บทที่ ๑๒ ความวิตกของทุรโยธน์

ขอกลับกล่าวข่าวพระทุรโยธน์ ซึ่งพิโรธร้อนใจดังไฟผลาญ
ถือพระองค์เป็นอัครนักรำบาญ เป็นชายชาญเชิดหล้าเลิศชาตรี
เมื่อศรภีมต้ององค์ให้ทรงหวั่น บาดแผลนั้นเล็กน้อยก็ถอยหนี
พระเสโทโทรมสิ้นทั้งอินทรีย์ ประหนึ่งชีวิตพรากออกจากกาย
ความจริงเจ็บปวดไม่เท่าไรนัก ถ้าแม้นจักเช็ดล้างก็ห่างหาย
เจ็บที่ลูกศรนั้นพลันทำลาย ความเลิศชายที่พระองค์ทะนงตัว
แม้นว่าไท้ถูกตัดหัตถ์หรือบาท ข้างหนังขาดก็ประทังค่อยยังชั่ว
ทรงกลุ้มกลัดขัดข้องให้หมองมัว กายสั่นรัวไร้ข่มสมฤดี
ทหารห้อมล้อมไท้เข้าในค่าย เอนพระกายล้มทับกับพระที่
โทมนัสส์ขัดแค้นแสนทวี ภูบดีเดือดร้อนไม่ผ่อนคลาย
ทรงละห้อยคอยท่าหาพระภิษม์ ร้อนรนจิตต์เจียนอกฟกสลาย
เมื่อพระภิษม์มาถึงจึงบรรยาย ข้อระคายขุ่นใจนั้นให้ฟัง
“พระภิษม์เอ๋ย! ชีพข้าถึงวาระ หมดที่จะแก้ไขดังใจหวัง
พวกปาณฑพรบดีมีกำลัง ตีเราพังแพ้พ่ายทุกรายไป”
พระภิษม์ฟังพจนารถ, ประภาษตอบ ดังระบอบบิดาตรัสปราศรัย
“ช้าพ่อ! ช้า! อย่าเป็นเด็กเล็ก ๆ ไป บาดแผลพ่อไม่กระไรกับเด็กซน
มันลิงโลดล้มพลาดเป็นบาดแผล ดังเป็นแก่พ่อนั้นสักพันหน
มันยังไม่โวยวายให้อายคน พ่ออย่าบ่นดีกว่าเพราะน่าอาย
เอาน้ำชะแผลนั้นพันด้วยผ้า สักไม่ช้าแผลนั้นก็พลันหาย
เอาผ้าโพกท่านก็ได้ไยเสียดาย ไม่มากมายก็อย่ามากให้ยากไป”
ทุรโยธน์ตอบว่า “ตัวข้าเจ้า บาดแผลเท่านี้นั้นไม่หวั่นไหว
แต่มีความเจ็บช้ำระกำใจ ด้วยปาณฑพได้ชัยแก่พวกเรา”
พระภิษม์ฟังพจนารถ, ประภาษไข “นั่นเห็นไกลเกินจริงเป็นสิ่งเขลา
ดังที่ท่านคิดคาดดูลาดเลา เห็นทัพเจ้าปาณฑพแรกรบกัน
ว่าน้อยไปไม่ครือฝีมือท่าน ก็เป็นการผิดไกลกับใฝ่ฝัน
บัดนี้ก็ผิดพลั้งตั้งอนันต์ เห็นเรานั้นเสียหายมากมายเกิน
เฝ้าตรมตรอมยอมตายไม่หมายสู้ ไม่เข้าลู่เข้าทางยังห่างเหิน
ถึงปาณฑพกว้างขวางทางดำเนิร การเผชิญชิงชัยเกรียงไกรจริง
ถึงกระนั้นใคร่ครวญคำนวณเทียบ ไม่ได้เปรียบเราแม้แต่สักสิ่ง
ข้าเจ้ารับรองได้ไม่ประวิง อย่าอ้อยอิ่งอ่อนแอท้อแท้เลย
การร้อนตัวกลัวภัยไม่พิเคราะห์ นั่นแหละเพาะภัยพาลเจียวหลานเอ๋ย!
โทษจะมาปรากฏเพิ่มชดเชย ภัยซึ่งเกิดเปิดเผยไม่เทียมทัน”
ทุรโยธน์ฟังว่าอุตส่าห์ข่ม จิตต์บรรทม, แต่ใจยังใฝ่ฝัน-
ถึงระบมบาดแผลมาแต่วัน ซ้ำป่วนปั่นดวงจิตต์ถึงกิจการ
ตลอดล่วงราตรีไม่มีหลับ จนกองทัพหุงหาซึ่งอาหาร
เลี้ยงดูกันอิ่มหนำเตรียมรำบาญ ศังข์กลองขานก้องลั่นสนั่นแซ่
ทุรโยธน์อ่อนใจมิได้หลับ เอาผ้าซับพันคาดที่บาดแผล
สรงเสวยท้าวไทมิได้แล คะนึงแต่กิจการงานสงคราม
แต่งพระองค์เร็วรี่ขมีขมัน นำพหลพลขันธ์สู่สนาม
ทุกกระบวนถ้วนหน้าพยายาม สำเร็จตามบัญชาต่างคลาไคล
พระภิษม์จอมทัพเหล่าพวกเการพ จัดขนบแนวยุทธ์เป็นชุดใหม่
เพื่อแก้แค้นไพรีซึ่งมีชัย เมื่อครั้งได้รบกันในวันวาน
เอาพลช้างวางรอบเป็นขอบค่าย ประหนึ่งข่ายเพ็ชร์ห้อมล้อมทหาร
พลม้า, ราบ, รถ ทั่วถึงยั่วยาน อยู่ณย่านหย่อมกลางถัดช้างมา
รถแม่ทัพแต่ละคันจัดสรรเสร็จ เหล่าม้าเจ็ดจัดไว้ให้รักษา
พลเกาทัณฑ์สันทัดให้จัดมา คุมเหล่าพาชีรบอยู่ครบครัน
พลเกาทัณฑ์แต่ละคน, พลทหาร ผู้ชำนาญหอกซัดได้จัดสรร
ไว้เจ็ดคนคอยจ้องช่วยป้องกัน แล้วเคลื่อนครรไลเข้าเร้ารำบาญ
อรชุนแลมาเห็นข้าศึก จัดกองทัพลับลึกล้อมทหาร
เป็นปึกแผ่นแน่นหนาหน้ากะดาน เห็นเป็นการซ่อนตัวด้วยกลัวตาย
จึงปราศรัยทรงฤทธิ์พระกฤษณ์ให้ “ข้าศึกได้จัดทัพซ้อนซับหลาย
ยิ่งหนาแน่นก็ยิงดีตีสบาย เหมือนกับดายหญ้าบอนไม่ร้อนรน
ที่จัดพลแห่ห้อมให้ล้อมรอบ เป็นคันขอบคับคั่งก็หวังผล
