ธรรมบุตรตกลงทรงประภาษ |
ให้แต่งราชทูตพูดขยัน |
พร้อมบรรณาการสรรพโดยฉับพลัน |
ให้ผายผันสู่รัฐหัสดิน |
ครั้นถึงจึงเข้าหาเสนามาตย์ |
นำเฝ้าท้าวธฤตราษฎร์ดังถวิล |
พอพระองค์ทรงศักดิ์นัครินทร์ |
ภูวดินทร์ออกประทับทรงรับรอง |
พร้อมพระวงศ์และมหาเสนามาตย์ |
หมอบเฝ้าดาษดื่นไปมิได้พร่อง |
เบิกทูตเข้าห้องโถงพระโรงทอง |
พร้อมด้วยของมีค่าบรรณาการ |
ทูตผู้ชาญคลานมาหน้าที่นั่ง |
ถวายบังคมท้าวทูลข่าวศาส์น |
“ขอเดชะพระบรมสมภาร |
โปรดประทานยกราชอาชญา |
พระราชาข้าบาทประภาษให้ |
ข้าทูลใต้บทศรีดังนี้ว่า:- |
ธฤตราษฎร์, ปาณฑุอนุชา |
ทั้งสองราพี่น้องร่วมท้องกัน |
อาณาจักรมฤดกตกแก่ลูก |
จึงจะถูกแบบแผนเป็นแม่นมั่น |
แต่โอรสธฤตราษฎร์มุ่งมาดกัน |
เอาเขตต์ขัณฑ์ปกครองเป็นของตน |
ฝ่ายโอรสปาณฑุราชอนาถนัก |
สมบัติสักเท่าเล็นไม่เห็นหน |
แสนจะรับรันทดสู้อดทน |
นั่นเปนผลยุตติธรรม์หรือฉันไร |
ทุรโยธน์บุตรพระธฤตราษฎร์ |
ซ้ำอาฆาตคิดฆ่าไม่ปราศรัย |
เผาวังหวังให้ม้วยลงด้วยไฟ |
เปนบุญได้หนีรอดตลอดมา |
ครั้งเมื่ออยู่บูรินทร์อินทรปรัสถ์ |
ก็เคืองขัดแค้นคิดริษยา |
ล่อเธอไปให้พะนันขันสะกา |
เจตนาทุจจริตด้วยคิดเพียร |
ถ่วงลูกบาศก์เบือนบิดด้วยคิดคด |
ทรยศบพิตรยุธิษเฐียร |
จนย่อยยับทรัพย์สินหมดสิ้นเตียน |
จากมนเทียรเนรเทศประเวศวัน |
แกล้งกระทำกติกาด้วยอาฆาต |
คิดมุ่งมาดน้องห้าให้อาสัญ |
ปาณฑพผู้นายข้าต่างพากัน |
ประพฤติฉันกติกาไม่คลาคลาย |
ครบสิบสามพรรษาตามว่าไว้ |
ควรคืนให้เขตต์ขัณฑ์ตามมั่นหมาย |
เธอยอมลืมเหตุผลทั้งต้นปลาย |
ซึ่งมีภายก่อนมาสารพัน |
ถ้าแม่ว่าองค์พระทุรโยธน์ |
ไม่ขึ้งโกรธคืนให้ไอสวรรย์ |
สามัคคีพี่น้องปรองดองกัน |
ก็จักมั่นคงไปมิได้คลาย |
ถ้าแม้นเธอป้องปัดตัดประสงค์ |
กุรุพงศ์พลันแยกแตกสลาย |
เพราะเกิดการสงครามลามกระจาย |
ต้องล้มตายตามกันเป็นมั่นคง |
ปาณฑพอาจริบคร่าห์อาณาจักร |
ให้ทรงศักดิ์เศร้าจิตต์ผิดประสงค์ |
ไหนอาณาจักรไท้ไหนพระวงศ์ |
ขอพระจงตริไตรในกมล |
ไม่ล้มข้ามควรการณ์บุราณว่า |
คนล่ม, อย่าข้ามกราย, ทำลายผล |
ปาณฑพให้กราบทูลมูลยุบล |
เพื่อจุบพลผ่อนผันตามสัญญา” |
สิ้นสำเนาเค้ามูลกราบทูลชี้ |
ดุษณีหัตถ์ประณมนั่งก้มหน้า |
คอยฟังองค์ทรงธรรม์ตรัสบัญชา |
ตอบปัญหาเหตุการณ์สถานใด |
ตามที่ทูตทูลชี้คดีสนอง |
พระภิษม์ตรองตรึกคิดวินิจฉัย |
ทั่วประเด็นเห็นจริงทุกสิ่งไป |
ว่าเธอได้ร้องขอพอประมาณ |
แต่กลับเป็นยั่วเย้าเผาพระโสต |
ทุรโยธน์ยิ่งใหญ่ดังไฟผลาญ |
เหมือนสัตว์ป่าบ้าเลือดทรงเดือดดาล |
พระภูบาลเจ็บจิตต์ดังพิษปืน |
ทรงแผดเสียงอื้ออึงคะนึงลั่น |
“อ้ายอาธรรม์พูดเพ้อด้วยเห่อหื่น |
มันยั่วยวนกวนไฟให้ไหม้พื้น |
มีหน้าขืนต่อว่าบ้าน้ำลาย |
อ้ายเนื้อโง่งมจู่เข้าคูหา |
แห่งพญาสีหราชประหลาดหลาย |
