- กถามุข
- ตอนหนึ่ง ความริษยาแห่งญาติ
- ตอนสอง การสยุมพรนางเท๎ราปที
- ตอนสาม อาวาหมงคลแห่งเท๎ราปที
- ตอนสี่ ห้องประชุมรัฐมนตรี
- ตอนห้า อินทรปรัสถรัฐ, ราชอาณาจักรใหม่
- ตอนหก การพนันใหญ่
- ตอนเจ็ด การเนรเทศเจ้าปาณฑพ
- ตอนแปด พระเจ้ากรุงวิราฏ
- ตอนเก้า พวกกุรุเข้าเหยียบแดนวิราฏ
- ตอนสิบ การประสบ
- ตอนสิบเอ็ด หารือสงบศึก-เตรียมรบ
- ตอนสิบสอง สงคราม-กุรุเกษตร
- ตอนสิบสาม ความขุ่นหมองของทุรโยธน์
- ตอนสิบสี่ โท๎รณาจารย์ ผู้นำทัพคนใหม่ฝ่ายกุรุ
- ตอนสิบห้า มรณะของอภิมันยุ
- ตอนสิบหก ฉากสุดท้ายของสงคราม
- ตอนสิบเจ็ด อวสานแห่งสงคราม
ตอนแปด พระเจ้ากรุงวิราฏ
วาระหนึ่ง พระเจ้ากรุงวิราฏประทับอยู่เหนือราชอาสน์ในพระที่นั่งวินิจฉัย, แวดล้อมด้วยข้าเฝ้าเหล่ามุขมนตรี , ทรงฟังฎีกาและคำร้องทุกข์, และกำลังวินิจฉัยให้ยุติธรรมแก่ฝ่ายที่ได้รับความเบียดเบียนอยู่, ทอดพระเนตรไปเห็นชายหมู่หนึ่งแต่งกายคร่ำคร่า ยืนอยู่ที่ทวาร, ท้าวเธอมีโองการให้ราชบริพารคนหนึ่งไปถามดูว่า เขาทั้งหลายเป็นใคร และต้องการอะไร. เมื่อโปรดให้รับเข้ามาหน้าพระที่นั่ง พระราชทานพระโอกาสให้เขากราบทูลความแด่ท้าวเธอโดยตรง ครานั้น องค์หนึ่งในจ้านวนห้าภราดาทูลว่า “เคราะห์ร้ายอย่างน่าสยองเกล้าซึ่งได้อุบัติแก่มหาราชเจ้ายุธิษฐิร คงจะได้ทราบถึงพระกรรณแล้ว, และเคราะห์หามยามร้ายของพวกข้าพระเจ้านี้เล่าก็เป็นกระเส็นกระสายเกี่ยวก่ายอยู่ในพระเคราะห์ของท้าวเธอ, ความบันลือระบือพระคุณที่โอบอ้อมอารีไปจูงพวกข้าพระเจ้ามาถึงนี่, และพวกข้าพระเจ้าขอฝากตัวพึ่งโพธิสมภารของพระองค์, พวกข้าพระเจ้าจำนงจงใจมาหางานทำในราชสำนักพระเจ้าแผ่นดินผู้เป็นใหญ่, แต่มิได้มีพระราชาองค์ไหนรับไว้, ถูกประติเสธทุกแห่งทุกนคร.”
พระราชาได้ทรงฟังเรื่องแล้วก็สลดพระหฤทัยยิ่งนัก แปรพระพักตร์ไปทางเสนาบดี มีพระราชดำรัสว่า “การเนรเทศยุธิษฐิรโดยหายุติธรรมมิได้นั้น ทำให้สหายของเธอเศร้าใจมาก และทำความลำบากให้แก่ไพร่ฟ้าข้าแผ่นดินของท้าวเธอ. ราษฎรเป็นจำนวนหลายพันพากันระหกระเหินพลัดพรากจากที่อาศัยเนื่องในการที่เจ้านายของเขาถูกเนรเทศไปเดินป่า, ความบ้าร้ายเหี้ยมโหดของทุรโยธน์จะนำความฉิบหายมาถึงตัว. ข้าพเจ้าจะประติเสธคำขอร้องของเขาเหล่านี้เสียไม่ได้, เขาไม่ได้มาขอทาน, เขาเต็มใจจะรับราชการ,-ข้อนี้แสดงให้เห็นชัดว่าเขามิใช่ยาจกวณิพกตามถนน, แกจงรับเขาไว้เป็นคนใช้ของฉัน”
เจ้าปาณฑวภราดาผู้งอนง้อเข้ามาขอการงานก็กระทำวันทนาการกรานกราบพระราชา แล้วก็คลานคล้อยถอยออกมาจากหน้าพระที่นั่ง, ต่อจากนั้นสักครู่หนึ่ง หญิงคนหนึ่งแต่งกายปอนเต็มประดา เดินเข้าไปในอันเตปุรสถาน พระราชวังชั้นใน และใครๆ ก็พิศวงงงงวยเมื่อพิศดูรูปอันงามของนาง,
“หล่อนเป็นใคร, และหล่อนต้องการอะไร ?” พระราชินีของพระเจ้าวิราฏตรัสถาม.
