- กถามุข
- ตอนหนึ่ง ความริษยาแห่งญาติ
- ตอนสอง การสยุมพรนางเท๎ราปที
- ตอนสาม อาวาหมงคลแห่งเท๎ราปที
- ตอนสี่ ห้องประชุมรัฐมนตรี
- ตอนห้า อินทรปรัสถรัฐ, ราชอาณาจักรใหม่
- ตอนหก การพนันใหญ่
- ตอนเจ็ด การเนรเทศเจ้าปาณฑพ
- ตอนแปด พระเจ้ากรุงวิราฏ
- ตอนเก้า พวกกุรุเข้าเหยียบแดนวิราฏ
- ตอนสิบ การประสบ
- ตอนสิบเอ็ด หารือสงบศึก-เตรียมรบ
- ตอนสิบสอง สงคราม-กุรุเกษตร
- ตอนสิบสาม ความขุ่นหมองของทุรโยธน์
- ตอนสิบสี่ โท๎รณาจารย์ ผู้นำทัพคนใหม่ฝ่ายกุรุ
- ตอนสิบห้า มรณะของอภิมันยุ
- ตอนสิบหก ฉากสุดท้ายของสงคราม
- ตอนสิบเจ็ด อวสานแห่งสงคราม
ตอนเจ็ด การเนรเทศเจ้าปาณฑพ
เจ้าปาณฑวภราดาห้าองค์, พร้อมด้วยอนงค์เท๎ราปที เสด็จจรลีออกจากกรุงเอื่อยๆ, เนาในมารคาเรื่อยไปสู่พนาเวศ. พระพักตร์สลด, พระโอษฐ์แห้ง พระเนตรอันไร้แสงสุกใส ทุกๆ คนที่พบปะเธอตามทางถอนใจใหญ่ไปตามกัน, เธอพากันเสด็จจรลี มิได้ตรัสจำนรรจา, ราวกะว่าพระโอษฐ์เกรงที่จะตรัสถ้อยคำซึ่งเหลือที่ดวงพระหฤทัยจะพึงทนทานได้. ในที่สุดองค์หนึ่งในบริษัทตรัสออกมา. “อรชุน, ข้าพเจ้าจะมีความสงบและสุขไม่ได้จนกว่าข้าพเจ้าจะได้ทัศนาเศียรเกล้าอันพองของทุรโยธน์เสียบอยู่ที่ปลายทวนเล่มนี้.”
สหเทพก็คล้อยตามด้วยประณิธานคล้ายกันว่า: “ข้าพเจ้าจะไม่ลดธนูคันนี้กว่าลูกธนูพิษจะได้กินชีพโลหิตของไอ้โจรชั่วร้ายเหล่านั้น,”
องค์ที่สาม, อัสสุชลคลอคลองนัยนา, ตรัสสอดขึ้นกลางคันว่า: “เมื่อมันหมิ่นประมาทเท๎ราปที ข้าพเจ้ากลั้นน้ำตาไม่ได้, แต่ในบัดนี้ข้าพเจ้าตั้งประณิธานสาบานว่า ข้าพเจ้าจะไม่สอดกระบี่เล่มนี้เข้าฝักกว่าข้าพเจ้าจะได้เอามันอาบโลหิตไอ้พวกคิดคดทรยศเหล่านั้น.”
องค์ที่สี่, ร้อนพระหฤทัยใคร่จะกล่าวคำสาบานหลายอย่างเป็นลำดับ, ขยับพระหัตถ์อันล่ำสันแล้วตรัสว่า: “หัตถ์เหล่านี้จะไม่พักผ่อนหาสบายกว่าจะได้ล้างไอ้เหล่าร้ายใจทมิฬให้สูญสิ้นไปจากพื้นพระธรณี.”
