บทที่ ๗ กรุงวิราฎ

จะกล่าวถึงพระบุรีศรีวิราฎ อันโอภาสผ่องฉันพระจันทร์ฉาย
พิศดูวังเวียงอันเรียงราย ด้วยปราสาทมาศพรายเรืองรูจี
มียอดเยี่ยมเทียมฟ้าอยู่ดาดาษ อีกวังราชตระกูลจำรูญศรี
เรือนอำมาตย์ราษฎรสลอนมี พร้อมวิถีบกน้ำน่าสำราญ
กำแพงป้อมล้อมเหมือนกับเขื่อนเพ็ชร์ ไพรีเข็ดขามขยาดไม่อาจหาญ
มารบรกบุกบั่นประจัญบาน พระสมภารบารมีคลี่ขจร
พระผู้จรรโลงหล้าประชานาถ มีพระราชเทพีศรีสมร
ทรงพระลักษณ์เลิศอย่างนางอมร พระบังอรมีพระอนุชา
ทรงพระนาม ‘กิจกะ’ ยุวราช พระวิลาสเลิศลักษณ์สุดจักหา
อยู่ร่วมวังอัคเรศ, ด้วยเมตตา พระน้องยาร่วมครรภ์พันทวี
วันหนึ่งองค์ภูมินทร์ปิ่นวิราฎ เสร็จประพาสณสภาสง่าศรี
ทรงสถิตแท่นสุวรรณ์อันรูจี เสนามาตย์มนตรีเฝ้าเรียงรัน
ตรัสประภาษราชกิจวินิจฉัย คดีให้ราษฎรทรงผ่อนผัน-
เพิ่มพิพัฒน์ผาสุกยุกติธรรม์ ต่างพากันชื่นชมพระสมภาร
ทันใดนั้นภูบดีศรีประเทศ ทอดพระเนตรตรงมาทางหน้าฉาน
เห็นพวกชายชาวไพรใกล้ทวาร มีอาการทุกข์ทนทุรนทุราย
มีพระราชโองการบรรหารให้ อำมาตย์ไปสืบถามความทั้งหลาย
ทราบว่าเป็นแขกมาทั้งห้านาย หวังถวายอภิวาทบาทบงสุ์
ดำรัสให้พามาหน้าที่นั่ง เพื่อทรงฟังข้อคดีที่ประสงค์
โปรดให้กราบทูลได้ดังใจจง ทั้งห้าองค์กราบก้มประณมกร
เจ้าองค์หนึ่งในห้าภราดานั้น บังคมคัลทูลกิจอดิศร
“ข้าแต่องค์ภูบดินทร์นรินทร พระนครอินทรปรัสถ์อุบัติเป็น
ด้วยพระองค์ทรงฤทธิยุธิษเฐียร พระเคราะห์เปลี่ยนแปลงให้เธอได้เข็ญ
ถูกเนรเทศจากแดนแสนลำเค็ญ ด้วยการเล่นแข่งขันพะนันโกง
ข้าพระบาทเป็นข้าภ๎ราดาเจ้า เหมือนถูกเผาเขตต์ขัณฑ์ควันโขมง
มีทุกข์ภัยใกล้ตัวทุกชั่วโมง ข่าวคงโด่งดังมาซ่าพระกรรณ
แต่ข่าวพระบารมีธุลีบาท กรุงวิราฎรุ่งเรืองดังเมืองสวรรค์
ข้าบาทจึงหลีกลี้หนีภยันต์ สู้ด้นดั้นมาถึงซึ่งนคร
ขอพึ่งโพธิสมภารพระผ่านเผ้า เพื่อบรรเทาอันตรายให้หายร้อน
ข้าบาทเที่ยวหางานทะยานจร ในสำนักภูธรหลายบุรี
มีแต่ทรงปฏิเสธทุกเขตต์ขัณฑ์ จึงพากันจากจรซุกซ่อนหนี
กลัวถูกจับส่งให้พวกไพรี จงทราบเบื้องบทศรีพระทรงธรรม”
ได้ทรงฟังดังนั้นแสนรันทด ภูวไนยให้สลดพระทัยล้ำ
ผินพักตร์ทางกรมวังนั่งประจำ คอยฟังดำรัสใช้ในมนเทียร
ตรัสว่า “การก่อเล่ห์เนรเทศ นฤเบศร์บพิตรยุธิษเฐียร
ให้มิตรเธอเศร้าใจไปจำเนียร เหมือนเบียดเบียฬราษฎรให้ร้อนรน
เมื่อเจ้านายร่ายเร่เนรเทศ ออกจากเขตต์อินทรปรัสถ์แสนขัดสน
ร้อนถึงชาวเขตต์ขัณฑ์หลายพันคน ต้องดั้นด้นพลัดพรายกระจายไป
ความลามกทุรโยธน์ผู้โหดร้าย ก่อฉิบหายมั่นคงไม่สงสัย
เขามาพึ่งเรานี้เพราะหนีภัย และเต็มใจตรากตรำกระทำการ
จักไม่รับเขาไว้เห็นไม่ชอบ ผิดระบอบแบบแผนเป็นแก่นสาร
ใช่เขาเป็นเหล่ากอพวกขอทาน ภิกขาจารพร่ำเพรื่อไปเมื่อไร
จงรับเป็นคนใช้ตามใจรัก ให้ที่พักพึ่งพาผ่อนอาศัย”
พระภ๎ราดาห้าเจ้าแสนเบาใจ บังคมไหว้ถอยออกนอกทวาร
ต่อนั้นมายังมีสตรีสาว ดูเป็นชาวนาไร่แต่ใจหาญ
มีผ้าผ่อนปอนล้นดูลนลาน ดำเนิรผ่านเลยไปเข้าในวัง
แจ้งแก่นางข้างในขอไปเฝ้า พระแม่เจ้าฝ่ายในด้วยใจหวัง
เพื่อกราบทูลข้อคำแต่ลำพัง เขาให้ยั้งหยุดอยู่ประตูใน
สมเด็จองค์มหิษีนารีนาถ ประทับอาสน์เอี่ยมอ่องงามผ่องใส
นารีนั่งเฝ้ากลาดดื่นดาษไป เมื่อทรงได้ฟังข่าวหญิงชาวนา
จะขอเฝ้าบาทบงสุ์อนงค์นาถ ทรงประหลาดหฤทัยจึงให้หา
ไม่นานหญิงผู้เฝ้าก็เข้ามา หมอบกราบฝ่าพระบาทพระนาถนาง
ทรงพินิจรูปทรงงามองค์อาจ เพราะอนาถทุกข์ทนจุงหม่นหมาง
ถึงผ้าผ่อนปอนอยู่ดูสำอาง มีท่าทางบอกอยู่ว่าผู้ดี
“เจ้าชื่อไร ?” ไยพรากจากสถาน เจ้าอยู่บ้านเมื่องไรไฉนนี่?