“หม่อมฉันเป็นหญิงไร้ที่พึ่ง, มีใจอันช้ำกรำเศร้าดังจะแตกทำลายออกไป”
“หล่อนชื่อเรียงเสียงไร ?”
นางกราบทูลเสียงเบา ๆ ว่า “ไสรินธรี”
พระพักตร์ของรานี๑ ก็มีท่วงทีปรานีผุดขึ้นให้เห็นประจักษ์, ความสาวของกันยา, สง่าผ่าเผยของนาง, กิริยาท่าทางอันเรียบร้อยของมานศรี, และท่วงทีเศร้าแต่งามแห่งดวงพักตร์ลักขณา ทำให้ดวงพระกมลของรานีหวั่นไหวนึกประหลาด, จึงตรัสประภาษว่า: “ฉันนึกประหลาดใจว่า ทำไมหนอ รูปราศีของหล่อนจึงไม่เป่าปัดอุปัทวภัยให้คลาดแคล้วไป”
“นั่นน่ะซี, ผลมันตรงกันข้ามในเรื่องของหม่อมฉัน. เบื้องว่าพระนางเท๎ราปทีเองได้รับอุปัทวภัยไซร้, เคราะห์กรรมของหม่อมฉันมันจะกระไรนักหนา เมื่อเปรียบกับเคราะห์ของเทวี ? หม่อมฉันเป็นแต่เพียงทาสี.”
ครานั้นรานีจึงตรัสถามว่า หล่อนต้องการอะไร, และนางกราบทูลพระเทพีว่า นางต้องการรับงานอย่างใดอย่างหนึ่งซึ่งพอได้อาศัยเลี้ยงท้อง.
“หล่อนจะเป็นสาวใช้ของฉันไหมล่ะ ?” ไสรินธรี รับหน้าที่นั้นด้วยดุษณีภาพ แล้วออกไปที่สำนักพักอาศัยอยู่ในห้องนางข้าหลวง.
ในบัดนี้เราจะได้เห็นพระที่ศยนบิฐของรานี. เป็นราตรีกาลยามเข้าไต้เข้าไฟ, แต่ห้องของพระนางนั้นสว่างไสวด้วยดวงประทีปชวาลาซึ่งตามด้วยน้ำมันหอมอันส่งกลิ่นหอมฟุ้งจรุงนาสายิ่งนัก ฝาห้องพระตำหนักเป็นโมราศิลาลาย, รูปเป็นเซี้ยม, ฝีมือทำอย่างเอก, แลเลื่อมพรายตระการตา ห้อยลูกไม้มีค่าและฝีมือถักทำอย่างที่หนึ่งน่าชม, พื้นหินอ่อนลาดพรมเจียมอ่อนนุ่มนิ่ม, มีขอบหรือริมอันปักด้วยไหมทองเงิน, เหนือแท่นยกฐานแห่งหนึ่งดาดด้วยไหม, มีแท่นงางามวิไลตั้งเด่นอยู่ ชายหนุ่มสูงศักดิ์ผู้อนุชาของรานีกำลังบรรทมตรมตรอมทุกข์นักหนา, บางเวลาก็โหยไห้ถอนใจใหญ่, พระพี่นางของเธอ, รานีของพระเจ้าวิราฏ, ประทับอยู่ข้างศยนบิฐแท่นงา, เอาพระหัตถ์ลูบพระขนงองค์อนุชาเพื่อระงับความเจ็บปวดให้เสื่อมคลาย. แต่ดูเหมือนว่าไม่มีอะไรแก้เธอให้หายทุกข์ระทมใจได้ ในที่สุดเธอสะอื้นไห้ออกมาว่า:
“เจ้าพี่ที่รักของฉันจ๋า, เจ้าพี่จะทิ้งให้น้องตายเสียละหรือ?”
“หามิได้, หามิได้, พี่จะไม่พูดแก่เจ้าละ, เจ้าพูดบ้า ๆ เช่นนี้. อะไรเข้าดลใจให้เจ้านึกถึงมฤตยุราช? เจ้าประชวรเล็กน้อยเท่านั้น, ไม่กี่วันก็จะหายเป็นปรกติ”
“อย่าพึงนึกเช่นนั้นนะ, อาการป่วยของน้องครั้งนี้ มิใช่เล็กน้อยอย่างเจ้าพี่พึงสำคัญพระหฤทัย, สมุฏฐานอยู่ในหัวใจ, และอาจหายได้อย่างใดอย่างหนึ่งในสองประการ ตายเสียอย่างหนึ่ง, หรือ-”
รานีตรัสสอดขึ้นกลางคันว่า “เอาอีกละ, เอาอีกละ, เจ้าพูดถึงความตายอีก, ฉันจะไม่ฟังเสียงของเธอละ,”
“ดีละปะไร, ถ้าอย่างนั้นหม่อมฉันต้องหน้าด้านเอาที, ถ้าเจ้าพี่จะประทานโทษเรื่องหน้าด้าน หม่อมฉันก็จะกล่าวความจริง, และจะขยายความลับแห่งอาการป่วยไข้ให้ทรงทราบ”
“ความลับอะไร? พ่อหนู”
“เจ้าพี่จะประทานโทษหม่อมฉันหรือ?”
