บทที่ ๔ กรุงอินทรปรัสถ์ แห่งเจ้าปาณฑพ

ครั้นต่อมาห้าหลานพระปาณฑพ อพยพย้ายไปในสถาน
ตำบลปาณฑพปรัสถ์ทรงจัดการ ให้เริ่มงานแผ้วถางสร้างนคร
สร้างมหาปราสาทราชฐาน ป้อมปราการเวียงวังตั้งสลอน
ตัดถนนก่นสร้างหนทางจร ทีใดดอนไขน้ำขุดลำคลอง
แปลงแดนดินถิ่นป่าเป็นนาไร่ มีน้ำไหลเอิบอาบจากมาบหนอง
ให้ชาวชนกินใช้ดังใจปอง ตั้งบ้านช่องหากินเพิ่มภิญโย
ทำเรือกสวนไร่นาขึ้นหนาแน่น เป็นปึกแผ่นคึกคักขึ้นอักโข
นับวันแต่แผ่ไปยิ่งใหญ่โต เป็นที่โอฬารสิ้นทั่วดินแดน
สำเร็จเป็นกรุงไกรวิไลล้ำ อยู่ริมน้ำยมนาสง่าแสน
พินิศกรุงรุ่งเรืองดังเมืองแมน งามปราสาทมาตรแม้นไพชยนต์
มนเทียรล้อมพร้อมพรั่งตั้งติด ๆ งามวิจิตรแจ่มฟ้าเวหาหน
มีพลับพลาท่าน้ำผ่องอำพน อยู่ริมชลชูตาประชากร
มีสวนแก้วคู่ควรสวนสวรรค์ พิพิธพรรณ์พฤกษชาติดาษสลอน
อุตดมดอกออกช่ออรชร เสียงภมรหวี่หวู่ ! ชูหทัย
มีสระโบกขรณีศรีสง่า เห็นฝูงปลาว่ายคล่ำด้วยน้ำใส
ประดับบัวเบ็ญจพรรณอันอำไพ ดัง ‘สุนันทา’ ในชั้นตรัยตรึงส์
มีลำธารผ่านเลี้ยวแลเคี้ยวคด เป็นหลั่นลดล้วนให้น้ำไหลถึง
มีห่านหงส์ว่ายเรียงส่งเสียงอึง เป็นที่พึงพอตาสารพัน
มีสนามงามตาหญ้าระบัด มีฝูงสัตว์เนื้อทรายเที่ยวผายผัน
นกยูงฟ้อนรำอยู่เป็นหมู่กัน บนกิ่งพรรณพฤกษชาติกลาดสกุณี
เสียงจอแจ! แซ่ร้องคะนองขัน บ้างโผผันไปมาอยู่ว้าวุ่น
ทุกสิ่งเพลิดเพลินใจยิ่งไพบุลย์ งามอดุลชวนชมนิยมยิน
สำเร็จสร้างพระนครบวรศรี ดังบุรีมัฆวานตระการสิ้น
ขนานนามกรุงไกรดังใจจินต์ นคร ‘อินทรปรัสถ์’ จังหวัดชัย
เจ้าปาณฑพห้าองค์จึงทรงโปรด ให้สมโภชพระบุรีพิธีไสย
มวลอำมาตย์ราษฎร์สิ้นถิ่นไผท ต่างพร้อมใจเริ่มมีพิธีการ
อภิเษกบพิตรยุธิษเฐียร เฉลิมราชมนเทียรเปลี่ยนสถาน
ขึ้นครองราชสมบัติชัชวาล พระน้องปาณฑพล้อมพรั่งพร้อมกัน
ต่างประทับยับยั้งณวังใหม่ ทุกวังไพโรจน์ปานวิมานสวรรค์
ล้อมพระมนเทียรไทไม่ไกลกัน ดังดาวห้อมล้อมจันทร์พรรณราย
ทรงแต่งตั้งเสนีมนตรีมุข อำมาตย์ทุกตำแหน่งแบ่งขยาย
การปกครองท้องที่ให้มีนาย เพื่อขวนขวายเสาะสร้างทางเจริญ
ประชาราษฎร์รื่นเริงบันเทิงทั่ว ทุกครอบครัวครื้นครั่นด้วยสรรเสริญ
การพาณิชย์หัตถกรรมยิ่งดำเนิร ขึ้นสูงเกินคาคคิดทุกกิจการ
ทั่วดินแดนแน่นหนาประชาชาติ มาจากราษฎร์อื่นเข้าเนาสถาน
อินทรปรัสถ์พึ่งร่มพระสมภาร เป็นข้าเบื้องบทมาลย์พระภูธร
อินทรปรัสถ์แน่นหนาเป็นฝาฝั่ง ด้วยกำลังภีย์โยสโมสร
คือดินแดนดื่นดาษราษฎร เป็นกำลังราญรอนอรินทร์ภัย
กำลังทรัพย์คับคั่งพระคลังหลวง และราษฎร์ปวงมั่งมีทวีใหญ่