ดูหน้าเจ้าโศกศัลย์พันทวี ที่มานี้ต้องการสถานไร?”
เท๎ราปทีได้ฟังรับสั่งถาม ประดิษฐ์ความทูลแจ้งแถลงไข
“ข้าบาทนี้ตรอมตรมระทมใจ ชื่อว่า ‘ไศรินธรี’ ผู้มีกรรม
ทุกข์ระทวยด้วยวิโยคสุดโศกเศร้า ขอแม่เจ้าชูชุบอุปถัมภ์
เจ้าบุรินทร์อินทรปรัสถ์ทรงสัทธรรม ซึ่งข้าพำนักมาทรงการุณย์
บัดนี้ต้องเตร็จเตร่เนรเทศ จึงเป็นเหตุบ้านเมืองได้เคืองขุ่น
ตัวข้าบาทนี้ไซร้พึ่งใบบุญ แห่งพระคุณแม่เจ้าเท๎ราปที
พระนางตามภัสดาเข้าป่ากว้าง จำทิ้งขว้างตัวข้าผู้ทาสี
ครั้นข้าบาทอยู่ไปในบุรี ภัยคงมีแม่นมั่นจึงดั้นมา”
สมเด็จไท้เทวีศรีวิราฎ พระนางนาถนิ่งฟังด้วยกังขา
พลางพินิศรูปพรรณกัลยา ซึ่งมีผ้านุ่งห่มไม่สมองค์
พิศดูกิริยามารยาท พิศลีลาสเลิศนางเหมือนอย่างหงส์
ให้บังเกิดรักใคร่ในอนงค์ พระนางทรงปราศรัยด้วยไมตรี
“เราประหลาดใจนักใคร่จักถาม ว่าความงาม, ชาตา, เคราะห์, ราศี
แห่งเจ้าผู้โศภาน่าปราณี ไฉนไม่เป็นที่ป้องกันภัย?”
จึงทูลตอบเสาวนีย์เทวีเจ้า “เป็นกรรมเก่าก่อผลพ้นวิสัย
พระนางเจ้าเท๎ราปทีศรีไผท ยังต้องไร้ร้างวังตั้งระลวง
ข้าบาทผู้ทาสีเทวีเจ้า หรือจักเนานอนนั่งอยู่วังหลวง
เมื่อเจ้านายทุกข์ถมระทมทรวง บ่าวทั้งปวงก็ระกำเป็นธรรมดา
พระเทวีฟังคำเจ้าร่ำไข สงสารในนงลักษณ์ยิ่งนักหนา
ดำรัสถามความประสงค์เจาะจงมา นางทูลว่าอยากได้รับใช้การ
ทรงโปรดให้ไศรินธรีอยู่ ณห้องผู้สาวใช้ในสถาน
เจ้าอุตส่าห์กอบกิจเป็นนิจจกาล พระนงคราญเทวีปราณีครัน
พระปาณฑพภ๎ราดาทั้งห้าเจ้า สถิตเนาในนิเวศน์แห่งเขตต์ขัณฑ์-
กรุงวิราฎพระบุเรศ, แปลงเพศพรรณ์ อยู่ใกล้กันกับเจ้าเท๎ราปที
เจ้าปาณฑพเป็นชายอยู่ฝ่ายหน้า กฤษณาแปลงเป็นเช่นทาสี
เป็นสาวใช้พระมหาราชินี สำนักที่ฝ่ายในได้สราญ
ด้วยมรรยาทจรรยามารศรี ฝูงนารีในนิวาสราชฐาน
ตลอดจนเทวีศรีสคราญ ทรงโปรดปรานรักใคร่ผูกไมตรี
จะกล่าวถึง ‘กิจกะ’ ยุวราช พระน้องนาถอรทัยวิไลศรี
ได้ยลพักตร์แห่งเจ้าเท๎ราปที คือไศรินธรีศรีอนงค์
พินิศจ้องมองดูไม่รู้แล้ว จนนางแคล้วคลาดไปอาลัยหลง
ใคร่ประโลมโฉมฉายแต่อายองค์ ด้วยดำรงอยู่ในรุ่นดรุณวัย
ลืมเสวยลืมสรงทรงละห้อย ให้เศร้าสร้อยสนจิตต์พิสมัย
ประทับเหนือแท่นทองผ่องอำไพ กนแต่ใฝ่ถึงนางไม่วางวาย
“โอ้!พักตร์เอ๋ยพักตร์น้องผุดผ่องเช่น พระจันทร์เพ็ญผ่องงามอร่ามฉาย
โอ้! เนตรเอ๋ยเนตรงามเมื่อยามชาย ดังแสงศรพระนารายณ์เรืองฤทธี
โอ้! แก้มเอ๋ยแก้มพวงเชิดช่วงฉัน ดังผลจันทน์เอี่ยมอ่องผ่องฉวี
โอ้! โอษฐ์เอ๋ยโอษฐ์เยื้ยนเอื้อนวจี แดงดังสีชาดแต้มรับแก้มนาง
โอ้! ผมเอ๋ยผมเจ้าเป็นเงาขลับ ดำระยับหยดย้อยด้วยสอยสาง
โอ้! กรรณเอ๋ยกรรณน้องอ่องสอาง งามเหมือนอย่างกลีบบัวยั่วฤทัย
โอ้! จมูกเอ๋ยจมูกงามถูกลักษณ์ ดังขอชักชายงงเฝ้าหลงใหล