ถึงกระนั้นยุธิษฐิรมิได้ตรัสอะไรเลย, วางพระพักตร์ตึงขึ้งเฉยอยู่ได้, ขณะอนุภราดาทั้งหลายตั้งความปรารถนาสาบานไว้ต่างๆกัน. พระอิริยาบถดูเชื่อมซึมและเคลิบเคลิ้มไป, ดุจไม่รู้สึกเหตุการณ์ที่เป็นไปภายนอก, รู้สึกแต่เหตุการณ์ในใจเท่านั้น, ท้าวเธอเสด็จโดยมารคาเรื่อยไปด้วยเพียร พระเศียรอ่อนหงุบ, พระปรางทั้งสองข้างชุ่มด้วยอัสสุชลซึ่งไหลเรื่อยไป, นานๆ ก็ถอนใจใหญ่เสียทีหนึ่ง.
เท๎ราปทีเทวีเป็นผู้ที่น่าสมเพชมากกว่าเจ้าชายเหล่านั้น นางทรงฉลององค์ผ้าฝ้าย (มิได้ทรงผ้าไหมเหมือนเจ้าหญิงในนคร), พระเกศาของนางยาวปรกปฤษฎางค์ นิลนัยนาของเทวีเพ่งดูแต่ดิน, ยุพินมิได้เงยพักตร์, ดูเหมือนว่าความอายที่นางได้รับทับพระทรวงอยู่ มิได้แหงนดูสิ่งอื่นได้. นางเดินกรำแดดซึ่งแผดเผาเศียรเกล้าอันไร้เครื่องป้องกัน: พักตร์ผ่องของนางนั้นต้องลมพายุตามทาง; ขนงต้องน้ำค้างยามค่ำสนธยา; อัสสุชลปนเจือกับน้ำค้างเปียกชุ่มพักตร์.
ในที่สุด ครั้นล่วงมารคามาด้วยเหนื่อยยากหลายเวลา, เธอก็มาถึงป่าอันชื่อว่า ‘กนกวัน’ ภายในป่านั้นมืดนักหนา ถึงกับเธอพากันสำคัญพระหฤทัยว่าเวลาสนธยามาถึงเร็วเกินไป. ต้นพฤกษ์ในป่าหนาแน่นมาก ยากที่ชาวพเนจรคนโดคนหนึ่งจะเดินตามทางที่วกเวียนวนไปโดยไม่ถูกหนามเกี่ยวไหล่หรือถูกเปลือกและกิ่งไม้ขูดเอา, ซ้ำร้ายยิ่งกว่านั้นก็คือ, มารคาในป่าเต็มไปด้วยก้อนหินและหนามแหลมอันบาดยอกเท้าของเจ้าพี่น้องเหล่านั้นเสียไม่มีดี. บางทีเธอล้มคะมำคว่ำถลา, ไปโดนเครื่องกีดขวางมารคาเข้าโดยมิทันเห็น; บางทีก็พลัดลงไปในหลุม; พระบาทอันอ่อนนุ่มทุก ๆ องค์ถูกหนามเกี่ยวและตำป่นปี้ ถึงกระนั้นก็ดี ป่าครึ้มยังเป็นที่อาศัยร่มเย็นพ้นแสงแดดอันแผดเผาเร่าร้อนนักหนา แต่ยากที่จะตัดสินได้ว่าไหนจะร้ายกว่ากัน แสงแดดแผดเผาวรกายเกรียมดำ หนามตำและเกี่ยวจนโลหิตไหล.
แต่พอโพล้เพล้พลบค่ำ แสงก็มืดคล้ำเข้าทุกที; ราตรีสัตว์ก็ตั้งต้นเริงร้องอึงมี่ เดินเที่ยวท่องหากินในท้องถิ่นพนาวาส; และเจ้าปัญจภราดาผู้ต้องเนรเทศ ต้องเผชิญภัยอันถึงมาพบเข้าใหม่นี้. เธอผลัดเปลี่ยนกันอยู่ยามระวังภัย, ให้ทุกๆ คนได้มีเวลาพักผ่อนหลับนอนคนละพักใหญ่ๆ - นอนอย่างผู้ที่หนีภัยหรือโจทก์เจ้ามา, ได้ชักเวลาให้ล่วงไปตลอดรุ่งด้วยประการดังว่ามานี้.