เจ้าจงไปบอกมันดังบรรยาย |
คำท้าทายขู่ตะคอกที่บอกมา |
เหมือนอ้ายลิงยิงฟันขู่กรรโชก |
เสียงครอกโครกฟังมันกูพรั่นกว่า |
คนกล้าปากหลากเล่ห์เจรจา |
มักไม่กล้าไปได้ถึงไม้มือ |
ลมปากโป้งนั้นไปไม่ไกลเท่า |
ระยะเกาทัณฑ์ร่อนอยู่ว่อนหวือ ! |
ถึงสงครามเลือดนองก็ร้องฮือ! |
หมดกระพือลมปากเสียงผากเครือ |
จงจำไปบรรยายแก่นายเจ้า |
คำขู่เรามานี้บัดสีเหลือ |
ให้เอาคำเทวดาเข้ามาเจือ |
เราไม่เชื่อเราไม่ตกใจกลัว |
ไม่ยอมยื่นคืนให้สิ่งใดหมด |
แก่คนคดแค่นขู่ทำชูหัว |
เรามีชัยได้ของไม่หมองมัว |
ว่าแต่ตัวมันเถิดเกิดจะโกง |
ไปบอกแก่นายเจ้าว่าเราว่า |
ไปอยู่ป่าอีกครั้งทั้งโขยง |
อยู่จนจบครบจริงจึงวิ่งโทง |
มาพระโรงกูนี้ยื่นฎีกา |
ขอพึ่งสมภารพระทุรโยธน์ |
แล้วแต่โปรดปราณีจักดีกว่า |
มาทำลิงหลอกเจ้าไม่เข้ายา |
กูจะมากลัวมันด้วยอันใด” |
ธฤตราษฎร์ผู้ชราราชาบอด |
ไม่เห็นสอดคล้องพจน์โอรสไข |
มีโองการทานทัดในบัดใจ |
ห้ามมิให้จู่ลู่พูดวู่วาม |
ตรัสแก่ทูตผู้นั่งฟังดำรัส |
สำเนียงตรัสปลื้มปลาบฟังวาบหวาม |
“ทุรโยธน์กล่าวคำล้วนต่ำทราม |
บังเกิดความขวางหูแก่ผู้ฟัง |
อย่าเอาเป็นอารมณ์ข่มเสียเถิด |
เพราะไม่เกิดผลได้สมใจหวัง |
คำหยาบหยามทุรโยธน์แทบโสตพัง |
ให้โทษทั้งตัวเขาและเผ่าพันธุ์ |
ปากเขาบ่มบาปร้ายทำลายชื่อ |
มากกว่ามือบ่มบุญคุณขันธ์ |
นี่แน่! จงจดจำข้อสำคัญ |
ทูลทรงธรรม์นายท่านผู้หลานเรา |
ว่าจักส่งทูตไปในมิช้า |
เจรจาบรรยายทูลนายเจ้า |
ให้ยินยอมพร้อมพรักผ่อนหนักเบา |
เพื่อให้เขาพี่น้องปรองดองกัน” |
ทูตถวายบังคมบรมบาท |
กลับวิราฎบุรีขมีขมัน |
พอทูตไปไม่ช้าพระราชัน |
ทรงจัดสรรเลือกหาเสนาบดี |
ให้คลาคลาดมาดมุ่งมากรุงใหญ่ |
กับ ‘สญชัย’ ผู้มหาสารถี |
ถึงวิราฎรีบจู่เข้าบูรี |
ให้เสนีนำเฝ้าห้าท้าวไท |
ว่า “องค์ไท้ธฤตราษฎร์ประภาษสั่ง |
ให้ข้าทั้งหลายนี้ทูลชี้ไข |
แม้พระองค์ทรงมาดความปราศภัย |
ยินดีในความสงบไม่รบรา |
ขอเชิญให้ไต่เต้าเฝ้าพระบาท |
ธฤตราษฎร์ภูวไนยอย่าได้ช้า |
จักประกาศยุกติธรรมตามสัญญา |
ให้หลานห้ากับบุตรหยุดสงคราม” |
ยุธิษเฐียรฟังคำทูลร่ำว่า |
ด้วยปรีชาตรึกตรองไม่ต้องถาม |
เห็นไม่สมปรารถนาพยายาม |
ด้วยข้อความห้วนสั้นไม่มั่นเหมาะ |
ทรงตอบว่า “ข้าเจ้าต่างเคารพ |
เชื่อจอมภพลุงไท้, คงไม่เพาะ- |
ซึ่งวิวาทบาดหมางให้ด่างเดาะ |
แต่เกรงเพราะทุรโยธน์ตัวโปรดปราน |
จะแนะนำบิตุรงค์ให้ทรงเชื่อ |
ยืมโอษฐ์ไท้ใคร่เพื่อจะล้างผลาญ |
ถ้าเราหลงคงฉิบหายถึงวายปราณ |
จึงเป็นการยับยั้งเพราะยังแคลง |
ฉะเพาะพระวาจาฝ่าพระบาท |
ธฤตราษฎร์ลุงไขเราไม่แหนง |
ทรงเมตตาปราณีเหลือชี้แจง |
ดังตำแหน่งพระชนกทรงปกครอง |
แต่ท้าวไทไม่ประทานตามหลานขอ |
ล้วนเป็นข้อยุกติธรรมจึงร่ำร้อง |
พระนิ่งอยู่ครู่ใหญ่ทรงไตรตรอง |
