ฉบับที่ ๕
ถนนหัวลำโพง
วันที่ ๑๕ ธันวาคม พ.ศ. ๒๔๖-
ถึงพ่อประเสริฐเพื่อนรัก.
ฉันมีฃ่าวที่จำจะต้องรีบบอกมาให้ทราบ, คือฉันได้ตกลงเฃ้ารับราชการแล้ว. คุณหลวงพิพัฒน์ไปจัดการอย่างไรไม่ทราบ, แต่ในที่สุดฉันเปนอันได้เฃ้ารับราชการในกรมพานิชย์และสถิติพยากรณ์. งานที่ต้องทำไม่มีอะไรแปลกพอที่จะต้องเล่ามาให้เพื่อนฟังโดยพิสดาร, เพราะฉนั้นขอยุติไว้เถิด.
คุณพ่อได้พาฉันไปดูตัวแม่กิมเน้ยแล้ว. หน้าตาเจ้าหล่อนเหมือนนางซุนฮูหยิน, ตายาว, หลังตาชั้นเดียว, แต่ผิวฃาวดี, และรู้จักแต่งผมดีพอใช้. การแต่งตัวของหล่อนก็ใช้เสื้อผ้าดี ๆ, ถูก “แฟแช่น”, แต่แต่งเครื่องเพ็ชร์มากเหลือเกิน; มีอะไรต่อมิอะไรห้อย, แขวน, และติดพะรุงพะรังไปทั้งตัวจนดูราวกับต้นไม้คริสต์มาส. พูดจาพาทีก็พอใช้ได้, แต่ไม่ใคร่ได้พูดกับฉันมากนัก, เพราะยังกระดากอยู่.
รายที่ฉันเล่ามาในจดหมายฉบับก่อนว่าได้เห็นที่โรงพัฒนากรนั้น, ฉันได้พยายามสืบสาวจนรู้แล้วว่าเปนใคร. ฉันได้หมั่นไปโรงภาพยนต์นั้นบ่อย ๆ จนเห็นหล่อนอีกคืน ๑, แล้วชี้ให้เพื่อนคน ๑ ดู, จึ่งได้ความจากเฃาว่าหล่อนชื่อนางสาวอุไร พรรณโสภณ, ลูกสาวพระนิพิฐพัฒนากร ฉันจะพยายามรู้จักกับหล่อนให้จงได้ในไม่ช้า. ได้ฃ่าวว่าหล่อนเปนผู้หญิงอย่างสมัยใหม่แท้, ไม่หดหู่กลัวผู้ชาย, และเฃาว่าหล่อนได้หัดเต้นรำแล้วด้วย. ถ้าจริงเช่นนั้นคงจะได้มีโอกาศคุ้นเคยกันสักวัน ๑ เปนแน่นอน, อย่างช้าก็ในงานฤดูหนาว, ซึ่งในปีนี้ได้ฃ่าวว่าจะมีโรงเต้นรำด้วย. เปนเคราะห์ดีของฉันที่ประไพก็รู้จักหล่อนด้วย, ฉนั้นคงจะนำให้ฉันรู้จักหล่อนได้. ถ้าได้รู้จักกับผู้หญิงอย่างเช่นแม่อุไรนี้แล้วจะทำให้ฉันค่อยวายคิดถึงเมืองอังกฤษได้ และจะทำให้ชีวิตเปนของน่าดำรงอยู่อีกด้วย. แต่ถึงแม้เมื่อได้รู้จักกับหล่อนแล้ว หล่อนจะพอใจในตัวฉันหรือไม่ก็ยังรู้ไม่ได้, เพราะหล่อนเปนผู้ที่มีชายตอมมานานแล้ว.
ขอจบเพียงเท่านี้ที. อีกไม่ช้าจะเขียนมาอีก.
แต่เพื่อนที่รัก,
ประพันธ์.