บทที่ ๑๕ ท้ายสงคราม

บัดนี้การรบราน่าสยด ยิ่งปรากฏร้ายกาจน่าหวาดหวั่น
เพราะที่สุดแห่งกิจคิดประจัญ จวนจะบรรลุเสร็จสำเร็จลง
พินิศดูแดนดินถิ่นสมร มีหญ้าบอนแหลกลุ่ยเป็นผุยผง
ดื่นด้วยศพนักประจัญผู้ยรรยง ม้าช้างลงล้มกลาดปราศวิญญาณ
มีรถปรักหักจมบ้างล้มคว่ำ เห็นกงกำหักกระเด็นอยู่เพ่นพ่าน
ร่างนักรบหรุบดิ้นจวนสิ้นปราณ โลหิตซ่านโซมสาดดังชาดทา
ที่ล้มตายกายกลาดดื่นดาษทุ่ง ส่งกลิ่นฟุ้งเฟื่องกลบตลบหล้า
ดูยิ่งแสนสมเพชเวทนา ดังป่าช้าศพกลาดอนาถนอน
บ้างบาดแผลเหวอะหวะระดะดาษ มือเท้าขาดครวญครางกลางสมร
ต้องหามกลับจับจุงพะยุงจร แลสลอนล้นหลามสนามรณ
พอรุ่งสางแสงทองขึ้นผ่องฉัน ต่อจากวันเการพประสพผล
คือฆ่าท้าวท๎รุบทปลิดปลดชนม์ และรี้พลปาณฑพต้องหลบลาญ
ธฤษฎทยุมน์โอรสท๎รุบทราช คิดอาฆาตศัตรูผู้ประหาร
พระบิดาภูบดินทร์ถึงสิ้นปราณ เธอเตรียมการแก้แค้นแทนบิดร
พอเสร็จสรรพขับพลเที่ยวค้นคว้า ผู้ที่ฆ่าบิตุรงค์ผู้ทรงศร๒๗
หวังจะฆ่าให้ม้วยด้วยพระกร หรือไม่ก็ม้วยมรณ์ตามบิดา
พระภีมทราบความหมายจึงผายผัน ยึดพระหัตถ์ตรัสบรรยายว่า
เธอเป็นเด็กอ่อนข้างทางปัญญา จักสู้อาจารย์เฒ่าเขาอย่างไร
โท๎รณาจารย์ปานว่าภักษาหาร อันแข็งกร้านหนืดเหนียวสุดเคี้ยวไหว
เขี้ยวเธอยังอ่อนนักจะหักไป จงปล่อยให้ข้าเคี้ยวเพราะเขี้ยวทน
คือให้เราเข้าแทนแก้แค้นท่าน เพื่อรำบาญให้ประจักษ์อีกสักหน
ผลักเจ้าชายให้กลับแล้วขับพล บุกเข้ารณรบรากับอาจารย์
ทั้งสองข้างต่างชาญในการยุทธ์ เข้ารีบรุดรบร้าด้วยกล้าหาญ
ตะลุมบอนบุกบันประจันบาญ เปนช้านานก็ไม่แพ้ลงแก่กัน
พระกฤษณ์เห็นรบไปก็ไร้ผล เสียรี้พลเสียแรงผู้แข่งขัน
สองฝีมือยอดเยี่ยมต่างเทียมกัน จำต้องหันหาเล่ห์เพทุบาย
จึงแนะนำทรงฤทธิ์ยุธิษเฐียร ให้ผลัดเปลี่ยนเชิงรณคิดขวนขวาย
ใช้ปัญญาอิงแอบเป็นแยบคาย แทนกำลังพลนิกายดังก่อนมา
ยุธิษเฐียรฟังคำแนะนำนี้ ภูบดีมิได้เห็นเช่นปรึกษา
ทรงเห็นเป็นอธรรม์ผิดจรรยา ซึ่งจะพาเกียรติยศให้หมดไป
ที่ปรึกษาทั้งนั้นฟังบรรหาร ทูลทัดทานชี้แจงแถลงไข
“เล่ห์กลการราญรอนแต่ก่อนไกล ไม่มีใครถือว่าเป็นอาธรรม
นายทัพดีปรีชาย่อมสามารถ เฉลียวฉลาดเล่ห์ลมล้วนคมขำ
รี้พลเป็นเพียงทุนหนุนประจำ เพื่อให้ดำเนิรคล่องตามคลองการ
ข้าบาทขอรับประกันด้วยมั่นจิตต์ ว่าไม่ผิดคลองธรรม์อย่างบรรหาร