เพื่อเป็นที่บังกายท่านนายพล ช่างเป็นคนแสนขลาดอุบาทว์จริง
ระวังลมหายใจคอยใฝ่จิตต์ กลัวโลหิตหลั่งใหลเหมือนใจหญิง”
พลางขับรถรี่ไปไม่ประวิง เตรียมเข้าชิงชัยฝ่าหน้ากะดาน
โท๎รณพราหมณ์นำทัพออกรับหน้า ขับรถมานอกแนวแถวทหาร
ท้ารบตัวต่อตัวยั่วรำบาญ อรชุนวงศ์วานวีรชน
จึงต้องรับต่อสู้กับครูเฒ่า ทั้งสองเข้ารบร้าโกลาหล
ด้วยปรีชากล้าหาญในการรณ ความอดทนท่วงทีและฝีมือ
ทั้งสองข้างต่างเลิศประเสริฐสุด ต่างแย้งยุทธ์ยรรยงดำรงชื่อ
สงครามใดใหม่เก่าไม่เล่าลือ เลื่องระบือดุจการรำบาญนั้น
ทุกคนใครได้เห็น,เหมือนเช่นพบ- มหรสพเมืองแมนแดนสวรรค์
ครั้งนี้เป็นฝีหัตถ์อัศจรรย์ แห่งทหารเอกอันอุตดมชาย
โท๎รณาจารย์ต้องศรที่ตอนหลัง เมื่อกำลังมุ่งรณกมลหมาย
เข้าต่อสู้อรชุนอยู่วุ่นวาย รู้สึกกายเหลียวดูหาผู้ทำ
เห็นราชา ‘ศังข์’ มิตรยุธิษเฐียร ซึ่งพากเพียรอย่างขลาดอุบาทว์ล้ำ
แกโกรธยิ่งยิงปราดไม่พลาดพลำ ราชาศังข์ล้มขะมำมลายชนม์
อรชุนเห็นดังนั้นยิ่งพลันแค้น จะตอบแทนไม่ถนัดเห็นขัดสน
โท๎รณาจารย์นั้นผู้เปนครูตน ทำลายชนม์ท่านไม่ได้วินัยมี
ผละจากท่านโท๎รณะด้วยมะมุ เข้ารบสุศรมันขมันขมี
ซึ่งเคยคุมเสนาเข้าราวี ถึงบูรีกรุงวิราฎอาฆาตกัน
เข้าบุกรุกคลุกคลีตีกระหนาบ ทหารราบร่นร่ายต่างผายผัน
เห็นนายทัพโถมปราดเข้าฟาดฟัน สุศรมันเศียรขาดเลือดสาดนอง
พลทหารเห็นนายมลายชีพ ตกใจรีบร้อนรนย่นสยอง
อรชุนรุนรณป่นทั้งกอง แล้วมุ่งจ้องเข้าชิดพระภิษม์ไท
ทัพปาณฑพได้ชะนะถึงฉะนี้ ก็ไม่ตีแม่ทัพให้ยับได้
กลับต้องย่นร่นถอยย่อย ๆ ไป จนอ่อนใจเหลือจักเข้าหักราณ
ทัพพระภิษม์จัดตั้งในครั้งนี้ ปาณฑพตีจะให้แหลกกลับแตกฉาน
ภีมกับพระอรชุนรุนรำบาญ ก็ซ้ำลาญแหลกร่นหนีวนเวียน
ทัพเการพหักโหมกระโจมไล่ จนธงชัยบพิตรยุธิษเฐียร
ถูกฆ่าศึกฟันฟาดลงขาดเตียน ปาณฑพล่าอาเกียรติ์จนหมดวัน
ทุรโยธน์มีชัยพระทัยชื่น มีการรื่นเริงร่าเฮฮาลั่น
พวกเการพทั่วไปดีใจครัน เลี้ยงดูกันเอิกเกริกต่างเบิกบาน
ราตรสิ้นสุดไปจะใกล้รุ่ง รพีฟุ้งแสงทองขึ้นส่องฉาน
ทั้งสองทัพขับพลอยู่ลนลาน เข้ารำบาญแน่นหลามสนามรณ
วันนี้ภีมสำแดงกำแหงหาญ ด้วยเห็นปาณฑพพ่ายเป็นหลายหน
เพิ่มให้ภีมแค้นใจใฝ่ประจญ ดังกมลพระภิษม์ไม่ผิดกัน
ครั้งใดฝ่ายปาณฑพรบชะนะ เพิ่มโทษะให้พระภิษม์คิดกระสัน
เข้าแก้แค้นคืนชัยใฝ่ประจัญ เหมือนน้ำอันขึ้นล่องในท้องธาร
เป็นดังนี้เนื่องแต่สองแม่ทัพ ภีมและภิษม์เคี่ยวขับแข่งประหาร
ปาณฑพเสียเชิงชั้นเมื่อวันวาน ภีมจึงพล่านพลุ่งใจดังไฟฟอน
ยามเธอใจเย็นอยู่เข้าสู้รบ ยังน่าพรั่นยั่นสยบแสยงหยอน
ครั้งนี้โกรธงุ่นง่านเข้าราญรอน กำลังล้นพลนิกรตั้งร้อยพัน
เข้าตีกองร้อยเหล่าพวกเการพ ต่างแหลกหลบหลีกลี้ไม่มีขวัญ
เธอผู้เดียวเกรี้ยวกราดเข้าฟาดฟัน เการพผันผายแยกแตกกระบวน
พระภิษม์เห็นไพรพลอลหม่าน ขับพลต้านต่อไว้มิให้ป่วน
ถนอมขวัญกล่อมใจไพร่ทั้งมวล ร้องโอดครวญก้องดังเสียงกังวาน
“โอ้! เการพเรืองฤทธิ์กิตติศักดิ์ นี้หรือรักษาเหล่าเผ่าทหาร
นี้หรือเการพแข็งแรงรำบาญ เป็นวงศ์วานกุรราชผู้อาจองค์
นี้หรือเกียรติ์เการพตระหลบหล้า นี่หรือคือความกล้าอันสูงส่ง
นี่หรือจารีตรธรรม์อันยรรยง เนื่องจากวงศ์ขัตติยะต้นสกุล
ทำอย่างนี้หรือสมัครจะรักษา ความลือชาชื่อเชิดประเสริฐสุนทร์
แห่งท่านบรรพบุรุษวุฑฒิคุณ ให้พิบุลเบิกบานเนิ่นนานไป
ดูเถิด! ข้าเจ้านี้เสี่ยงชีวิต แก่อมิตรมากล้นพ้นพิษัย
ถ้าไม่ได้ค้ำชูจากผู้ใด คงบรรลัยแน่แล้วไม่แคล้วเลย
ต่อให้ขนข้ากลายเป็นชายกล้า ช่วยรบราก็ยังลาญนะท่านเอ๋ย !
