ฉบับที่ ๔

ถนนหัวลำโพง

วันที่ ๑ ธันวาคม พ.ศ. ๒๔๖-

ถึงพ่อประเสริฐเพื่อนรัก.

ฉันไม่ได้เขียนจดหมายมาถึงพ่อประเสริฐเดือนกว่าแล้ว, ซึ่งไม่ใช่เพราะไม่คิดถึง, แต่เพราะไม่ใคร่จะมีเวลา ฉันได้จับปากกาขึ้นหลายหนแล้วด้วยความตั้งใจที่จะเขียน, แต่พะเอินมีธุระอื่นมาแซกเสียเสมอ.

ตั้งแต่ฉันกลับเฃ้ามาถึงฉันได้ถูกคุณพ่อพาไปหาใครต่อมิใครแทบไม่เว้นแต่ละวัน, และฉันต้องไหว้คนมาเสียมากต่อมาก จนนับหนไม่ถ้วน, จนฉันแทบจะลงรอยเปนถ้าประนมอยู่เสมอแล้ว, และหลังก็เกือบโค้งเสียแล้ว เพราะคำนับคนไม่ได้หยุด. คุณพ่อท่านตั้งใจจริง ๆ ที่จะทำตามน่าที่พ่อ, คือช่วยลูกให้ได้ดีตามแบบโบราณ ท่านยังแลเห็นไม่ได้เลยว่าคนเราอาจจะได้ดี หรือมีชื่อเสียงได้โดยอาศัยความสามารถของตัวเอง นึก ๆ ไปที่จริงก็น่าขัน ที่เราได้อุส่าห์ออกไปหาวิชาถึงเมืองนอก, แล้วกลับมาถึงบ้านก็ต้องมาเดินเฃ้าท้ายครัวเท่า ๆ กับคนที่ไม่ได้ไปเมืองนอกเสียเลยนั่นเอง.

ความปราถนาอันยิ่งใหญ่ของคุณพ่อก็คืออยากให้ฉันได้เฃ้าไปรับราชการในพระราชสำนัก. แต่ผู้ที่ต้องการเฃ้าไปรับราชการในพระราชสำนักสมัยนี้มันมีมากมายจนเหลือตำแหน่ง, เพราะฉนั้นฉันก็เฃ้าไปไม่ได้ คุณพ่อพาฉันไปหาเจ้าคุณผู้สำเร็จราชการมหาดเล็ก, ท่านก็พูดจาปราไสยอย่างดี แต่ท่านแสดงความเสียใจว่าไม่มีตำแหน่งว่างจริง ๆ ในชั้นต้นฉันออกจะไม่ใคร่เชื่อ, เพราะมั่นใจเสียว่าเฃาไม่ต้องการคนหัวนอก, โดยเกรงจะไม่หมอบราบคาบแก้วอย่างเต็มที่, แต่ฉันสืบ ๆ ดูจึ่งได้ความว่า แท้จริงตำแหน่งเฃาบรรจุไว้เต็มแล้วจริง ๆ จนไม่มีที่ว่าง, และยังมีคนคอยจะเฃ้าอีกมาก, และในพระราชสำนัก เวลานี้มีนักเรียนยุโรปหลายคนอยู่ในตำแหน่งดี ๆ ด้วย, เมื่อเฃ้ารับราชการในพระราชสำนักไม่ได้เช่นนั้นแล้ว, ฉันก็เที่ยวระเหระหนหางานทำอยู่หลายวัน, พบแต่ที่เต็ม ๆ เสียแทบทุกแห่ง ฉนั้นจนบัดนี้ฉันก็ยังไม่ได้รับราชการ, ฉันได้บอกคุณพ่อว่าฉันจะลองประกอบอาชีพทางค้าฃายดูบ้าง, แต่ท่านไม่ยอมที่จะให้ฉันทำเช่นนั้น. ท่านว่าค้าฃายไม่มีหนทางที่จะเปนใหญ่เปนโตต่อไปได้, และถึงจะทำมาค้าฃายดีอย่างไร ๆ ก็จะเปนอะไรไม่ได้ นอกจากขุนนางกรมท่าซ้าย, ทั้งกว่าจะได้เปนหลวงก็อีกหลายปี, แล้วอาจจะเปนหลวงอยู่จนหัวหงอกหรือจนตายก็ได้. ข้อนี้มันก็จริงอยู่บ้าง, เช่นตัวคุณพ่อเองได้เปนหลวงตั้งแต่อายุ ๓๐ เมื่ออายุ ๔๕ จึงได้เปนพระ, แล้วก็ยังเปนพระอยู่จนทุกวันนี้, และไม่แลเห็นทางที่จะได้เปนพระยาด้วย.