ครั้นรุ่งเช้า, บริษัทยังสนิทนิทราอยู่: ในอรัณยประเทศอันมืดคลุ้มนั้น ไม่มีแสงสว่างลอดเข้ามาบอกเวลาโมงยาม; ไม่มีดารากรที่จะบอกให้รู้ว่าราตรีกาลได้โคจรเคลื่อนไปดึกกี่นาฬิกา; สังเกตรู้วันคืนได้โดยอาศัยเสียงร้องของสัตว์ป่า, มีเสียงนกในไพร เป็นต้น บริษัทได้เดินทางมาในป่าด้วยประการดังกล่าวนี้หลายทิวาราตรี.-ป่าอันเป็นที่น่ากลัวนักหนา, จะเป็นกี่เวลาเธอทั้งหลายก็จำไม่ได้. เพราะเหน็ดเหนื่อยอ่อนพระหฤทัยไปตามกัน - จนลืมที่จะไปใฝ่ฝันถึงเรืองวันคืนเดือนปี, - โดยที่ทรงจำได้บ้างนั้น เล่าก็ชักฟั่นเฝือ. เธอพากันเดินมุ่งไปทิศเหนือจนมาถึงชายป่าเข้าวันหนึ่ง - มาถึงโดยมิทันรู้ตัว, ได้เห็นแสงสว่างส่องอยู่ข้างหน้าในระยะไกล, ราวทับแสงที่ส่องลงไปในบ่อแร่ก็ปานกัน. มีหวังขึ้นทันที เธอพากันเดินเร็วรี่ไปทางที่แสงสว่างส่องเข้ามานั้น; สักครู่หนึ่งก็ออกที่แจ้ง, เป็นพื้นที่ทรายอันกว้างใหญ่. การที่จะเดินผ่านที่ทรายไปนั้นเป็นการลำบากนักหนา, จะไปได้ก็แต่อูฐ, สำหรับเจ้าปาณฑวภราดาออกจะลำบากมากกว่าการบุกป่าฝ่าพงตั้งสิบเท่าเป็นแน่, เพราะเหตุว่าเธอมีร่างอันอ่อนเพลียเมื่อยล้า, แสงแดดเล่าก็กล้าและร้อนมากกว่าเมื่อเดินดงตั้งสิบเท่า, แสงตกต้องเม็ดกรวดทรายในมรุกันดารแวววาวเข้าตา, ดุจคันฉ่องขับแสงกล้าสะท้อนเข้าตาชาวพเนจรกระนั้น. ความร้อนทำให้เกิดความกระหายน้ำเป็นกำลัง. เรื่องน้ำกินในท้องถิ่นนั้นหาไม่ได้, ไม่มีร่องรอยเลย และไม่เห็นว่ามีอยู่ที่ไหนเลย. เธอทุกองค์สำคัญพระหฤทัยว่าจะล้มลงขาดใจตายทุกชั่วโมง เพราะอิดโรยกำลังเต็มที ต้นพฤกษ์ในท้องถิ่นนั้นเล่าก็ไม่เป็นที่ร่มเย็นเหมือนในป่า. ลมพัดพาเอาความร้อนมาต่องพักตร์อันเหี่ยวแห้ง, ถึงกระนั้น เธอก็พยายามเดินข้ามทะเลทรายไปจนเวลาพลบค่ำย่ำสนธยา, เวลานั้นเธอได้เห็นอาศรมน้อยหลังหนึ่ง, มีหมู่ไม้และสระน้ำอยู่ข้างหน้าเป็นที่เย็นสบาย, เธอเดินตรงไปยังที่นั้น, ได้อาศัยอยู่ที่นั่นและได้น้ำกินประทังชีวิตไว้.
