรับชูชุบอุปถัมภ์ | น้องจะนำเรื่องนี้คลี่ขยาย” |
ฟังพระน้องจำนรรจ์บรรยาย | พระนางหมายมุ่งไปถึงไข้เธอ |
ด้วยพิษไข้ให้จิตต์เธอคิดกลุ้ม | เหลือจะคุมจิตต์ใจจึงไพล่เผลอ |
จึงทรงรับวาจาว่า “เออๆ ! | พี่ยอมเพ้อตามเจ้าช่วยเอาภาร” |
กิจกะได้ฟังรับสั่งช่วย | ค่อยคลายป่วยทันใดพลางไขขาน |
“เมื่อพระพี่ชูชุบอุปการ | น้องก็ด้านหน้าทูลมูลคดี |
โอ้! พระพี่เจ้าขา, น้องยารัก | รปลักษณ์โศภาสง่าศรี |
แห่งนงรามงามสิ้น ‘ไศรินธรี’ | ข้าหลวงพี่นางใหม่อยู่ในวัง |
เนตรเจ้างามยามสบเมื่อพบพักตร์ | ดังศรศักดิ์สิทธิ์องค์พระทรงสังข์ |
เสียบทะลวงทรวงน้องแทบพองพัง | ให้คลุ้มคลั่งคิดถึงคะนึงนาง |
ทุกทิวาราตรีไม่มีสุข | น้องเหลือทุกข์เหลือทนกมลหมาง” |
ทรงรำพันกลั้นฝืนสะอื้นพลาง | น้ำเนตรพร่างพรายพักตร์หนักฤทัย |
พระพี่นั่งฟังน้องสนองถ้อย | เจ้าเศร้าสร้อยกันแสงแถลงไข |
ทรงตระหนักแน่ชัดณบัดใจ | ว่าเป็นไข้รักรึงตรึงกมล |
เป็นธรรมชาติมีชุมในหนุ่มสาว | จึงว่ากล่าวชี้แจงแสดงผล |
ซึ่งจะเสื่อมศักดิ์ศูนย์ตระกูลตน | นีรมลโลมเล้าเอาพระทัย |
“อันความรักหนุ่มสาวคราวสะอาง | เหมือนน้ำค้างโชกชุ่มตามพุ่มไม้ |
ยามสายแดดแผดแสงก็แห้งไป | เจ้าก็ได้เพศเลิศกำเนิดชาย |
ซ้ำเป็นขัตติยชาติผู้อาจหาญ | ควรหักราญรักให้ประลัยหาย |
การเหยียดตนต่ำช้าอย่างน่าอาย | ลงมุ่งหมายทาสีไม่ดีเลย |
ให้เสื่อมยศศักดิ์ชาติอุบาทว์นัก | พี่เหลอจักขัดข้องแล้วน้องเอ๋ย |
บรรพบุรุษเราไซร้ยังไม่เคย | เขาจะเอ๋ยติฉินเฝ้านินทา |
เพียงแต่เห็นเล่นตาแห่งทาสี | เจ้าชู้ที่ลวงเล่ห์เสน่หา |
ก็หลงรักฝักใฝ่มิได้คลา | ทิ้งราคาขัตติยะวีระชาย |
จริงอยู่, ความรักจริงเป็นสิ่งเลิศ | ก่อให้เกิดสุขศรีทวีหลาย |
แต่ความรักผู้รุ่นดรุณชาย | มันจะหน่ายดังน้ำค้างที่อ้างมา |
ให้เป็นที่อับอายพาขายพักตร์ | เสื่อมยศศักดิ์เสื่อมชาติวาสนา |
ให้โลกล่วงดูหมิ่นมานินทา | พระน้องยาตรองความให้งามดี” |
กิจกะฟังคำพี่ร่ำพร้อง | จึ่งสนองวาจามารศรี |
“การทั้งผองน้องผู้รอบรู้ดี | แต่เหลือที่จะบรรเทาให้เบาใจ |
พระพี่นางยังมิได้เห็นในอก | หม่อมฉันตกทุกข์ทนพ้นวิสัย |