รานีฉงนพระหฤทัย, มิรู้ที่จะรับสั่งว่ากระไร, พระนางสำคัญพระหฤทัยว่าใจของพระอนุชานันเตร็จเตร่ไปในความเจ็บ มีสติวิปลาสพูดเพ้อไป, และพระนางทรงทราบตระหนักในพระหฤทัยว่า ในฐานนี้การณ์หยุมหยิมหรือข้อขัดเคืองใจแม้แต่เล็กน้อยก็อาจเป็นเครื่องขุ่นเคืองใหญ่โตได้, อาจทำให้คนไข้มีอาการหนักลงได้, พระนางยังสงสัยว่าคงจะมีความในใจอะไรสักอย่างหนึ่งซึ่งเป็นสมุฏฐานอาการประชวรของพระอนุชา. ถึงกระนั้นพระนางทรงพระจินตนาว่า ควรปลอบเอาความจากพระอนุชา--เรื่องที่เธอจะขยายออกมานั้นจะเป็นสารหรือหาสารมิได้ อย่างไรก็ตาม การที่ปลอบเอาความเช่นนี้คงจะไม่เป็นอะไรนักหนา. พระนางจึงตรัสปลอบด้วยเสียงเฉื่อยฉ่ำว่า: “เจ้าเป็นโรคอะไร, กิจกะที่รักของพี่ ? จงบอกพี่ให้สิ้นเชิง.”
กิจกะก็ขยายความในใจแก่พระพี่นางโดยสิ้นอายว่า: “รูปงามของไสรินธวีนางข้าหลวงของเสด็จพี่เข้าสิงอยู่ในตัวหม่อมฉันทั้งกลางวันและยามค่ำย่ำสนธยา. การใช้หางตาของหล่อนทำให้หม่อมฉันคลั่งเป็นบ้า, และหม่อมฉันเวลานี้ตกขอบความเศร้า.”
ทูลความเท่านั้นแล้ว เธอก็อัดอั้นตันทรวง, น้ำพระเนตรล่วงอาบพระพักตร์. เห็นพระน้องรักทรงกันแสงไห้ รานีก็เข้าใจได้ว่าเป็นความรักที่รุมรึงตรึงใจอนุชา. ถึงกระนั้นพระนางก็ยังอดเตือนอนุชาเรื่องผูกรักที่จะนำมาซึ่งความอับอายขายหน้าไม่ได้. พระนางตรัส:
“เจ้าไม่นึกถึงความเสื่อมเสียเกียรติยศอันเจ้าจะพึงนำมาให้แก่สกุลโดยเหยียดตัวลงกลั้วรักกับนางทาสีนี้หรือ? เจ้าทำให้ชื่อเสียงอันดีของบรรพบุรุษเสื่อมไป, และนำเอาความอัปยศมาให้เจ้านายผู้เผ่ากษัตริย์สูงศักดิ์ มาถูกทาสีดัดเอาจนลุ่มหลงงงงวยด้วยการยิ้มของหญิงเจ้าชู้ก็เป็นได้ จงครวญใคร่ดูให้ดี ! นี่เป็นความอัปรีย์อย่างยิ่ง, ความรัก, รักจริง, เป็นอาการควรชมเชยนี่กระไร, แต่น้องรักของพี่เอ๋ย, โลหิตของชายหนุ่มชุ่มมันมักจะยังความยุ่งใจระหว่างความรักและความใคร่, เป็นที่อับอายขายพักตร์, เป็นที่เสื่อมเสียสัมมานศักดิ์ของราชสกุล, และเป็นมลทินหมองมัวแแก่คณะ”
กิจกะตอบ: “หม่อมฉันทราบเรื่องราวเหล่านี้ตลอดแล้ว, แต่บางทีเจ้าพี่จะยังไม่ทรงทราบว่ามรณกรรมของหม่อมฉันใกล้เข้ามาแล้ว. ถ้าเจ้าพี่มีพระประสงค์จะให้หม่อมฉันตายหรือจะดูใจหม่อมฉันไซร้, ไม่จำเป็นที่เจ้าพี่จะต้องป่วยการเวลานำเอาบรมัตถจรรยามาเทศนากรอกกรรณที่ใกล้จะตาย,”
รานีตรัส “พระเจ้าท่านห้ามหนา, แต่ความประสงค์ของพี่ก็คือ จะช่วยเจ้าให้พ้นจากความอัปยศอดอาย, พี่เสียใจมากเทียวอนุชา ที่มาเห็นสัณหวาจาคำตักเตือนที่มีแต่จะกระพืออัคนีแห่งตันหาบ้าระยำของเจ้า, และเท่ากับเร่งเร้าขับไล่เจ้าให้เนาในมารคาแห่งพินาศกรรม. แต่ถ้าเจตนาของเจ้าจะเอาให้ได้หรือจะตายนั้น, พี่เป็นพี่. พี่จะให้เจ้าตายกระไรได้. มีแต่จะชูช่วยชีวิตเจ้าไว้”
ตรัสเท่านั้นแล้วพระเทพีก็เสด็จออกจากห้องนั้น แล้วมีรับสั่งให้หานางข้าหลวงไสรินธรีเข้ามาเฝ้า, ยืนอยู่ต่อหน้าพระที่นั่ง. คอยฟังพระเสาวนีย์. รานีเห็นนางมาเฝ้าก็มิได้ตรัสว่ากระไร, ทรงประทับเฉยอยู่กับพระที่, ดุจมีข้อขุ่นข้องหมองพระหฤทัยอะไรสักอย่างหนึ่ง. ที่จริง, พระนางกำลังคำนึงหาประโยคที่จะเอ่ยเรื่องนี้ขึ้น. มันเป็นเรื่องสุขุมนักหนาที่นางได้รับภาระมาว่าจะจัดให้ลุล่วงไป- เป็นเรื่องสุขุมพอดู และน่าอดสูนี่กระไร ถึงกระนั้นก็ดี พระเทพีอ้ำอิ้งอยู่สักครู่หนึ่ง แล้วจึงเอื้อนอรรถตรัสว่า: “น่าเสียดายนักหนาที่มาเห็นกันยาผู้อุดมด้วยคุณทรัพย์อย่างเจ้าเป็นทาสีรับใช้ในการเหย้าการเรือน”
นางทาสีตอบ “นั่นเป็นอกุศลผลกรรมของหม่อมฉัน.”