โอ้! คอเอ๋ยดุจปล้องอ่องอำไพ คอนกยูงอย่างวิไลก็ไม่ปาน
โอ้! กรเอ๋ยกรนางสำอางเอี่ยม งามเรียวเทียมเทียบงาพระยาสาร
โอ้! ทรวงเอ๋ยทรวงเต่งงามเบ่งบาน ชวนให้ดาลจิตต์แนบอิงแอบทรวง
โอ้! ถันเอ๋ยถันอยู่ในภูษา ยังนูนผ้าเพียงพุ่มปทุมหลวง
โอ้! รูปเอ๋ยรูประทวยสวยทั้งปวง พี่ระลวงเหลือรักภัคินี”
ขอกล่าวถึงปรางค์ทองผ่องพิลาส แห่งพระราชกัลยามารศรี
ยามกลางคืนดื่นช่วงดวงอัคคี เรืองรูจีแจ่มใสวิไลครัน
ในห้องพระมหิษีนารีนาถ งามโอภาสพรรณรายแสงฉายฉัน
ด้วยประทีปโคมไฟใส่น้ำมัน มีสุคันธ์ปนปรุงฟุ้งขจร
งามแสงไฟฉายฝาจ้าระยับ ซึ่งสลับลวดลายรายสลอน
เป็นรูปเฟี้ยมเอี่ยมอ่องช่องบัญชร งามบวรม่านชักปักสุวรรณ
เครื่องประดับคฤหาสน์เครื่องลาดพื้น ล้วนน่าชื่นชมเลิศงามเฉิดฉัน
ตำหนักหนึ่งอยู่เคียงเรียง ๆ กัน ในห้องชั้นในมีที่ประทม
กิจกะอนุชามารศรี ทุกข์ทวีเหลือนับเข้าทับถม
นอนอยู่เหนือแท่นงาเศร้าอารมณ์ เหลือจะข่มโศกเศร้าให้เบาไป
พระเชษฐภคินีทวีเทวษ ด้วยสมเพชน์พระอนุชสุดวิสัย
ประทับข้างน้องน้อยกลอยฤทัย อ้อนวอนไล่เลียงหาพระอาการ
พระหัตถ์ลูบพระนลาตราชกนิษฐ์ พระเนตรพิศพักตร์ทรงแสนสงสาร
ทรงพิทักษ์รักษาพยาบาล พระกุมารก็ไม่ฟื้นคืนสราญ
ที่สุดทรงลืมเนตรเทวษเศร้า ดูพระเจ้าพี่นางพลางบรรทาร
ทรงสะอื้นฝืนเทวษเล่าเหตุการณ์ ด้วยเหลือทานทนตรมระทมใจ
“โอ้! ทูลเกล้าเจ้าพี่ผู้ที่รัก พระพี่จักทิ้งน้องให้หมองไหม้
จนดับชีพหรือเจ้าขา, หรือว่าไร ?” “หามิได้น้องยาอย่าละเมอ
เจ้าประชวรเล็กน้อยปล่อยสติ ไปดำริเรื่องตายบรรยายเพ้อ
จะหายในไม่ช้าดอกหนาเธอ พระน้องเพ้อพูดมาหรือว่าไร ?”
ฟังพระพี่ตรัสเป็นไม่เห็นอก เธองันงกทูลชี้คดีไข
“โอ้! พระพี่ดูเผินจนเกินไป อาการไข้น้องนี้ถึงที่ตาย
สมุฏฐานเกิดในหัวใจน้อง มีอยู่สองวิธีชี้ถวาย
หนึ่งไข้ของน้องนี้ไม่คลี่คลาย คงจักวายชีพแท้เป็นแน่นอน
อีกอย่างหนึ่งซึ่งทรงคิดสงสาร ช่วยเอาภารปัดเป่าบรรเทาถอน
ซึ่งโรครึงตรึงใจดังไฟฟอน แม้นพระผ่อนปรนได้ก็ไม่ตาย
ถ้าทรงรับชูชุบอุปถัมภ์ น้องจะนำเรื่องนี้คลี่ขยาย”
ฟังพระน้องจำนรรจ์บรรยาย พระนางหมายมุ่งไปถึงไข้เธอ
ด้วยพิษไข้ให้จิตต์เธอคิดกลุ้ม เหลือจะคุมจิตต์ใจจึงไพล่เผลอ
จึงทรงรับวาจาว่า “เออๆ ! พี่ยอมเพ้อตามเจ้าช่วยเอาภาร”
กิจกะได้ฟังรับสั่งช่วย ค่อยคลายป่วยทันใดพลางไขขาน
“เมื่อพระพี่ชูชุบอุปการ น้องก็ด้านหน้าทูลมูลคดี
โอ้! พระพี่เจ้าขา, น้องยารัก รปลักษณ์โศภาสง่าศรี
แห่งนงรามงามสิ้น ‘ไศรินธรี’ ข้าหลวงพี่นางใหม่อยู่ในวัง
เนตรเจ้างามยามสบเมื่อพบพักตร์ ดังศรศักดิ์สิทธิ์องค์พระทรงสังข์
เสียบทะลวงทรวงน้องแทบพองพัง ให้คลุ้มคลั่งคิดถึงคะนึงนาง
ทุกทิวาราตรีไม่มีสุข น้องเหลือทุกข์เหลือทนกมลหมาง”
ทรงรำพันกลั้นฝืนสะอื้นพลาง น้ำเนตรพร่างพรายพักตร์หนักฤทัย