ขืนพากันหันห่างเหมือนอย่างเคย เการพเอ่ย ! คงไม่รอดตลอดไป”
ถ้อยคำนี้น้าวหน่วงซึ่งดวงจิตต์ ให้กองทัพกลับคิดระลึกได้
ต่างกรูกันผันวิ่งเข้าชิงชัย สู้รบไพรีกลุ้มตะลุมบอน
เจ้า ‘คันธารี’ หกยกทหาร เข้าตีปาณฑพด้อยต้องถอยถอน
หกองค์ทรงม้าขาวพราวอาภรณ์ ดังหงส์ร่อนร่ายยามข้ามนที
ต่างประกาศคาดฆ่า ‘อิราวัต’๑๕ บุตรกษัตริย์อรชุนวิบุลศรี
แม่นั้นเป็นธิดาวาสุกี นามนาง ‘อุลูปี’๑๕ ศรีอนงค์
อิธาวัตผู้เดียวขับเคี่ยวสู้ ตีศัตรูแหลกลุ่ยเป็นผุยผง
เจ้าคันธารีพลาดพินาศลง ถึงห้าองค์วอดวายทำลายชนม์
เหลือเจ้าคันธารีผู้พี่ใหญ่ บ้าเลือดไล่แล่นคว้างอยู่กลางหน
เข้าโจมตีอิราวัตล้มบัดดล ดับชีพก่อนรี้พลเข้าแก้กัน
อรชุนบิดาทราบว่าบุตร เข้าต่อยุทธ์กลางทัพถึงดับขันธ์
พิโรธร้ายแรงใหญ่ดังไฟกัลป์ ศาบานลั่นแหล่งสนามน่าคร้ามกลัว
ขับรถบุกรุกระดมดังลมกรด ตีไม่ลดละกรกระฉ่อนทั่ว
เข้าตะลุมบอนกันอยู่พันพัว ข้าศึกมั่วสุมกายลงวายปราณ
‘ฆโฏตกจ’๑๗ บุตรพระภีมราช กับนางนาฎ ‘หิฑิมพา’๑๗ ผู้กล้าหาญ
เชื้อรากษสยศยงสืบวงศ์วาน มีทหารผู้สหายผันผายตาม
เข้าช่วยพระอรชุนรบรุนหลัง ไพรีพังเพิกพ่ายกระจายหลาม
อิราวัตตายลงในสงคราม จงเกิดความแก้แค้นทดแทนกัน
ทุรโยธน์แย่งเข้าขับเหล่าช้าง เพื่อกั้นกางยุทธ์แย้งด้วยแข็งขัน
ฆโฏตกจรบร้าฝ่าตะบัน เหล่าช้างผันพ่ายแตกแหลกกระจาย
มีราชามิตรพระทุรโยธน์ ไสช้างโลดแล่นขวางหนทางผาย
ฆโฏตกจก่งศรขึ้นร่อนกราย คิดมุ่งหมายแผลงให้เป็นไฟฟอน
พระภิษม์เห็น,ขับพลช่วยรณรุก ฉุกละหุกกันใหญ่ในสมร
ทุรโยธน์จึงรอดไม่มอดมรณ์ แค้นใจต้อนพลห้อมล้อมประจัญ
ฆโฏตกจถูกล้อมอยู่พร้อมพรัก น่ากลัวจักลูกจับยิ่งคับขัน
ทัพปัญจาลหนุนไปช่วยไว้ทัน จึงเป็นอันรอดได้จากไพรี
วันที่แปดนี้ผลรณยุทธ์ ดูประดุจเมฆมัวทั่ววิถี
ต่างไม่แน่ว่าใครโชคชัยดี ก็พอมีสัญญาหยุดอย่ารณ
ทุรโยธน์ยิ่งยลรณกิจ เธอยิ่งคิดขุ่นใจเห็นไร้ผล
ชั่วเวลาแปดวันขันประจญ น้ำหนักพลพอคะนึงก้ำกึ่งกัน
ข้างฝ่ายเธอเสียหายทั้งหลายแหล่ เธอทราบแน่นำใจให้ไหวหวั่น
เห็นทหารพลนายล้มตายครัน ยิ่งมากวันดูยิงบางเห็นห่างตา
เดิมมั่นใจไม่นานทัพปาณฑพ คงสยบย่นย่อไม่รอหน้า
ด้วยนึกเห็นน้อยพลคณนา บัดนี้มาผิดหวังยิ่งคลั่งใจ
ทรงระทมหฤทัยให้ระทด ทรงสลดเหลือนับไม่หลับใหล
คะนึงถึงวันพรุ่งยุ่งพระทัย ให้หนักทรวงห่วงไยมิได้ซา
ขณะนั้นกรรณะผู้ฉลาด ได้โอกาสเหมาะใจจึงไปหา
เข้านั่งแนบแอบใกล้แท่นไสยา กล่าววาจาโลมเล้าเอาพระทัย
ตั้งต้นวางยาเมาเป่าพระโสต ทูรโยธน์ให้งงคิดสงสัย-
ในความรักภักดีซึ่งมีใน พระภิษม์ให้แตกร้าวกับท้าวเธอ
“เป็นความสัตย์ข้าเจ้าไม่เอาผิด บ้ายพระภิษม์เพิ่มเติมเสริมเสนอ
ถึงพระองค์อุปถัมภ์ทรงบำเรอ พระภิษม์เลอเลิศยิ่งเป็นมิ่งชาย
แต่มีข้อควรคิดพินิจอยู่ ทรงตรองดูคงไม่ผิดข้าคิดหมาย
บ้านเมืองที่มีพหลพลนิกาย แม้นมากหลายโอฬารประการใด
ถ้านายทัพท้อแท้อ่อนแออยู่ คงไม่สู้ศึกสมอารมณ์ได้
นับวันจักเสื่อมซาปราชัย นายทัพใหญ่ก็คือหัวแห่งตัวคน
เขาต้องมีปรีชาและกล้าหาญ รู้พิจารณ์สังเกตในเหตุผล
รู้โลมเล้าเอาใจพวกไพร่พล ปลุกใจให้หาญรณไม่โรยรา
ทรงพิจารณ์ดูจริตพระภิษม์บ้าง จะเหมือนอย่างทูลไท้หรือไรหนา
ข้าบาทเฝ้าใฝ่ใจนึกไตรตรา จนถึงกล้าทูลด้วยไม่ขวยใจ
คือเกรงว่าน้ำจิตต์พระภิษม์นี้ ไม่เป็นที่มั่นคงน่าสงสัย
คงจะส้อนกลอุบายไว้ภายใน เหลือวิสัยทราบเหตุสังเกตการณ์
แม่ทัพไร้สัตย์ธรรม์คิดปั่นป่วน เป็นชะนวนนำไฟให้ไหม้ผลาญ
เผาอาณาจักรให้ประลัยลาญ ไม่ช้านานเขตต์ขัณฑ์ย่อมบรรลัย”
ทุรโยธน์ฟังคำร่ำแถลง ยิ่งคลางแคลงเคลิ้มองค์คิดสงสัย
ให้อั้นอ้นสนเท่ห์ลังเลใจ ระแวงในแม่ทัพคับกมล
ด้วยพระกรรณเชี่ยวชาญในการรบ อาจรู้ครบในเลศมีเหตุผล
ทั้งนับถือเป็นสหายร่วมตายตน ยิ่งเพิ่มสนเท่ห์ใหญ่ในพระภิษม์
พระกรรณพักครู่หนึ่งแล้วจึงเล่า “พระภิษม์เฒ่าเป็นพระปู่ผู้สนิท
คงรักหลานว่านเครือผู้เชื้อชิด ไม่มีจิตต์จองผลาญพระหลานยา
แต่ปาณฑพนั้นเล่าเขาก็หลาน จึงเป็นการชั่งรักยากหนักหนา
พระภิษม์ก็ทุรพลชนม์ชรา ธรรมดาคนแก่ไม่แน่นอน
คงลำเอียงรักหลานเจ้าปาณฑพ เพราะเคยรบเร่งร้องทำนองสอน
ให้คืนเขตต์แก่ห้าเจ้าภ๎ราดร ตั้งแต่ตอนต้นมาสารพัน”
ทุรโยชน์ฟัง ๆ ให้คลั่งไคล้ พระหทัยงวยงงเหมือนทรงฝัน
ตรัสแสดงขอบใจให้พระกรรณ “ว่าตัวฉันขอบใจ,เล่าให้ฟัง
ครั้นพระกรรณลาลับกลับสถาน พระทัยดาลเดือดกลุ้มแทบคลุ้มคลั่ง
ออกจากห้องย่องมาละล้าละลัง ตรงไปยังที่สถิตพระภิษม์ไท
ถึงปะรำร้องขาน’ประทานโทน ทุรโยธน์เข้าไปได้หรือไม่ ?”