รานีตรัส “ฉันเห็นได้ชัดว่าเจ้าไม่ใช่หญิงสามัญ. มีโลหิตสีเขียวฉีดแล่นอยู่ในเส้นโลหิตของเจ้ามากเท่ากับของฉัน. ถ้าดังนั้นก็ดีละ, เจ้าคงจะดีใจเมื่อได้ทราบว่าอนุชาของฉัน, น้องพระมเหสีของพระราชา. มีความสิเนหาในตัวเจ้า, และตัวฉันเล่าก็ยินดีที่จะเห็นเจ้าเป็นบาทบริจาริกาของเขา.”
ถ้อยคำเหล่านี้เข้าไปกระทบหฤทัยไสรินธรี หาใช่กระทำความประหลาดใจไม่, แต่กระทำความโกรธคือไฟ, สรีระกายอันแบบบางของมานศรีมีอาการสั่นด้วยความโกรธ, และนัยเนตรรุ่งโรจน์ดังเปลวไฟเมื่อนางตอบคำร่ำไขว่า “ขายหน้านะ, พระราชินี ขายหน้านี่กระไร! ไม่ได้นึกได้ฝันเลยว่า พระแม่เจ้าจะเหยียดพระองค์ลงเล่นส่วนอัปรีย์เช่นนี้, อันเป็นส่วนซึ่งแม้นางทาสีจะไม่ออกชื่อ หรือกล่าวออกมาโดยไร้สัมมาคารวะนั้นไม่ได้. หม่อมฉันเพิ่งทราบในวาระนี้เป็นครั้งแรกว่า ‘ศักดิ์สูง’ และ ‘ชื่อเสียงดี’ นั้นมันไม่มีไปด้วยกันเสมอๆ. ดูเหมือนว่าพระแม่เจ้ายังไม่เคยพบนางนารีซึ่งยินดีที่จะสละชีวิตของตนเพื่อรักษาเกียรติยศไว้, แต่ตรงกันข้าม, พระแม่เจ้าเคยสมาคมกับคนซึ่งกลี สำเนียงเสียงกริ่งของเหรียญสุวรรณบันดาลให้สมมาดคาคหมายทุกอย่าง. หม่อมฉันไม่มีอะไรแล้วที่จะกล่าวมากไปกว่านี้, มีอยู่แต่จะพึงทูลให้ทราบว่า, แต่บัดนี้เป็นต้นไป หม่อมฉันมิได้เป็นสาวใช้ชาวห้องพระบรรทมของพระแม่เจ้าอีกต่อไปแล้ว, แต่เป็นอิสรอิตถี, มีสิทธิที่จะไปไหนไปได้.”
