ฉบับที่ ๑๕

ที่พักกรมเสือป่าม้าหลวง ร. อ.

พระราชวังสนามจันทร์

วันที่ ๒๓ มกราคม, พ.ศ. ๒๔๖-

ถึงพ่อประเสริฐเพื่อนรัก.

ฉันมีเวลาว่างอยู่วันนี้จึงเขียนจดหมายฉบับนี้มาเพื่อบอกฃ่าวอะไร ๆ ให้ฟังบ้างตามอย่างที่เคยมา.

งานเฉลิมพระชนม์พรรษาปีนี้อยู่ฃ้างจะสนุกมาก, และไม่ใช่แต่ฉันที่เห็นเช่นนั้น; คนอื่นก็เห็นด้วยเช่นเดียวกัน. เจ้าคุณตระเวนนครก็สนุกมากเหมือนกันตามประสาของเฃา. เมื่อวันที่ ๑ มีการเต้นรำของกระทรวงต่างประเทศ พระยาตระเวนพาลูกสาวของเฃาไป, แต่ไม่ได้พาแม่อุไรไปด้วย, เพราะยังไม่ได้เปนผัวเมียกัน “โดยทางราชการ”; พระยาตระเวนแนะนำว่าถ้าแม่อุไรอยากไปในการเต้นรำนั้นด้วยก็ให้ไปกับพ่อ, แต่แม่อุไรฉุนเลยไม่ไป. ข้อนั้นกลับทำให้พระยาตระเวนสนุกมากขึ้น, เพราะได้ไปวางท่าเปนชายโสดได้อย่างถนัดดีตามเฃาชอบ. ในคืนนั้นมีผู้สังเกตเห็นว่าเฃาออกจะชอบผู้หญิงสาวคนหนึ่งมาก, เพราะเห็นเต้นรำด้วยกันหลายหน, และเมื่อกินของว่างก็ไปนั่งกินอยู่ด้วยกัน, หญิงคนนี้ชื่อสร้อย, เปนลูกหลวงอะไรฉันก็ฟังไม่ถนัด รู้แต่ว่าเปนเพื่อนร่วมโรงเรียนกับแม่ส่องแสงลูกสาวพระยาตระเวน, ฉนั้นจึงรู้จักกันได้โดยสดวกดีทีเดียว. ในคืนนั้นเมื่อกลับจากเต้นรำเฃาเลยพากันไปกินเฃ้าต้มราชวงศ์ด้วยกัน.

ในระหว่างงานฤดูหนาวพระยาตระเวนก็ไปเดินควงอยู่กับแม่สร้อยโดยมาก; ส่วนแม่อุไรนั้นไม่ได้ไปด้วยกัน, โดยอ้างเหตุอย่างเดียวกับที่อ้างในการที่ไม่ไปในการเต้นรำด้วยกันนั้นเอง. ฉันต้องยอมว่าเฃาช่างหาเหตุขัดข้องเก่งจริงๆ เมื่อเปนเช่นนี้ก็เปนธรรมดาอยู่เองที่แม่อุไรจะต้องรู้สึกแค้นไม่น้อย, และถ้าเปนผู้ชายป่านนี้ก็คงไว้หนวดเคราเต็มหน้าแล้ว, นึก ๆ ก็ออกจะน่าสงสารแม่อุไร, ที่ต้องรู้สึกตัวเร็วเช่นนี้, และคนอย่างแม่อุไรคงจะต้องรู้สึกช้ำใจมากที่สุด, เพราะเฃาถือตัวว่าเปนหญิงงามและยั่วยวนมากที่สุดในเมืองไทย, และเชื่อตัวของเฃาว่าจะผูกใจอันรวนเรของพระยาตระเวนไว้ได้ชั่วกาลนาน; เมื่อมาต้องแพ้เด็กนักเรียนอายุยังไม่เต็ม ๑๕ ปีเช่นนี้คงต้องเสียใจมากเปนแน่. ฉันคอยฟังอยู่ว่าจะแผลงฤทธิ์อย่างไรบ้าง, แต่ก็เงียบอยู่ไม่กระตกกระตากอะไร, และยังคงอยู่ที่บ้านถนนราชประสงค์นั้นเรื่อยมา. ฉันนึกประหลาดใจที่แม่อุไรยอมนิ่งอยู่ได้เช่นนี้, และยังแปลไม่ออกว่าทำไมจึ่งยังนิ่งอยู่ได้. หรือจะเปนเพราะรู้สึกขึ้นมาว่า ถ้าจะเลิกกับพระยาตระเวนก็จะได้ความลำบาก, คือจะหาที่อยู่ไม่ได้นอกจากที่จะต้องกลับไปง้อพ่ออีก, ซึ่งจะทำไม่ได้มากนัก เพราะเจ้าหล่อนได้อวดดีไว้เสียมากแล้วว่าไม่จำเปนต้องพึ่งพ่ออีกต่อไป; ฉนั้นจึงจำใจยอมนิ่งทนอยู่, เพราะอย่างไร ๆ ก็ยังมีบ้านอยู่เปนอิศระ, และเงินทองก็คงยังมีใช้, รวมความก็เปนอันว่าหล่อนคงเห็นชอบตามสุภาษิตอังกฤษว่า: “ขนมปังครึ่งก่อนยังดีกว่าไม่มีเลย.” นึกๆ ไปก็น่าอนาถใจที่ผู้หญิงหรูเช่นแม่อุไรต้องมาตกอยู่ในที่ลำบากเช่นที่กล่าวมานี้.