พระพิษม์พลันตอบรับโดยฉับไว เชิญเข้าในที่พักซักยุบล
“นี่ก็ดึกนักหนาไยมานี่ สิ่งไรที่พาใจให้ฉงน
ถึงแก่ขับไล่ท่านให้ลานลน จากที่นอนร้อนรนเสด็จมา”
ทุรโยธน์เสียงสั่นรำพรรณไข “ข้าเสียใจที่กวนด่วนมาหา
ขณะเมื่อท้าวไทเข้าไสยา เพราะตัวข้าทุกข์นักแสนหนักใจ”
พระภิษม์ตรัสโดยพลันไม่ทันเล่า “ความคิดเก่าสารเลวซึ่งเหลวใหล
ทำให้ท่านง่านมาหรือว่าไร หรือทุกข์ใหญ่ยิ่งร้อนนอนไม่หลับ
เชิญเล่ามา, ข้าระงับให้หลับได้” ทุรโยธน์พลางไขข้อแค้นคับ
“ไม่เห็นหรือหัวอกเราตกอับ ต้องย่อยยับเขามาทุกสายัณห์”
พระภิษม์เอ๋ย! ความตั้งหวังชะนะ หรือเราจะปี้ป่นพลขันธ์
อาศัยสามารถท่านชาญประจัญ ประหนึ่งขวัญพวกเราเฝ้าระวัง
พวกปาณฑพกล้าหาญในการรบ ต้องหลีกหลบท่านสิ้นต่างผินหลัง
แต่ไฉนให้เขาเข้าประดัง ตีเราพังพ่ายหนีทุกทีไป
โอ้! ท่านได้ปฏิญญาไว้ว่าจัก ช่วยพิทักษ์เการพสบสมัย
เกื้อกษัตริย์หัสดินจนสิ้นใจ เหตุไฉนเป็นฉะนี้เหลือที่ตรอง
ข้าเจ้าพูดหยาบช้าขมาโทษ ถ้าท่านโปรดปราณีห้าพี่น้อง
มีเมตตาการุณย์หนุนประคอง ปาณฑพดองดวงใจให้ประวิง
ก็ให้กรรณแทนเถิดประเสริฐกว่า เพื่อตั้งหน้าต่อตีให้ดียิ่ง
การณคงจักมีชัยเร็วไวจริง เพราะไร้สิ่งสงสารท่านผู้ใด”
พระภิษม์ทรงรันทดตอบพจน์ว่า “อนิจจา ! ทุรโยธน์โกรธไฉน
ความหวังท่านหมันแท้ปรวนแปรไป รบก็ไม่มีผลอย่าบ่นเลย
รี้พลท่านก่ายกองเป็นของเล่น ไร้ค่าเป็นตุ๊กตานิจจาเอ๋ย !
เพราะเวรกรรมกดไว้มิให้เงย ได้เฉลยให้ฟังกี่ครั้งมา
อันรบเพื่อธรรมได้ชัยผล๑๙ เหมือนมีพลเพิ่มเข้าสองเท่าหนา
รบเพื่ออธรรมนั้นพลันปรา- ชัย, เช่นว่าเพิกถอนทอนพละ
ท่านลืมแล้วหรือเรายกเข้าปล้น สัตวพาหนจังหวัดมัตสยะ๒๐
หวังตีแคว้นแดนวิราฎคาดชะนะ อรชุนหนุนประทะแต่ผู้เดียว
พวกเรามีรี้พลออกกล่นกลาด ต้องพินาศหนีไปในประเดี๋ยว
ท่านลืมเสียทุกสิ่งจริง ๆ เจียว ช่างไม่เหลียวดูครั้งหลัง ๆ มา
เมื่อครั้งพวกคนธรรพ์ประจัญเข้า โจมจับเอาตัวท่านด้วยหาญกล้า
อรชุนเข้ารื้อหักขื่อคา และรบฝ่าแก้กันอันตราย
บัดนี้ตัวอรชุนหนุนสมทบ สี่ปาณฑพพร้อมพรั่งกำลังหลาย
ซ้ำยังได้พระกฤษณ์ฤทธิ์กำจาย ไปเป็นนายสารถีคอยชี้แจง
ท่านก็ได้ทราบมาว่าพระกฤษณ์ มีบุญฤทธิ์เรืองญาณชาญกำแหง
เทพเจ้าเข้าช่วยอำนวยแรง ดังกำแพงเพ็ชรกั้นสรรพภัย
ย่อมประจักษ์ราง ๆ อยู่บ้างแล้ว จะสอดแคล้วดื้อดึงไปถึงไหน
พิจารณ์ดูลู่ทางบ้างเป็นไร เอาแต่ใจแล้วก็เห็นไม่เป็นการ
ท่านชาตาอาภัพเข้าทับถม ก็ตามพรหมลิขิตประดิษฐาน
พระภิษม์ยังทรงกายไม่วายปราณ จะรบราญตามมีหน้าที่ตน
ขณะนี้ชีวิตพระภิษม์นั้น ชิดกระชั้นมรณะอย่าฉงน
เมื่อพระภิษม์ตายไปจงให้คน ผู้เรืองรณฤทธิ์ล้ำมาทำแทน
แต่ขอทูลท่านซ้ำโปรดจำไว้ การชิงชัยครั้งนี้ถึงดีแสน
ผลจะถึงพ่ายแหลกต้องแตกแตน ให้พลแน่นนับล้านไม่ทานธรรม์
ครั้นแสงทองส่องใสจะใกล้รุ่ง ในท้องทุ่งเกลื่อนกล่นพลขันธ์
พระภิษม์เร่งจัดทัพโดยฉับพลัน พระพักตร์นั้นบูดบึ้งน่าพึงกลัว
พระเนตรแดงดังเพลิงดำเกิงโกรธ ด้วยถ้อยคำทุรโยธน์รำพรรณยั่ว
ต้อนพหลพลขันธ์อยู่พันพัว กมลมัวหมองแค้นแสนระทม
ขับรถนำผลทหารรำบาญบุก เข้ารบรุกฝ่าฝันด้วยขื่นขม
ทั้งสองข้างคลุกคลีตีระดม รี้พลล้มตายกลาดดาษดา
เช้าจนเที่ยงเที่ยงจนบ่ายไม่หน่ายหนี ขับรถรี่เข้าทำลายทั้งซ้ายขวา
ปาณฑพด้อยถอยท้อไม่รอรา ดังเนื้อล่าหนีเสือเหลือจะคุม
รถพระภิษม์ขับมาดังพายุ ซึ่งพัดดุเกิดก่อมรสุม
เข้าถาโถมโรมรุกทั่วทุกมุม ตีตะลุมบอนทั่วไม่กลัวตาย
ขับรถรุกรบราฝ่าทหาร ซึ่งเพ่นพ่านพ่ายแยกแตกสลาย
ข้ามศพซึ่งกลาดกลิ้งไม่ติงกาย บ้างจวนวายชนม์เกลือกเสือกสกนธ์
พอบรรจบพลบค่ำต้องจำยั้ง ด้วยกลองศังข์สัญญาก้องกาหล
ขับรถกลับคืนค่ายเสียดายรณ พอมืดมนมัวฟ้าเข้าราตรี