ขอสละละชนม์ให้พ้นไป | ดูหทัยน้องยาขอลาตาย |
โอ้! พี่หญิงใจหญิงเสียจริงแท้ | เพราะเอาแต่ใจพี่เป็นที่หมาย |
ใครจะมีทุกข์จนชนม์มลาย | ก็ดูดายมุ่งใฝ่แต่ใจตน |
พระพี่จงตรึกไตรถึงใจพี่ | พระสามีห่างแหแต่ละหน |
ดิ้นเร่า ๆ ดังจะตายทำลายชนม์ | ไยไม่นั่งตั้งบ่นสอนตนไป” |
“คนจะตายซอกแซกพูดแดกพี่ | ประเดี๋ยวตีเสียทั้งเห็นว่าเป็นไข้ |
ผัวพี่เป็นขี้ข้าหรือว่าไร | หรือทำให้ต่ำเตี้ยเสียตระกูล |
พี่เสียใจนักหนาวาจาที่ | กล่าวหวังดี, ดีหายกระจายศูนย์ |
ความคลั่งไคล้ใจเจ้าเป็นเค้ามูล | ให้เพิ่มพูนความพินาศอุบาทว์กรรม |
พี่ตักเตือนหวังให้กลับใจเจ้า | ที่มัวเมาหญิงทาสพลาดถลำ |
กลับเพิ่มให้ใจเจ้าเศร้าระกำ | ถึงแก่ทำลายชนม์ก็จนใจ |
ใครจะให้น้องชายทำลายชีพ | ต้องร้อนรีบผันแปรคิดแก้ไข” |
ตรัสเท่านั้นกัลยาก็คลาไคล | เสด็จไปห้องนางพลางบัญชา |
ให้ตามไศรินธรีมาที่ห้อง | มาแล้วจ้องดูพักตร์เจ้านักหนา |
ขวยพระทัยใฝ่นึกเฝ้าตรึกตรา | เพื่อจัดหาเลศนัยไขแสดง |
ด้วยเป็นเรื่องอัปยศแสนอดสู | ทรงนิ่งอยู่หน่อยหนึ่งจึงแถลง |
ถึงทุกข์ร้อนก่อนกี้ทรงชี้แจง | แล้วทรงแปลงเปลี่ยนนัยไขวจี |
“แสนเสียดายนักหนาที่มาเห็น | หญิงผู้เพ็ญลักษณ์เลิศประเสริฐศรี |
ต้องขัดสนค่นแค้นแสนทวี | เป็นทาสีตรอมตรมไม่สมทรง” |
นางทาสีทูลพลัน “นั่นเป็นผล | อกุศลพระเจ้าข้า, ตามมาส่ง” |
ทรงพะยักพักตร์รับกับอนงค์ | แล้วจึงทรงตรัสต่อข้อคดี |
“พี่นี้เชื่อแน่นแฟ้นเป็นแม่นมั่น | เจ้าใช่หญิงสามัญชั้นทาสี |
เลือดเจ้าเนื่องจากเหล่าเผ่าผู้ดี | กับเลือดพี่ก็ละม้ายคล้าย ๆ กัน |
ดีละเจ้าคราวนี้ยินดีด้วย | บุญอำนวยเกียรติให้ใหญ่มหันต์ |
เจ้าทราบแล้วคงจะมียินดีครัน | ด้วยน้องฉันรักเจ้าเยาวมาลย์ |
เปนบุญของน้องนางได้สร้างไว้ | บันดาลให้เธอรักสมัครสมาน |
เป็นสะใภ้เทวีศรีสคราญ | พี่เห็นด้วยทุกประการ, ประทานพร” |
นางสาวใช้ไศรินธรีนาฏ | ฟังประภาษเทวีศรีสมร |
พิโรธเร้าหฤทัยดังไฟฟอน | ทูลบังอรด้วยแค้นแสนทวี |
“ขายหน้านักศักดิ์ใหญ่ซึ่งใหลหลง | เหยียดพระองค์สนทนากับทาสี |
ในเรื่องเลวเหลวใหลใช่พอดี | ย่อมเป็นที่อัปยศเหลืออดอาย |