พระพี่นั่งฟังน้องสนองถ้อย เจ้าเศร้าสร้อยกันแสงแถลงไข
ทรงตระหนักแน่ชัดณบัดใจ ว่าเป็นไข้รักรึงตรึงกมล
เป็นธรรมชาติมีชุมในหนุ่มสาว จึงว่ากล่าวชี้แจงแสดงผล
ซึ่งจะเสื่อมศักดิ์ศูนย์ตระกูลตน นีรมลโลมเล้าเอาพระทัย
“อันความรักหนุ่มสาวคราวสะอาง เหมือนน้ำค้างโชกชุ่มตามพุ่มไม้
ยามสายแดดแผดแสงก็แห้งไป เจ้าก็ได้เพศเลิศกำเนิดชาย
ซ้ำเป็นขัตติยชาติผู้อาจหาญ ควรหักราญรักให้ประลัยหาย
การเหยียดตนต่ำช้าอย่างน่าอาย ลงมุ่งหมายทาสีไม่ดีเลย
ให้เสื่อมยศศักดิ์ชาติอุบาทว์นัก พี่เหลอจักขัดข้องแล้วน้องเอ๋ย
บรรพบุรุษเราไซร้ยังไม่เคย เขาจะเอ๋ยติฉินเฝ้านินทา
เพียงแต่เห็นเล่นตาแห่งทาสี เจ้าชู้ที่ลวงเล่ห์เสน่หา
ก็หลงรักฝักใฝ่มิได้คลา ทิ้งราคาขัตติยะวีระชาย
จริงอยู่, ความรักจริงเป็นสิ่งเลิศ ก่อให้เกิดสุขศรีทวีหลาย
แต่ความรักผู้รุ่นดรุณชาย มันจะหน่ายดังน้ำค้างที่อ้างมา
ให้เป็นที่อับอายพาขายพักตร์ เสื่อมยศศักดิ์เสื่อมชาติวาสนา
ให้โลกล่วงดูหมิ่นมานินทา พระน้องยาตรองความให้งามดี”
กิจกะฟังคำพี่ร่ำพร้อง จึ่งสนองวาจามารศรี
“การทั้งผองน้องผู้รอบรู้ดี แต่เหลือที่จะบรรเทาให้เบาใจ
พระพี่นางยังมิได้เห็นในอก หม่อมฉันตกทุกข์ทนพ้นวิสัย
ขอสละละชนม์ให้พ้นไป ดูหทัยน้องยาขอลาตาย
โอ้! พี่หญิงใจหญิงเสียจริงแท้ เพราะเอาแต่ใจพี่เป็นที่หมาย
ใครจะมีทุกข์จนชนม์มลาย ก็ดูดายมุ่งใฝ่แต่ใจตน
พระพี่จงตรึกไตรถึงใจพี่ พระสามีห่างแหแต่ละหน
ดิ้นเร่า ๆ ดังจะตายทำลายชนม์ ไยไม่นั่งตั้งบ่นสอนตนไป”
“คนจะตายซอกแซกพูดแดกพี่ ประเดี๋ยวตีเสียทั้งเห็นว่าเป็นไข้
ผัวพี่เป็นขี้ข้าหรือว่าไร หรือทำให้ต่ำเตี้ยเสียตระกูล
พี่เสียใจนักหนาวาจาที่ กล่าวหวังดี, ดีหายกระจายศูนย์
ความคลั่งไคล้ใจเจ้าเป็นเค้ามูล ให้เพิ่มพูนความพินาศอุบาทว์กรรม
พี่ตักเตือนหวังให้กลับใจเจ้า ที่มัวเมาหญิงทาสพลาดถลำ
กลับเพิ่มให้ใจเจ้าเศร้าระกำ ถึงแก่ทำลายชนม์ก็จนใจ
ใครจะให้น้องชายทำลายชีพ ต้องร้อนรีบผันแปรคิดแก้ไข”
ตรัสเท่านั้นกัลยาก็คลาไคล เสด็จไปห้องนางพลางบัญชา
ให้ตามไศรินธรีมาที่ห้อง มาแล้วจ้องดูพักตร์เจ้านักหนา
ขวยพระทัยใฝ่นึกเฝ้าตรึกตรา เพื่อจัดหาเลศนัยไขแสดง
ด้วยเป็นเรื่องอัปยศแสนอดสู ทรงนิ่งอยู่หน่อยหนึ่งจึงแถลง
ถึงทุกข์ร้อนก่อนกี้ทรงชี้แจง แล้วทรงแปลงเปลี่ยนนัยไขวจี
“แสนเสียดายนักหนาที่มาเห็น หญิงผู้เพ็ญลักษณ์เลิศประเสริฐศรี
ต้องขัดสนค่นแค้นแสนทวี เป็นทาสีตรอมตรมไม่สมทรง”
นางทาสีทูลพลัน “นั่นเป็นผล อกุศลพระเจ้าข้า, ตามมาส่ง”
ทรงพะยักพักตร์รับกับอนงค์ แล้วจึงทรงตรัสต่อข้อคดี
“พี่นี้เชื่อแน่นแฟ้นเป็นแม่นมั่น เจ้าใช่หญิงสามัญชั้นทาสี
เลือดเจ้าเนื่องจากเหล่าเผ่าผู้ดี กับเลือดพี่ก็ละม้ายคล้าย ๆ กัน
