- กถามุข
- ตอนหนึ่ง ความริษยาแห่งญาติ
- ตอนสอง การสยุมพรนางเท๎ราปที
- ตอนสาม อาวาหมงคลแห่งเท๎ราปที
- ตอนสี่ ห้องประชุมรัฐมนตรี
- ตอนห้า อินทรปรัสถรัฐ, ราชอาณาจักรใหม่
- ตอนหก การพนันใหญ่
- ตอนเจ็ด การเนรเทศเจ้าปาณฑพ
- ตอนแปด พระเจ้ากรุงวิราฏ
- ตอนเก้า พวกกุรุเข้าเหยียบแดนวิราฏ
- ตอนสิบ การประสบ
- ตอนสิบเอ็ด หารือสงบศึก-เตรียมรบ
- ตอนสิบสอง สงคราม-กุรุเกษตร
- ตอนสิบสาม ความขุ่นหมองของทุรโยธน์
- ตอนสิบสี่ โท๎รณาจารย์ ผู้นำทัพคนใหม่ฝ่ายกุรุ
- ตอนสิบห้า มรณะของอภิมันยุ
- ตอนสิบหก ฉากสุดท้ายของสงคราม
- ตอนสิบเจ็ด อวสานแห่งสงคราม
ตอนสอง การสยุมพรนางเท๎ราปที
ขอให้นึกดูเถิดว่า แม่ลูกผู้ถูกเนรเทศจากนิเวศน์สถานในค่ำวันนั้นจะอ่อนเพลียเพียงไร ถึงกระนั้นแสงอรุโณทัยกระทำใจของเธอให้มีมานะคืนมา พากันเดินด้นพนัสราวป่าไปโดยเดา มิได้รู้ว่าเคราะห์กรรมจะพาไปถึงไหน เกรงว่าจะมีผู้รู้จักและติดตามมา เธอเปลื้องเครื่องทรงออกเสีย เอาเถ้าลูบไล้กายดุจโยคีเพื่อขอไปที พระนางผู้ชนนีของห้าภราดานั้นเล่า ก็จำเป็นต้องปลอมองค์เป็นหญิงอนาถา โอ้ อนาถวาสนาช่างกระไรเลย.
วาระหนึ่ง ขณะเดินตามมารดา เธอ (แม่ลูก) ได้พบพราหมณ์หมู่หนึ่งซึ่งบอกเธอว่า เขาจะพากันไปในการสยุมพรพระธิดาของท้าวบัญจาลราช พวกพราหมณ์เหล่านั้นบอกเธอว่า การครั้งนี้จะเอิกเกริกเต็มที่ ครึกครื้นอย่างที่ตามนุษย์นาน ๆ จะได้พบได้เห็นสักครั้งหนึ่ง เจ้าปาณฑุภราดาทั้งห้าก็เตรียมตัวจะเดินทางไปสู่ด้าวท้าวปัญจาล ความจำเป็นบังคับให้ซานไปสู่ปัญจาลราชธานี เพื่อหนีราชภัยมากกว่า ที่มีจำนงจงใจไปเพื่อความใคร่ดูการนั้น
มาถึงปัญจาลราชธานี, เจ้าปาณฑุภราดาก็ตกเข้ามาอยู่ในบ้านเมืองของราชศัตรูผู้กล้าหาญ ซึ่งเธอ (ทั้งห้า) ได้ทำการสงครามขับเคี่ยวกันมาไม่สู้นานโดยบัญชาแห่งโท๎รณพราหมณ์ผู้อาจารย์ของเธอ แต่โท๎รณาจารย์ให้อดโทษแก่ท้าวเธอผู้ปัจจามิตร, ได้ไว้ชีวิตและคืนแว่นแคว้นแดนดินแก่ท้าวเธอ จำเดิมแต่นั้นมา ท้าวทรุบทปัญจาลราชเห็นความกล้าหาญห้าวณรงค์ของเจ้าปาณฑุภราดาทั้งห้าองค์ ก็มีหฤทัยจำนงจะยกราชธิดาให้เป็นบาทบริจาริกาของเจ้าผู้กล้าหาญยิ่งในจำนวนห้าภราดา คือจะทรงยกให้แก่อรชุน ท้าวเธอมิได้แพร่งพรายพระราชดำริเรื่องนี้แก่ใคร เพราะสิทธิแห่งการเลือกคู่มิได้อยู่ในท้าวเธอผู้ชนก, ย่อมสุดแล้วแต่เท๎ราปทีผู้ธิดาจะพอใจหรือไม่ แต่เพื่อประติบัติการให้สมพระราชประสงค์ในเรื่องนี้ ท้าวเธอได้จัดการอย่างหนึ่งซึ่งเชื่อมั่นในหฤทัยว่าจะทำได้ก็แต่อรชุนองค์เดียว คือทรงสร้างธนูใหญ่คันหนึ่งขึ้นไว้ สร้างปลาทองตัวใหญ่ เอาขึ้นแขวนไว้ที่ยอดเสาสูง มีจักรหมุนเวียนอยู่โดยเร็วภายใต้ปลาทองนั้น และข้อสัญญามีอยู่ว่า “ผู้ที่จะเป็นเนื้อคู่ของพระราชธิดาต้องเป็นผู้สามารถโก่งมหาธนูนั้นขึ้นได้ด้วยกำลัง และลั่นลูกธนูนั้นลอดใบจักรไปประหารปลาทองนั้นเข้าที่ลูกตาปลา ให้ปลานั้นตกลงมายังพื้นแผ่นดิน อนุญาตให้ผู้ที่ทำการประกวดอวดฝีมือ (หรือชิงนางครั้งนี้) ทุก ๆ คนใช้ลูกธนูเพียง ๕ ลูกเท่านั้น” เพราะฉะนั้นนายขมังธนูอย่างอรชุนแต่ผู้เดียวเท่านั้นอาจยิงถูกเป้าที่หมายได้.
สำหรับการสยุมพร, ท้าวเธอมีพระราชบัญชาให้แผ้วถางสนามกว้างใหญ่ ปลูกพลับพลาดาดผ้าขาว มียอดอย่างมณฑป ปิดทองประดับมณีต่างๆ สุกกาววาว มีการเลี้ยงและการเล่นนานาในพระมหาราชวังเป็นเวลากว่าสองสัปดาห์ก่อนวันงาน ครั้นถึงวันงาน ท้าวพระยาทั้งหลายที่หมายใจจะได้พระธิดา ก็พากันออกมานั่งอยู่ตามที่ของตนหน้าพลับพลาหลวง นั่งสะพรั่งพร้อมเป็นรูปดวงจันทร์ครึ่งดวงตรงหน้าราชบัลลังก์ของท้าวทรุบท ฝ่ายฝูงชนชาวประชาก็พากันมาอออยู่ที่ประตู ยืนดูรอบฉนวนที่กั้นไว้ บ้างก็ขึ้นไปนั่งเจ่าอยู่บนยอดไม้
ครั้นท้าวพระยาทั้งหลายเข้านั่งที่เรียบร้อยดี นางเท๎ราปทีก็เสด็จยุรยาตรเข้ามาในที่ประชุม มีหัตถ์กุมมาลัยมาด้วยพวงหนึ่ง ซึ่งเปรียบประดุจดวงลัญจกรที่บังอรจะพึงใช้ประทับการเลือกฟั้นคู่ภิรมย์สวาทของนางอย่างเด็ดขาดลงไป
บรรดาเจ้าที่มาประชุมในการสยุมพรครั้งนี้มีทุรโยธน์, กรรณ, เจ้าปาณฑพห้าภราดา, กฤษณ, พลราม ผู้ภราดาของกฤษณ เจ้ายาทพหลายองค์, พระราชาสินธู และโอรสของท้าวเธอ, (ไม่ปรากฏว่ากี่องค์) พระราชาเจทิ, พระราชาโกศล, พระราชามัทร และยังมีกษัตริย์นอกจากที่ออกพระนามมานี้อีกหลายองค์ เจ้าปาณฑพห้าภราดานั้นมิได้เข้าไปปนอยู่ในหมู่เจ้า เข้าไปนั่งอยู่ในหมู่พราหมณ์ซึ่งปลีกอยู่หมู่หนึ่งต่างหาก; เพราะเธอทั้งห้าภราดาปลอมองค์มาเป็นชีพ่อพราหมณ์ในเวลานั้น, แต่งองค์อย่างพราหมณ์ธรรมดา ตาของคนทุกๆ คนในเวลานั้นเพ่งดูแต่โฉมวิลาสเท๎ราปที, และที่ประชุมที่เบียดเสียดเยียดยัดนั้นก็เงียบเสียงสงัดลงทันที ขณะที่ธฤษฏทยุมน์ ภราดาของเท๎ราปที อ่านประกาศตามประเพณีดังนี้:-
“เจ้าหญิงเท๎ราปทีผู้หาที่เปรียบมิได้ยืนอยู่นี่ ผู้ใดสามารถโก่งธนูนี้และยิงลอดกงจักร อันผกผันไปประหารลูกตาปลาตัวโน้น ถ้าเขาเป็นเผ่าผู้ดีไซร์ จะได้นางเป็นบาทบริจาริกา”
อ่านประกาศเสร็จแล้ว เธอก็อ่านนาม วงศ์ และสังเขปประวัติบรรยาย คุณความดีหรือฝีมือท้าวพระยาเหล่านั้นให้นางฟัง: แล้วขอให้นางเอาพวงมาลัยสวมพระศอท้าวพระยาซึ่งยิงถูกเป้าตามประกาศแล้ว.
