ฉบับที่ ๑๑

บ้านเลขที่ ๑๐ ถนนสี่พระยา

วันที่ ๒๑ มิถุนายน, พ.ศ. ๒๔๖-

ถึงพ่อประเสริฐเพื่อนรัก.

ฉันได้กลับมากรุงเทพ ฯ ได้ ๓ อาทิตย์แล้ว, และฉันเขียนจดหมายฉบับนี้มาจากบ้านใหม่ของฉัน

“บ้าน”! คำนี้ที่จริงควรที่จะเปนคำไพเราะที่สุดสำหรับมนุษย์, เพราะเมื่อกล่าวคำนี้ขึ้นแล้ว ควรจะชวนให้นึกถึงที่อันเต็มไปด้วยความสุขสำราญ; สุขกายเพราะมีที่พักอาศัยอันพึงใจและเต็มไปด้วยสมบัติอันพึงใจของเราเอง, และสุขใจเพราะได้เห็นหน้าเมียผู้ร่วมใจร่วมชีวิต แต่อนิจจา, ฉันนี้เปนคนอาภัพ, ไม่ได้รับความสบายกายสบายใจด้วยคำว่า “บ้าน” นี้เลย! ถ้าแม้พ่อประเสริฐไม่ใช่เพื่อนที่รักที่สุด, และฉันไม่นึกเชื่อใจว่าพ่อประเสริฐจะเห็นใจฉันแล้ว, ฉันคงจะไม่เขียนจดหมายฉบับนี้มาเลย เพราะฉันคงจะต้องรู้สึกอายที่สุดในการที่จะต้องประจารตนเองให้ฟัง แต่เอาเถิด, เมื่อพ่อประเสริฐเปนผู้ที่ฉันเชื่อว่าเปนมิตรแท้ของฉัน, ฉันจึงขอเล่าข้อความให้ฟังโดยสัตย์จริง, ด้วยความหวังว่าเมื่อได้อ่านตลอดแล้วจะไม่ติโทษฉันมากนัก.

เมื่อวันที่ ๒๙ เดือนก่อนนี้ฉันกับแม่อุไรได้กลับจากเพ็ชร์บุรี, และการที่กลับนั้นไม่เร็วเกินไปเลย, เพราะถ้าขืนอยู่ที่เพ็ชร์บุรีต่อไปอีกสักสองหรือสามวันก็คงต้องฃายหน้าเฃาเปนแน่, และชาวเพ็ชร์บุรีคงได้เห็นฉันกับเมียวิวาทกันกลางเมือง! พ่อประเสริฐก็รู้อยู่แล้วว่าฉันเปนคนพยายามอดกลั้นโทโษมากที่สุด, เพราะฉันเคยรู้สึกดีอยู่นานแล้วว่าการมีโทโษไม่เปนประโยชน์แก่ตัว. และถึงจะไม่มีผลร้ายอย่างอื่นก็ทำให้หน้าตาของเราบึ้งบูด ไม่เปนที่เจริญตาแก่ผู้อื่นเลยเปนแน่นอน. ฉนั้นถึงแม้ใครจะทำให้ฉันมีเหตุควรโกรธฉันก็มักเหนี่ยวใจรอไว้จนไปถึงที่ลับๆ ตาคนมาก จึ่งจะยอมตัวให้โกรธ. แต่แม่อุไร, เมียรักของฉัน เฃาดูเหมือนจะถือคติตรงกันฃ้าม, คือเห็นว่าถ้าโกรธตัวได้ต่อหน้าคนเปนเกียรติยศดี, อาจจะทำให้คนนับถือว่าเฃาเปนผู้หญิงแห่งสมัยใหม่ไม่ต้องยำเกรงผัวเสียเลย. ฉนั้นฉันพูดจากับเฃาทีไรเฃาจึ่งต้องขู่ฟ้อ ๆ ราวกับแมวที่ดุเสมอ ๆ, จนฉันไม่ใคร่กล้าพูดกับเฃาต่อหน้าคน. ฉันเฃ้าใจเสียว่าการที่แม่อุไรพื้นเสียอยู่เสมอ ๆ เช่นนั้นคงจะเปนเพราะเบื่อการอยู่หัวเมือง, ฉันจึ่งชวนกลับกรุงเทพ ฯ

การกลับมากรุงเทพฯ กลับทำให้เปนเหตุรำคาญใจมากขึ้นตั้งแต่ต้นทีเดียว. เมื่อกลับมาถึงสถานีบางกอกน้อยไม่มีใครไปรับเลยจนคนเดียว. ซึ่งทำให้แม่อุไรโกรธและบ่นไม่รู้จักจบ, และหล่อนพูดราวกับว่าเปนความผิดของฉันในการที่ไม่มีใครไปรับ ฉันชี้แจงว่าส่วนญาติฃ้างหล่อนนั้นฉันไม่มีอำนาจอะไรที่จะบังคับเฃาให้ไปรับได้. และส่วนญาติฃ้างฉันนั้นคุณพ่อท่านไม่สู้สบายอยู่, และพ่อประภาก็ไปอยู่เสียที่โรงเรียนมหาดเล็ก จึ่งไปรับไม่ได้, แม่อุไรก็ยิ่งไม่พอใจหนักขึ้นและพูดจาแดกดันต่าง ๆ จนฉันต้องขอว่าเอาไว้ขึ้นจากเรือจ้างแล้วจึ่งค่อยเทลาะกัน, เพราะการเทลาะกันต่อหน้าคนแจวเรือจ้างดูไม่เปนการงดงามเลย. เมื่อฃ้ามมาถึงฝั่งตวันออกแล้วฉันชวนว่าให้ไปบ้านคุณพ่อด้วยกันก่อน เพราะฉันไม่แน่ใจว่าบ้านใหม่ของเราที่ถนนสี่พระยาจะได้จัดเรียบร้อยแล้วหรือยัง, โดยเหตุที่ได้กำหนดไว้เดิมว่าจะมาอยู่ต่อปลายเดือนนี้; แต่แม่อุไรตอบดื้อ ๆ ว่า ถ้าจะพาไปบ้านคุณพ่อละก็พาไปสำเพ็งเสียดีกว่า, เพราะคงต้องเหม็นสาบเจ๊กเท่า ๆ กัน. การที่หล่อนพูดเช่นนี้น่าขันพิลึก, เพราะถ้าจะว่ากันไปแล้วบิดาของหล่อนเองก็เปนเจ๊กไม่น้อยกว่าคุณพ่อของฉัน; แต่ฉันเห็นว่าจะโต้เถียงกันไปก็อายอ้ายคนขับรถยนตร์, ฉันจึ่งตกลงพามาที่บ้านถนนสี่พระยา.