กำลังพระปัญญาราชาไท และปัญญาข้าใต้บทมาลย์
เพราะปรีชาทรงฤทธิ์ยุธิษเฐียร ทรงพากเพียรดำกลผลพิศาล
ดำเนิรรัฐประศาสน์เปรื่องปราชญ์ญาณ พระสมภารแผ่ผายกำจายจร
เมื่อพระราชมหาอาณาจักร์ ล้วนพร้อมพรักภีย์โยสโมสร
เพื่อเผยเกียรติเกริกหล้าสถาพร พระภูธรเริ่มงานการมงคล
ตั้งพระราชพิธีศรีสวัสดิ์ ‘ราชสูยยัชน์’ พิพัฒน์ผล
โองการให้น้องยากรีธาพล เข้าเหยียบแดนสามนตราชา
เพื่อประกาศราชฤทธิ์ทุกทิศเทศ ย่อพระเดชอ่อนน้อมอยู่พร้อมหน้า
รับอัญเชิญท้าวไทต่างไคลคลา นำบรรณาการน้อมพร้อมทุกเมือง
พิธีราชสูยยัชน์จรัสผล ท้าวสามนต์เฝ้าแหนออกแน่นเนื่อง
มหาพราหมณ์พรหมบุตรวุฑฒิเรือง บำเพ็ญเรื่องไสยกิจทำพิธี
เฉลิมยศสมญา ‘มหาราช’ ทรงอำนาจทรงคุณวิบุลศรี
ดำเกิงเกียรติก่องหล้าทั่วธาตรี พระบุรีผาสุกสนุกสบาย
ภายหลังกิจพิธีศรีสง่า มีข่าวซ่าเซ็งแซ่ออกแพร่หลาย
บ้างชมเชียงเฉิดฉันพรรณราย ชมอุบายปกป้องครองนคร
บ้างชมวัตรจริยาประชาราษฎร์ ชมพระบาทบพิตรอดิศร
ลือถึงกรุงหัสดินยินขจร ถึงภูธรทุรโยธน์ด้วยโจษกัน-
ถึงความงามพระบุรีศรีพิพัฒน์ อินทปรัสถ์กรุงไกรไอศวรรย์
จึงลาองค์พระบิดรจรจรัล มาเยี่ยมขัณฑสีมาพระภ๎ราดร
พระเจ้าลุงนามพระ ‘ศกุนิ’ กับบริวารหลามตามสลอน
ครั้นถึงอินทรปรัสถ์ฉัตรนคร มีการต้อนรับไท้ด้วยไมตรี
มีทหารแห่แหนแสนสง่า อัญเชิญมาชมเมืองอันเรืองศรี
ทอดพระเนตรถิ่นฐานตระการมี จนถึงที่วังราชปราสาทชัย
พระปาณฑพภ๎ราดาพาพระเชษฐ์ ชมนิเวศเวียงทองอันผ่องใส
ล้วนโอฬารเลิศยิ่งทุกสิ่งไป ดังเวียงไทเทพท้าวดาวดึงส์
พระทุรโยธน์เยื้องย่างพลางพินิศ สิ่งวิจิตรเหลือการประมาณถึง
ทุกสิ่งล้วนแลเพลินเดิรตะลึง พลางรำพึงริษยาพระภ๎ราดร
ด้วยฝีมือจิตรกรรมที่ทำไว้ ทำให้ไท้ลนลานเหมือนการหลอน
เห็นผนังดังว่างเป็นทางจร พระภูธรชนกักชะงักงัน
บางแห่งไท้ทรงเพลินดำเนิรนาด น้ำพุสาดฝอยกลฝนสวรรค์
เปียกภูษาโซกกายละอายครัน บางแห่งพลันถกผ้าภูษาทรง
เห็นเป็นน้ำลำรางเป็นอ่างแก้ว หยักรั้งแคล้วคลาดคิดพิศวง
ด้วยไม่มีน้ำท่า, พาพระองค์ ตะลึงหลงจิตรกรรมซึ่งทำลวง
ทั้งนี้ทรงขวยเขินสะเทิ้นจิตต์ คะนึงคิดแค้นใจเป็นใหญ่หลวง
เธอตกลงปวงจิตต์ว่ากิจปวง ล้วนเป็นบ่วงคล้องบาทให้พลาดแพลง
บางครั้งเจ้าปาณฑพเห็นขบขัน ทรงสรวลสันต์ล้อเล่นกลับเป็นแหนง
ทรงคิดแค้นต่าง ๆ ด้วยคลางแคลง เห็นว่าแกล้งทำไว้ให้ได้อาย
กลับจากอินทรปรัสถ์ยังกลัดกลุ้ม ดังเพลิงสุมอกอยู่ไม่รู้หาย
จึงเผยแผ่ความลับที่อับอาย ออกบรรยายแก่พระศกุนิ
“พระลุงจงทรงทราบความหยาบช้า แห่งภ๎ราดาปาณฑพให้ครบสิ !