ต่อนั้นก็เริ่มการประกวดฝีมือกันในการธนูศิลป์ ท้าวพญาหลายองค์ชักท้อใจ: รู้สึกตัวว่าอย่างไรก็คงแพ้, เมื่อแลไปเห็นธนูอันน่ากลัวและเป้าอันเฝ้าแต่หลบลูกธนูอยู่ทุกเวลา. ท้าวพระยาเข้าไปทดลองทีละองค์ แล้วก็เดินกลับมาที่, มีความผิดมาดคาดหมาย ขุ่นเคืองหฤทัย ชักสีพักตร์ไม่ดีทุกองค์ราช นักรบผู้ลือนามว่าแกล้วกล้าและมีกำลังวังชาหากันตัวสั่นหวั่นไหวเมื่อเดินเข้าไปใกล้มหาธนู และพากันเหี่ยวแห้งเสียวรรณะหล่นพรูลงพื้นธรณี ฉันเดียวกันกับใบพฤกษากรในฤดูร้อนคาบหนาว, การโก่งและขึ้นสายธนูอันน่ากลัวทำให้หมดกำลังใจไปตามกัน บางคนเดินองอาจเข้าไปที่ธนูด้วยมานะดีกว่าผู้อื่น แต่ก็คงคืนกลับมานั่งที่โดยไม่มีภาษีกว่าใคร ๆ
ผู้ที่ทำการไม่สมหวังแสร้งยังอารมณ์ของตนให้ชื่นบานแก้ขวยใจ เห็นเพื่อนกันเดินเข้าไปก็ยิ้มละไมอยู่ในหน้า วางท่าแก้เก้ออย่างนี้ทุกๆ คน ต่อนั้นกรรณผู้แกว่นกล้าเดินตรงเข้าไปที่มหาธนูนั้น โก่งและขึ้นสายมันทันที ท้าวทรุบทและโอรสก็ตกหฤทัย เกรงว่ากรรณผู้มีกำเนิดลี้ลับจะทำการสมหวัง วางลูกศรไปถูกเป้าที่หมาย แต่ก่อนที่กรรณจะมีเวลาลองเป้าที่หมายสิ เท๎ราปทีได้ประกาศความประสงค์ออกมาเป็นใจความว่า นางไม่พอหฤทัยในตัวเขาผู้บุตรนายสารถี, กรรณทิ้งธนูลงแล้วก็กลับมาที่ มีหน้าอันสลดลงทันที
อีกหลายท่าน ได้เข้าไปทำการทดลองทีหลังกรรณ แต่ได้เกร็งข้อออกแรงเสียเปล่าไม่สำเร็จผล บางท่านดันทุรังฝืนกำลังของตนจะขึ้นสายให้ได้, แล้วก็ลงนอนแบบอยู่กับพื้นดิน บรรดาผู้ดูก็พากันหัวเราะอึงมี่ แสดงความชอบใจตามประสาของเขา เห็นเป็นเรื่องขบขันอันหนึ่ง
ระหว่างนั้นเจ้าปัณฑวภราดาอยู่ในหมู่พราหมณ์ห่างจากหมู่ท้าวพญา, นั่งดูงานเขาราวกับว่ามิได้เกี่ยวข้องกับการที่เป็นไปในวันนั้น ทันใดนั้นมาณพโฉมงามคนหนึ่ง ลุกขึ้นเดินออกมาจากหมู่พราหมณ์เหล่านั้น; บรรดาผู้ที่ดูอยู่นั้นก็พากันหัวเราะคิกคักทั่วสนามใหญ่ เพราะนึกขำในใจว่าพระผู้เรียนแต่ธัมมะธัมโม จะอวดโตแข่งขันกับขัตติยราชผู้เชื้อชาตินักรบแกว่นกล้าได้เทียวหรือ ?