รานีตรัสโดยพลันว่า: “ฉันเสียใจมาก, จงลืมเสียเถิด และให้อภัยแก่ฉันเถิด, เจ้าอย่าขัดเคืองใจในถ้อยคำสำนวนของฉันเลย. จงเชิญน้ำจัณฑ์ถ้วยนี้ไปถวายกิจกะ เธอคงจะคอยท่าเจ้าอยู่”
รานีสำคัญพระหฤทัยว่าที่ไสรินธรีแสดงอาการฉุนโกรธนั้นเป็นมายาสตรี, มายาซึ่งสตรีมีฐานะอย่างหล่อนทำได้คล่อง ๆ พระนางสิ้นสงสัยและเชื่อใจว่า หล่อนคงจะมีความยินดีที่ได้ทราบข่าวคราวว่า หล่อนได้ผูกหฤทัยของเจ้าชายองค์หนึ่งให้ใฝ่ฝันติดพันนาง, และเชื่อว่านางคงยินดีที่จะเชิญน้ำจัณฑ์ถ้วยนั้นไปถวายกิจกะ, ไสรินธรีทราบได้ตระหนักว่า น้ำจันฑ์ถ้วยนั้นเป็นอุบายเพื่อยังเหตุให้สมผล ให้คนทั้งสองคือหล่อนกับเจ้าชายได้พบปะกันลับๆ ความกระตุ้นเตือนใจขั้นต้นของหล่อนนั้นมันชวนให้คิดท้อถอย, ครั้นหวนคิดเป็นคำรบสอง หล่อนก็ยอม, มั่นใจในกุศลราศีของนางจะให้กำลังต่อต้านอาการข่มขืนชำเราของฝ่ายหนึ่ง. นางซังตายน้อมเศียรเกล้ารับถ้วยน้ำขัณฑ์จากหัตถ์ของรานี, และขณะที่นางเดินไปห้องที่ประทับของกิจกะนั้น. นางนึกแต่ในใจว่า:-
‘ข้าพระเจ้าเข้าร้ายดุจเสียบติดอยู่ที่เขาสัตว์. ข้าพระเจ้ามิรู้ที่จะประติบัติอย่างไร. ถ้าข้าพระเจ้าขัดพระอาชญาของรานี, โทษทัณฑ์ก็จะตกหนักอยู่เหนือเศียรเกล้าของข้าพระเจ้า, ข้าพระเจ้าหนีเอาตัวรอดไม่ได้: ข้าพระเจ้าต้องชักเวลาให้ล่วงไปหนึ่งปีในการซ่อนหน้ามิให้ชาวประชาพบเห็นเข้า. ถ้าข้าพระเจ้าประติบัติตามบัญชาของรานีไซร้, ใครเลยจะบอกได้ว่า การย่างเข้าไปในห้องนั้นแต่ผู้เดียวดายไร้เครื่องป้องกัน มันจะให้โทษแก่ข้าพระเจ้า ใครอาจบอกได้ว่า กิจกะผู้สันดานขลาดจะไม่ทำอะไรข้าพระเจ้า? สาวเถื่อนผู้ทรามในจรรยาสมบัตินั้นมันก็ควรกลัวมากเท่ากับกลัวพยัคฆ์ร้าย. จะเป็นอย่างไรก็ตาม, ข้าพระเจ้าจะพยายามรักษาเกียรติยศของข้าพระเจ้าไว้โดยเต็มกำลังที่จะรักษาได้, แม้จะต้องเสียชีพก็ตามที, ขอพระผู้เป็นเจ้าในชั้นฟ้าจงช่วยข้าพระเจ้าด้วยเทอญ.”
ด้วยความคิดดังนี้ มานศรีก็ย่างเท้าเข้าไปในห้องของกิจกะ, และเหตุการณ์ที่ได้เกิดขึ้นนั้นมันไม่ผิดกันกับที่นางได้คาดหมายไว้, เมื่อเห็นนางมาโดยลำพัง กิจกะผู้คลั่งด้วยน้ำจัณฑ์ก็ถลันเข้าหากันยา, จับชายผ้าของนางไว้. นางมิได้มีอาวุธป้องกันตัวก็จริงแล, แต่นางได้เตรียมตัวไว้ต่อสู้ด้วยกำลังกาย,และนางได้ตบหน้ากิจกะโดยเต็มแรง, ดิ้นหลุดจากหัตถ์ของเขาซึ่งกำลังเมา, วิ่งหนีออกจากห้อง.
พระเจ้ากรุงวิราฏกำลังออกขุนนางอยู่ในท้องพระโรง, ขณะเมื่อผู้หญิงคนหนึ่งร้องหวีดวิ่งถลันเข้าไปหน้าพระที่นั่ง, รุกเข้าไปถึงชั้นบัลลังก์ด้วยอาการองอาจและร้องว่า: “อยุติธรรม, อยุติธรรมอย่างร้ายแรงเกิดขึ้นในร่มศาลยุติธรรม ! ราชาเอย, ความฉิบหายของท่านมันใกล้เข้ามาแล้วละหนา, เมื่อหญิงกำลังน้อยไม่มีที่พึ่งพาถูกย่ำยีสัมมานศักดิ์เล่นตามอำเภอใจภายในกำแพงสี่ชั้นแห่งพระบรมมหาราชวังของเธอ.”
ข้าใช้คนหนึ่งในพระราชาพยายามขับไล่นางไปจากที่นั้น, เรียกนางว่า อีตอแหลหรือหญิงบ้า, แต่ทันใดนั้น กิจกะเข้ามาในท้องพระโรง, จิกผมนางฉุดคร่าออกไปจากห้องประชุมนั้น. ผู้ที่ประชุมหรือเฝ้าอยู่นั้นมิทันรู้ว่าได้เกิดเรื่องอะไรกันขึ้น, ตามทางที่นางถูกฉุดคร่าไปยังพระราชวัง ไสรินธรีร้องขอความช่วยเหลือต่อชายผู้หนึ่งซึ่งนางเห็นยืนอยู่, และดูเหมือนรู้จักชายผู้นั้น แต่อีกฝ่ายหนึ่งคือชายผู้นั้นเห็นเป็นการไม่ชอบกลที่จะทำการวุ่นวายกลางถนนหนทาง. ถึงกระนั้น, ชายผู้นั้นก็อุบายกระซิบบอกนางว่า ให้นางทำมายาอ่อนน้อมยินยอมว่าจะไปหาเขาในเวลาราตรี. ฝ่ายพวกที่จะมาช่วยนั้นจะต้องมาอยู่ใกล้ ๆ ทันท่วงทีที่จะช่วยนางให้พ้นจากความอัปยศ.