ตรัสทำนองทรงคะนึงรำพึงความ |
“อย่างไรก็เกิดรบไม่หลบได้ |
เหลือวิษัยที่จักเข้าหักหาม |
โอ้! ภัยเอ๋ย ภัยใหญ่ ภัยสงคราม |
จะลุกลามเหลือหลีกให้ปลีกภัย |
ธรรมกับธรรมรำบาญพอหาญสู้ |
ไม่เหลือรู้เหลือรณพ้นวิษัย |
แต่การสู้หมู่อธรรมนำประลัย |
ต้องหันใช้เชิงบ้าอย่างทารุณ |
อนิจจา! น่าอนาถญาติทั้งผอง |
ซึ่งจะต้องตีอกด้วยหมกมุ่น |
ต้องรบราฆ่าฟันกันเป็นจุรณ์ |
โอ้สกุลเดียวกันจะบรรลัย |
โอ้!เสียงซร้องเซ็งแซ่แห่งแม่หม้าย |
จะฟูมผายชลเนตรเทวษไห้ |
โอ้!สงสารลูกกำพร้าผู้ยาใจ |
จะมิได้ดูหน้าบิดาตน |
โอ้!เสียดายญาติมิตรสนิทสนม |
จะขื่นขมขัดข้องกลับหมองหม่น |
โอ้!บุรีศรีสง่าแก่ตาคน |
บรรพชนสร้างสรรค์จักบรรลัย |
โอ้!ชีวิตทวยราษฎร์พินาศแน่ |
จะผันแปรผ่อนปรนพ้นวิษัย |
โอ้! สงสารราษฎรผู้ร้อนใจ |
คิดฝันใฝ่รับเราเข้านคร |
ก่อนที่จักเห็นเราเข้าบุเรศ |
จักเห็นเหตุโหดร้ายทั้งหลายก่อน |
คือสงครามนำหน้าพาเราจร |
สู่ม้วยมรณ์หรือเวียงยังเสี่ยงกรรม |
สงสารเหล่าชาวประชาแห่งข้าเจ้า |
จักโศกเศร้าเสียใจพิไรร่ำ |
ได้รับความคุ้มครองไม่ต้องธรรม |
เมื่อข้าบำราศไปไพรพนม |
ต่างรอท่าข้าหมายจะคลายทุกข์ |
มาสบยุคยากยับเข้าทับถม |
เราก็หวังตั้งหน้าคิดปรารมภ์ |
ให้เกลียวกลมกลับมีไมตรีกัน |
เราจักเชิญกฤษณะพระสหาย |
เป็นทูตฝ่ายเราจรช่วยผ่อนผัน |
เพื่อขอสิทธิ์บริสุทธิ์ยุตติธรรม์ |
ลองบากบั่นอีกสักครั้งด้วยหวังดี |
จงกราบทูลพระเจ้าลุงเรามุ่งหมาย |
ขอถวายประณตบทศรี |
แล้วบรรยายข้อความตามวจี |
แห่งเรานี้แด่องค์พระทรงชัย |
ไม่ช้าดอกกฤษณะจะประเวศน์ |
ไปยังเขตต์หัสดินบุรินทร์ใหญ่ |
เพื่อปรึกษาว่ากล่าวทูลท้าวไท |
ในทางไกล่เกลี่ยกลบไม่รบราญ” |
ฝ่ายสญชัยผู้มหาสารถี |
จำคดีทรงธรรม์ตรัสบรรหาร |
บังคมลาคลาออกนอกทวาร |
กลับสถานถิ่นรัฐหัสดิน |
แต่ด้วยความพริบไหวเมื่อไปถึง |
สังเกตซึ่งเหตุการณ์ทั่วฐานถิ่น |
เห็นพหลพลไกรในบุรินทร์ |
ตระเตรียมสิ้นพร้อมสรรพ์น่าพรั่นใจ |
ถึงเขามาราชการโดยฐานทูต |
ก็พิสูจน์ซึ่งเหตุสังเกตได้ |
ว่าปาณฑพเตรียมพหลพลไกร |
เพื่อชิงชัยโดยแท้เป็นแน่นอน |
จึงทูลไท้ธฤตราษฎร์ตามมาดหมาย |
บรรยายทูลองค์พระทรงศร |
ทูลข่าวศาส์นหลานไท้เธอไหว้วอน |
ให้ภูธรทราบสิ้นระบิลความ |
“ข้าพระองค์เห็นอ่าวความร้าวฉาน |
หมดสะพานพาดให้ครรไลข้าม |
คือสะพานพาดผ่านการสงคราม |
ซึ่งจะลามลุกแน่ไม่แปรปรวน |
น้ำพระทัยบพิตรยุธิษเฐียร |
มิได้เปลี่ยนแปลวแปลกคิดแผกผวน |
อาณาจักรภูวไนยเธอใคร่ครวญ |
ว่าเธอควรได้กึ่งจึงเป็นธรรม์ |
แม้ไม่สมปรารถนาดังว่านี้ |
สงครามีแม่นแท้ไม่แปรผัน |
ข้าบาทเห็นปาณฑพเตรียมครบครัน |
คงไม่กลั่นกล่าวขู่ดอกภูธร |
ควรมิควรสุดแท้แต่จะโปรด |
เพื่อประโยชน์หายเหือดข้อเดือดร้อน |
ควรคิดหลีกเลี่ยงการเกิดราญรอน |