อาศรมนี้ตั้งอยู่ในหุบเขาหิมาลัย, เจ้าปาณฑวภราดาตั้งใจจะอาศัยอยู่ที่อาศรมนี้ตลอดเวลา ๑๒ ปีที่เธอต้องเนรเทศ. มีเขาล้อมอยู่หกด้าน, ภูเขาที่แวดล้อมอยู่นั้นหนาแน่นด้วยต้นพฤกษ์ต่าง ๆ แลสล้างลานตา, ป่านั้นธรรมชาติตกแต่งขึ้น, มีสุมทุมพุ่มไม้ใบหนาน่ากลัวนี่กระไร เสียงจตุบทสัตว์ไพรร้องกึกก้องซ้องศัพท์รวมกับเสียงคณานกทั้งหลาย, ไม่มีมนุษย์คนใดได้เอื้อมหัตถ์มาระรานพฤกษ์ในป่านี้ ไม่มีเสียงมนุษย์วี่แววมารบกวนความเงียบสงัดชั่วนาตาปี. ทุก ๆ ฤดูมีความงามต่าง ๆ กันที่จะพึงสำแดงแก่นัยนา. ความร้อนแห่งฤดูคิมหันต์, ความหนาวแห่งฤดูเหม้นต์, ไม่จัดในท้องถิ่นนี้, และฤดูวสันต์เป็นที่นิยมชมชื่นแก่ใจยิ่งกว่าฤดูทั้งหมด. ก้อนเมฆอันบดบังแสงพระอาทิตย์ย่อมให้เกิดความร่มเย็นในเงาไม้ ฝนโปรยปรายหยาดต้องใบไม้เสียงซู่ๆ อยู่เหนือศีรษะ แล้วตกลอดใบไม้ลงมาประพรมพื้นพระธรณี ตฤณชาติได้รับความชุ่มชื้นแห่งธรรมชาติก็งอกงามเขียวสดไสว,พิศงามดุจพรมเขียวผืนใหญ่ปูลาดพื้นแผ่นดิน, ลำธารใหญ่น้อยที่ไหลมาตามซอกหินนั้นก็มีกระแสเชี่ยวขึ้นอิกครั้ง, ไหลหลั่งพลั่ง ๆ ออกมาทางใต้รากไม้ใหญ่ที่ก่ายพันกันรุงรัง, พลั่งออกมาแล้วก็ไหลกรากหายไปทางใต้พุ่มไม้ใบหนาน่าอัศจรรย์นี่กระไร; เสียงฟ้าลั่นสนั่นไหวอยู่เหนือศีรษะ, เสียงที่มาปะทะสุมทุมพุ่มไม้ใบหนานั้น ค่อยซาความก้องลงไป; ฟ้าแลบอยู่เหนือยอดไม้, แลบวาบจากกิ่งนี้ไปกิ่งนั้น, แต่แสงวาบนั้นค่อยซาลงในพุ่มไม้ที่มีใบหนามากตอนใน. นัยว่า, ดูเหมือนป่านั้นจะเป็นที่อาศัยของเจ้าไพรพฤกษเทพทั้งหลายบางครั้ง, แต่บางทีดูก็คล้ายกับรูปจำลองของนิรยภูมิ.
ในที่สุดการเดินทางก็ยุติลงเพียงนี้ ที่มุ่งของเจ้าปาณฑวภราดา เธอไปประติบัติการตามข้อสัญญาที่ถูกเนรเทศมาอยู่ป่า, เธอได้อยู่เป็นเวลาถ้วน ๑๒ ปี, อาศัยเผือกมันผลไม้ผักหญ้าและมางสะของสัตว์ป่าเป็นอาหารเลี้ยงชีวิต- สัตว์ป่าซึ่งต้องศรสิทธิ์ที่เธอทั้งห้าลั่นไป.
อรชุนพุดออกมาว่า: “ข้าพเจ้ายังพิศวงอยู่ว่า มนุษย์คนไหนจะหม่นไหม้ตรอมทุกข์เหมือนตัวข้าพเจ้าบ้าง; เราพลัดพรากจากสถานบ้านเมือง, จากสมบัติและคณาญาติน้อยใหญ่. ทุกทิวาที่ล่วงไปมีแต่ทวีความเศร้าของเรา. ดูประหนึ่งว่าจะเพิ่มเติมทุกข์ของเราให้เปี่ยมเต็มที่ ที่เอาเท๎ราปทีเข้ามาในที่ประชุมมนตรีและเปลื้องเสื้อผ้ามานศรีประจานให้เราอับอายขายพักตร์ต่อหน้าธารกำนัล หมิ่นประมาทกันในที่ประชุมชนมีคนเห็นมากด้วยกัน มันก็ได้ชื่อว่าหมิ่นประมาทกันเต็มที่ เหลือที่มานศรีผู้หนาด้วยความอายจะทนทานได้,-มานศรีจะทนได้หรือ? เออ, ทำไมข้าพเจ้าไม่ฆ่าไอ้วายร้ายเสีย ณ ที่นั่นและเวลานั้น? แต่, อนิจจา ! จนป่านนี้แล้วจะเป็นประโยชน์อะไรที่มาคิดเสียดายเรื่องที่ล่วงไปแล้ว ?”