พิษมันชาบปลาบใจกระไรชิ ! มันคงตริเตรียมการไว้นานครัน
เพื่อจงหวังตั้งหน้าคิดอาฆาต หมิ่นประมาทหมายมอมกระหม่อมฉัน
ด้วยกิจการมารยาสารพัน มันพากันตามมาเหมือนหมาใน
ดูหม่อมฉันดั้นด้นเข้าชนฝา แล้วเฮฮา ! สรวลสันต์สนั่นไหว
ดูหม่อมฉันล้มหงายสบายใจ และอะไรต่ออะไรเชิญไตร่ตรอง
หน้าหม่อมฉันอ่อนกว่าฝาผนัง เมื่อชนปั๋งเข้าไปดังใครถอง
โนทันควันมันยังแสร้งแกล้งประคอง แล้วยิ้มย่องเย้ยให้ด้วยใจมาร
อนิจจา ! ขาแข้งไม่แกล้งบอก มีเปิกปอกมากอยู่โปรดดูหลาน
มันหัวเราะเยาะซ้ำเล่นสำราญ เหลือจะดาลเดือดใจดังไฟลน
ทูลกระหม่อบบิดาก็ชาเฉื่อย พระทัยเนือยไม่สังเกตในเหตุผล
เพราะเข้ายามความชรามาระคน มิได้สนหฤทัยจะใคร่ครวญ
ได้แต่ฟังมนตรีที่ปรึกษา ซึ่งเหมือนอาศิรพิษ๑๐ไม่ผิดผวน
อ้ายเหล่าร้ายขายเจ้าเฝ้าแต่กวน ทูลชักชวนท้าวให้พระทัยเบา
แบ่งเขตต์แดนหม่อมฉันให้มันกึ่ง ไม่ควรซึ่งเขาจะได้ก็ให้เขา
ไม่ช้าพระบิตุราชผู้ปราศเชาวน์ จะต้องเต้าเนรเทศถูกเฉดไป
นั่นแหละจักทรงรู้ว่างูพิษ แต่หมดคิดผันแปรเข้าแก้ไข
เพราะมันสายล้นพ้นต้องจนใจ ทั้งนี้ได้พูดพร่ำเพราะจำเป็น
มันสอพลอออเออเสนอกิจ ล้วนคายพิษอันธพาลท่านก็เห็น
ยิ่งคิดไปใจช้ำแสนลำเค็ญ แทบเลือดตาจะกะเด็นไม่เว้นวัน
มันโกยทรัพย์นับล้านให้ปาณฑพ เพราะมันคบคิดคดกบฎฉัน
มิใช่เยาว์วัยอยู่ไม่รู้ทัน จะได้ดันเสียงร้องทวงของมา
หม่อมฉันจดจำไว้ด้วยใจป้ำ จะขอทำสงครามให้งามหน้า
ขอจับอ้ายไพรีผู้บีฑา เอามาฆ่าเสียให้หมดไม่ลดกร
แล้วจะตายก็ไม่ว่าจริงหนาท่าน ขอสมการปรารถนาแห่งข้าก่อน
ที่จริงกองทวยหาญจะราญรอน ของเราอ่อนแออยู่เพราะดูดาย
ไม่เพียงพอต่อสู้หมู่อมิตร ยิ่งคิดคิดแล้วให้ฤทัยหาย
ส่วนไพรีมีพหลพลนิกาย เป็นหลายรายรวมกันล้วนมั่นคง
ทั้งม้ารถคชพลมีล้นหลาม เข้าสงครามได้ดังตั้งประสงค์
ล้วนสง่ากล้าหาญชาญณรงค์ ประหนึ่งผงตำตาพาระคาย
โอ! ชีวิตหม่อมฉันเหมือนจันทร์ดับ มีแต่อับอายอยู่ไม่รู้หาย
ชีวิตศูนย์เสียเมื่อไรไม่เสียดาย เหมือนร่างกายนกกาไม่ว่าเลย”
ศกุนิฟังไขใจกระหาย พอลงท้ายถ้อยคำร่ำเฉลย
ด้วยสันดานหยาบหยามอยู่ตามเคย คอยจ้องเอ่ยสอพลอทูลต่อเติม