ขอพระองค์จงได้ใฝ่พิจารณ์ ถึงความผิดคิดพาลแห่งไพรี
ล้วนกลโกงร้ายกาจอุบาทว์เหลือ ไม่เอื้อเฟื้อใฝ่รักซึ่งศักดิ์ศรี
ให้เรารับยากแค้นแสนทวี เรารบนี้เพื่อจักกู้ศักดิ์เรา
เพียงแต่ใช้เล่ห์กลประจญศึก ก็ให้นึกบาปกรรมไม่ทำเขา
ถ้านึกเกรงศัตรูจักดูเบา จะรบเอาอันใดเสียไพร่พล
ควรอ่อนน้อมไพรีเสียดีกว่า ไม่ต้องพร่าชีพไพร่โดยไร้ผล
พระองค์ลืมแล้วกระมัง, เราหวังรณ เพื่อดำกลกู้ธรรมให้ดำรง
การอธรรมซึ่งเขาเผาปราสาท ถ่วงลูกบาศก์ด้วยจิตต์คิดประสงค์
ริบสมบัติให้สิ้น, หมิ่นพระองค์ กับอนงค์กฤษณาต่อหน้าคน”
ยุธิษเฐียรฟังคำที่ร่ำไข รู้สึกให้ร้อนรุ่มทุกขุมขน
ด้วยความแค้นแน่นอัดกลัดกมล อัสสุชลชุ่มเนตรเทวษทรวง
ทรงยืนงันนิ่งชะงักพระพักตร์ก้ม กลั้นระทมหฤทัยอันใหญ่หลวง
ที่ปรึกษาภูบดินทร์สิ้นทั้งปวง ต่างนึกล่วงรู้ประสงค์ว่าทรงยอม
จึงพร้อมกันใช้กลประจญศึก ด้วยเลศลึกลับลี้วิธีอ้อม
เพื่อเอาชัยแก่ท่านอาจารย์จอม- นักรบเลิศเพริศพร้อมวิชชาการ
ทันใดนั้นจึงพระภีมราช เข้าพิฆาตเข่นฆ่าพญาสาร
ชื่อ ‘อัสวัตถามัน’ หากบันดาล พ้องชื่อบุตรอาจารย์ผู้ร่วมใจ
พอช้างล้มเสียงร้องก้องสนั่น ว่า “อัศวัตถามันชีพกษัย”
ต่างโจษกันลั่นอึงคะนึงไป พอพวกไพรีทราบวาบกมล
วิตกว่าบุตรชายท่านนายทัพ ชีวิตดับหรือไฉนให้ฉงน
ต่างไปหาอาจารย์ออกลานลน เล่ายุบลตามนัยที่ได้ยิน
โท๎รณาจารย์ฟังไขสงสัยล้น ด้วยบุตรคนเดียวให้ใฝ่ถวิล
หวั่นวิตกอกดังจะพังภินท์ ถึงแก่สิ้นคิดอ่านการประจญ
เพื่อทราบแน่เนื้อความเที่ยวถามไต่ ไม่มีใครทราบแจ้งทุกแห่งหน
วางอาวุธวิ่งข้ามสนามรณ มายังค่ายนายพลแห่งไพรี
ด้วยเชื่อว่าบพิตรยุธันเฐียร ไม่พูดเพี้ยนผิดผวนสงวนศรี
ครั้นมาถึงท้าวไทไขวจี ถามเรื่องที่พิศวงกะทรงธรรม์
“ข้าแต่ท่านผู้ทรงดำรงสัตย์ ไม่เคยตรัสเบี่ยงบิดให้ผิดผัน
ด้วยมีเสียงอึงอื้อเล่าลือกัน ว่าอัศวัตถามันถูกฆ่าตาย
จะเป็นจริงหรือไฉนข้าใคร่รู้ โปรดเอ็นดูข้าเจ้า, เล่าขยาย
ข้าหวังว่าทรงธรรม์จะบรรยาย ให้คลี่คลายสงกาข้าพระองค์”
ยุธิษเฐียรฟังความให้หวามหวั่น เพราะถ้าบรรยายตามความประสงค์
ก็เสียข้างทางกลรณรงค์ พระจึงทรงตอบไปแต่ใจความ
ว่า “อัศวัตถามันดับขันธ์แน่” โท๎รณะฟังพระกระแสร์ฤทัยหวาม