ภีมได้ยินเธอเข้า จึงพูดว่า “ไม่แต่เท่านั้น, ไอ้กระดานสำคัญที่เล่นกันครั้งที่สุดนั้น ไม่แต่ทำให้วิจารณญาณของเรามืดไปเท่านั้น, ยังทำให้ดวงตาของเรามืดไปด้วย. เราเห็นผลร้ายได้ชัดขณะนั้น, และเราก็ยังขันพนันกับเขาได้, และในบัดนี้จะเป็นประโยชน์อะไรที่มาร้องไห้เสียดายนมที่หกหมด? เมื่อขัตติยราชเลิกครองสัตย์และธรรม, เมื่อท้าวเธอเหยียดตัวลงกลัวอยู่ในสิ่งซึ่งวินัยห้ามมิให้ประติบัติ, ก็ได้ชื่อว่าท้าวเธอเลิกเป็นกษัตริย์ผู้ครองราชย์; กรรมประกาศออกมาว่า ราชสมบัติและราชอาณาจักรของท้าวเธอมีอันเป็นถูกริบ, และตัวของท้าวเธอเองเล่าก็ถูกอานุภาพอันนั้นลงโทษให้ครองชีวิตในสันโดษฐานะนักโทษที่ต้องเนรเทศไปอยู่ป่า. พระคัมภีร์ของเรากล่าวไว้ว่า การพนันเป็นการเล่นที่เป็นบาปไม่ใช่หรือ? และวิบากของเรานี้สมจริงตามที่พระคัมภีร์กล่าวไว้ใช่หรือไม่? เราเสียบ้านเมือง เสียอิสรภาพ, และเสียสารพัด เว้นไว้แต่ชีวิตของเราซึ่งหาเกียรติมิได้เท่านั้น, เราไปขันพนันกับเขา - เอาอะไรเอากัน - ตะบันลงไปทุกตา, นั่นความบ้าของเราหรือมิใช่ ? ทุ่มเทโดยไม่ตรึก, มุลงไปจนลึกติดหล่มหรือมิใช่ ? แน่นอนเทียวละ ที่จะมาพูดเพ้อนำลายเป็นฟองข้องขัดใจไอ้เรื่องนี้, มันเป็นเรื่องที่ล่วงแล้วไปแล้ว เราทำตัวของเราไม่เหมาะให้มนุษย์ทั้งโลกหัวเราะเยาะเราได้, ได้เหยียดตัวลงเล่นการพนันแล้วยังมิหนำ, ซ้ำยอมให้เขาเนรเทศตัวเพราะการเล่นที่ชั่วด้วย. ข้อสัญญาการเนรเทศพวกเรานี้มีความมัดเราอย่างแข็งแรงนักหนา, เท่ากับว่าให้เราไปตายก็เหมือนกัน”
เยาวนกุลก็ทรงกันแสงไห้ อัสสุชลหลั่งไหลลงโซมพักตร์เมื่อได้สดับถ้อยคำของภีม. เธอนึกคำนึงถึงการณ์ที่เป็นไปแล้วและการณ์ข้างหน้าที่จะมาในวันพรุ่งด้วยความเจ็บช้ำใจนี่กระไร. เธอตรัสว่า “พิโธ่! เมื่อคราวเคราะห์หามยามร้ายวิบัติ ชายคนหนึ่งคนใด ‘ครอบครองสติไว้’ จะทิ้งเรือซึ่งกำลังจมก่อนสิ่งอื่น แต่มันหมดหนทางแก้ไขการณ์ที่เป็นไป, เว้นไว้แต่เลือดเนื้อของเขา !”