ด้วยทางอ่อนโยนหาปรึกษากัน |
ด้วยภักดีทูลองค์พระทรงฤทธิ์ |
โดยความคิดต่ำ ๆ ไม่ล่ำสัน |
เพราะข้าบาทเห็นมาสารพัน |
ขอทูลบรรยายความแต่ตามจริง” |
สมเด็จท้าวธฤตราษฎร์ประภาษว่า |
“เจ้าเจรจาถูกทางเปนอย่างยิ่ง |
การข่มเขาเอาอำนาจมาพาดพิง |
ตัดสินอิงเอียงไปตามใจตน |
สัญชาติป่าบ้าร่านแต่การยุทธ์ |
ดังอ้ายบุตรข้านี้ไม่มีผล |
ข้าจักครองความสงบหลีกหลบรณ |
มุ่งกมลป้องกันประจัญบาน” |
ฝ่ายพระองค์ทรงฤทธิ์ยุธิษเฐียร |
ทรงพากเพียรผูกรักสมัครสมาน |
พอทูตลาคลาไคลมิได้นาน |
ทรงจัดการส่งพระกฤษณ์ฤทธิรงค์ |
เสด็จด้วยบริวารเป็นการร้อน |
ถึงนครหัสดินถิ่นประสงค์ |
ตามดำรัสกับสญชัยเพื่อให้ทรง |
แทนพระองค์เกลี่ยไกล่ทางไมตรี |
ธฤตราษฎร์ราชาทรงปราศรัย |
ต้อนรับไท้ด้วยเปรมเกษมศรี |
ด้วยเคารพในพระกฤษณ์เรืองฤทธี |
ซ้ำยังมีเกี่ยวพาดเป็นญาติไท |
ทรงปราศรัยทรงฤทธิ์พระกฤษณ์ว่า |
เปนเกียรติข้าเจ้าจริงอันยิ่งใหญ่ |
ที่เสด็จเยี่ยมบุรีแสนดีใจ |
เหลือจะให้กล่าวกลั่นบรรยาย |
ฝ่ายพระกฤษณ์ฟังตรัสดำรัสตอบ |
“ข้าเหลือขอบพระคุณการุณย์หลาย |
ข้ามาด้วยราชการพระหลานชาย |
เพื่อคลี่คลายขุ่นข้องทั้งสองรา” |
ธฤตราษฎร์ตอบว่า “ฝ่าพระบาท |
จะมุ่งมาดสิ่งใดมิได้ว่า |
แต่ข้าเจ้าจดจำว่านำมา |
ซึ่งหรรษารมณ์สู่พระบูรี |
ซึ่งพระองค์เมตตามาสมาน |
ให้ลูกหลานข้าเจ้าสร่างเศร้าศรี |
พระคุณพ้นพรรณนาทรงอารี |
ข้าเจ้าปรีดิ์เปรมปลื้มไม่ลืมคุณ |
ข้าเจ้าส่งสญชัยไปเป็นทูต |
ตามเขาพูดนั้นว่าคงว้าวุ่น |
ความตั้งใจไร้ผลป่นเป็นจุรณ |
ข้าเจ้าขุ่นหมองใจไม่สำราญ |
สญชัยว่าเขาได้ทูลไกล่เกลี่ย |
จนปากเพลียพล่ามวอนด้วยอ่อนหวาน |
แต่ไม่สมมุ่งหมาย, เขารายงาน |
ทั้งนี้ขานตามเขาเล่าให้ฟัง |
ยุธิษเฐียรเพียรครบเพื่อรบรับ |
ท่านก็ซับทราบสิ้นถวิลหวัง |
ต่างกระหายเลือดกันดันทุรัง |
ไม่อยากฟังผู้ใดมาไหว้วอน |
ท่านหารือเพื่อสงบคงลบล้ม |
ดังน้ำพรมแผ่นผาเวลาร้อน |
คงไม่สมปรารถนาอันสาธร |
ที่ท่านผ่อนผันเพียรเพื่อเปลี่ยนใจ” |
พระกฤษณ์ฟังราชันธบรรหาร |
ตอบภูบาลทันทีทรงชี้ไข |
“ตามที่ตรัสมานั้นข้ามั่นใจ |
ว่าห่างไกลความจริงทุกสิ่งอัน |
ความจริงนั้นบพิตรยุธิษเฐียร |
ทรงพากเพียรทุกทางเพื่อกางกั้น |
ไม่ให้เกิดรบราถึงฆ่าฟัน |
แต่สุดผันผายหลีกให้ปลีกไป |
ย่อมเป็นด้วยโอรสท่านคดเคี้ยว |
ทรงกราดเกรี่ยวก่อความสงครามใหญ่ |
การซ่อนเร้นเข่นฆ่าด้วยบ้าใจ |
ยุธิษเฐียรท้าวไทคงไม่ทำ |
ไม่ต้องไขความร้ายหมายประหาร |
ซึ่งเจ้าปาณฑพชิมจนอิ่มหนำ |
โดยได้ทนทกข์ยากแสนตรากตรำ |
ไม่กล่าวคำค้านติงสู้นิ่งทน |
เรื่องอาฆาตคิดฆ่าเผาปราสาท |
ถ่วงลูกบาศก์ลวงล่อคิดฉ้อฉน |
โกงสะกาคิดหมายทำลายชนม์ |
มุ่งกมลริบทรัพย์ไม่นับวงศ์ |
หมิ่นประมาทต่อหน้าเสนามาตย์ |
ทำอุจาดลามลวนนวลหงส์ |
คือฉุดเจ้ากฤษณาเปลื้องผ้าทรง |