ไม่พักหวังตั้งหน้าพยายาม จะซักถามเรื่องราวกะท้าวโท
คิดว่าบุตรตายแน่ไม่แปรผัน ลาทรงธรรม์กลับมาหาช้าไม่
โทมนัสส์รัดรึงตรึงหัวใจ หมดอาลัยที่จะอยู่เป็นผู้คน
ธฤษฎทยุมน์หนุ่มน่อยซึ่งคอยท่า เห็นโท๎รณาจารย์ซบสยบย่น
ยืนดังหุ่นขุ่นใจไม่ใฝ่รณ สมกมลแก้แค้นแทนบิดา
จึงแผลงศรปราด ๆ สาดประหาร ถูกอาจารย์ม้วนคว่ำคะมำหน้า
ดับสติดับขันธ์ดับปัญญา ดับวิชชาเชี่ยวชาญการสงคราม
ดังดวงไฟไหววับแล้วดับวูบ ศรีรรูปนอนพับทับสนาม
เสียงโยธีนี่นันก็พลันทราม เหมือนทำความคารวะผู้ละชนม์
บัดนี้ทัพเการพสยบย่อ ต่างรีรอเร่รับอยู่สับสน
ด้วยเสียผู้นายทัพบังคับพล แต่ละคนเชี่ยวชาญการประจัญ
ลำดับนั้นองค์พระทุรโยธน์ มิได้โปรดนำพหลพลขันธ์
พลางเสด็จรีบมาหาพระกรรณ แล้วทรงบัญชาให้นำไพร่พล
“พระกรรณเอ๋ย ! สงครามณยามนี้ ย่อมเข้าที่ใกล้วิบัติถึงขัดสน
ท่านผู้เดียวเชี่ยวชาญในการรณ อาจประจญแก้กันอันตราย
พระภิษม์ผู้เลิศลือฝีมือรบ อาจสังหาญปาณฑพแหลกสลาย
แต่ลำเอียงรักเขามือเท้าตาย ไม่มุ่งหมายชิงชัยด้วยใจจริง
โท๎รณาจารย์การยุทธ์สุดประเสริฐ ก็มาเกิดเห็นแก่ศิษย์ให้คิดกริ่ง
ด้วยรักศิษย์จิตต์ใจให้ประวิง ไม่กล้าชิงชัย, กลับประคับประคอง
เป็นโชคดีนี่กระไรที่ได้ท่าน ไม่มีการขาดตกข้อบกพร่อง
มีแต่สัตย์สุจริตน้ำจิตต์ปอง กุ้เกียรติของเราคืนอยู่ยืนยง
จงนำทัพขับพลเข้ารณรบ ตีปาณฑพให้กระจุยเป็นผุยผง
เพื่อเชิดชื่อวีรชาติผู้อาจอง กู้เกียรติวงศ์เการพตลบไป”
พระกรรณฟังวาจาบัญชาตรัส โสมนัสยินดีจะมีไหน
กราบลงแทบบาทมูลแล้วทูลไท “ข้าแต่พระภูวไนยนเรนทร
ข้าขอน้อมจิตต์กายถวายสัตย์ ปฏิบัติชิงชัยในสมร
ด้วยจงรักหนักแน่นไม่แคลนคลอน จนชีวาตม์ขาดรอน, ในถิ่นรณ”
แล้วน้อมเกล้าลาพระทุรโยธน์ พระพักตร์โชติช่วงสียินดีล้น
ขับรถคึกฮึกใจนำไพร่พล เจ้าประจญโจมตีไม่รีรอ
ชักรถรุนฝุ่นกลบตลบฟุ้ง สะท้านทุ่งเปรี้ยง ๆ ด้วยเสียงล้อ
พร้อมรี้พลรนรุนหนุนชะลอ เป็นที่ย่อแหยงสิ้นทั่วดินแดน
จิตต์พระกรรณนั้นมาดอาฆาตคิด เอาชีวิตอรชุนด้วยครุ่นแค้น
ตั้งพระทัยใคร่ขยี้ให้บี้แบน นี้เป็นแผนภาคต้นรณรงค์
อรชุนนั้นไซร้ก็ใฝ่ฝัน ล้างพระกรรณเป็นวิธีที่ประสงค์
“เการพสิ้นวีรชาติผู้อาจอง พระกรรณคงเหลืออยู่แต่ผู้เดียว
ถ้าพิฆาตฆ่าฟันพระกรรณได้ เการพไร้วีรชาติคงหวาดเสียว