แซ่สำเนียงม้ารถคชสาร เสียงทหารอื้ออึงคะนึงมี่
เสียงโหยหวนครวญคร่ำพร่ำวจี แห่งผู้มีบาดแผลเซ็งแซ่ไป
บ้างก็หามบ้างพะยุงกันยุ่งเหยิง จุดคบเพลิงนำทางสว่างไสว
ต่างเข้าค่ายรายกันเป็นหลั่นไป ทิ้งทุ่งให้อ้างว้างในกลางคืน
ทิ้งซากศพม้าช้างอยู่กลางหน ศพรี้พลกลิ้งกลาดอย่ดาษดื่น
พายุคึกฮึกโหมอยู่โครมครืน พัดกลิ่นศพกลบพื้นกระพือไป
ธรรมบุตรบพิตรยุธิษเฐียร ให้วนเวียนพระกมลพ้นวิสัย
เห็นศพญาติกลาดหลามสนามชัย โลหิตไหลแดงดาษดังชาดทา
ทรงสังเวชน์หฤทัยให้ละห้อย พอดึกหน่อยภูวไนยรีบไปหา
พระกฤษณ์ผู้ทรงธรรม์เรืองปัญญา พรรณนาข้อสลดระทดใจ
“สงครามครั้งนี้หนาน่าระทด ข้าสลดใจล้นไม่ทนไหว
ญาติต่อญาติมาดหมายกระหายชัย จนเลือดไหลแดงหลามสนามรณ
จักเหิมฮึกลึกซึ้งไปถึงไหน โอ้ ! กรรมใหญ่ข้าหนอมาก่อผล
ญาติและมิตรแท้ ๆ แปรกมล เข้าประจญข้านี้ไม่มีลด
ข้าเจ้าฆ่ามิตรญาติพินาศนั้น เหมือนฆ่าฟันตัวข้าน่าสลด
ต่างเชือดเนื้อเถือหนังไม่หวังงด จะปรากฏโชคชัยเมื่อไรกัน?
พวกเการพยังชะนะไม่ละลด พวกเราถดถอยเร่อยู่เหหัน
ไม่มีกำลังใดใฝ่ประจัญ เข้ากางกั้นแก้ฤทธิ์พระภิษม์เลย
โอ้!เหน็ดเหนื่อย,เหนือยเปล่าเฝ้าลำบาก โอ้! ยุ่งยาก, ยากเปล่าพวกเราเอ๋ย
โอ้ ! ชีพเสีย, เสียเปล่าเราไม่เคย โอ้ ! เสวยกรรมเปล่าน่าเศร้าใจ
โอ้!เสียเลือด, เสียเปล่าเหล่าพหล โอ้! มอบชนม์ช่วยเรา, มอบเปล่าไซร้
พระกฤษณ์เอ๋ยข้าเจ้าเศร้าฤทัย ที่ญาติใฝ่ฟันฟาดพิฆาตกัน
จงหยุดการฆ่าฟันกันไม่เถือก ว่าใครเทือกเถาใคร, กลุ้มใจฉัน
เราขอกลับคืนไปสู่ไพรวัน บำเพ็ญธรรม์อีกสักครั้งไม่หวังชัย”
พระกฤษณ์ทูลทัดทานอยู่นานช้า หมดปัญญาผันแปรคิดแก้ไข
ยุธิษเฐียรภูธรทรงร้อนใจ บรรหารให้หัวหน้ามาประชุม
จนเที่ยงคืนดื่นดึกทรงปรึกษา ด้วยวาจารำพรรณอันสุขุม
พวกนายทัพบรรดามาประชุม สุดจะทุ่มเถียงองค์พระทรงธรรม์
ตกลงส่งหัวหน้าล้วนกล้าหาญ ไปว่าขานอ้อนวอนพูดผ่อนผัน
ต่อพระภิษม์จอมทัพโดยฉับพลัน ในคืนนั้นมิได้ช้าเวลาไป
ฝ่ายพระภิษม์ต้อนรับนายทัพผอง ทรงยิ้มย่องสนทนาเชิงปราศรัย
ฟังวาจาว่าวอนถอนฤทัย ที่สุดไท้ตอบมาว่าฉะนี้
“ถ้าชีวิตข้าคงดำรงไซร้ ขอรบให้ทุรโยธน์ไม่โลดหนี
ตามความสัตย์สมดังตั้งวจี ด้วยเกียรติวีรชาติไม่คลาดคลาย
ท่านก็รู้อยู่ว่าข้าพเจ้า อายุเข้าเขตต์จวนด่วนสลาย
ขอรักษาสัตย์ไว้ไม่ทำลาย แทนร่างกายข้าเจ้าได้เนานาน
จึงขอรบตามมีวจีสัตย์ ตามเยี่ยงขัตติยราชชาติทหาร
ด้วยรักธรรมตัวข้าขอศาบาน ไม่รังควานชิงชัยแก่ไพรี
ผู้พลาดท่าซานซมลงล้มกลิ้ง หรือผู้ทิ้งศัสตราหรือล่าหนี
หรือขอความกรุณาให้ปราณี หรือผู้ที่ยอมแพ้โดยแท้จริง
หรือหมดแรง, หรือว่าต้องอาวุธ และไม่ยุทธ์แย้งสู้กับผู้หญิง
จักดำรงสัตย์ไว้ไม่ไหวติง ไม่ขอทิ้งสัตย์ธรรม์จนวันตาย”
หัวหน้าปาณฑพนั่งฟังประภาษ หมดโอกาสวอนไหว้ดังใจหมาย
ต่างกราบลามาเฝ้าผู้เจ้านาย ทูลบรรยายข้อความตามยุบล
ซึ่งได้ทูลอ้อนวอนของอนง้อ พระภิษม์พ้อพูดตัดเห็นขัดสน
ไม่ยอมรับอ้อนวอนไม่ผ่อนปรน จะขอรณตามสัตย์ไม่ดัดแปลง
หัวหน้าปาณฑพหนึ่งคะนึงคิด ตามพระภิษม์ศาบานขานแถลง
เห็นอุบายหนึ่งดีควรชี้แจง จึงแสดงแก่พระอรชุน
“ฟังข้าเจ้า ! เราได้โชคชัยแท้ เป็นบุญแน่นำปรุงพะยุงหนุน
พระภิษม์ผู้ซื่อตรงดำรงคุณ ไม่รบกุลสตรี, ดีกระไร
ศิขัณฑิน๒๑ใครก็รู้อยู่ว่าเขา กำเนิดเก่าเป็นหญิงจริงหรือไม่
ภายหลังเปลี่ยนรูปลักษณ์กับยักษ์ไพร เพศจึงได้กลับกลายเป็นชายมา
ถ้าศิขัณฑินนำส่ำทหาร เข้าต้านทานรบรับเป็นทัพหน้า
พระภิษม์เห็นคงหลบไม่รบรา เพราะถือว่าเป็นหญิงไม่ชิงชัย
ด้วยเธอถือสัตย์มั่นคงผันผละ เราชะนะมั่นคงไม่สงสัย
ต้องจัดแจงแต่งทัพโดยฉับไว ไม่ควรให้ศัตรูล่วงรู้กล”