ดีละเจ้าคราวนี้ยินดีด้วย บุญอำนวยเกียรติให้ใหญ่มหันต์
เจ้าทราบแล้วคงจะมียินดีครัน ด้วยน้องฉันรักเจ้าเยาวมาลย์
เปนบุญของน้องนางได้สร้างไว้ บันดาลให้เธอรักสมัครสมาน
เป็นสะใภ้เทวีศรีสคราญ พี่เห็นด้วยทุกประการ, ประทานพร”
นางสาวใช้ไศรินธรีนาฏ ฟังประภาษเทวีศรีสมร
พิโรธเร้าหฤทัยดังไฟฟอน ทูลบังอรด้วยแค้นแสนทวี
“ขายหน้านักศักดิ์ใหญ่ซึ่งใหลหลง เหยียดพระองค์สนทนากับทาสี
ในเรื่องเลวเหลวใหลใช่พอดี ย่อมเป็นที่อัปยศเหลืออดอาย
‘ผู้สูงศักดิ์’ กับ ‘ผู้ดำรูเกียรติ’ ย่อมไม่เฉียดชิดกันดังมั่นหมาย
ย่อมห่างไกลไม่ถลำมากล้ำกราย หม่อมฉันงายงมอยู่พึ่งรู้จริง
ขอพระราชเทพีผู้มีศักดิ์ ทรงตระหนักหฤทัยว่าใจหญิง
ย่อมสละชีพได้ไม่ประวิง แต่ไม่ทิ้งเกียรติยศจนหมดปราณ
พระแม่เจ้าทราบอยู่แต่ผู้ที่ เป็นสตรีหลงศักดิ์อัครฐาน
เอายศศักดิ์ล่อใจใส่ทะยาน สำเร็จการปรารถนาทรงปรารมภ์
หม่อมฉันรักเกียรติยิ่งยอมทิ้งศักดิ์ พระแม่จักพึ่งเห็นเป็นประถม
หม่อมฉันหมดถ้อยคำนำประณม- กร, บังคมทูลชี้แต่นี้ไป
ขอลาจากรับใช้ในพระที่ แม้จะมีกิจการสถานไหน
ขอพระแม่โปรดช่วยอวยอภัย ให้ได้ไปตามจิตต์ที่คิดปอง”
พระเทวีฟังคำนางร่ำไข ขวยพระทัยตรัสปลอบตอบสนอง
“พี่พูดตามจริงใจมิได้ตรอง แม้นไม่ต้องใจก็ขออภัย
ที่พูดนี้พูดไปตามใจรัก ไม่ควรจักเจ็บช้ำด้วยคำไข
เออ! บัดนี้กิจกะเป็นกระไร จงเชิญน้ำจัณฑ์ไปให้แก่เธอ”
ทั้งนี้ทรงคิดว่ามารยาหญิง แสร้งประวิงว่าร้ายให้หายเก้อ
ที่สุดคงชอบพอยอมออเออ ซ้ำจะเห่ออย่างไพร่ผู้ได้ดี
สงสารไศรินธรศรีสลด ด้วยกำหนดรู้เล่ห์มเหสี
น้ำจัณฑ์เป็นสื่อสายอุบายมี ให้เข้าที่ห้องลับพบกับชาย
ทรงหวั่น ๆ พรั่นใจให้ระย่อ เกรงจะก่อเกิดมีราคีหลาย
หวนคะนึงถึงกรรมทำให้คลาย คนต้องตายทั่วถ้วนไม่ควรกลัว
แม้นได้อาย, ตายเลิศประเสริฐศรี เลิศกว่ามีหมองหม่นให้คนหัว
น้อมรับถ้วยน้ำจัณฑ์สั่นระรัว ด้วยจิตต์ตัวเป็นสตรียังมีอาย
เดิรมารีรออยู่ประตูห้อง เฝ้าจดจ้องอยู่กระนั้นไม่ผันผาย
ถึงดวงจิตต์คิดกล้าประหม่ากาย ไม่กล้าผายผันเข้าเฝ้าคะนึง
“ชาตาเราเข้าชั่วทั่วทุกอย่าง เหมือนอยู่กลางเขาควายหรือข่ายขึง
จักประพฤติฮึดหื้อทำดื้อดึง ก็จะถึงโทษทัณฑ์อันตราย
มิหนำเหล่าเการพมาพบปะ เราก็จะทรมานไปนานหลาย
จะทำตามทรามวัยกลัวได้อาย เพราะเจ้าชายบ้ากามจะลามลวน
เข้าห้องเขาเปล่าเปลี่ยวผู้เดียวโดด คงเป็นโทษไม่น้อย” ละห้อยหวน
กลับระย่อท้อใจยืนใคร่ครวญ เหมือนกวางม้วนม่ายเสือเหลือระแวง
ที่สุดนางข่มใจไม่ให้พรั่น นำน้ำจัณฑ์เข้าไปมิได้แหนง
ก็สบผลกลจิตต์ที่คิดแคลง ความบ้าแห่งกิจกะหมดละอาย
ซ้ำน้ำจัณฑ์ย้อมจิตต์ให้คิดกล้า เห็นนางมาเอ้องค์เหมือนทรงหมาย
ขยับยึดภูษิตเขาชิดกาย พอขยายพจน์พร้องว่า “น้องนาง!”