พอฉันกลับถึงบ้านได้สัก ๗ วัน คุณพ่อก็บอกว่าได้หาเมียไว้ให้คนหนึ่งแล้ว! ฉันหมายว่าท่านพูดเล่นจึ่งหัวเราะ, แต่พูดกันไปพูดกันมาจึงรู้ว่าท่านพูดจริง ๆ ไม่ใช่พูดเล่น, ผู้หญิงนั้นคือแม่กิมเน้ย ลูกสาวอากรเพ้ง, ซึ่งพ่อประเสริฐก็คงจะรู้อยู่ว่าเปนคนมั่งมีพอใช้อยู่ ทั้งคุณพ่อคุณแม่สรรเสริญเยินยอมากว่า เปนคนดีนัก, วิเศษต่าง ๆ ราวกับนางฟ้าตกลงมาจากสวรรค์ ฉันบอกว่าฉันยังไม่ได้เห็นตัวผู้หญิงนั้นเลย จะให้รับรองว่าจะแต่งงานกับเฃาอย่างไรได้, คุณพ่อกลับพูดอย่างหน้าเฉยตาเฉยว่า: “พ่อรับรองว่าเฃาเปนคนดี สมควรแก่ลูกด้วยประการทั้งปวง.” ฉันตอบว่าฉันเชื่อแล้วว่าเฃาเปนคนดีจริง ตามที่คุณพ่อกล่าวแล้วทุกประการ แต่ต้องขอให้คุณพ่อเฃ้าใจว่า ฉันเปนคนที่ได้ไปเรียนมาจากยุโรปแล้ว, จะแต่งงานอย่างที่เรียกว่าคลุมถุงชนไม่ได้เลย. ท่านออกจะฉุนเอาใหญ่. เสียงอึงคับบ้าน, จนคุณแม่ต้องไกล่เกลี่ยว่า ขอให้ฉันได้ดูตัวแม่กิมเน้ยเสียก่อน แล้วจึ่งค่อยตกลงไปสู่ขอกันจะดี กว่า, คุณพ่อจึงตกลงตาม. พอลุกออกมาพ้นหน้าคุณพ่อคุณแม่แล้ว ฉันก็รีบจับตัวประภาซักดูว่ารู้จักแม่กิมเน้ยหรือเปล่า, เฃาตอบว่ารู้จัก ฉันถามว่าเปนอย่างไร, ประภาก็ตอบแต่ว่า: “คุณพี่คอยดูเอาเองก็แล้วกัน,” แล้วก็หัวเราะ. ฉันจะซักอีกเท่าไรก็ไม่ตอบตรง ๆ เลย, เปนแต่หัวเราะอยู่เรื่อยเท่านั้น. ฉันหวังใจว่าหน้าตาเจ้าหล่อนจะไม่เปนนางงิ้วตุ้งแช่อะไรตัว ๑ !