ดังด้ายสี่เกลียวซึ่งเหลือหนึ่งเกลียว ค่อย ๆ เหนี่ยวก็จะขาดพินาศลง”
ทั้งสองฝ่ายหมายขวัญกันฉะนี้ ต่างเข้าตีตามจิตต์คิดประสงค์
เมื่อนายทัพขับพลรณรงค์ ไม่ช้าตรงมาประจบกระทบกัน
ต่างสมมาดปราดใส่มิได้ละ เสียงเอะอะอึกทึกพิลึกลั่น
ทหารดาพจาบจ้วงทะลวงฟัน พวกหอกผันเผ่นโผนกะโจนแทง
พวกง้าวเงื้อง้าวฟาดเสียงฉาดฉับ เสียงขวับๆ!หวือว่อน,พวกศรแผลง
ตะลุมบอนบุกบันประชันแรง ต่างกำแหงต่อกำแหงแข่งประจัญ
พระกรรณโถมโหมหักดังจักรหมุน อรชุนโหมหักดังจักรผัน
ต่างบันดาลโทษะไม่ละกัน ตัวต่อตัวพัวพันเพ่งผจญ
ต่างหันเหียนเปลี่ยนท่าเปลี่ยนอาวุธ อุดตลุดรุกรับอยู่สับสน
จนสายัณห์ย่ำพลบสงบรณ ด้วยฆ้องกลองกาหลบอกสัญญา
ทั้งสองข้างต่างขับพลกลับค่าย คิดมุ่งหมายรบกันในวันหน้า
เพราะไม่เสร็จสมมาดตอาตมา ยิ่งเพิ่มอาฆาตแค้นแสนทวี
พระทุรโยธน์ร้อนใจดังไฟสุม นัดประชุมพร้อมกันขมันขมี
พอนายทัพนั่งครบสงบดี ท้าวจึงมีบัญชาทรงหารือ
“ท่านเอ๋ย ! เรารบรับอย่างคับขัน สิบหกวันล่วงไปมิใช่หรือ
เสียรี้พลกลศึกออกลึกลือ ผู้มีชื่อเชี่ยวชาญก็ลาญชนม์
ดูเถิดเสียย่อยยับนับไม่ถ้วน ทั้งนี้ล้วนเสียไปด้วยไร้ผล
มีแต่บ้าเลือดใส่เสียไพร่พล จะมีชัยได้สักหน, ไม่เห็นเลย”
ทุรโยธน์รับสั่งมาทั้งนี้ เพราะว่ามีความในมิได้เผย
สิบสี่วันล่วงไปไม่สะเบย มิได้เคยปลอดโปรงโล่งพระทัย
ถึงแม้ทัพเธอได้ชัยชะนะ ก็ไม่ละล่มพรั่นคิดหวั่นไหว
ทรงร้อนตัวกลัวศัตรูจักกู้ชัย เฝ้าฝักใฝ่ตรึกตรองคิดป้องกัน
ถ้าเกิดทุกข์ขลุกขลักขึ้นสักหน พระกมลหมกมุ่นคิดหุนหัน
ว่านายทัพลำเอียงไม่เที่ยงธรรม์ ทรงแกล้งกลั่นกล่าวว่าสารพัตร
ติพระภิษม์โท๎รณะไม่ละลด ว่ากบฏบากหนีไม่มีสัตย์
พอพระทัยในพระกรรณมั่นมนัส มุ่งจะผลัดเปลี่ยนให้นำไพร่พล
อันที่แท้หฤทัยเธอไม่มั่น ให้คิดหวั่นแต่ระแวงทุกแห่งหน
เห็นผู้อื่นเหลวใหลดังใจตน จึงร้อนรนรวนเรคิดเปรปรวน
พระองค์เป็นเช่นฉันไม้บรรทัด สำหรับวัดเครื่องประกอบการสอบสวน
เมื่อบรรทัดไม่จริง, สิ่งทั้งมวล ก็ผิดผวนไปทั้งนั้นไม่มั่นคง
แม้ของแท้แน่นอนไม่คลอนเคลื่อน แต่เครื่องวัดเลื่อนเปื้อนก็พาหลง
ผู้สมัครรักธรรมควรจำนง เสาะประสงค์เครื่องวัดที่ชัดจริง
พระกรรณฟังคำพระทุรโยธน์ ซึ่งได้โปรดตรัสถ้อยอย่างอ้อยอิ่ง