ที่จริงนึก ๆ ไปก็น่าประหลาดที่ผู้หญิงทำไมพอใจไปยอมเปนเมียคนอย่างพระยาตระเวน. ถ้าเปนใจฉัน ฉันคงอยากได้ผัวที่ไม่มีเมียอยู่อีกคน ๑ หรือหลาย ๆ คนแล้วเปนแน่; แต่ความจริงมันมีอยู่ว่า ผู้ชายใดยิ่งมีชื่อเสียงเปนนักเลงผู้หญิงก็มักจะยิ่งหาเมียง่าย, ซึ่งฉันแลไม่เห็นเลยว่าทำไมจึงเปนเช่นนั้น. มีผู้พูดกันอยู่หลายคนว่าถึงเวลาแล้วที่ไทยเราควรจะใช้ธรรมเนียมมีเมียคนเดียว, แต่ก็ดูไม่มีใครเต็มใจที่จะเปนผู้เริ่มถือธรรมเนียมนั้นโดยเคร่งครัดเลย. แม้ผู้ที่ได้ไปเรียนยุโรปกลับมาก็มามีเมียมาก ๆ เหมือนกัน เพราะฉนั้นจะหวังความเปลี่ยนแปลงจากคนพวกที่เรียกว่า “หัวนอก” อย่างไรได้. ใครมีเมียคนเดียวออกจะถูกหาว่าเปนคนโง่ด้วยซ้ำ. การมีเมียหลาย ๆ คนไม่ทำให้ต้องรับความเสื่อมเสียอย่างไรเลย, และคนอย่างพระยาตระเวนก็ลอยนวลอยู่ในสมาคมฝรั่งได้สบาย; ทั้งนี้เปนเพราะฝรั่งเฃาถือว่าการเช่นนี้เปนการส่วนตัวภายในบ้าน, ซึ่งที่จริงก็ถูกอยู่, เพราะถ้าเราไปใส่ใจมองดูการในบ้านของฝรั่งเฃ้าบ้าง ก็อาจจะไปพบเมียมอญเมียลาวของเฃา, ซึ่งเฃาไม่อยากให้เราล่วงรู้ไปถึงเลย. ฉนั้นจะมีที่หวังอยู่ก็แต่ที่ตัวผู้หญิงเองเท่านั้น; ถ้าเมื่อไรผู้หญิงไทยที่ดี ๆ พร้อมใจกันตั้งกติกาไม่ยอมเปนเมียคนที่เลี้ยงผู้หญิงไว้อย่างเลี้ยงไก่เปนฝูง ๆ เท่านั้นแหละ, ผู้ชายพวกมักมากในกามจึ่งจะต้องกลับความคิด และเปลี่ยนความประพฤติ.

เออฉันได้ยินแตรตรวจแล้ว, ต้องขอจบเท่านี้ทีก่อน.

จากเพื่อนผู้คิดถึง,

หลวงบริบาลบรมศักดิ์

แชร์ชวนกันอ่าน

แจ้งคำสะกดผิดและข้อผิดพลาด หรือคำแนะนำต่างๆ ได้ ที่นี่ค่ะ