เมื่อเห็นพระทุรโยธน์พิโรธร้าย จึงบรรยายยุยงทูลส่งเสริม
ให้เคืองแค้นแน่นหนาขึ้นกว่าเดิม แล้วจึงเริ่มบรรยายขยายกล
“ซึ่งรับสั่งทั้งนี้ไม่มีผิด เพราะเหลือคิดจะประจัญให้ยั่นย่น
ด้วยปาณฑพครบถ้วนกระบวนพล มีสามนตกษัตริย์จรัสฤทธิ์
ถึงแม้เราเบาบางในทางยุทธ์ ไม่ควรหยุดยั่นท้อระย่อจิตต์
ซึ่งตรัสว่า ‘อยากตายวายชีวิต’ นี้ยังผิดท่วงทีวีรชน
เหมือนปลาหมอต่อสู้ฤดูแล้ง จนเกล็ดแห้งก็ยังเกลือกเฝ้าเสือกสน
หมดแรงกายหมายแสวงทางแรงกล ไม่ควรย่นย่อใจคิดใคร่ตาย
ความขายหน้าอาภัพเหมือนกับแผล มียาแก้เหมาะกันก็พลันหาย
ความชะนะจะเป็นยาพาทำลาย ให้ความอายแห้งเหือดไม่เดือดแด
ก่อนความอายอัปยศจะหมดศูนย์ ขอทำนูลแนะยารักษาแผล
คืออุบายการพะนันคิดผันแปร เปนกลแก้แค้นเขาอย่างเบาใจ
ยุธิษเฐียร, พระองค์ก็ทรงเห็น เธอชอบเล่นสะกามาแต่ไหน
เชิงสะกาข้าบาทขยาดใคร อาจเอาชัยด้วยอุบายเป็นก่ายกอง
เอาโลหะถ่วงไว้ในลูกบาศก์ ถึงสามารถมือดีไม่มีสอง
ก็แพ้ขาดอาจล่อต่อให้รอง ยั่วให้กองเดิมพันธุ์ขันทวี
เจ้าปาณฑพมือดีแต่ทีเซ่อ ถึงแม้เธอดีอย่างไรเราไม่หนี
ล่อให้เธอมีชัยจนได้ที แล้วขยี้เสียให้แย่เหลือแต่ตัว
จักให้ถึงถือกะลาเป็นยาจก บ้านเมืองตกเป็นของเราเอาให้ทั่ว
เมื่อเห็นความโง่เขลายิ่งเมามัว จึงค่อยยั่วเย้าใจให้พะนัน
ถ้ามีชัยคืนถิ่นทั้งสินทรัพย์ ถ้าแพ้ขับเนรเทศจากเขตต์ขัณฑ์
ให้ซัดเซเตร่ไปในอรัญ สิบสองพรรษากาลคงลาญชนม์
ขอพระองค์จงตรองให้ถ่องแท้ ข้าบาทแน่ใจเห็นว่าเป็นผล
ไม่อาจผลาญไพรีด้วยรี้พล แต่ผจญด้วยอุบายคงพ่ายเรา”
พระทุรโยธน์ฟังลุงปรุงประจบ ยินดีลบล้นเหลือทรงเชื่อเขา
คิดอาฆาตญาติตัวจนมัวเมา สั่งให้เจ้าศกุนิเริ่มริการ
  1. ๙. อ่าน ‘ราดชะสูยะยัด’ (ยัชน์ คือ ยัญญ์ในภาษาบาลี) พิธีราชสูยะนี้ เป็นพิธีประกาศความเป็นราชาธิราชของกษัตริย์อินเดียโบราณ นับว่าใหญ่กว่าพิธีอัศวเมธ (ปล่อยม้าอุปการ) คือต้องเชิญกษัตริย์ผู้อ่อนน้อมแล้วมาประชุมด้วย แต่พิธีอัศวเมธนั้นไม่ต้องเชิญกษัตริย์นั้นๆมาประชุมด้วย

  2. ๑๐. เป็นคำสันสกฤตว่า งู ที่เราใช้เพี้ยนเป็น อศรพิษ,

แชร์ชวนกันอ่าน

แจ้งคำสะกดผิดและข้อผิดพลาด หรือคำแนะนำต่างๆ ได้ ที่นี่ค่ะ