‘ผู้สูงศักดิ์’ กับ ‘ผู้ดำรูเกียรติ’ | ย่อมไม่เฉียดชิดกันดังมั่นหมาย |
ย่อมห่างไกลไม่ถลำมากล้ำกราย | หม่อมฉันงายงมอยู่พึ่งรู้จริง |
ขอพระราชเทพีผู้มีศักดิ์ | ทรงตระหนักหฤทัยว่าใจหญิง |
ย่อมสละชีพได้ไม่ประวิง | แต่ไม่ทิ้งเกียรติยศจนหมดปราณ |
พระแม่เจ้าทราบอยู่แต่ผู้ที่ | เป็นสตรีหลงศักดิ์อัครฐาน |
เอายศศักดิ์ล่อใจใส่ทะยาน | สำเร็จการปรารถนาทรงปรารมภ์ |
หม่อมฉันรักเกียรติยิ่งยอมทิ้งศักดิ์ | พระแม่จักพึ่งเห็นเป็นประถม |
หม่อมฉันหมดถ้อยคำนำประณม- | กร, บังคมทูลชี้แต่นี้ไป |
ขอลาจากรับใช้ในพระที่ | แม้จะมีกิจการสถานไหน |
ขอพระแม่โปรดช่วยอวยอภัย | ให้ได้ไปตามจิตต์ที่คิดปอง” |
พระเทวีฟังคำนางร่ำไข | ขวยพระทัยตรัสปลอบตอบสนอง |
“พี่พูดตามจริงใจมิได้ตรอง | แม้นไม่ต้องใจก็ขออภัย |
ที่พูดนี้พูดไปตามใจรัก | ไม่ควรจักเจ็บช้ำด้วยคำไข |
เออ! บัดนี้กิจกะเป็นกระไร | จงเชิญน้ำจัณฑ์ไปให้แก่เธอ” |
ทั้งนี้ทรงคิดว่ามารยาหญิง | แสร้งประวิงว่าร้ายให้หายเก้อ |
ที่สุดคงชอบพอยอมออเออ | ซ้ำจะเห่ออย่างไพร่ผู้ได้ดี |
สงสารไศรินธรศรีสลด | ด้วยกำหนดรู้เล่ห์มเหสี |
น้ำจัณฑ์เป็นสื่อสายอุบายมี | ให้เข้าที่ห้องลับพบกับชาย |
ทรงหวั่น ๆ พรั่นใจให้ระย่อ | เกรงจะก่อเกิดมีราคีหลาย |
หวนคะนึงถึงกรรมทำให้คลาย | คนต้องตายทั่วถ้วนไม่ควรกลัว |
แม้นได้อาย, ตายเลิศประเสริฐศรี | เลิศกว่ามีหมองหม่นให้คนหัว |
น้อมรับถ้วยน้ำจัณฑ์สั่นระรัว | ด้วยจิตต์ตัวเป็นสตรียังมีอาย |
เดิรมารีรออยู่ประตูห้อง | เฝ้าจดจ้องอยู่กระนั้นไม่ผันผาย |
ถึงดวงจิตต์คิดกล้าประหม่ากาย | ไม่กล้าผายผันเข้าเฝ้าคะนึง |
“ชาตาเราเข้าชั่วทั่วทุกอย่าง | เหมือนอยู่กลางเขาควายหรือข่ายขึง |
จักประพฤติฮึดหื้อทำดื้อดึง | ก็จะถึงโทษทัณฑ์อันตราย |
มิหนำเหล่าเการพมาพบปะ | เราก็จะทรมานไปนานหลาย |
จะทำตามทรามวัยกลัวได้อาย | เพราะเจ้าชายบ้ากามจะลามลวน |
เข้าห้องเขาเปล่าเปลี่ยวผู้เดียวโดด | คงเป็นโทษไม่น้อย” ละห้อยหวน |
กลับระย่อท้อใจยืนใคร่ครวญ | เหมือนกวางม้วนม่ายเสือเหลือระแวง |
ที่สุดนางข่มใจไม่ให้พรั่น | นำน้ำจัณฑ์เข้าไปมิได้แหนง |