พอดีนางหลบเลี่ยงเบี่ยงสะบัด เอาพระหัตถ์เหวี่ยงใส่เข้าให้ผาง
ถูกตรงพักตร์กิจกะจำละวาง ปล่อยให้นางหลุดพลัดสลัดมา
ถึงไม่มีศัสตราซ่อนมาด้วย พระหัตถ์ช่วยสมมาดปรารถนา
หนีจากห้องว่องไวรีบไคลคลา วิ่งมาหาห้องโถงพระโรงชัย
ฝ่ายพระผู้ภูบดีศรีวิราฎ ประทับอาสน์เอี่ยมอ่องงามผ่องใส
เสนามาตย์หมอบกลาดดื่นดาษไป เห็นสาวใช้วิ่งร้องก้องสำเนียง
หลีกเสนามาตย์มาถึงหน้าอาสน์ บังคมบาททูลเล่ากระเส่าเสียง
“เพราะเกิดอยุกติธรรมเหลือลำเอียง ข้าจึงเลี่ยงหลีกมาหาพระองค์
กระหม่อมฉันเห็นว่า’หายนะ’ เพราะเหตุอยุกติธรรมจะนำส่ง
ด้วยนารีผู้นิราสญาติวงศ์ มีรูปทรงเศร้าผอมตรอมฤทัย
เข้ามาพึ่งบารมีเป็นที่ร่ม กลับถูกข่มขี่ขืนฝืนวิสัย
บังเกิดได้ในเขตต์บุเรศไท กำแพงใหญ่สี่ชั้นไม่มั่นคง”
เสนามาตย์ทั่วผู้ไม่รู้เรื่อง ต่างชำเลืองแลคิดพิศวง
อำมาตย์หนึ่งมาคร่าว่าอนงค์ “ตอแหลส่งเสียงจ้าหญิงบ้าบอ”
กิจกะมาทันพลันเข้าลาก ฉุดกระชากผมไปมิได้ท้อ
จากที่เฝ้าท้าวไทมิได้รอ ไม่มีผู้รู้ข้อคดีการณ์
พระราชาก็มิใคร่จะใฝ่ทราบ เรื่องหญิงหยาบเข้ามาทูลว่าขาน
เมื่อนายเขาเอาไปไม่รำคาญ ในถิ่นฐานนั้นแล้วก็แล้วไป
สงสารไศรินธรีเหลือที่เศร้า ถูกจิกเกล้าฉุดลากถลากไถล
ตลอดทางนางมาพบหน้าใคร ก็ขอให้เอื้อเฟื้อช่วยเหลือนาง
มาพบชายหนึ่งผู้นางรู้จัก เขาจ้องพักตร์เพ่งดูอยู่ห่าง ๆ
ตาเขาเล็งเพ่งกระพริบขยับพลาง มิให้อ้างบอกชื่ออึงอื้อไป
นางรู้แจ้งแสร้งเร้าเรียกเขาช่วย เพื่อจะฉวยโอกาสประภาษไข
ให้เขาทราบทุกข์ถมระทมใจ เขาก็ไหวพริบดีรี่เข้ามา
ยกมือไหว้กิจกะกล่าวประจบ “ไฉนหลบหลีกบุญเล่าคุณจ๋า !
พระฉุดเกล้าจอมขวัญกัลยา ด้วยกลัวว่ามารศรีจะหนีไป
ทรงรักใคร่ในนางถึงอย่างนี้ ควรจะมีเสน่หาอัชฌาสัย
ทำมารยาเลยงามนะทรามวัย ขออภัยท่านเสียเถิดประเสริฐดี”
นางรู้เลศน้อมไหว้มิได้ช้า ขอขมาโทษพลันขมันขมี
กิจกะอิ่มเอมด้วยเปรมปรีดิ์ ปล่อยโมฬีโฉมงามให้ตามไป
ได้โอกาสชายนั้นพลันแถลง กระซิบแจ้งซึ่งอุบายขยายไข
ให้รับรักแล้วผัดขอนัดไป เข้าไต้ไฟจึงจะเข้าไปเฝ้าเธอ
“เจ้าอย่ากลัวผัวรักพิทักษ์เจ้า ตั้งจิตต์เฝ้าใฝ่ดูอย่เสมอ”
กระซิบเสร็จบมิให้ผู้ใดเจอ เห็นคนเผลอได้ทีหลบหนีไป
กิจกะพาเจ้าเข้าตำหนัก มีพระพักตร์ยิ้มย่องผูดผ่องใส
ปิดประตูลันดาลง่านหทัย พลางปราศรัยโลมเล้าเยาวมาลย์
“โอ้! นงลักษณ์เพักตร์ผ่องอ่องฉวี ไม่ควรหนีแหนงรักสมัครสมาน
พี่แสนรักทรามวัยใดจะปาน ความรักซ่านชาบทั่วทั้งหัวใจ
พี่เป็นทาสโฉมงามเพราะความรัก พระน้องจักเกียดขึ้งไปถึงไหน
แม่น้องไม่กรุณาตัดอาลัย เห็นหทัยเถิดว่าขอลาตาย
พินิศนางกางกรแลถ้ววอนพลอด ขอพี่กอดให้สมอารมณ์หมาย
เจ้าแนบทรวงปวงเศร้าจักเบาคลาย เป็นเครื่องหมายว่าน้องเป็นของเรียม
พี่ก็เป็นของน้องผู้ผ่องพักตร์ ขอนงลักษณ์อย่าระคายเฝ้าอายเหนียม’
นางแสร้งทำชื่นชมหายตรมเตรียม ทำท่าเจียมตัวอายว่ากายปอน
ยิ้มละไมในหน้าไม่กล้าใกล้ บังคมไหว้ทูลทัดขอผัดผ่อน
“ประทานโทษอย่าตรัสว่าตัดรอน หม่อมฉันร้อนรนเหลือหมักเหงื่อไค
ขอนิราศบาทบงสุ์ไปสรงสนาน ให้สะอ้านเอี่ยมอ่องกายผ่องใส
ต่อค่ำ ๆ จึงจะเข้ามาเฝ้าไท รับใช้ให้พระชมจนสมปอง’
พอสินคำอำลาตาชะม้อย พลางเคลื่อนคล้อยคลาดออกไปนอกห้อง
กิจกะเฝ้าแลชะแง้มอง จนลับคลองเนตรไปใฝ่คะนึง
ประทับคอยอรทัยอยู่ในห้อง พระทัยปองป่วนปั่นกระสันถึง
สังเกตกาลนานล้ำเฝ้ารำพึง ชั่วโมงหนึ่งดูนานประมาณปี
ประหนึ่งรถพระอาทิตย์ไปติดหล่ม ลูกล้อจมมิได้เคลื่อนเขยื้อนที่
เธอคอยรออรทัยใฝ่ทวี ระทมมีทุกข์ถวิลจนสิ้นวัน
“ถิงย่ำค่ำตามว่าสัญญาไว้ เป็นไฉนโฉมฉายไม่ผายผัน?”