คงทราบเบื้องบาทบงสุ์ทุกสิ่งอัน |
ล้วนแต่บุตรท่านก่อทรยศ |
ย่อมปรากฏก้องลือกระพือลั่น |
แม้อำนาจกองทัพนับอนันต์ |
ไม่ป้องกันชั่วร้ายนี้หายไป |
หมดหนทางคืนดีเพียงนี้แล้ว |
หมดทางแผ้วถางแท้,หมดแก้ไข |
ความสมานไมตรีวิธีใด |
คงจะไม่เป่าปัดอสัตย์คลาย |
เสียทรัพย์อาจได้คืนมีหมื่นแสน |
เสียดินแดนข้าศึกพอนึกหมาย |
ที่จะได้คืนบ้างเป็นบางราย |
ยังไม่ร้ายเทียมทัดเสียสัตย์ธรรม |
ซึ่งอาจจักเสียอยู่ไม่รู้กลับ |
ให้ได้รับอัปภาคไปมากล้ำ |
เจ้าปาณฑพทนยากสู้ตรากตรำ |
รักษาคำสัตย์ไว้มิได้คลาย |
ด้วยบากบั่นขันตีมีมานะ |
ครบตามกะเกณฑ์ไว้จึงได้หมาย |
มาขอเขตต์ควรได้ใช่อุบาย |
คิดปองร้ายแก้แค้นแค่นรำบาญ |
เขาซื่อสัตย์สุจริตขอสิทธิ |
ใช่จักริรวบรัดสมบัติท่าน |
เขาทายาทโดยตรงสืบวงศ์วาน |
จะไร้ฐานที่อยู่ดูกระไร |
เพราะฉะนั้นเขาควรได้ส่วนบ้าง |
เพื่อก่อสร้างฝั่งฝาที่อาศัย |
ได้สืบสันตติวงศ์ดำรงไป |
แต่พอให้สมทรงวงศ์ตระกูล |
ให้สมค่าฐานะแห่งมนุษย์ |
ถนอมศักดิ์มิให้ทรุดเสื่อมทรามศูนย์ |
ซึ่งจะให้เที่ยวภิกขาด้วยอาดูร |
ใช่ตระกูลเกิดมาภิกขาจาร |
ข้าในนามยุกติธรรมขอร่ำร้อง |
เพื่อปรองดองดับร้ายหมายสมาน |
โปรดกลับจิตต์คิดสงบไม่รบราญ |
ฟังข้าค้านอีกสักครั้งด้วยหวังดี” |
ธฤตราษฎร์ฟังตรัสดำรัสไข |
ขอบพระทัยเหลือล้นเป็นพ้นที่ |
ซึ่งทรงธรรม์บรรยายร้ายและดี |
ให้ทราบถี่ถ้วนสิ้นระบิลการณ์ |
ที่ประชุมฟังไว้เอาไปตรึก |
แล้วจึงปรึกษากิจคิดสมาน |
ตามคำร้องของพระกฤษณ์พินิจการณ์” |
แล้วภูบาลเยื้องย่างเข้าข้างใน |
ฝ่ายพระกฤษณ์พิศดูหมู่อำมาตย์ |
ไม่ฟังราชบริหารโองการไข |
ต่างซุบซิบกันอยู่เป็นหมู่ไป |
คอยเอาใจทุรโยธน์ให้โปรดปราณ |
ทรงทราบได้โดยพลันสรรพกิจ |
ย่อมเป็นสิทธิ์ทุรโยธน์โปรดบรรหาร |
ไม่เชื่อฟังธฤตราษฎร์ประศาสน์การ |
ไม่เอาภารทั่วไปทั้งไพร่นาย |
แต่ทราบว่าทรงฤทธิ์พระภิษม์เฒ่า |
หวังสงบรบเร้ามิรู้หาย |
แต่เหลือคัดงัดปากคนมากมาย |
ผู้เป็นฝ่ายทุรโยธน์โหดกมล |
พราหมณ์โท๎รณะพระกรรณหมู่บรรษัท |
เการพขัตติยวงศ์ประสงค์ผล |
เอาใจพระทุรโยธน์ให้โปรดตน |
เพราะทุกคนพึ่งพาเป็นข้าไท |
จึงมุ่งไปหาพระทุรโยธน์ |
เพื่อประโยชน์ชี้แจงแถลงไข |
ด้วยท้าวทรงสำคัญมั่นพระทัย |
ว่าเกลี่ยไกล่ทุรโยธน์ให้โปรดปราณ |
จนกลับพระหฤทัยไม่ใฝ่รบ |
ให้ทรงคบคิดรักสมัครสมาน |
ชี้แจงไทยผู้ใคร่ใฝ่รำบาญ |
ว่าเป็นการเกลื่อนกลบสงบคลาย |
แต่ตรงข้ามคำร้องของพระกฤษณ์ |
ไม่กล่อมจิตต์ทุรโยธน์ให้โหดหาย |
กลับเป็นยั่วโทษะฟุ้งกระจาย |
ท้าวเธอบ่ายพักตร์จ้องร้องคำรน |
“เหตุไฉนกฤษณะทำฉะนี้ |
กล่าววจีให้ร้ายทำลายผล |
ส่อแสดงแหนงหน่ายคลายกมล |
เกลียดข้าเจ้าเอาจนออกหน้าตา” |
พระกฤษณ์ทรงตอบว่า “ข้าพเจ้า |
น้ำจิตต์เฝ้าใฝ่รักท่านนักหนา |