ก็สบผลกลจิตต์ที่คิดแคลง | ความบ้าแห่งกิจกะหมดละอาย |
ซ้ำน้ำจัณฑ์ย้อมจิตต์ให้คิดกล้า | เห็นนางมาเอ้องค์เหมือนทรงหมาย |
ขยับยึดภูษิตเขาชิดกาย | พอขยายพจน์พร้องว่า “น้องนาง!” |
พอดีนางหลบเลี่ยงเบี่ยงสะบัด | เอาพระหัตถ์เหวี่ยงใส่เข้าให้ผาง |
ถูกตรงพักตร์กิจกะจำละวาง | ปล่อยให้นางหลุดพลัดสลัดมา |
ถึงไม่มีศัสตราซ่อนมาด้วย | พระหัตถ์ช่วยสมมาดปรารถนา |
หนีจากห้องว่องไวรีบไคลคลา | วิ่งมาหาห้องโถงพระโรงชัย |
ฝ่ายพระผู้ภูบดีศรีวิราฎ | ประทับอาสน์เอี่ยมอ่องงามผ่องใส |
เสนามาตย์หมอบกลาดดื่นดาษไป | เห็นสาวใช้วิ่งร้องก้องสำเนียง |
หลีกเสนามาตย์มาถึงหน้าอาสน์ | บังคมบาททูลเล่ากระเส่าเสียง |
“เพราะเกิดอยุกติธรรมเหลือลำเอียง | ข้าจึงเลี่ยงหลีกมาหาพระองค์ |
กระหม่อมฉันเห็นว่า’หายนะ’ | เพราะเหตุอยุกติธรรมจะนำส่ง |
ด้วยนารีผู้นิราสญาติวงศ์ | มีรูปทรงเศร้าผอมตรอมฤทัย |
เข้ามาพึ่งบารมีเป็นที่ร่ม | กลับถูกข่มขี่ขืนฝืนวิสัย |
บังเกิดได้ในเขตต์บุเรศไท | กำแพงใหญ่สี่ชั้นไม่มั่นคง” |
เสนามาตย์ทั่วผู้ไม่รู้เรื่อง | ต่างชำเลืองแลคิดพิศวง |
อำมาตย์หนึ่งมาคร่าว่าอนงค์ | “ตอแหลส่งเสียงจ้าหญิงบ้าบอ” |
กิจกะมาทันพลันเข้าลาก | ฉุดกระชากผมไปมิได้ท้อ |
จากที่เฝ้าท้าวไทมิได้รอ | ไม่มีผู้รู้ข้อคดีการณ์ |
พระราชาก็มิใคร่จะใฝ่ทราบ | เรื่องหญิงหยาบเข้ามาทูลว่าขาน |
เมื่อนายเขาเอาไปไม่รำคาญ | ในถิ่นฐานนั้นแล้วก็แล้วไป |
สงสารไศรินธรีเหลือที่เศร้า | ถูกจิกเกล้าฉุดลากถลากไถล |
ตลอดทางนางมาพบหน้าใคร | ก็ขอให้เอื้อเฟื้อช่วยเหลือนาง |
มาพบชายหนึ่งผู้นางรู้จัก | เขาจ้องพักตร์เพ่งดูอยู่ห่าง ๆ |
ตาเขาเล็งเพ่งกระพริบขยับพลาง | มิให้อ้างบอกชื่ออึงอื้อไป |
นางรู้แจ้งแสร้งเร้าเรียกเขาช่วย | เพื่อจะฉวยโอกาสประภาษไข |
ให้เขาทราบทุกข์ถมระทมใจ | เขาก็ไหวพริบดีรี่เข้ามา |
ยกมือไหว้กิจกะกล่าวประจบ | “ไฉนหลบหลีกบุญเล่าคุณจ๋า ! |
พระฉุดเกล้าจอมขวัญกัลยา | ด้วยกลัวว่ามารศรีจะหนีไป |
ทรงรักใคร่ในนางถึงอย่างนี้ | ควรจะมีเสน่หาอัชฌาสัย |
ทำมารยาเลยงามนะทรามวัย | ขออภัยท่านเสียเถิดประเสริฐดี” |