บรรทมเหนือปัจจัตถรณ์เร่าร้อนครัน เฝ้าแต่งันงกแลชะแง้คอย
เห็นผู้แต่งโคมไฟเข้าในห้อง ขยับย่องยิ้มใส่มิได้ถอย
ครั้นเข้าชิดผิดหน้าทำตาปรอย หวนละห้อยกลับที่ศรีไสยา
เสียงเธอถอนใจใหญ่อยู่ในห้อง เหมือนเสียงน้องคลาไคลเข้าไปหา
ชะเง้อจ้องมองเขม้นไม่เห็นมา พึมพำด่าหูเหืองเคืองว่าลวง
ที่สุดเล็งเพ่งดูประตูเปิด พาให้เกิดปลื้มใจเป็นใหญ่หลวง
สิ้นกระสันโศกเศร้าแสนเบาทรวง ด้วยเห็นดวงพักตร์เจ้าเยี่ยมเข้ามา
สมถวิลยินดีเป็นที่สุด พอนางรุดคลาไคลเข้าไปหา
เธอกางกรรับขวัญกัลยา นางเปลื้องผ้าชั้นนอกออกจากกาย
พอเข้าชิดพิศดูก็รู้ชัด พลางหดหัตถ์เห็นผิดที่คิดหมาย
หมดยินดีด้วยว่าเป็นหน้าชาย เกิดยินร้ายเข้าแทนแม้น ๆ กัน
ของในโลกทุกสิ่งที่ยิ่งเลิศ พาโทษเกิดได้แท้เมื่อแปรผัน
เมียที่สวยอวยสุขสนุกครัน คงมีวันหนึ่งจะทุกข์เท่าสุขมา
ชายผู้นั้นพลันจ้องร้องตวาด “เหม่!อ้ายชาติสัตว์ไพรน้ำใจหมา
ไม่รู้ว่านารีมีจรรยา ไม่ยอมพร่าเกียรติตัวกลัวละอาย
เพราะเห็นแก่เครื่องล่อทองบ่อหนึ่ง เมินเถิดมึงที่จะสมอารมณ์หมาย
มึงจงเตรียมจิตต์ใจไปอบาย ความชั่วร้ายของมึงจะดึงไป”
พูดเท่านี้รี่ใส่มิได้ละ กิจกะเหลือสู้ศัตรูไหว
ฉุดกระชากจากเตียงเหวี่ยงเข้าไป ด้วยหมัดใหญ่มหิมานัยน์ตาพราย
เลือดกระเซ็นออกจากปากจมูก ซ้ำเข้าลูกคางผึงทะลึ่งหงาย
นอนชักอยู่ครู่หนึ่งก็ถึงตาย มีร่างกายทอดขวางอยู่ข้างเตียง
พระภิมผู้ปลอมมาไม่ช้าอยู่ ปิดประตูบมิให้คนได้เสียง
เมื่อเวลาขากลับดับตะเกียง แล้วก็เลี่ยงลงทางหน้าต่างไป
ครั้นรุ่งเช้าเหล่าไพร่ให้ประหลาด ห้องไสยาสน์กิจกะเป็นไฉน
ปิดประตูอยู่จนสายวุ่นวายใจ มีผู้ไปทูลคดีพระพี่เธอ
ดำรัสให้ไปดูให้รู้แน่ ต่างผันแปรเบิดทวารบานเผยอ
เข้าในห้องมองไปก็ได้เจอ เห็นศพเธออ้าซ่าอยู่หน้าเตียง
มีโลหิตเรี่ยราดประหลาดนัก ต่างชะงักเงียบฉี่ไม่มีเสียง
ที่สุดเอาบ่าวไพร่อยู่ใกล้เคียง มาไล่เลียงก็ไม่รู้กระทู้ความ
พระญาติมวลถ้วนองค์ทรงพระโศก ด้วยวิโยคพระกุมารชาญสนาม
ข่าวทราบถึงกัลยาพงางาม ผู้นงรามมหิษีพระพี่นาง
ประชวรลมหลายคราน่าสมเพชน์ แสนเทวษทุกข์ทนกมลหมาง
ให้ไต่สวนถ้วนถี่ไม่มีทาง ให้กระจ่างแจ้งชัดตัวศัตรู
จะติดใจไศรินธรีเล่า ก็ตัวเจ้าแบบบางเหมือนอย่างหนู
ซึ่งจะฆ่าเสือสารพิจารณ์ดู ผิดกระทู้ที่เห็นว่าเป็นจริง
แต่มีเค้าเจ้าเคียดเกลียดกนิษฐ์ เข้าเร้าจิตต์วนิดาพระยาหญิง
แม้ไม่มีหลักฐานพะยานอิง ก็ทรงกริ่งหฤทัยสงสัยนาง
ที่สุดทูลภัสดาประชานาถ อ้างอาฆาตขุ่นข้องคิดหมองหมาง
แห่งสาวใช้ไศรินธรี,วาง อุบายล้างน้องชายมลายชนม์
พระราชาอนุมัติไม่ขัดที่ มเหสีสังเกตในเหตุผล
มพระโองการตรัสในบัดดล ให้นำตนไศรินธรีไป
แล้วมัดองค์อรทัยใส่ไฟเผา พร้อมศพเจ้ากิจกะอย่าละไว้
อำมาตย์รับโองการคลานคระไล พากันไปจับเอาตัวเจ้ามา
สงสารไศรินธรีทวีเศร้า อำมาตย์เข้าล้อมกายทั้งซ้ายขวา
ถูกจำจองต้องราชอาชญา เขาตั้งหน้าขู่เข็นให้เปนสัตย์
นางสู้ทนทรกรรมด้วยน้ำจิตต์ สุจริตยั่งยืนฝืนมนัส
เชื่อว่าสามีเจ้าคอยเป่าปัด ความวิบัตินี้ให้พ้นภัยพาล
ทนตรากตรำลำเค็ญอยู่เช่นนี้ ราชินีมิได้ทรงคิดสงสาร
เพราะทุกข์ถึงน้องชายที่วายปราณ เห็นเป็นการแก้แค้นทดแทนกัน
ถึงเวลาปรารภปลงศพพระ กิจกะปรากฏยศมหันต์