คงเห็นว่านายไพร่ใฝ่ประวิง ไม่เข้าชิงชัยดังตั้งพระทัย
ซึ่งตรัสนี้มุ่งหมายให้นายทัพ กราบทูลรับปฏิญญาณศาบานให้
เพื่อมิให้หนักหน่วงด้วยห่วงใย เธอจึงไขวาจาทูลศาบาน
“ถ้าพรุ่งนี้อรชุนเข้ารุนรบ จักเป็นศพแม่นมั่นอย่างบรรหาร
ไม่เช่นนั้นข้าบาทก็ขาดปราณ อย่างอาจารย์โท๎รณะและพระภิษม์”
ทุรโยธน์ฟังคำที่ว่าขาน ยินดีปานเธอได้ไปดุษิต
มั่นพระทัยในพระกรรณสำคัญคิด ว่าจักสิทธิ์สมหวังดังกมล
ทรงอวยชัยให้พรแล้วจรกลับ ด้วยหมดคับแคบคิดจิตต์ฉงน
เข้าประทมหลับสนิทปลิดกังวล ตลอดจนรุ่งแจ้งแสงตะวัน
หมอกตลบกลบฟ้าเวลาเช้า เสียงดุเหว่าวู้, ! จ้าไก่ป่าขัน
หอมดอกไม้ในป่าสารพัน ส่งกลิ่นรัญจวนใจพวกไพร่พล
ทุรโยธน์ฟื้นองค์สรงสนาน สุคนธ์ธารโปรยปรอยเป็นฝอยฝน
เสวยเสร็จทรงเครื่องเรืองสกนธ์ ขันรถรณยาตราพลากร
รถพระกรรณลั่นก้องท้องสนาม รี้พลหลามล้วนหาญชาญูสมร
พระศัลย์เป็นสารถีขับรี่จร มีธงทิวปลิวสลอนเป็นหลั่นมา
มุ่งชิงชัยอรชุนด้วยครุ่นแค้น ขับรถแล่นแลเล็งเที่ยวเพ่งหา
มาจนไกลไม่พบประสพตา นึกไปว่าไพรีหลบลี้กาย
จึงกล่าวกับสารถี ดูซี! ศัลย์ ข้าศึกยั่นแหยงกลัวมุดหัวหาย
สารถียืนยันบรรยาย ว่า “อรชุนชาติชายผู้ชาตรี
ยอมสามารถอาจหาญในการรบ คงไม่หลบหลีกกายคิดหน่ายหนี
ท่านแหละควรเตรียมองค์ให้จงดี ไม่นานกี่อึดใจคงได้พบ”
พระกรรณฟังทานทัดสะบัดพักตร์ เร่งให้ชักรถรุนฝุ่นตลบ
โกรธพระศัลย์บั่นบุกเข้ารุกรบ ไม่ประสพอรชุนขุ่นพระทัย
ยุธิษเฐียรเห็นเหล่าพวกเการพ ตีตลบล้ำหน้าเข้ามาใกล้
ทรงรถรบเร่งขับกองทัพชัย ต้านทานไว้มิให้ล้ำรุกรำบาญ
พลนิษัท๒๘ขัดขวางเข้ากางกั้น แต่พระกรรณตีพ่ายกระจ่ายพล่าน
พ้นนิษัท, พลขันธ์พวกบัญจาล,๒๙ พระกรรณราญรบพ่ายกระจายเตียน
เลยบั่นบุกรุกรุดไม่หยุดหย่อน ปะทะทัพภูธรยุธิษเฐียร
ขับพลพุ่งมุ่งรณไม่วนเวียน ดังเสือร้ายหมายเพียรตะครุบวัว
ทั้งสองทัพขับพลเข้ารณรบ ฝุ่นตลบแหล่งหล้าสีฟ้าหลัว
ต่างยุทธ์แย้งแทงฟันอยู่พันพัว สะท้านทั่วถิ่นรณกลทำลาย
ยุธิษเฐียรแผลงศรสะท้อนลั่น ถูกพระกรรณถากไปทางไหล่ซ้าย
พระกรรณแผลงศรสนองมาต้องกาย ธรรมบุตรเกราะกระจายจากพระองค์
ถึงกระนั้นบพิตรยุธิษเฐียร ทรงพากเพียรต่อสู้ไม่ยู่ย่น
ม้าพระองค์ล้มดินลงสิ้นชนม์ ธงชัยป่นปี้ลงกลางสงคราม
รถพระองค์กงแยกแตกสลาย เลยทะลายแหลกล้มจมสนาม