สหเทพตรัสซ้ำว่า “พิโธ่! เสียงโอดครวญของเท๎ราปทีในห้องประชุมรัฐมนตรีนั้น มันยังรัวอยู่ในหูจนทุกวันนี้ เทพีกล่าวชอบแล้วที่ว่า พระราชสามีของนาง, ในฐานะเป็นทาสา, ย่อมไม่มีสิทธิตามกฎหมายที่จะขายนาง หรือเอานางลงวางขันพนันเป็นเดิมพัน, ทำไมเราไม่ยกบทกฎหมายข้อนี้ขึ้นคัดค้านและขอให้การดำเนินไปตามนั้น ? ท่าจะพากันใจอ่อนในเมื่อบังอรยุติคำร้องขอให้ช่วย ทุกๆ ท่านในที่นั้นพากันอกตื้นสะอื้นไห้, น้ำตาคลอและหลั่งไหล, มีทุกข์ระทมใจทุกๆท่าน, เว้นไว้แต่ใจของทุรโยธน์เท่านั้น, ข้าพเจ้าอยากจะทราบว่า ใจของไอ้หมอคนนั้นมันจะเป็นอย่างไรหนอ?”
ยุธิษฐิรนั่งนิ่งฟังอนุชาทั้งสี่องค์สนทนากันมาจนถึงเวลานี้ โดยไม่อยากจะขัดคอแต่อดรนทนไม่ได้, จึงกล่าวคำปลอบโยนว่า “เปล่าน่ะ อย่าเสียใจเลย, เราได้สาบานไว้แล้วว่า จะทำการแก้แค้นทดแทนให้จงได้, และในฐานะกษัตริย์ เราจะต้องประติบัติการให้สมกับที่ได้สาบานไว้จงทุกคำ. สำหรับวาสนาของเราขณะนี้-ดีแล้ว, ทั้งนี้เพราะกรรมของเรา-เราต้องเสวยทุกขเวทนาอันนี้, เราจะเลี่ยงหนีไม่พ้น, สิ่งที่ต้องวิบัติจะต้องวิบัติ—สิ่งที่ได้วิบัติแล้วเล่า ก็ต้องวิบัติแล้ว, หน้าที่ของเราเวลานี้มีแต่จะหลบลี้หนีหน้าไปตามข้อสัญญา. ความลำบากยากแค้นของเราเล่าก็หมดแล้ว.”
ข้อสัญญาสำหรับเจ้าปาณฑวภราดาในเวลานี้ก็คือ การซ่อนเร้นหนีภัย รักษาตัวไว้ให้ได้; ครั้นคิดเห็นการดังนั้นแล้ว, เธอก็ย้ายที่พักเรื่อยไป, ออกจากที่นี้ไปสู่ที่โน้น, ดุจคนสัญจรนอนป่าที่ไม่มีผ้าพันกายก็ปานกัน การที่ต้องเตร็จเตร่เร่ร่อนไปเช่นนี้ย่อมมีภัยรอบตัว, ย่อมเหน็ดเหนื่อยเมื่อยล้าลำบากกายเต็มที มีจริตต่าง ๆ ซึ่งเป็นเงาตามตัวไปด้วย จะปลีกตัวหนีให้ห่างนั้นไม่ได้, แสงแดดแผดเผาอยู่เหนือเศียรเกล้า, ทรายอันร้อนผ่าวเผายุคลบาท, ความกระหายน้ำ, พระบาทอันฟกช้ำโลหิตไหล, ความอ่อนอกอ่อนใจ, สิ่งเหล่านี้เป็นเรื่องทุกขเวทนาทุกครั้งทุกเวลาที่เธอพากันเคลื่อนที่อาศัย.
วาระหนึ่ง เธอเอาอาวุธสำหรับกรพาดซ่อนไว้บนกิ่งไม้ แล้วพากันเข้าไปในกรุงวิราฏ เพื่อจะเร้นซ่อนพักผ่อนกายอยู่ในเมืองนั้นให้พ้นภัย เพราะเหตุว่า ตามข้อสัญญาการเนรเทศที่ได้กล่าวแล้วว่า, ถ้าชาวเการพไปพบปะเธอทั้งห้าเข้าไซร้, เธอทั้งห้าต้องไปเดินป่าเป็นเวลาอีก ๑๒ ปี.