ไสรินธรีก็ประติบัติตาม. นางมิได้แสดงอาการต่อต้านต่อไป, เดินตามกิจกะไปห้องของเขาโดยดี. แต่พอสองราเข้าห้องแล้ว, กิจกะก็ลั่นดาลประตู, และกล่าวคำวอนว่า: “อย่าน่ะ, อย่าตัดสวาทของฉันเสียเลย, พักตร์อันงามของหล่อนบันดาลฉันเคลิบเคลิ้มสติไป. ความรักของหล่อนมาเป็นเจ้าครอบงำตัวฉันเสียแล้วหนา, และตัวฉันตกเป็นทาสแห่งความรักนั้น. อย่าดุร้ายไปเลยหนา; อย่าทำให้ฉันเป็นบ้า: อย่าให้ฉันตายเสียเลยน่ะ.”
เมื่ออ้าทั้งสองพระพาหาเป็นเชิงชวนให้นางกอด กิจกะพลอดต่อไปว่า: “ขอให้ฉันกอดหล่อนประทับไว้กับทรวงอกสักทีเถิด ทรามวัย, และบรรเทาความเร่าร้อนรุมรึงใจของฉัน, และต่อนั้นฉันก็เป็นของหล่อน และหล่อนก็เป็นของฉันชั่วนิรันตรกาล.”
ไสรินธรียิ้มด้วยอุบายแล้วก็นิ่งเสีย มิได้กล่าวคำตอบ กิจกะได้ใจก็พูดต่อไปว่า, “ความละอายอยู่ในหน้าของมานศรีนั้นจุดกองอัคนีขึ้นในใจของฉัน อย่าซ่อนพักตร์ดังดวงจันทร์จากการเพ่งอันร่าเริงของฉันซี. อย่าเงียบเสียงอันไพเราะเสนาะโสตฉันเสียซี, ปฏิญญาออกมาแต่คำเดียวจากโอษฐ์อันจิ้มลิ้มดุจทับทิมเลื่อมพราย – เพียงแต่คำเดียวเท่านั้นก็จะช่วยชูชีวิตของฉันไว้.”
ในที่สุดไสรินธรีก็เอ่ยว่า, “ทำไมเธอจึงรีบด่วน? ให้มันมืดค่ำย่ำสนธยาเสียก่อนซี.”
“หล่อนรู้ได้ยากนักยากหนาว่า การรอท่านั้นมั้นแปลความว่ากระไรแก่ใจของคู่รักผู้หนักด้วยความใคร่.” กิจกะตอบด้วยเสียงกระสันเศร้า.
ความอายในขณะนั้นเหลือที่จะอาย, แต่อุบายยิ้มละไมอยู่ในหน้า, มานศรีให้คำปฏิญญาว่าจะมาหาเวลาค่ำ.
กิจกะตอบในที่สุดว่า “ฉันพอใจ. มธุรสกถาเหล่านั้นช่วยรักษาดวงใจของฉัน และทำให้ร่างกายของฉันซึ่งร่อแร่อยู่แล้วกลับมีชีวิตขึ้นมาใหม่, และฉันกลับรู้สึกตัวของฉันว่าเป็นตัวตนเหมือนแต่ก่อน. ฉันไม่รู้ที่จะขอบใจหล่อนอย่างไรขณะที่มอบดวงใจให้แก่หล่อน, การุณยจิตของหล่อนเข้าครอบงำฉันเป็นส่วนมากกว่าความที่ฉันรักหล่อน, ความรัก, กตเวที และสัมมานศักดิ์ ได้เหวี่ยงโซ่สามสายมาล่ามศอของฉันไว้, ถ้าและชีวิตของฉันจะเป็นประโยชน์แก่หล่อนแม้แต่ส่วนน้อยที่สุดก็ดี ฉันเต็มใจที่จะสละให้หล่อน,”
เรื่องเวลาที่ล่วงไปช้าเพียงไร สำหรับคู่รักผู้ใจร้อนนั้น ออกจะเข้าตำราภาษิตที่ท่านกล่าวไว้. ทุกนาฬิกาที่ล่วงไปเอื่อย ๆ นั้น ดูเฉื่อยช้าชั่วเวลาอายุกาล: ดูประหนึ่งว่าล้อรถทรงของพระอาทิตย์ติดโคลนฉะนั้น ถึงกระนั้น. ราตรีกาลที่คะนึงก็ได้มาถึงเข้า นที่สุด, และเงาราตรีกาลอันขมุกขมัวสีสลัวไปข้างดำช่วยชูค้ำใจของกิจกะซึ่งกำลังเต้นเร็ว. ครั้นสายัณห์ใกล้เข้ามา, นาฬิกาออกจะเดินช้ากว่าแต่ก่อน, กิจกะทอดกายอยู่ในที่ไสยาสน์ มีอินทรีย์อันตื่นคอยระวังระไว, เคลิ้มสติทึกเอาเสียงถอนใจใหญ่ของตนเป็นเสียงเครื่องนุ่งห่มของนางงาม. ในที่สุดประตูห้องนั้นก็เผยออกไป, รูปอร่ามยอดดวงใจของเขาก็ก้าวเข้ามา แต่พอแลเห็นกันยา เขาก็ลุกขึ้นนั่งในที่นอน, และร้องเชิญบังอรให้เข้าไปในวงแขน นางค่อย ๆ ก้าวเข้าไปที่ศยนบิฐ, เปลื้องเครื่องคลุมชั้นนอกออกทันที , เออ! ที่ไหนล่ะ! มันหาใช่ผู้หญิงไม่, ไหล่เป็นนักรบผู้หนึ่งซึ่งน่าขนพองสยองเกล้า เข้ามายืนอยู่ต่อหน้าเขา และด้วยเสียงกึกก้องร้องตวาดว่า: “ไอ้ผีไม่มีความละอาย มึงไม่รู้หรือว่าหญิงบริสุทธิ์ไม่ขายเกียรติยศของนางเพื่อเห็นแก่ลาภคือทองคำบ่อหนึ่ง ? ในบัดนี้มึงจงเตรียมใจดำของมึงเพื่อลงไปสู่นิรยภูมิเถิดหนา.”