ทรงเผ่นลงพสุธาพยายาม รบด้วยความบากบั่นไม่พรั่นภัย
จนต้องศรสำคัญพระกรรณแผลง โลหิตแดงดาษโซมชะโลมไหล
พระกายสั่นรัวริ้วหวิวพระทัย ถึงแก่ไพร่พลหลามเข้าหามมา
ถึงค่ายต่างวางองค์ลงบนแท่น ต่างเผ้าแหนฟูมฟักรีบรักษา
ชำระแผลแก้กันน้ำมันทา จนราชาฟื้นองค์ทรงสบาย
แต่พระองค์ทรงแค้นแน่นมนัส ให้ทรงอัดอั้นอยู่ไม่รู้หาย
ประทมแผ่แน่นิ่งไม่ติงกาย ด้วยระคายขัดข้องหมองพระทัย
พระองค์พ่ายไพรีคราวนี้นั้น เป็นสำคัญยิ่งล้นกว่าหนไหน
ไม่ใช่ท้าวอ้อยอิ่งเรื่องชิงชัย และไม่ใช่ท้าวขลาดหวาดกมล
ไม่ใช่เจ็บบาดแผลถึงแน่นิ่ง เป็นเพราะยิ่งตรึกตรองยิ่งหมองหม่น
ความแค้นกับความเศร้าเข้าระคน ให้จุมพลหลับเนตรเทวษตรม
อรชุนรบราญอยู่ด้านหนึ่ง พอทราบซึ่งข่าวศาส์นปานจะล้ม
รีบผละจากชิงชัยใจระทม ให้ผู้รองอยู่ระดมรบไพรี
เดิรตัวสั่นหวั่นใจเข้าในค่าย รีบผันผายเร็วพลันขมันขมี
เข้าเฝ้าองค์เชฎฐาไม่ช้าที พอถึงทำอัญชลีตะลึงลาน
ยุธิษเฐียรทรงถามด้วยความขุ่น “อรชุนหรือใครไฉนท่าน
ฆ่าอ้ายกรรณแล้วหรือยังขอฟังการณ์ เร็ว! จงขานบอกฉันให้ทันที”
อรชุนคลาไคลเข้าไปชิด และพระกฤษณ์ตามไปถึงในที่
อรชุนพลันทูลมูลคดี “ข้าบาทนี้คือพระอรชุน
อันพระกรรณนั้นไซร้มิได้ฆ่า” ฝ่ายพระกฤษณ์เกรงว่าจะเฉียวฉุน
ครั้นเห็นว่าพระองค์ยังงงงุน พระทัยขุ่นแค้นอย่มิรู้วาย
จึงบอกใบ้อรชุนกระตุ้นหลัง เพื่อให้ยั้งหยุดคำพร่ำถวาย
แล้วชิงทูลทรงธรรม์บรรยาย หวังให้คลายขุ่นแค้นแน่นกมล
“อรชุนวุ่นราญอยู่ด้านหนึ่ง ไม่ทราบซึ่งท้าวไทเพราะไกลล้น
ครั้นทราบเรื่องภูธรจึงร้อนรน รีบมาเฝ้าจุมพลเพราะห่วงใย”
ยุธิษเฐียรทรงฟังยิ่งคั่งขุ่น ทรงเฉียวฉุนพ้อว่าไม่ปราศรัย
“อรชุน! เธอเป็นไปเช่นไร จึงมีใจขลาดเป็นเช่นสตรี
เธอแต่งกายโอ่อ่าถืออาวุธ เป็นนักยุทธ์สารพัตร, แต่บัดสี
ที่ย่นย่อท้อใจเกรงไพรี มิควรที่แต่งกายเป็นฝ่ายรณ
จงวางศรทิพย์เธออย่าเห่อถือ อยู่กับมือท่านไปก็ไร้ผล
จงมอบให้ใครเขาเข้าประจญ แล้วจงด้นหนีให้พ้นภัยพาล
ไปซุกซอนนอนหลับระงับขลาด ให้อ้ายชาติชั่วช้ามันมาผลาญ
ซึ่งมิตรญาติย่อยยับอัประมาณ ปล่อยอ้ายพวกอันธพาลมันมีชัย”
อรชุนฟังคำธร่ำตรัส สารพัตร์พ้อว่าไม่ปราศรัย
เหยียดเธอเป็นเช่นอย่างคนห่างไกล ซึ่งมิใช่พี่น้องร่วมท้องกัน