นางรู้เลศน้อมไหว้มิได้ช้า | ขอขมาโทษพลันขมันขมี |
กิจกะอิ่มเอมด้วยเปรมปรีดิ์ | ปล่อยโมฬีโฉมงามให้ตามไป |
ได้โอกาสชายนั้นพลันแถลง | กระซิบแจ้งซึ่งอุบายขยายไข |
ให้รับรักแล้วผัดขอนัดไป | เข้าไต้ไฟจึงจะเข้าไปเฝ้าเธอ |
“เจ้าอย่ากลัวผัวรักพิทักษ์เจ้า | ตั้งจิตต์เฝ้าใฝ่ดูอย่เสมอ” |
กระซิบเสร็จบมิให้ผู้ใดเจอ | เห็นคนเผลอได้ทีหลบหนีไป |
กิจกะพาเจ้าเข้าตำหนัก | มีพระพักตร์ยิ้มย่องผูดผ่องใส |
ปิดประตูลันดาลง่านหทัย | พลางปราศรัยโลมเล้าเยาวมาลย์ |
“โอ้! นงลักษณ์เพักตร์ผ่องอ่องฉวี | ไม่ควรหนีแหนงรักสมัครสมาน |
พี่แสนรักทรามวัยใดจะปาน | ความรักซ่านชาบทั่วทั้งหัวใจ |
พี่เป็นทาสโฉมงามเพราะความรัก | พระน้องจักเกียดขึ้งไปถึงไหน |
แม่น้องไม่กรุณาตัดอาลัย | เห็นหทัยเถิดว่าขอลาตาย |
พินิศนางกางกรแลถ้ววอนพลอด | ขอพี่กอดให้สมอารมณ์หมาย |
เจ้าแนบทรวงปวงเศร้าจักเบาคลาย | เป็นเครื่องหมายว่าน้องเป็นของเรียม |
พี่ก็เป็นของน้องผู้ผ่องพักตร์ | ขอนงลักษณ์อย่าระคายเฝ้าอายเหนียม’ |
นางแสร้งทำชื่นชมหายตรมเตรียม | ทำท่าเจียมตัวอายว่ากายปอน |
ยิ้มละไมในหน้าไม่กล้าใกล้ | บังคมไหว้ทูลทัดขอผัดผ่อน |
“ประทานโทษอย่าตรัสว่าตัดรอน | หม่อมฉันร้อนรนเหลือหมักเหงื่อไค |
ขอนิราศบาทบงสุ์ไปสรงสนาน | ให้สะอ้านเอี่ยมอ่องกายผ่องใส |
ต่อค่ำ ๆ จึงจะเข้ามาเฝ้าไท | รับใช้ให้พระชมจนสมปอง’ |
พอสินคำอำลาตาชะม้อย | พลางเคลื่อนคล้อยคลาดออกไปนอกห้อง |
กิจกะเฝ้าแลชะแง้มอง | จนลับคลองเนตรไปใฝ่คะนึง |
ประทับคอยอรทัยอยู่ในห้อง | พระทัยปองป่วนปั่นกระสันถึง |
สังเกตกาลนานล้ำเฝ้ารำพึง | ชั่วโมงหนึ่งดูนานประมาณปี |
ประหนึ่งรถพระอาทิตย์ไปติดหล่ม | ลูกล้อจมมิได้เคลื่อนเขยื้อนที่ |
เธอคอยรออรทัยใฝ่ทวี | ระทมมีทุกข์ถวิลจนสิ้นวัน |
“ถิงย่ำค่ำตามว่าสัญญาไว้ | เป็นไฉนโฉมฉายไม่ผายผัน?” |
บรรทมเหนือปัจจัตถรณ์เร่าร้อนครัน | เฝ้าแต่งันงกแลชะแง้คอย |
เห็นผู้แต่งโคมไฟเข้าในห้อง | ขยับย่องยิ้มใส่มิได้ถอย |
ครั้นเข้าชิดผิดหน้าทำตาปรอย | หวนละห้อยกลับที่ศรีไสยา |
เสียงเธอถอนใจใหญ่อยู่ในห้อง | เหมือนเสียงน้องคลาไคลเข้าไปหา |