อรชุนฟังไขให้พิโรธ ร้องอุโฆษออกมาก้องกาหล
“ขายหน้านักศักดิ์ศรีวีรชน มาเหยียดตนต่ำช้าน่าละอาย
นักรบผู้สุจริตใครคิดบ้าง จะแอบข้างหลังกัดอยางสัตว์ร้าย
เอาผู้หญิงออกหน้าหาอุบาย ซ่อนความกล้าไว้ภายหลังสตรี
ข้าเจ้าไม่ขอยลกลอุบาทว์ แห่งคนขลาดอัปลักษณ์เสียศักดิ์ศรี
พระภิษม์ผู้ทรงธรรม์เป็นอันดี ไม่ควรที่ทุจจริตผิดวินัย”
พระกฤษณ์เห็นอรชุนโกรธงุ่นง่าน จึงบรรหารเหตุชี้คดีไข
“ถึงยุคมิคสัญญีแต่นี้ไป ตามสมัยพระบรมพรหมลิขิต
ย่อมไม่มีใครแก้ให้แปรผัน พรุ่งนี้วันมรณะแห่งพระภิษม์
เธอซื่อตรงยงยุทธสุจริต ญาติสนิทรักใครก็ไม่แล
ท่านจำต้องต่อสู่ผู้พระญาติ ประเพณีวีรชาติฉะนั้นแน่
ใจพระภิษม์คิดประจัญไม่ผันแปร เพื่อตายแผ่ศักดิ์ศรีวีรชน
ท่านก็ซึมทราบแน่อยู่แก่จิตต์ ไฉนคิดเฟือนไปให้ไร้ผล
ชาตินักรบผู้มีหน้าที่รณ เข้าประจญกันไฉนจงไตร่ตรอง
ข้าศึกผู้มุ่งร้ายหมายชีวิต จะห่างชิดรักชังสิ้นทั้งผอง
มันก็คือข้าศึกผู้นึกปอง เพื่อหาช่องฆ่าเราเท่า ๆ กัน
ข้อซึ่งท่านทานทัด, ข้าตัดสิน ศิขัณฑินนำพหลพลขันธ์
ไม่เห็นเป็นทุจจริตผิดแผกธรรม์ ถึงเขานั้นเกิดมาเป็นนารี
บัดนี้เขาก็เป็นชายนายทหาร เหมือนกับท่านสารพัตร, ไม่บัดสี
ไม่ใช่กลสับปลับอย่างอัปรีย์ เหมือนอย่างที่คิดดอกขอบอกทาง”
อรชุนฟังคำแนะนำนี้ ก็คลายคลี่กลุ้มกลัดไม่ขัดขวาง
วันที่สิบรุ่งเช้า, เหล่าเสนางค์ ก็จัดอย่างปรึกษาเมื่อราตรี
ศิขัณฑินนำทัพออกรับหน้า ให้ยาตราพลขันธ์ขมันขมี
อรชุนหนุนชะลอจรลี พร้อมเสนีแน่นหลามสนามรณ
ทุรโยธน์เห็นทหารฝ่ายปาณฑพ เปลี่ยนนักรบนำทัพขับพหล
ให้ระแวงหวาดหวั่นพรั่นกมล บอกยุบลแก่พระภิษม์ด้วยคิดเกรง
“เปลี่ยนให้ ‘กรรณ’ นำพหลพลทหาร เขาเชี่ยวชาญเชิงทัพกะฉับกะเฉง
ท่านเมื่อยล้ามานานแต่กาลเพรง ตัวท่านเองก็คงรู้อยู่กับใจ
ประการหนึ่งข้าศึกจะนึกหมิ่น ว่าเราสิ้นแม่ทัพจึงขับไส
ให้คนแก่เข้าประจำอยู่ร่ำไป ถ้าเปลี่ยนใหม่ข้าศึกคงนึกกลัว
ด้วยเห็นเราเการพมีครบสรรพ เปลี่ยนนายทัพได้เหมือนกันคงสั่นหัว
ไม่หมิ่นว่าเราด้อยน้อยกว่าตัว ขออย่ามัวร่ำไร,เปลี่ยนให้ ‘กรรณ’”
พระภิษม์ตอบด้วยแค้นแสนพิโรธ “ทุรโยธน์ฟังหน่อยฟังถ้อยฉัน
วันนี้ขอรบรุกเข้าบุกบัน ให้ทัพขันธ์ไพรีหนีกระจาย
หรือไม่ก็ชีวิตพระภิษม์นี้ ดับอยู่ที่ท้องทุ่งสมมุ่งหมาย
ที่จะให้ใครเขาเข้าเป็นนาย อย่าวุ่นวายเลยพระองค์คงไม่นาน”
พลางขับรถรี่ไปด้วยใจขุ่น ร้องท้ารบอรชุนชวนประหาร
สองนักรบเริ่มเข้าเร้ารำบาญ ด้วยเชี่ยวชาญเชิงรณพ้นรำพรรณ
ต่างถาโถมโจมใส่มิได้ผละ ด้วยมานะเรี่ยวแรงยิ่งแข็งขัน
นักรบเฒ่าเคล่าคล่องจ้องประจัญ ดังจักรผันเผ่นเข้าเร้ารำบาญ
นักรบหนุ่มทุ่มตนผจญรับ ทั้งคู่ขับเคี่ยวรณกมลหาญ
อันว่าการชิงชัยในบุราณ จะเปรียบปานครั้งนี้ไม่มีเลย
พวกพลอื่นยืนดูอยู่ไสว ชมชิงชัยสองราอันผ่าเผย
เสี่ยงซู่ซ่าปรารมภ์กล่าวชมเชย ด้วยไม่เคยได้พบประสพตา
เมื่อสองนักรบรณอลหม่าน ต่างบันดาลโทษะไม่ละหน้า
ศิขัณฑินได้ทีก็รี่มา เข้ารบราเบื้องหลังไม่รั้งรอ
พระภิษม์เหลียวหลังดูก็รู้สิ้น ศิขัณฑินชาติหญิงยิ่งระย่อ
จ้องจะยิงยิงไม่ลงทรงชะลอ พระทัยท้อทอดถอนจนศรพลัด
อรชุนได้ช่องจ้องพิฆาต แผลงศรปราดปราดไปด้วยไวหัตถ์
ศิขัณฑินช่วยระดมดังลมพัด รุมกันซัดศรส่งตรงพระภิษม์
ลูกศรเสียบพระสกนธ์ทุกหนแห่ง พระกายแดงด้วยดาษหยาดโลหิต
จนพระพักตร์มืดมัวไปทั่วทิศ เพราะด้วยฤทธิ์ศรตรึงรึงพระกาย
นักรบเฒ่ายืนงันไม่หวั่นจิตต์ รู้สึกกิจแข่งขันทรงมั่นหมาย
เป็นแข่งขันเสร็จสรรพสำหรับชาย ผู้สืบสายศักดิ์ศรีวีรชน
การประกาศเกียรติศักดิ์แห่งนักยุทธ์ ถึงที่สุดสมศักดิ์อัครผล
อ่อนกำลังล้มเอนเบนสกนธ์ ลงเหนือภาคภูวดลด้วยอาจองค์