แสนพิโรธร้อนใจดังไฟสุม เอามือกุมด้ามกระบี่ขมีขมัน
ลืมสังเกตเชฏฐาตาเปนมัน พระองค์สั่นชักกระบี่ต่อพี่ชาย
พระกฤษณ์เห็นอรชุนโกรธงุ่นง่าน มีอาการวิปลาสเกินคาดหมาย
เกรงจะก่อเกิดเรื่องเคืองระคาย จึงยุดกายอรชึนกระตุ้นองค์
กระซิบให้เอากระบี่สวมที่ฝัก แล้วทรงตักเตือนใจที่ใหลหลง
ทันใดจึงอรชุนหายงุนงง พักตร์ซีดทรงอับอายบรรยายทูล
“ขอพระองค์ทรงโปรดยกโทษข้า ซึ่งหยาบช้าดูหมิ่นนรินทร์สูร
ด้วยบันดาลโทษะเพิ่มประมูล เข้าพอกพูนพาหลงงุนงงไป”
ธรรมบุตรยุดหัตถ์ตระหวัดสอด- พระกรกอดน้องชายบรรยายไข
“พี่ไม่เอาโทษน้องอย่าหมองใจ ลองพระทัยน้องดอกจะบอกตรง
น้องมิได้มีผิดสักนิดหนึ่ง พี่แหละขึ้งขุ่นจิตต์คิดประสงค์
จะแก้แค้นไพรีมีจำนง เพื่อยุยงยั่วให้ชิงชัยแทน
ขอโทษพี่ที่หยาบจ้วงจาบเจ้า ด้วยร้อนเร่าอารมณ์ระทมแสน
เจ้าจงออกต่อตีให้บี้แบน เพื่อแก้แค้นพี่ยาในครานี้
พี่ขออวยพรให้ได้สวัสดิ์ เพิ่มพิพัฒน์ไพบูลย์จรูญศรี
จงพิฆาตฆ่าฟันประจัญตี พวกไพรีราบสิ้นทุกถิ่นทาง”
อรชุนฟังไท้พิไรตรัส น้ำเนตรหยัดหยดย้อยอยู่พร้อยพร่าง
ทูลด้วยเสียงสั่น, แสนแค้นระคาง “ข้าขออ้างปฏิญาณศาบานตน
ข้าขอสวมเกราะนี้ไม่มีปลด กว่าจะหมดสิ้นกิจสัมฤทธิผล
คือฆ่าอ้ายกรรณให้บรรลัยชนม์ พระจุมพลจงเห็นเปนพะยาน”
พลางอำลาไท้ออกมานอกค่าย ขึ้นรถร่ายรี่ไปด้วยใจหาญ
ขับพลเข้าตีฝ่าหน้ากะดาน เสียงสะท้านถิ่นยุทธ์เพียงทรุดโทรม
พระกรรณเห็นอรชุนเข้ารุนรุก ขับรถบุกบันฝ่าเข้าถาโถม
พลสองข้างต่างกรูเข้าจู่โจม ต่างหักโหมห้ำหั่นประจัญบาน
สองนักยุทธ์, ยุทธ์ปะทะไม่ละลด สองเผยยศ, ยศอย่างทางทหาร
สองนักรบ, รบร้ากันมานาน สองนักรณ, รณการต่างเทียมกัน
ครั้งนี้ต่างหมายยุทธ์อย่างสุดฤทธิ์ มิได้คิดชีวาตม์ขยาดยั่น
ต่างแผลงศรสาดส่งดูยงยรร ต่างป้องกันศรแสงแผลงประจญ
ลูกศรแห่งอรชุนหนุนสะพรั่ง ส่งเสียงดังหวือ! มาเป็นห่าฝน
ถูกเการพนายไพร่บรรลัยชนม์ ล้มกลิ้งกล่นกลาดพื้นออกดื่นไป
ศรพระกรรณพรูพรั่งเข้าสังหาร ปาณฑพลาญชีพยับไม่นับได้
สำเนียงศรศักดิ์สิทธิ์ฤทธิไกร สนั่นไหวว่อนหวือ! อยู่อื้ออึง
อรชุนวุ่นแผลงซึ่งแสงศร จนสายกร่อนแผลงปราดก็ขาดผึง
พัลวันงันงกตกตะลึง ทันใดจึงร้องขอต่อพระกรรณ
เพื่อหยุดรอพอผ่อนซ่อมศรได้ ตามแบบในกาลก่อนเคยผ่อนผัน