ยังเป็นเพื่อนท่านไม่ได้, ไร้จรรยา! |
ไปจนกว่าท่านจะมีไมตรีกัน |
กับด้วยห้าน้องท่านเจ้าปาณฑพ |
ซึ่งตั้งใจใฝ่สงบไม่แปรผัน |
ให้ข้ามาว่าวอนผ่อนจำนรรรจ์ |
แล้วทรงธรรม์วอนว่าทุกท่าทาง |
แต่ไม่ยังทุรโยธน์ให้โปรดได้ |
อ่อนพระทัยทานทัดทูลคัดง้าง |
ทรงเที่ยวขออุดหนุนพวกขุนนาง |
เพื่อเห็นข้างท้าวไทในประชุม |
ทรงไปหาท่านวิทูรเล่ามูลเหตุ |
เขาสังเกตการณ์กิจคิดสุขุม |
แล้วทูลตามความคิดไม่ปิดคลุม |
“เจ้าชายหนุ่มนี้ข้าระอาใจ |
ซึ่งพระองค์ปรึกษามาทั้งนี้ |
ข้าเห็นดีทุกสถานไม่ค้านได้ |
คงเห็นดีทั่วหน้าไม่ว่าใคร |
เว้นแต่ไท้ทุรโยธน์ผู้โหดพาล |
ทรงทำเป็นชายโสดอย่างโหดร้าย |
เมินธรรมหมายมุ่งทางคิดล้างผลาญ |
ทรงกระหายโลหิตนิจจกาล |
ปองร้ายปาณฑพห้าไม่คลาคลาย |
พระองค์ไม่มานี่จะดีกว่า |
เพราะว่ามาก็มิสมอารมณ์หมาย |
ทุรโยธน์มิได้ยั้งฟังบรรยาย |
คนทั้งหลายแนะนำเพื่อค้ำจุน |
มุ่งแต่ให้คล้อยตามซึ่งความคิด |
ถึงจะผิดกีต้องเออเสนอหนุน |
แม้นไม่ตามความเห็น, ถึงเป็นคุณ |
พูดขาดทุนทิ้งเปล่าไม่เข้ายา” |
พระกฤษณ์ทรงตอบว่า “ข้าพเจ้า |
เอื้อเฟื้อเฝ้าใฝ่หวังคิดตั้งหน้า |
พยายามความสงบไม่รบรา |
อุตส่าห์มากรุงรัตน์หัสดิน |
หวังเกื้อกูลเการพเพื่อหลบพ้น |
ความปี้ป่นซึ่งเขาเฝ้าถวิล |
หาใส่ตนกลแมลงซึ่งแข่งบิน |
เข้าหาไฟไหม้สิ้นมิรู้ตัว |
แม้นเขาเชื่อถ้อยคำแนะนำข้า |
ก็จะพาพ้นภัยไปได้ทั่ว |
แม้นหมิ่นคำข้าเจ้าคิดเมามัว |
โลหิตหัวเขาจะพังดังพะเนียง” |
ผู้ที่ได้ฟังพร้องของพระกฤษณ์ |
ทุกคนคิดเห็นดีไม่มีเถียง |
แต่ก็รับเงียบ ๆ พูดเลียบเคียง |
อือออ ! เพียงสองราพูดจากัน |
ครั้นวันรุ่งพรุ่งนี้มนตรีกลุ้ม |
เข้าประชุมรีบร้อนเพื่อผ่อนผัน |
เรื่องสงบรบราไม่ฆ่าฟัน |
พระกฤษณ์นั้น, ธฤตราษฎร์ประภาษเชิญ |
มาประชุมหารือช่วยสื่อศาส์น |
เพื่อแก้การหมองหมางระคางเขิน |
ฝ่ายพระกฤษณ์ผู้ตั้งหวังเจริญ |
จึงดำเนิรพจนารถประภาษวอน |
“ข้าพเจ้ามานี้ใช่มีหมาย |
ให้สองฝ่ายรบราญเป็นการร้อน |
มาเพื่อจักจัดการเลิกราญรอน |
ให้ภ๎ราดรได้มีไมตรีกัน |
มหาราชเจ้าข้า ! โปรดอย่าได้ |
ทอดพระทัยทางบาปหยาบมหันต์ |
โปรดยื่นสองหัตถ์รับโดยฉับพลัน |
ซึ่งสุขสันติภาพรื่นราบใจ |
พร้อมกับคำอวยพรบวรสวัสดิ์ |
เพื่อเป่าปัดอันตรายอันร้ายใหญ่ |
ซึ่งจะมาสู่วงศ์พระทรงชัย |
และล้างไอศวรรย์พลันทำลาย |
จงเห็นแก่ยุกติธรรม์ผันพระพักตร์ |
รับสมัครปาณฑพปรารภหมาย |
ความสงบสบสันต์นิรันตราย |
ไม่ปองร้ายผู้ใดด้วยใจพาล |
ตามขอร้องของเขาไม่เอาเปรียบ |
เข้าระเบียบยุกติธรรม์สมบรรหาร |
โปรดยินยอมพร้อมเถิดจักเกิดการ |
เกษมศานติ์เสริมรัชช์พิพัฒน์พูน |
ตรองดูเถิดท้าวไทถ้าใฝ่รบ |
ถ้าปาณฑพย่อยยับชีพดับศูนย์ |
จักเกิดผลกลใดเพิ่มไพบูลย์ |
ญาติตระกูลเดียวกันได้บรรลัย |