พูดเท่านั้นแล้ว, เขาก็กระชากกิจกะลงจากศยนบิฐ และด้วยหมัดอันมีฤทธิ์ก็เลยประหารชีวิตเขาเสีย. ต่อนั้น, ภีม-ผู้แปลงกายมาก็ไต่ลงจากกำแพงวังของกิจกะ, ตรงไปนอน, มิได้มีผู้ใดผู้หนึ่งในวังนั้นทราบว่าได้มีเหตุเกิดขึ้น,
วันพรุ่งรุ่งขึ้นจนสาย ห้องบรรทมของกิจกะก็ยังปิดอยู่ ต่างพากันพิศวง, คนใช้คนหนึ่งได้รับเสาวนีย์ให้ไปดูว่าเป็นเหตุอะไรกัน. แต่พอเปิดประตูห้องกิจกะเข้าไป, คนใช้นั้นก็ยืนจังงัง, เห็นศพกลิ้งทูดอยุ่บนพื้น, มีโลหิตนองกาย, ความตกใจแห่งเครือญาติกิจกะนั้นมากนี่กระไรเมื่อได้ทราบว่าได้เกิดเหตุขึ้น และรานีผู้พี่นางของเขานั้นเป็นลมแน่นิ่งไปเมื่อได้ทรงทราบข่าวร้ายนั้น โดยบันดาลโทสะเฉียวฉุนหุนหัน, คนทั้งหลายพากันพาโลนางทาสีผู้น่าปรานี, แต่ก็ไม่มีหลักฐานอย่างไรที่จะป้ายเอานางได้, ที่จริง, ความเห็นมีอยู่ว่า หญิงคงไม่สามารถกระทำการฆาตกรรมชายล่ำสันอย่างกิจกะ , ถึงกระนั้น, คนทั้งหลายยังพากันเห็นว่าฆาตกรรมอันนี้เป็นคดีลี้ลับอยู่, แต่รานีไม่สิ้นสงกาที่ตรงว่าไสรินธรีเป็นต้นเหตุ. พระนางมิได้งำสงกานี้ไว้เป็นความลับ, เคยตรัสเปิงๆ อยู่เนืองๆ ว่า เห็นหน้านางทาสีคราวใดไม่เป็นที่พอพระหฤทัย, เพราะเตือนให้พระนางนึกถึงความตายของพระอนุชา ในที่สุดพระราชาถูกลมหวนชวนเชื่อพระมเหสี, ให้มัดมือและเท้าไสรินธรีไว้, ให้เผาเสียทั้งเป็นพร้อมกันกับศพกิจกะเหนือเชิงตะกอน.
นางทาสีผู้น่าสงสารถูกมัดประจานอยู่ในท่านั้นเป็นเวลาหลายชั่วนาฬิกา, เพื่อจะให้นางรับเป็นสัตย์; แต่นางสู้ทนทารุณกรรมนั้นด้วยความกล้า, ทราบตระหนักในใจว่าเจ้าปาณฑวภราดาจะมาช่วยนางให้พ้นภัยเมื่อได้ช่อง, การสู้ทนลำบากต้องมัดมือและเท้าอยู่นั้น มิได้ยังความสมเพชเวทนาให้เกิดขึ้นในใจของรานี, ในเวลาที่มีทุกข์ระทมใจถึงอนุชาผู้อาสัญ. ต่อนั้นเขาก็พานางไปสู่สุสานที่ปลงศพ, มีทหารล่ำสันโตใหญ่ห้าสิบคนควบคุมนางไป คอยป้องกันมิให้นางหนี หรือคอยป้องกันพวกพ้องของนางมิให้เข้าแย่งชิงเอาตัวนางไปได้.