คือต่างไม่หักโหมโจมประจัญ ข้าศึกอันเสียท่าไร้อาวุธ
แต่พระกรรณนั้นจ้องปองพิฆาต ได้โอกาสแผลงศรไม่หย่อนหยุด
ไม่ต้องพักฝักใฝ่วินัยยุทธ์ ใฝ่แต่รุดรีบราญเพื่อผลาญชนม์
อรชุนเชี่ยวชาญการสมร หลบลูกศรวุ่นว้าโกลาหล
พระกฤษณ์ก็ไวว่องทำนองรณ ขับรถวนเวียนหันป้องกันนาย
ต่างหลีกหลบไพรีซึ่งตีต้อน จนซ่อมศรเสร็จสมอารมณ์หมาย
ก็ขับรถรี่รุกบุกตะกาย ดังลมร้ายพัดวู่เข้าจู่โจม
ต่างบันดาลโทษะเข้าประชิด สำแดงฤทธิ์แรงกล้าเข้าถาโถม
สำเนียงขับรถศึกดังครึกโครม สำเนียงโทรมศรศรีดังนี่นัน
ทั้งสองข้างต่างชาญในการรบ ทั้งหลีกหลบล่อลองผยองผัน
จนอ่อนใจไม่แพ้ลงแก่กัน ขับรถหันหาช่องจ้องประจญ
รถพระกรรณเกิดพล้ำถลำหล่ม ลูกล้อจมเอียงข้างอยู่กลางหน
พระกรรณจึงร้องขอให้รอรณ ตามยุบลแบบบทกฎสงคราม
พระกฤษณ์เห็นเป็นท่าจึงว่าขาน “โอ้! ผู้ชาญชิงชัยในสนาม
ท่านก็มีเกียรติยศปรากฏนาม ท่านเห็นงามอย่างไรไฉนกัน
อรชุนขอผ่อนซ่อมศรเขา ท่านกลับเข้าราญรอนไม่ผ่อนผัน
มุ่งประหารด้านดื้อไม่ถือธรรม์ เอาเป็นอันเลิกธรรมทางรำบาญ
ยามท่านพลาดพลั้งเพลียลงเสียท่า กลับยื่นหน้าพื้นธรรมมาร่ำขาน
ท่านถือธรรมยามเพลียจะเสียการณ์ ยามโอฬารละธรรม์ไม่ผันยล
โกงสะการิบทรัพย์ขับเจ้าของ นั่นหรือคลองธรรมเลิศประเสริฐผล
ประจานเจ้ากฤษณาต่อหน้าชน นั่นหรือคนมีธรรมอันอำไพ
อภิมันยุตาย, อุบายท่าน รุมกันผลาญเด็กผู้เดียวน่าเสียวไส้
โดยไม่มีบาดหมางแต่อย่างไร นั่นหรือใฝ่รบอย่างหนทางธรรม์”
พระกรรณฟังทรงฤทธิ์พระกฤษณ์ไข ละอายใจจนงงพระองค์สั่น
โจนจากรถรี่รุกบุกประจัญ โทษะบันดาลกลุ้มเข้ารุมจิตต์
อรชุนได้ช่องดังปองหมาย ชักศรทิพย์พาดสายหมายชีวิต
แล้วแผลงลงตรงเศียรไม่เพี้ยนผิด ถูกอมิตรล้มผางลงกลางแดน
พระกายสั่นริกอยู่สักครู่หนึ่ง แล้วทะลึ่งเลยชักพระพักตร์แหงน
สิ้นชีวิต, สิ้นกอบการตอบแทน หมดเคืองแค้นคิดหมายทำร้ายใคร
  1. ๒๗. ผู้ทรงศร หมายความว่า พระผู้ชำนาญในการศร เป็นคำยกย่องกษัตริย์ผู้เป็นนักรบ ในภาษาไทยใช้กันมาก จึงขอใช้บ้าง.

  2. ๒๘. พลนิษัท คือพลทหารเมืองนิษัทซึ่งยกมาช่วยฝ่ายปาณฑพ

  3. ๒๙. พวกบัญจาล คือทหารเมืองบัญจาล ซึ่งเปนเมืองท้าวทุรบท บิดานางเท๎ราปที.

แชร์ชวนกันอ่าน

แจ้งคำสะกดผิดและข้อผิดพลาด หรือคำแนะนำต่างๆ ได้ ที่นี่ค่ะ