พอมาถึงก็แลเห็นทันทีว่าที่บ้านนี้ยังไม่พรักพร้อมเลย. ถนนพึ่งจะโรยกรวดใหม่ ๆ, และสวนก็ยังไม่ได้ลงมือทำเลย; ภายในเรือนสีก็ทายังแทบจะไม่แห้ง และเครื่องเรือนก็ยังไม่ได้จัดเปนระเบียบเรียบร้อย, แม่อุไรเดินกระทืบตีนปัง ๆ ขึ้นไปถึงห้องรับแขก, นั่งลงทำหน้ามู่ทู่ไม่พูดไม่จาอะไรเปนครู่ใหญ่ ๆ. ฉันเห็นท่าทางไม่ดีจึงพูดอย่างใจดีว่า: “เราต้องลงมือจัดบ้านของเราทีเดียว, ท่าทางก็เห็นจะสนุกดีนะหล่อน?” หล่อนตอบเสียงกระชากว่า: “ดิฉันไม่ใช่บ่าวจะได้แบกหามเครื่องเรือนให้คุณ!” ฉันก็พูดไปอย่างยิ้ม ๆ ว่า; “ฉันไม่ได้เห็นหล่อนเปนบ่าวเลย. ฉันชวนหล่อนให้ช่วยกันจัดบ้าน, อย่างผัวหนุ่มเมียสาวที่ได้กันใหม่ ๆ. การจัดบ้านเปนของสนุกเพลิดเพลินอย่างหนึ่งทีเดียวนะหล่อน.” หล่อนตอบกระชากมาอีกว่า: “ดิฉันเสียใจที่ความเห็นไม่ตรงกับคุณ. ดิฉันเปนลูกผู้ดีไม่เคยต้องยกต้องขนของอะไรเอง!” ฉันออกรู้สึกเลือดขึ้นหน้า, จึ่งงดไม่ตอบว่ากระไร, เปนแต่ลุกไปดูห้องอื่น ๆ ในเรือน, และเรียกคนใช้ให้ช่วยจัดวางเครื่องแต่งให้พอดูได้. ครั้นถึงเวลากินฃ้าวเย็นก็เกิดความอีก, เพราะอาหารไม่ถูกปากแม่อุไร, หล่อนก็ลุกจากโต๊ะเสียกลางคันเฉย ๆ และเรียกรถยนตร์ขึ้นไปบ้านพ่อ. ฉันไม่ได้ไปกับหล่อน, เพราะไม่อยากไปกีดขวางในการที่พ่อแม่กับลูกเฃาจะพบปะพูดจากัน, ฉันนั่งอ่านหนังสือคอยอยู่จนดึก, เลยหลับไปกับเก้าอี้ นี่เปนคืนแรกที่เราได้ไปอยู่บ้านของเรา!

ในวันต่อ ๆ มาก็ได้มีเหตุขัดใจกันเรื่อย ๆ, ซึ่งจะเล่ามาให้ฟังโดยละเอียดก็เปลืองหน้ากระดาษเปล่า ๆ, จึงขอเล่ามาแต่โดยย่อว่า ฉันทำอะไรดูผิดไปเสียหมดทุกอย่าง ฉันไปทำงานที่กระทรวงก็เปนความผิด, หาว่าทิ้งหล่อนไว้คนเดียวในกลางป่า; ฉันไปหาพ่อแม่หรือเพื่อนฝูงบ้างก็มีความผิด, และเพื่อนฝูงมาเยี่ยมเยียนที่บ้านฉันต้อนรับเฃาก็มีความผิด: มีงานการที่ไหนฉันพาหล่อนไป หล่อนก็บ่นว่าพาไปให้เหน็จเหนื่อยและอดนอน, แต่ครั้นไม่พาไปก็ว่าหวงกันจะไม่ให้หล่อนไปพบปะผู้คน. เช่นนี้การกลับบ้านจึงเลยกลายเปนของที่ฉันรู้สึกเกือบเท่ากับไปโรงเรียนเมื่อเด็ก ๆ และตกลงฉันมีเวลาได้สบายแต่เมื่ออยู่นอกบ้านของตัวเท่านั้น. ขอจบที, ละเหี่ยใจนัก !

จากเพื่อนผู้อาภัพ,

ประพันธ์.

แชร์ชวนกันอ่าน

แจ้งคำสะกดผิดและข้อผิดพลาด หรือคำแนะนำต่างๆ ได้ ที่นี่ค่ะ