ล้มเช่นชาติชาตรีถึงที่สุด แห่งการยุทธ์ยอมล้มไม่งมหลง
ใฝ่ชีวิตจิตต์เศร้าเฝ้าพะวง กำสรดทรงเสียใจมิได้มี
ซ้ำมิให้ใครถอนลูกศรออก ปล่อยให้ยอกวรองค์อยู่คงที่
ลูกศรสักปักสิ้นทั่วอินทรีย์ ประหนึ่งยี่ภู่ทองรองประทม
จนตะวันลับฟ้าต่างอย่าทัพ รี้พลกลับค่ายตนกลประถม
พระภิษม์ทรงไสยาอย่างน่าชม เหนือบรมปัจจัตถรณ์ลูกศรรอง
สิ้นแสงสูรย์ส่องฟ้าดาราดาษ วิปัลลาสแลหลัวสีมัวหมอง
เงียบสำเนียงสัตว์ไพรไม่คะนอง สิ่งทั้งผองดุจว่าเฝ้าอาลัย
แสงดาราหรุบรู่ดูสลด รังสีสดแลหมองไม่ผ่องใส
เห็นพระกายทรงฤทธิ์พระภิษม์ไท พักตรประไพพรรณ์แข่งกับแสงดาว
ผะทมทับลูกธนูดูอนาถ ตากอากาศกลางย่านสะท้านหนาว
แสงดาราเรื่อรางน้ำค้างพราว เปนแสงวาวแววตามสนามรณ
ท่านแม่ทัพเฒ่าชราผู้สามารถ ไม่หวั่นหวาดอันตรายเท่าปลายขน
ทรงร่าเริงเชิงชวนยวนกมล กับฝูงชนแวดล้อมอยู่พร้อมกัน
แม่ทัพทั้งสองฝ่ายนายและไพร่ ต่างก็ไปแวดล้อมอยู่พร้อมสรรพ์
ธรรมบุตรอรชุนคิดครุ่นครัน รีบผายผันมาเฝ้าด้วยเศร้าใจ
ทุรโยธน์พร้อมเหล่าพระเจ้าน้อง มาประคองค้ำชูอยู่ไสว
ต่างพรั่งพร้อมล้อมข้างไม่ห่างไกล ทั้งนายไพร่นั่งเจ่าเศร้ากมล
ท่านนักรบผู้ชราอุตส่าห์ฝืน พระพักตร์ชื่นปราศัยไพร่พหล
บรรทมนึกตรึกไตรใฝ่กมล เผ้ากังวลทุรโยธน์ผู้โฉดชาย
ซึ่งอุตส่าห์สอนสั่งครั้งก่อน ๆ ไม่โอนอ่อนตามคำพร่ำขยาย
อุตส่าห์ฝืนรำพรรณบรรยาย เป็นครั้งท้ายอนุศาสน์ญาติชรา
“นี่แน่ะ!หลานทุรโยธน์ขอโทษหน่อย โปรดฟังถ้อยอวสานหน่อยหลานจ๋า
เปนโอวาทญาติบุราณของหลานยา ก่อนขอลาตายไปด้วยใฝ่ดี
จงกลับจิตต์ที่กระด้างเหมือนอย่างหิน ตั้งพักตร์ผินผันรักซึ่งศักดิ์ศรี
จงหยุดการฆ่าฟันเสียทันที เหมือนปราณีญาติวงศ์สืบพงศ์พันธุ์
ญาติต่อญาติมาดฆ่าบรรดาญาติ แสนอุบาทว์เหลือประมาณแล้วหลานขวัญ
เการพเอ๋ยฟังคำเรารำพรรณ อย่าหมายมั่นมุ่งมาดฆ่าญาติตน
จงไว้ชีพญาติท่านผู้หาญศึก ผู้ไม่นึกกลัวตายเท่าปลายขน
อุตส่าห์ติดตามท่านในการรณ อุตส่าห์ทนเวทนาแสนอาดูร
จงไว้วงศ์กุรุราชชาติทหาร อย่าให้ลานล้มหายละลายศูนย์
แม้เชื่อคำข้าเจ้าเป็นเค้ามูล ต้องเพิ่มพูลความรักสมัครกัน
ขอจงคืนถิ่นฐานแก่ปาณฑพ จะประสพสุขเปรมเกษมสันติ์
ยุธิษเฐียรเพียรปองซึ่งคลองธรรม์ คงจะผันผูกรักไม่พักรณ
ขอจงเหล่าเการพประสพสันติ์ เข้าผ่อนผันผูกรักอีกสักหน
ข้าขอร้องสุดท้ายจวนวายชนม์ ด้วยกมลมุ่งรักและภักดี”
ทุรโยธน์ยินคำซึ่งร่ำไข สมเพชน์ไท้ผู้เฒ่าจนเศร้าศรี
แต่น้ำคำผู้เฒ่าเล่าคดี ไม่เป็นที่ถูกใจให้ระทม
เพราะเธอหมายมุ่งผลาญเจ้าปาณฑพ จะคิดรบริบทรัพย์คอยทับถม
ไปจนกว่ารี้พลรณระดม จะแหลกล้มเหลืออยู่แต่ผู้เดียว
ตามบรรดามานั่งฟังพระภิษม์ รู้สึกจิตต์วับวาบให้ซาบเสียว
นั่งน้ำตาคลอตาต่างหน้าเซียว ฤทัยเหี่ยวนิ่งนั่งฟังคดี
ฝ่ายพระกรรณผู้คิดริษยา รีบเข้ามาเยี่ยบพลันขมันขมื
พระทัยเธอเห่อเหิมในเดิมที มุ่งแข่งฝีมือรณแต่ต้นมา
เห็นพระภิษม์เป็นใหญ่ใฝ่อาฆาต พยาบาทคอยคิดริษยา
ครั้นเห็นท่านแม่ทัพนอนหลับตา ประหนึ่งท่าไกรสรนอนสงบ
สลดใจไม่มาดอาฆาตข้อง ค่อยเดิรย่องย่างเข้าด้วยเคารพ
ฝ่ายพระภิษม์ลืมตามาประสพ ด้วยอยากพบเชิญให้นั่งใกล้องค์
ทรงปราศรัยเสียงสั่นว่า “กรรณเอ๋ย! เราได้เคยแข่งฤทธิ์คิดประสงค์
เอาชะนะคะคานการณรงค์ เฝ้าพะวงริษยากันมานาน
บัดนี้ถึงที่สุดขอยุตติ อโหสิกรรมกันพลันสมาน
ผูกรักใคร่ในกันฉันบุราณ ก่อนเราลาญชีพไปขอไขความ
ซึ่งเราปกปิดไว้ไม่ขยาย ถ้าเราตายจะลำบากเป็นขวากหนาม
พี่น้องจักต่อสู้กันวู่วาม พยายามรบกันจนบรรลัย
อรชุนชาญรบตลบชื่อ นั่นแหละคือน้องท่านขอขานไข
ร่วมบิดามารดามาแต่ไร เทพไทอาทิตย์เป็นบิดา
นางกุนตีคลอดท่านเป็นการซ่อน ทิ้งท่านนอนกลิ้งอยู่ซอกภูผา