ท่านยินดีได้หรือ เขาคือหลาน |
โอรสปาณฑุราชผู้ญาติใกล้ |
ข้าเจ้าขอชี้แจงให้แจ้งใจ |
เพื่อตรึกไตรด้วยมหาปัญญาญาณ |
ปาณฑพได้เตรียมรบไว้ครบสรรพ |
เตรียมเท่ากับเตรียมสงบครบทุกฐาน |
แม้หมดทางจะสงบก็รบราญ |
ปวัตติการนี้ไซร้คงใหญ่โต |
เป็นสมบัติบุตรหลานไปนานหลาย |
เป็นนิยายยาวไปไกลอักโข |
ความอสัตย์บัดสีเพิ่มภีย์โย |
เกิดเพราะโลภะจัดตัดตระกูล |
ชีวิตเราศูนย์ไปในมิช้า |
บาปนี้ตราโลกอยู่มิรู้ศูนย์ |
ให้เชื้อสายภายหน้าได้อาดูร |
ฟังยิ่งพูนผากโสตเพราะโคตรตน |
ความโลภท่านบันดาลรบราญใหญ่ |
ท่านมั่นใจหรือว่าจะพาผล |
ฆ่าปาณฑพได้ดังตั้งกมล |
หรือเการพจะป่น, พ้นวิจารณ์” |
ธฤตราษฎร์ราชาชราภาพ |
ได้ทรงทราบภาษิตพระกฤษณ์ขาน |
ล้วนถูกธรรมถี่ถ้วนควรสักการ |
และอ่อนหวานวาบวับจับกมล |
ท้าวเธอทรงอึดอัดดำรัสว่า |
“ท่านพูดน่าสมเพชน์สมเหตุผล |
แต่อ้ายลูกชั่วชาติอุบาทว์คน |
เหลือจะฝนฝึกมันให้ผันตาม |
สุดแล้วแต่เวรกรรมมันทำเถิด |
ประดักประเดิดข้านักเหลือจักห้าม |
ด้วยได้เคยตั้งหน้าพยายาม |
พูดห้ามปรามเท่าไรมันไม่ฟัง” |
ลำดับนั้นทรงฤทธิ์พระภิษม์เฒ่า |
น้อมเศียรเกล้าคำนับแล้วรับสั่ง |
แก่หลานไท้ทุรโยธน์ “โปรดประทัง |
พระทัยยั้งหยุดคิดพินิจตรอง |
ตูข้าผู้ผมหงอกออกทั้งเกล้า |
หวังบรรเทาความชั่วอันมัวหมอง |
จงทำตามความคิดพระกฤษณ์ปอง |
จะพ้นผองภัยพาลสราญรมย์” |
ทุรโยธน์ฟังตรัสเหลือขัดแค้น |
อุตส่าห์แค่นนิ่งกลืนความขื่นขม |
โท๎รณาจารย์, ท่านวิทูรพูนปรารมภ์ |
กับ ‘นารอท’ สอดสมกลมเกลียวกัน |
อีกผู้อื่นหลายท่านบรรหารพร่ำ |
ตามถ้อยคำทรงฤทธิ์พระภิษม์นั้น |
ต่างวิงวอนอ่อนนบอภิวันท์ |
ให้ทรงธรรม์ข่มใจผูกไมตรี |
มิให้ท้าวเธอใฝ่ไล่สุนัข |
เข้ากัดพรรคพวกคนให้ป่นปี้ |
เปลี่ยนหน้ากันกราบทูลมูลคดี |
รำพรรรณชี้ทุกข์ภัยในสงคราม |
ทุรโยธน์แค้นคั่งไม่ฟังได้ |
ภูวไนยยืนคว้างกลางสนาม |
พระพักตร์นิ่วเนตรแดงเป็นแสงวาม |
ตรัสด้วยความขุ่นแค้นแน่นกมล |
“โอ้ ! พระกฤษณ์คิดตั้งเกลียดชังข้า |
รักภ๎ราดาปาณฑพนั้นลบล้น |
พระภิษม์ขึ้งแค้นข้ายิ่งกว่าคน |
เฝ้าแต่บ่นบ้ายโทษด้วยโกรธเคือง |
วิทูร, พราหมณ์โท๎รณะก็ฉะนั้น |
ต่างพากันกล่าวหลู่แสบหูเหือง |
พระบิดาก็กระไรไม่ชำเลือง |
เนตรดูเรื่องฝ่ายเราเฝ้าระทม |
กันแสงร่ำพร่ำพิลาปถึงบาปข้า |
โอดครวญหาสันติภาพให้ราบร่ม |
ข้าเหลือจักผ่อนหาอย่างปรารมภ์ |
โปรตอย่าก้มพักตร์นิงเฝ้าชิงชัง |
อนิจจา ! ท่านครู, และผู้เฒ่า |
ไฉนเย้าพระบิดาให้บ้าหลัง |
จนจะตัดความรักลูกหักพัง |
โปรดจงฟังถ้อยคำข้ารำพรรณ |
ยุธิษเฐียรแพ้สะกาแก่ข้าสิ้น |
หมดทรัพย์สินเวียงชัยไอศวรรย์ |
ครั้งที่สองชวนเราเฝ้าพะนัน |
เพื่อคืนขัณฑสีมา, ถ้าชะนะ |
แต่แพ้เราจึงเตร่เนรเทศ |
ออกจากเขตต์ตามว่าสัญญากะ |
เป็นด้วยโชคชาตามาปะทะ |