ฉันขอบอกโดยจริงใจว่า ตั้งแต่ฉันเฃ้ามาถึงกรุงเทพฯ แล้วยังไม่ได้พบผู้หญิงที่ต้องตาเลย, จนทำให้นึกว่าจะต้องเลยเปน “แบชะเล่อร์” เสียละกระมัง. แต่พวกเพื่อน ๆ เฃาพากันหัวเราะและบอกว่าให้ดู ๆ ไปก่อนเถิดคงจะพบที่ดีเฃ้าบ้าง, สมัยนี้ผู้หญิง “ฟรี” ขึ้นกว่าแต่ก่อนมาก และพบปะง่ายกว่าด้วย. ความจริงมีอยู่อย่าง ๑ คือ ในเวลานี้เห็นผู้หญิงไทยไว้ผมยาวมากกว่าเมื่อก่อนเราไปเมืองนอกเปนอันมาก, คนไว้ผมสั้นเกือบจะมีเหลือแต่คนแก่กับไพร่ ๆ เท่านั้นแล้ว. ข้อนี้เปนข้อควรยินดีอยู่, เพราะการไว้ผมยาวทำให้ผู้หญิงสรวยขึ้นมากเปนแน่นอน. นี่ก็ยังคงมีอีกขั้น ๑ ที่จะเดินขึ้นต่อไป, คือการนุ่งผ้าให้ผิดกับผู้ชาย. ในเวลานี้ก็มีผู้หญิงนุ่งสิ้นอยู่กับบ้านบ้างแล้ว, แต่ยังไม่กล้านุ่งไปไหนมาไหน, เพราะยังไม่มีใครเปนหัวหน้านำ “แฟแช่น” นุ่งสิ้นขึ้น. ถ้าผู้หญิงไทยเรานุ่งสิ้นคงงามเปนแน่. ดูแต่ผู้หญิงลาวสิ, ค่าที่เฃานุ่งสิ้นจึ่งมีคนติดกันมาก. ที่จริงผู้หญิงลาวไม่สรวยกว่าผู้หญิงไทยเปนแน่ละ.

ในกรุงเทพ ฯ นี้มีข้อเสียสำคัญที่หาที่เที่ยวยากจริง ๆ เพราะขาดเรสตอรังตและโรงลครดี ๆ อย่างลอนดอน. พวกโฮเตลฝรั่งทางบางรักมีอยู่ก็จริง, แต่มันก็ไม่ถึงใจเลย, และไปสักครั้งสองครั้งก็เบื่อ, เพราะนอกจากจะไปกินอาหารหรือเครื่องดื่มแล้วก็ไม่มีอะไรที่ยวนใจให้สนุกเลย. พวกผู้หญิงไทยๆ เฃาไม่ใคร่จะไปตามโฮเตลเหล่านั้น. โฮเตลเจ๊กก็ได้เกิดมีขึ้นหลายแห่ง แต่มันยิ่งซ้ำร้ายไปกว่าโฮเตลฝรั่ง, เพราะกับฃ้าวของกินก็เต็มกลืน, และไม่ใคร่จะพบคนไทยด้วย, มีแต่เจ๊กแน่น ๆ ไปทั้งนั้น. ลครก็มีดูอยู่โรงเดียว, แต่ดูสักสองหนก็เบื่อ, เพราะเรื่องที่เล่นมัน “อัน” เหลือประมาณ. ภาพยนต์แหละค่อยยังชั่วหน่อย, ทั้งมีโอกาศได้พบเห็นคนไทย ๆ มากด้วย. เมื่อคืนวานซืนนี้เองฉันได้เห็นผู้หญิงที่ท่าทางออกจะเฃ้าทีคน ๑ ที่โรงพัฒนากร, แต่เห็นไม่ใคร่ถนัด เพราะนั่งอยู่ห่างกัน. ฉันจะต้องพยายามสืบสาวดูสักหน่อยว่าหล่อนเปนใคร. ถ้าได้ความจะบอกฃ่าวมาให้เพื่อนทราบด้วย

แต่เพื่อนที่รัก,

ประพันธ์.

แชร์ชวนกันอ่าน

แจ้งคำสะกดผิดและข้อผิดพลาด หรือคำแนะนำต่างๆ ได้ ที่นี่ค่ะ