เนื่องด้วยเหตุนี้ พราหมณ์บางคนในที่นั้นจึงได้พูดทักท้วงพราหมณ์หนุ่มผู้ร่วมเพศกันว่า “อย่าเข้าไปทดลองกับเขาเลยน่ะ” พราหมณ์บางคนพูดว่า “พราหมณ์ย่อมมีฝีมือทุกอย่างทั้งการใช้หัวคิดและใช้อาวุธต่าง ๆ” บางคนก็ตะลึงแลดูพราหมณ์หนุ่มนั้นด้วยพิศวง มิได้ปริปากทักท้วงแต่สักคำ ระหว่างนั้นพราหมณ์หนุ่มผู้กำยำล่ำใหญ่ก็เปลื้องเครื่องครองของโยคี (อันทำด้วยหนังมฤค) ออกกองไว้ แล้วเดินออกไปกลางสนามโดยองอาจอย่างราชสีห์ มีอกและไหล่อันผึ่งผายอย่างวาสุเทวิน, ทำประทักษิณ (เดินรอบ) มหาธนูนั้น, พลางภาวนาแต่ในใจ ฝ่ายตาหลายพันดวงก็จ้องดูเขาด้วยเพ่งเฉพาะ มาณพโฉมงามพราหมณ์หนุ่มนั้นโก่งมหาธนูและขึ้นสายได้ด้วยกำลังของตน บรรดาผู้ดูอยู่รอบสนามตบมือลั่น พากันกล่าวคำชมเชยต่าง ๆ ตามที่ชอบใจ เท่าที่โก่งธนูและขึ้นสายธนูได้นั้นยังไม่สิ้นเรื่อง ยังมีการที่ยากยิ่งกว่านั้นซึ่งเขาจะต้องทำคือ จะต้องยิงให้ถูกเป้าซึ่งเฝ้าแต่หลบลูกธนูอยู่ ผู้ดูทั้งหมดพากันจ้องมิได้วางตา ด้วยเป็นเวลาสำคัญ
“ครานั้น พราหมณ์หนุ่มก็ยกธนูใหญ่ เอาลูกขึ้นพาดสาย เยื้องกรายด้วยเพลงอันงามของนายขมังธนู หาผู้เปรียบมิได้ พลางลงเข่าน้าวสายหมายเขม้นได้ที่แล้วก็ลั่นลูกธนูไป ลูกธนูแล่นดังหวือปรื๋อไปประหารลูกตาปลาทองตกลงยังพื้นพระธรณี ฝ่ายผู้ดูก็ตบหัตถ์อึงมี่สนั่นก้องท้องสนามใหญ่ ผู้มีชัยจะเป็นใครก็ตามเขาไม่ต้องเอาเป็นอารมณ์ เขาต้องการแต่จะสนุกเท่านั้นเป็นข้อใหญ่ และต้องการรู้ผลที่สุดของการอันเป็นที่คลางแคลงอยู่เท่านั้น แต่ที่ใดท้าวพญาผู้สวมมาลาปักขนนกหรือโพกผ้าตรงเข้ามาที่เป้าประลองศิลป์และเก้อกลับไปที่ ทรวงของเท๎ราปทีก็ตื้นตันขึ้นมาทีนั้น เพราะปลาทองที่ห้อยอยู่เหนือกงจักรนั้นเป็นเครื่องหมายบอกยถากรรมของนาง อันห้อยลอยตัวอยู่ด้วยเส้นเชือกน้อยๆ แต่ในบัดนี้นางค่อยๆ รู้สึกปลาบปลื้ม ใจของนางไปผูกพันอยู่ที่ชายหนุ่มผู้มีหนังเป็นเครื่องหุ้มกายนั้นตั้งแต่เขาแรกก้าวเข้าไปกลางสนาม รู้สึกประดิพัทธ์รักใคร่มากกว่าราชาทั้งหลายผู้ทรงแพรสีม่วง และถึงแม้นางมิได้นึกเลยในชั้นต้นว่า ชายหนุ่มนั้นจะเข้ามาทำการประกวดฝีมือกับเขา ใจของนางในขณะที่เขายืนทำการทดลองอยู่กลางสนามสิ ผะผ่าวด้วยความใคร่อยากให้เขาได้รับความดีใจ และในบัดนี้ก็สมมโนรถของนาง; นางยิ้มด้วยอารมณ์ชื่น พลางย่างเยื้องว่องไวออกไปหาผู้มีชัย เอาพวงมาลัยเจ้าสาวสวมคอให้