มีพิธีแห่ศพสิ้นครบครัน มาตั้งชั้นชุมเพลิงเชิงตะกอน
เขาคุมไศรินธรีมาที่ศพ จำเครื่องครบมีผู้ดูสลอน
ทหารห้าสิบห้อมล้อมบังอร เวลาก่อนตัวเจ้าถูกเผาตาย
ประเพณีผู้ซึ่งโทษถึงฆ่า กล่าววาจาใดได้ดังใจหมาย
นางได้รับอนุญาตจึงนาดกราย ขึ้นยืนผายพจนารถด้วยอาจวงค์
“ข้าแต่ท่านหญิงชายทั้งหลายเอ๋ย! ข้าขอเผยข้อความตามประสงค์
เวลาก่อนชีวิตข้าปลิดปลง ขอท่านจงตรองการณ์พิจารณ์เทอญ
หญิงมารดาน้องพี่บุตรีท่าน ถูกประจานเจ็บอายระคายเขิน
ด้วยเจ้าชายปลุกปล้ำทำก้ำเกิน นางเผชิญภัยรอดตลอดมา
โดยต่อสู้กู้อายร้ายมหันต์ เพื่อป้องกันเกียรตินางเหมือนอย่างข้า
ใครใจดำทำได้ไม่เมตตา ถึงมัดคร่าตัวเอาไปเผานาง
ท่านคงตอบเน้นคำ ‘ทำไม่ได้’ ก็เหตุไรคนจนกมลหมาง
ไร้ถิ่นที่พี่น้องไร้ช่องทาง จะเลี้ยงร่างต่อไป, จึงได้มา
พึ่งผู้อื่นฝืนใจรับใช้ท่าน พึ่งอาหารเลี้ยงท้อง, ตรองเถิดขา
หญิงอย่างตัวข้าไซร้ไร้ราคา ไม่อยากฝ่าทุกข์ยาก, อยากจะตาย
กลับมาต้องโทษทัณฑ์อันอุบาทว์ ซึ่งประหลาดเหลือล้นแก่ชนหลาย
ไม่ช้าข้าชีวาตม์ขาดมลาย เพราะร่างกายถูกเผาเป็นเถ้าไป
แต่วิญญาณข้าเจ้ายังเนาอยู่ วิญญาณผู้ผ่องผุดวิสุทธิ์ใส
จิตต์ผู้มีพรหมจรรย์ไม่บรรลัย หมดคำไขข้าเจ้าแต่เท่านี้”
พอสิ้นบทพจนารถประภาษไข มีชายใหญ่กำยำดำมิดหมี
ผ่านผู้คนด้นมาไม่ช้าที มุ่งไปที่ชุมเพลิงเชิงตะกอน
ดวงตาลุกแวววาวราวกับว่า เป็นทูตมาสื่อสาส์นด้วยการร้อน
เดิรดังวิ่งไววู่รีบจู่จร ไปถึงก่อนกองยามจะห้ามกัน
ผู้ล้อมวงสงสัยมิให้เข้า ชายนั้นเอาดาพฟาดขาดสะบั้น
ตรงเข้าแก้อรทัยออกได้พลัน อุ้มนางผันผายออกมานอกวง
ถือดาพแกว่งแสงวาวพลางกล่าวว่า “ข้าเจ้ามานี้จิตต์คิดประสงค์
เพื่อช่วยเหลือซึ่งสตรีศรีอนงค์ ผู้ซื่อตรงสุจริตไม่ผิดพาล
กิจต่อนี้ไปก็ จะขอชี้ ว่าตาพนี้เก่งกาจอาจประหาร
ชีพผู้ไร้ยุกติธรรม์ในสันดาน ให้แหลกลาญลงได้ในมิช้า”
พูดเท่านั้นพลันวิ่งเพื่อชิงออก มาภายนอกกองหมู่ผู้รักษา
ฝ่ายผู้คุมกลุ้มกลาดดาษดา ตรงเข้ามาจับกุมรุมประจัญ
ชายผู้นั้นฟันฟาดด้วยอาจหาญ รุกรำบาญบุกไปมิได้ยั่น
พวกทหารล้มตายลงก่ายกัน ด้วยถูกฟันเลือดฝาดออกสาดไป
บ้างหัวขาดแขนขาดบ้างผาดโผน หนีกระโจนลงลำแม่น้ำไหล
ที่เผาศพ, เลือดแดงแทนแสงไฟ ที่เห็นในกองเพลิงเชิงตะกอน
เดิมคิดเผาสองศพกลับพบปะ ศพระกะเกลื่อนกลาดดาษสลอน
ผู้ไม่อยากเป็นศพก็หลบจร ไม่ราญรอนร่นแยกแตกกระจาย
สำเร็จการต่อสู้หมู่ทหาร พานงคราญบุกบั่นรีบผันผาย
จากผู้คนด้นหนีหลบลี้กาย จนห่างหายลับตาประชาชน
ทิ้งให้เกิดวุ่นวายอยู่ภายหลัง ละล้าละลังตกประหม่าโกลาหล
กว่าจะได้รู้สึกสำนึกตน เรียกผู้คนกลับมาก็ช้านาน
อำมาตย์ซึ่งเป็นประธานในการนี้ ให้จัดรี้พลผู้หมู่ทหาร
ออกตามจับฉับพลันให้ทันการ ทั่วทุกด้านแดนดินถิ่นนคร
แล้วรบขึ้นกราบทูลมูลเหตุ พระภูเบศรบพิตรอดิศร
ทราบรหัสขัดฤทัยดังไฟฟอน พระรีบจรจัดการประทานเพลิง
ครั้นเสร็จสรรพกลับหลังเข้าวังท้าว พอมีข่าวรบพุ่งมายุ่งเหยิง
กุรุรัฐศัตรูล่วงรู้เชิง ต่างร่าเริงรีบร้นยกพลมา
เรื่องผู้ร้ายรายชิงผู้หญิงหนี ก็หมดที่จะระลึกและนึกหา
ต้องเตรียมสู้หมู่อมิตรติดพารา เพราะด้วยสาเหตุมีขอชี้ความ

 

แชร์ชวนกันอ่าน

แจ้งคำสะกดผิดและข้อผิดพลาด หรือคำแนะนำต่างๆ ได้ ที่นี่ค่ะ