ชะเง้อจ้องมองเขม้นไม่เห็นมา | พึมพำด่าหูเหืองเคืองว่าลวง |
ที่สุดเล็งเพ่งดูประตูเปิด | พาให้เกิดปลื้มใจเป็นใหญ่หลวง |
สิ้นกระสันโศกเศร้าแสนเบาทรวง | ด้วยเห็นดวงพักตร์เจ้าเยี่ยมเข้ามา |
สมถวิลยินดีเป็นที่สุด | พอนางรุดคลาไคลเข้าไปหา |
เธอกางกรรับขวัญกัลยา | นางเปลื้องผ้าชั้นนอกออกจากกาย |
พอเข้าชิดพิศดูก็รู้ชัด | พลางหดหัตถ์เห็นผิดที่คิดหมาย |
หมดยินดีด้วยว่าเป็นหน้าชาย | เกิดยินร้ายเข้าแทนแม้น ๆ กัน |
ของในโลกทุกสิ่งที่ยิ่งเลิศ | พาโทษเกิดได้แท้เมื่อแปรผัน |
เมียที่สวยอวยสุขสนุกครัน | คงมีวันหนึ่งจะทุกข์เท่าสุขมา |
ชายผู้นั้นพลันจ้องร้องตวาด | “เหม่!อ้ายชาติสัตว์ไพรน้ำใจหมา |
ไม่รู้ว่านารีมีจรรยา | ไม่ยอมพร่าเกียรติตัวกลัวละอาย |
เพราะเห็นแก่เครื่องล่อทองบ่อหนึ่ง | เมินเถิดมึงที่จะสมอารมณ์หมาย |
มึงจงเตรียมจิตต์ใจไปอบาย | ความชั่วร้ายของมึงจะดึงไป” |
พูดเท่านี้รี่ใส่มิได้ละ | กิจกะเหลือสู้ศัตรูไหว |
ฉุดกระชากจากเตียงเหวี่ยงเข้าไป | ด้วยหมัดใหญ่มหิมานัยน์ตาพราย |
เลือดกระเซ็นออกจากปากจมูก | ซ้ำเข้าลูกคางผึงทะลึ่งหงาย |
นอนชักอยู่ครู่หนึ่งก็ถึงตาย | มีร่างกายทอดขวางอยู่ข้างเตียง |
พระภิมผู้ปลอมมาไม่ช้าอยู่ | ปิดประตูบมิให้คนได้เสียง |
เมื่อเวลาขากลับดับตะเกียง | แล้วก็เลี่ยงลงทางหน้าต่างไป |
ครั้นรุ่งเช้าเหล่าไพร่ให้ประหลาด | ห้องไสยาสน์กิจกะเป็นไฉน |
ปิดประตูอยู่จนสายวุ่นวายใจ | มีผู้ไปทูลคดีพระพี่เธอ |
ดำรัสให้ไปดูให้รู้แน่ | ต่างผันแปรเบิดทวารบานเผยอ |
เข้าในห้องมองไปก็ได้เจอ | เห็นศพเธออ้าซ่าอยู่หน้าเตียง |
มีโลหิตเรี่ยราดประหลาดนัก | ต่างชะงักเงียบฉี่ไม่มีเสียง |
ที่สุดเอาบ่าวไพร่อยู่ใกล้เคียง | มาไล่เลียงก็ไม่รู้กระทู้ความ |
พระญาติมวลถ้วนองค์ทรงพระโศก | ด้วยวิโยคพระกุมารชาญสนาม |
ข่าวทราบถึงกัลยาพงางาม | ผู้นงรามมหิษีพระพี่นาง |
ประชวรลมหลายคราน่าสมเพชน์ | แสนเทวษทุกข์ทนกมลหมาง |
ให้ไต่สวนถ้วนถี่ไม่มีทาง | ให้กระจ่างแจ้งชัดตัวศัตรู |
จะติดใจไศรินธรีเล่า | ก็ตัวเจ้าแบบบางเหมือนอย่างหนู |
ซึ่งจะฆ่าเสือสารพิจารณ์ดู | ผิดกระทู้ที่เห็นว่าเป็นจริง |