การเหลือบไปเห็นพวงมาลัยเจ้าสาวนั้นเร้าความริษยาและความเจ็บใจของบรรดาเจ้าบ่าวทั้งหลายผู้ทำการไม่สมหวังนั่งคอตก อกตื้นตันด้วยอัปยศและหงุดหงิดใจครานั้น เขาผู้แหงนคอคอยเปล่าเหล่านั้นก็หารือกันและเห็นพร้อมใจกันว่า จะฆ่าผู้มีชัยผู้หานามมิได้นั้นเสียทันที เหลือที่จะอดกลั้นได้แล้วเมื่อมาเห็นวณิพกตามถนนได้ธิดากษัตริย์เป็นบาทบริจาริกาดังนี้,- เหลือที่เขาจะอับอายขายหน้า ทำให้เขาเสื่อมเสียเกียรติยศและลบหลู่ชาติราชสกุลของเขา เขายังได้กระทำความตกลงกันด้วยว่าจะกุมตัวนางเท๎ราปทีเพราะมีความสิ้นอายให้สัมมานะแก่พราหมณ์อนาถา ดูถูกพระบิดาของนางและบรรดาพระราชสหายของท้าวเธอผู้สูงศักดิ์
พลางร้องตวาดลั่นด้วยความโกรธ ท้ำวพญาทั้งหลายก็ทะลึ่งโลดจากที่ รํากระบี่ป้อเข้าใส่พราหมณ์หนุ่มผู้มีชัยได้นางเป็นบำเหน็จมือ เกิดฮือต่อสู้กันขึ้น ไม่มีใครสามารถระงับได้, การสยุมพรกลายเป็นการฆ่าฟันกันขึ้นกลางสนามใหญ่ และท้าวพญาผู้มาด้วยหวังใจจะได้นางงามเท๎ราปทีสิมานอนกลิ้งอยู่เหนือพื้นพระธรณี มิใช่ที่สำหรับรณรงค์, อยู่ในวงแขนแห่งมฤตยุราช ควรหรือมาเป็นได้ ‘กรรณ’ เข้าชิงชัยอยู่ช้านาน สามารถต้านทานพวกพราหมณ์ผู้มีชัย โจมจี่รี่เข้าใส่เอาด้วยโทสะ ประดุจลมบ้าหมูอันหมุนจี๋มีมาแล้วมีมาเล่า ประหารเอาแขนขาพราหมณ์เข้าหลายแผลด้วยลูกธนู นับว่ายิงแม่นดีพอใช้!
เท๎ราปทีเวลานั้นเป็นทุกข์ใจนักหนา, แช่งด่า ‘มรดกแห่งความงาม’ ของนางในใจ อันเป็นเหตุให้เกิดต่อสู้ฆ่าฟันกันโลหิตนองท้องสนาม แต่นางระงับทุกข์ใจเสียได้ ด้วยเห็นว่าตัวของนางหาราคีมิได้ และอีกประการหนึ่ง ชีวิตของชายหนุ่มผู้เนื้อคู่ของนางเล่าก็ปราศจากภัย เพราะในบัดนี้ ‘กรรณ’ หยุดการชิงชัย เห็นว่าถ้าพวกเขาจะขืนสู้ต่อไปก็คงตายด้วยมือพราหมณ์หนุ่มนั้น คิดดังนั้นแล้ว เขาก็ร้องถามพราหมณ์หนุ่มนั้นเป็นเชิงสารภาพยอมตัวกลัวฝีมือว่า: “ดูกรท่าน, ท่านนี้สกุลพราหมณ์จริงหรือ? แต่ฐานะและมานะของท่านแสดงให้เห็นว่าท่านมิใช่สกุลพราหมณ์ ไม่มีพราหมณ์ใดเว้นไว้แต่ปรสุราม (รามสูร) ซึ่งปรากฏตามปรัมปรคดีว่าได้สังหารกษัตริย์ทั่วโลก สามารถมาต่อกรกับกษัตริย์ได้ อนาถวณิพกผู้ขอทานเขากินตามประตูบ้านร้านตลาดทุกแห่งหน จะเป็นคนชำนาญการรบนั้นไม่ได้ แน่เทียว เป็นไม่มีนักรบคนใดที่จะรบได้ดีเท่าอรชุน ในหมู่มนุษย์ที่ยังครองชีพดำรงชนม์อยู่ทุกวันนี้ ที่จะประฝีมือข้าพเจ้าได้ก็มีแต่อรชุนองค์เดียวเท่านั้น นอกนั้นไม่มี”
พราหมณ์หนุ่มผู้มีชัยยิ้มตอบ, เดินกลับไปที่เท๎ราปทีก็เยื้องกรายตามผู้คู่ครองของนางไป.