เกรงทราบถึงบิตุราชลงอาชญา เกรงขายหน้าชาวเมืองรู้เรื่องราว
สารถีพบท่านสงสารสุด นำไปเลี้ยงเยี่ยงบุตรไม่อื้อฉาว
กำเนิดท่านจึงมืดมายืดยาว ผู้รู้ข่าวข้อนี้มีแต่เรา
อรชุนซึ่งท่านปองหาญหัก คือน้องรักร่วมท้องอย่าปองเขา
หวังว่าท่านทราบเหตุรู้เลศเลา คงบรรเทาความกระหายทำร้ายกัน
สงครามญาติอย่างนี้กลีแท้ เป็นการแพ้กับตัวชั่วมหันต์
ชื่อว่าทำวงศ์ตระกูลให้ศูนย์พันธุ์ โปรดผ่อนผันคืนดีเถิดพี่น้อง
พระกรรณฟังนั่งขึ้งตลึงนึก ทรงรู้สึกพูมศักดิ์พระพักตร์ผ่อง
หมดขายหน้าอาดูรอันมูนมอง ในการต้องถูกประมาทว่าชาติทราม
แต่ทราบเรื่องอรชุนคู่ขุ่นหมอง ว่าเป็นน้องร่วมไส้พระทัยหวาม
ด้วยเกลียดชังตั้งหน้าพยายาม ทำสงครามฆ่าฟันให้บรรลัย
เพราะเช่นนี้คำร้องของพระภิษม์ ไม่น้อมจิตต์แห่งพระกรรณให้ผันได้
อ่อนอยู่ครู่เดียวกลับคืนฉับไว ดังหทัยทุรโยธน์พิโรธแรง
พอสิ้นพจน์ผู้ชรานัยน์ตาหลับ นิ่งระงับเวทนาอันกล้าแข็ง
อยู่บนอาสน์ศรสักสลักแทง รอกาลแห่งมัจจุราชด้วยอาจอง
ในระหว่างบริวารทหารห้อม ต่างนึกน้อมหนักใจอาลัยหลง
ทุกสายตาจ้องพักตร์นักณรงค์๒๒ ด้วยพะวงเวทนาน้ำตานอง
ดูเดือนดาวพราวพร้อยลงน้อยแสง ไม่เรืองแรงหรุบรู่แลดูหมอง
เงียบสงัดสัตว์ไพรไม่คะนอง ตลอดท้องถิ่นรณทุกหนไป
ท่านนักรบผู้ชรารอวาระ จวบกาละจันทร์ช่วงเต็มดวงใส
ท่านผู้ไร้บาปสิ้นมลทินภัย สงบใจแน่นิ่งไม่ติงตน
ลมอัสสาสปัสสาสก็ขาดหาย เหลือแต่กายทอดร้างอยู่กลางหน
หมดบัญญัติสัตว์มนุษย์เป็นบุทคล ทิ้งสกนธ์ไว้กับพื้นเหมือนฟืนตอง
ทิ้งวิโยคโศกเศร้าให้เการพ จัดการศพจอมพลกมลหมอง
ด้วยอาดูรพูนเทวษน้ำเนตรนอง ทุกหมู่กองทั่วหน้าโศกาลัย
แล้วประชุมนายทัพมาคับคั่ง หารือตั้งจอมพลเลือกคนใหม่
ที่ประชุมตกลงปลงฤทัย พร้อมกันให้ท่านมหาโท๎รณาจารย์
รับหน้าที่แทนพระภิษม์อันสิทธิ์ขาด มีอำนาจบัญชาโยธาหาญ
ฝ่ายปาณฑพทราบเรื่องเคืองรำคาญ ด้วยเป็นการอัปลักษณ์นักประจัญ
เพราะโท๎รณะเป็นอาจารย์เจ้าปาณฑพ จำต้องรบครูตัวชั่วมหันต์
ด้วยเปนพระกรณีย์ที่สำคัญ เพื่อป้องกันกู้ธรรมอันอำไพ
  1. ๑๕. พระอรชุนมีชายาที่ปรากฏบุตร คือ ๑. นางเท๎ราปที มีบุตร ๕ องค์ (สามีละองค์) ที่เป็นบุตรอรชุนชื่อ ศ๎รุตเกียรติ์. ๒. นางอุลูปี ธิดาพญานาค ชื่อเการพย์ มีบุตรชื่ออิราวัต. ๓. นางจิต๎รางคทา ธิดากษัตริย์มณีปุระ มีบุตรชื่อ พัภ๎รุวาหน. ๕. นางสุภัท๎รา น้องสาวพระกฤษณ์ มีบุตรชื่อ อภิมันยุ.

  2. ๑๖.

  3. ๑๗. พระภีมมีชายาที่ปรากฏบุตร ๒ คือ ๑. นางหิฑิมพา ลูกรากษส มีบุตรชื่อฆโฏตกจ (อ่าน คะโตดฺ-กดฺ) ๒. นางพลันธรา ลูกกษัตริย์เมืองกาศี มีบุตรชื่อ สรรพตรัค หรือ สรพัค.

  4. ๑๘.

  5. ๑๙. อ่าน ‘ไชยะผล’ แปลว่าผลคือชะนะ

  6. ๒๐. อ่าน ‘มัตสะหยะ’ แต่เสียง สะ ให้สั้นอย่างอักษรนำ เช่น สมอ. แสม ฯ ล ฯ

  7. ๒๑. อ่านว่า ‘สิขันดิน’ ที่นี้กล่าวย่อไว้ดังนี้, แต่ที่อื่นกล่าวว่า กำเนิดก่อนเป็นธิดาท้าวกาศีชื่อนางอัมพา ถูกพระภิษม์พามาให้เป็นชายาพระวิจิตรวีรัยผู้น้องชายพร้อมกับนางอัมพิกาและนางอัมพาลิกา น้องสาวนาง. แต่นางได้มั่นไว้อับราชาสัลวะแล้ว พระภิษม์จึงส่งนางไปให้คู่มั่น แต่คู่มั่นไม่รับ รังเกียจว่าไปอยู่กับชายอื่นแล้ว นางแค้นใจเข้าป่าบำเพ็ญตบะอธิษฐานขอแก้แค้นพระภิษม์ พระอิศวรโปรดให้แก้แค้นได้ในชาติหน้า นางจึงเข้ากองไฟตาย ไปเกิดเป็นบุตรท้าวท๎รุบท มีนามว่า ‘ศิขัณฑิน’ และเข้าอยู่ในกองทัพปาณฑพ.

  8. ๒๒. ‘ณรงค์’ คำนี้ละจาก ‘รณรงค์’ แปลว่าสนามรบ เราใช้ละเช่นนี้ทั่วถึงกันแล้ว เช่นพระยาพิชิตณรงค์ จึงควรใช้ตาม นักณรงค์ คือผู้เชี่ยวชาญในสนามรบ

แชร์ชวนกันอ่าน

แจ้งคำสะกดผิดและข้อผิดพลาด หรือคำแนะนำต่างๆ ได้ ที่นี่ค่ะ