แต่มีเค้าเจ้าเคียดเกลียดกนิษฐ์ | เข้าเร้าจิตต์วนิดาพระยาหญิง |
แม้ไม่มีหลักฐานพะยานอิง | ก็ทรงกริ่งหฤทัยสงสัยนาง |
ที่สุดทูลภัสดาประชานาถ | อ้างอาฆาตขุ่นข้องคิดหมองหมาง |
แห่งสาวใช้ไศรินธรี,วาง | อุบายล้างน้องชายมลายชนม์ |
พระราชาอนุมัติไม่ขัดที่ | มเหสีสังเกตในเหตุผล |
มพระโองการตรัสในบัดดล | ให้นำตนไศรินธรีไป |
แล้วมัดองค์อรทัยใส่ไฟเผา | พร้อมศพเจ้ากิจกะอย่าละไว้ |
อำมาตย์รับโองการคลานคระไล | พากันไปจับเอาตัวเจ้ามา |
สงสารไศรินธรีทวีเศร้า | อำมาตย์เข้าล้อมกายทั้งซ้ายขวา |
ถูกจำจองต้องราชอาชญา | เขาตั้งหน้าขู่เข็นให้เปนสัตย์ |
นางสู้ทนทรกรรมด้วยน้ำจิตต์ | สุจริตยั่งยืนฝืนมนัส |
เชื่อว่าสามีเจ้าคอยเป่าปัด | ความวิบัตินี้ให้พ้นภัยพาล |
ทนตรากตรำลำเค็ญอยู่เช่นนี้ | ราชินีมิได้ทรงคิดสงสาร |
เพราะทุกข์ถึงน้องชายที่วายปราณ | เห็นเป็นการแก้แค้นทดแทนกัน |
ถึงเวลาปรารภปลงศพพระ | กิจกะปรากฏยศมหันต์ |
มีพิธีแห่ศพสิ้นครบครัน | มาตั้งชั้นชุมเพลิงเชิงตะกอน |
เขาคุมไศรินธรีมาที่ศพ | จำเครื่องครบมีผู้ดูสลอน |
ทหารห้าสิบห้อมล้อมบังอร | เวลาก่อนตัวเจ้าถูกเผาตาย |
ประเพณีผู้ซึ่งโทษถึงฆ่า | กล่าววาจาใดได้ดังใจหมาย |
นางได้รับอนุญาตจึงนาดกราย | ขึ้นยืนผายพจนารถด้วยอาจวงค์ |
“ข้าแต่ท่านหญิงชายทั้งหลายเอ๋ย! | ข้าขอเผยข้อความตามประสงค์ |
เวลาก่อนชีวิตข้าปลิดปลง | ขอท่านจงตรองการณ์พิจารณ์เทอญ |
หญิงมารดาน้องพี่บุตรีท่าน | ถูกประจานเจ็บอายระคายเขิน |
ด้วยเจ้าชายปลุกปล้ำทำก้ำเกิน | นางเผชิญภัยรอดตลอดมา |
โดยต่อสู้กู้อายร้ายมหันต์ | เพื่อป้องกันเกียรตินางเหมือนอย่างข้า |
ใครใจดำทำได้ไม่เมตตา | ถึงมัดคร่าตัวเอาไปเผานาง |
ท่านคงตอบเน้นคำ ‘ทำไม่ได้’ | ก็เหตุไรคนจนกมลหมาง |
ไร้ถิ่นที่พี่น้องไร้ช่องทาง | จะเลี้ยงร่างต่อไป, จึงได้มา |
พึ่งผู้อื่นฝืนใจรับใช้ท่าน | พึ่งอาหารเลี้ยงท้อง, ตรองเถิดขา |
หญิงอย่างตัวข้าไซร้ไร้ราคา | ไม่อยากฝ่าทุกข์ยาก, อยากจะตาย |
กลับมาต้องโทษทัณฑ์อันอุบาทว์ | ซึ่งประหลาดเหลือล้นแก่ชนหลาย |
ไม่ช้าข้าชีวาตม์ขาดมลาย | เพราะร่างกายถูกเผาเป็นเถ้าไป |