ที่เมรุนั้น เขาได้จัดแจงตั้งเชิงตะกอนเตรียมไว้ถวายเพลิงกิจกะ, และนางถูกบังคับให้ขึ้นไปเผาตัวตายบนเชิงตะกอนนี้พร้อมกันกับผีซึ่งเขาหาว่านางเป็นผู้ฆ่า, แต่ก่อนที่จะย่างขึ้นเชิงตะกอนที่เผาผี, มานศรีได้รับอนุญาตอย่างเดียวกันกับนักโทษทุกคนผู้ถึงที่ตาย, ให้พูดแสดงความในใจของนางได้ก่อนที่นางจะลาตาย, ถ้านางมีความประสงค์จะกล่าวปัจฉิมวาจ. เยาวมาลย์ลุกขึ้นยืนโดยองอาจ, และพูดเสียงใสไม่สะทกสะท้านว่า:
“ดูกรสุภาพบุรุษทั้งหลาย,-หากท่านจะมานึกดูสักประเดี๋ยวหนึ่งว่า ถ้ามารดาหรือพี่สาวน้องสาวหรือบุตรีของท่านได้รับความอายเพราะเจ้าชายที่ตายไปนี้, และนางนั้นไม่เต็มใจที่จะเอาสัมมานศักดิ์ของตนมาแลกกับเจ้าองค์นี้อย่างเดียวกันกับข้าพเจ้า, ท่านจะมัดมือมัดเท้าและเผ่านางเสียทั้งเป็นเพราะเหตุที่นางพยายามจะป้องกันความบริสุทธิ์ของนางไว้หรือ? ข้าพเจ้าเข้าใจว่า ท่านจะค้านเป็นเสียงเดียวกันว่า:-จะไม่ทำแก่หล่อนเลย. ถ้าดังนั้นไซร้, เหตุไฉนหญิงคนจนผู้ไม่มีคามสถาน, หาวงศ์วานมิได้, ไม่มีอันจะอาศัยเลี้ยงท้อง จะได้บริโภคก็แต่ของที่ท่านให้เป็นทาน,-เหตุไฉนหญิงอนาถาน่าสงสารอย่างตัวข้าพเจ้านี้ ผู้ยินดีที่จะตายเสียในวันในพรุ่งเพื่อให้พ้นทุกข์สำเร็จทุกข์ไป จึงมาถูกกระทำคนละอย่าง ต่างกันกับที่ทำแก่คนทั้งหลายดังนี้? ในชั่วเวลาหนึ่งหรือสองนาทีข้าพเจ้าก็จะสิ้นชีวิตไม่มีตัว: แต่ดวงจิตของข้าพเจ้าจะท่องเที่ยวอยู่ในโลก- จิตของพรหมจาริณีบห่อนตาย.”
แต่พอนางพูดขาดคำลง เห็นมีชายดำล่ำใหญ่คนหนึ่งวิ่งตรงไปที่ฝั่งน้ำ. ชายผู้นั้นวิ่งมากระหืดกระหอบ, ตาลุก, ซึ่งบอกว่าเขาเป็นผู้ถือสารหรือรับใช้มาทำธุระอันรีบด่วน, เขาวิ่งเร็วนี่กระไร, เร็วถึงกับกองรักษาไม่ทันห้ามไว้แต่ไกล. แต่พอจะออกไปกางกั้น, เขาถลันเข้ามาถึงที่นั้นเสียแล้ว, และก่อนที่ผู้ใดผู้หนึ่งจะรู้ความประสงค์ของเขาว่ามาดีหรือมาร้าย เขากรากเข้าใส่ผู้คุมตรงกรงรักษาการ, และด้วยกระบี่อันคมกริบ เขาก็ตัดเศียรเกล้าผู้บังคับกรงขาดกระเด็นไปจากกาย, แล้วร้องประกาศด้วยเสียงอันดังว่า:
“กิจของข้าพเจ้าในปัจจุบันทันด่วนนี้ก็คือ จะมาช่วยแก้หญิงซึ่งต้องมัดอยู่นี้, กิจต่อไปก็คือ, จะแสดงให้คนทั้งหลายเห็นว่า เหล็กมีคมเล่มเล็กๆ นี้ (เอามือชี้กระบี่) จะสังหารพวกเจ้าเสียได้.”
พูดดังนั้นแล้ว, เขาก็ปีนขึ้นเชิงตะกอนไปช่วยไสรินธรี, และขาลงมาก็ได้มีการฆ่าฟันกันยกใหญ่ในหมู่รักษาการ, เขาหวดซ้ายป่ายขวาด้วยกระบี่สำหรับมือ, และก่อนผู้ทัศนาได้แตกฮือกันด้วยความตกใจ เขาฟันพวกรักษาการตายเสียยี่สิบคน: บ้างหัวขาด, มือขาด, เท้าขาด บ้างก็ลงไปลอยเลือดสาดอยู่ในแม่น้ำ, ที่ปลงศพกลายเป็นสนามรบอันเดิมไปด้วยโลหิต, ผู้ที่มีชีวิตรอดไปได้นั้นไม่กี่คน. ผู้ทีพ้นคมคาบไปได้ก็คือผู้ที่หนีเสียก่อนการปลงศพ. เสร็จการหักศัตรูลงด้วยกำลังหาญ. พระกาฬผู้สังหารศัตรูพ่ายตายก่ายกองอย่างน่าสยดสยอง ก็อุ้มนางขึ้นวางเหนือบ่าพาระเห็จหายวับลับตาไปในระยะไกล.
-
๑. รานี : ราชินี ↩