ควรหรือจะโทษข้าว่าเป็นโจร |
ปาณฑพนั้นชาตาเวลานี้ |
ย่อมถึงที่ทุกข์โทษไม่โลดโผน |
บรรดามิตรคิดเลี่ยงไม่เอียงโอน |
เหมือนไม้โคนขึ้นข้างหนทางธาร |
เพื่อนจะมีก็ไม่เท่าไรนัก |
รี้พลจักไม่แรงกำแหงหาญ |
ถึงแม้ฤทธิ์เจ้าสวรรค์มาบันดาล |
ไม่ลนลานกลัวเลยดังเคยมา |
ไฉนจักกลัวหลอกตะคอกขู่ |
ของคนผู้หมดชาติวาสนา |
กษัตริย์อาจตายได้ในเวลา |
เกิดมหาสงครามตามแต่การณ์ |
แต่จักไม่อ่อนน้อมยินยอมแพ้ |
นี้กระแสภาษิตบัณฑิตขาน |
ขอโอกาสทุกพระองค์ผู้ทรงญาณ |
ฟังหน่อยท่านญาติเอ๋ยอย่าเย้ยเยาะ |
พระชนกยกถิ่นอินทรปรัสถ์ |
แก่กษัตริย์ปาณฑพประสพเหมาะ |
เวลาหลานสอพลอเฝ้าฉอเลาะ |
หลงฉะเพาะครู่ยามตามชรา |
ไม่เช่นนั้นบิตุราชคงพลาดพลั้ง |
ไม่ทันยั้งตรองตรึกและปรึกษา |
ด้วยหลงลืมไปบ้างเป็นบางครา |
แต่ตัวข้าคอยประคองฉลององค์ |
ชีพข้าเจ้ายังคงดำรงอยู่ |
มิให้ขู่เล่นตามความประสงค์ |
ไม่ยอมคืนเขตต์ขัณฑ์เป็นมั่นคง |
ขอโปรดจงฟังคำข้ารำพรรณ |
กุรุรัฐจักไม่ต้องเป็นสองรัฐ |
ตั้งแต่บัดนี้ไปอย่าใฝ่ฝัน |
ไม่มีเดชใดแย่งเข้าแบ่งปัน |
ต้องรวมกันอยู่ในโล่ห์อันโอฬาร |
โล่ห์อันแข็งแรงพอเพื่อต่อสู้ |
มิให้หมู่ไพรินแย่งถิ่นฐาน |
ไม่ให้ใครตัดทอนดังก่อนกาล |
คำข้าขานนี้จริงทุกสิ่งไป |
จริงคือจริงแม่นมั่นสำคัญสุด |
คือจริงมั่นฉันมนุษย์เขาขานไข |
คือขานสิ่งจริงแท้แน่แก่ใจ |
คือมิได้กลับกลายเป็นหลายทาง” |
พระกฤษณ์ฟังนั่งอึ้งคะนึงนึก |
ทรงรู้สึกอึดอัดเหลือขัดขวาง |
ถึงจะยกยุตติธรรม์มากั้นกาง |
คงไม่ล้างความเห็นผู้เป็นพาล |
แต่ตราบใดยังมีทางชี้ไข |
ตั้งพระทัยชี้แจงแถลงสาร |
ทรงอุตส่าห์พยายามไปตามการณ์ |
“อย่างไรท่านพูดได้ไม่ละอาย |
ท่านถ่วงเกินพวกพ้องพี่น้องท่าน |
ข่าวฟุ้งซ่านเซ็งแซ่ไปแพร่หลาย |
ท่านจะแสร้งลืมได้หรือ? ใจชาย |
ไม่ระคายใจบ้างหรืออย่างไร?” |
ทุศศาสน์ผู้นั่งชิดสะกิดพี่ |
กระซิบทูลมูลคดีด้วยพริบไหว |
ทรงเตือนว่าน่าที่จะมีภัย |
เพราะคัดค้านท่านผู้ใหญ่ในสภา |
ล้วนรู้หลักนักปราชญ์ออกดาษดื่น |
เขารู้ตื้นและลึกจึงปรึกษา |
ทุรโยธน์ฟังพร้องพระน้องยา |
ลุกถลาแล่นออกนอกชุมนุม |
ไม่ทันตอบบพิตรกฤษณะ |
ด้วยโทษะอึดอัดทรงกลัดกลุ้ม |
ต่อนี้ไปมนตรีที่ประชุม |
ก็หยุดทุ่มเถียงกันเลิกผันจร |
ธฤตราษฎร์ราชันทรงมั่นหมาย |
เพื่อคลี่คลายอาฆาตประภาษสอน |
ให้พระบุตรหยุดการคิดราญรอน |
พระภูธรพรรณนาสารพัน |
พระนางคันธารีเทวีนาถ |
ผู้พระราชมารดรเฝ้าผ่อนผัน |
ให้โอรสลดละการอธรรม์ |
หมดพระปัญญาตรองทั้งสององค์ |
พระกฤษณ์นั้นผันแปรคิดแก้ไข |
เห็นไม่ได้สมตามความประสงค์ |
เป็นครั้งท้ายแห่งวิธีที่พระองค์ |
อุตส่าห์ทรงเกลี่ยไกล่ทางไมตรี |
จึงอำลากลับหลังยังวิราฎ |
ตรัสประภาษกิจมวลโดยถ้วนถี่ |
ให้ธรรมบุตรทราบความตามคดี |
ซึ่งเกิดมีในรัฐหัสดิน |