แต่วิญญาณข้าเจ้ายังเนาอยู่ | วิญญาณผู้ผ่องผุดวิสุทธิ์ใส |
จิตต์ผู้มีพรหมจรรย์ไม่บรรลัย | หมดคำไขข้าเจ้าแต่เท่านี้” |
พอสิ้นบทพจนารถประภาษไข | มีชายใหญ่กำยำดำมิดหมี |
ผ่านผู้คนด้นมาไม่ช้าที | มุ่งไปที่ชุมเพลิงเชิงตะกอน |
ดวงตาลุกแวววาวราวกับว่า | เป็นทูตมาสื่อสาส์นด้วยการร้อน |
เดิรดังวิ่งไววู่รีบจู่จร | ไปถึงก่อนกองยามจะห้ามกัน |
ผู้ล้อมวงสงสัยมิให้เข้า | ชายนั้นเอาดาพฟาดขาดสะบั้น |
ตรงเข้าแก้อรทัยออกได้พลัน | อุ้มนางผันผายออกมานอกวง |
ถือดาพแกว่งแสงวาวพลางกล่าวว่า | “ข้าเจ้ามานี้จิตต์คิดประสงค์ |
เพื่อช่วยเหลือซึ่งสตรีศรีอนงค์ | ผู้ซื่อตรงสุจริตไม่ผิดพาล |
กิจต่อนี้ไปก็ จะขอชี้ | ว่าตาพนี้เก่งกาจอาจประหาร |
ชีพผู้ไร้ยุกติธรรม์ในสันดาน | ให้แหลกลาญลงได้ในมิช้า” |
พูดเท่านั้นพลันวิ่งเพื่อชิงออก | มาภายนอกกองหมู่ผู้รักษา |
ฝ่ายผู้คุมกลุ้มกลาดดาษดา | ตรงเข้ามาจับกุมรุมประจัญ |
ชายผู้นั้นฟันฟาดด้วยอาจหาญ | รุกรำบาญบุกไปมิได้ยั่น |
พวกทหารล้มตายลงก่ายกัน | ด้วยถูกฟันเลือดฝาดออกสาดไป |
บ้างหัวขาดแขนขาดบ้างผาดโผน | หนีกระโจนลงลำแม่น้ำไหล |
ที่เผาศพ, เลือดแดงแทนแสงไฟ | ที่เห็นในกองเพลิงเชิงตะกอน |
เดิมคิดเผาสองศพกลับพบปะ | ศพระกะเกลื่อนกลาดดาษสลอน |
ผู้ไม่อยากเป็นศพก็หลบจร | ไม่ราญรอนร่นแยกแตกกระจาย |
สำเร็จการต่อสู้หมู่ทหาร | พานงคราญบุกบั่นรีบผันผาย |
จากผู้คนด้นหนีหลบลี้กาย | จนห่างหายลับตาประชาชน |
ทิ้งให้เกิดวุ่นวายอยู่ภายหลัง | ละล้าละลังตกประหม่าโกลาหล |
กว่าจะได้รู้สึกสำนึกตน | เรียกผู้คนกลับมาก็ช้านาน |
อำมาตย์ซึ่งเป็นประธานในการนี้ | ให้จัดรี้พลผู้หมู่ทหาร |
ออกตามจับฉับพลันให้ทันการ | ทั่วทุกด้านแดนดินถิ่นนคร |
แล้วรบขึ้นกราบทูลมูลเหตุ | พระภูเบศรบพิตรอดิศร |
ทราบรหัสขัดฤทัยดังไฟฟอน | พระรีบจรจัดการประทานเพลิง |
ครั้นเสร็จสรรพกลับหลังเข้าวังท้าว | พอมีข่าวรบพุ่งมายุ่งเหยิง |
กุรุรัฐศัตรูล่วงรู้เชิง | ต่างร่าเริงรีบร้นยกพลมา |
เรื่องผู้ร้ายรายชิงผู้หญิงหนี | ก็หมดที่จะระลึกและนึกหา |
ต้องเตรียมสู้หมู่อมิตรติดพารา | เพราะด้วยสาเหตุมีขอชี้ความ |