ตอนสิบสอง สงคราม-กุรุเกษตร

กฤษณสื่อสารไม่สำเร็จผลกลับไปมิช้า. ทุรโยธน์ได้ส่งคำท้ารบไปยังเจ้าปาณฑพ. คำท้ารบนั้นเป็นถ้อยคำหมิ่นประมาทมากที่สุด. และจงใจใช้เป็นอาวุธคือการดูหมิ่นมากกว่าการประกาศสงคราม ความว่า: “ท่านสาบานไว้ว่าท่านจะทำสงครามชิงชัยเรา: ถึงคราวแล้วนี่ที่ท่านจะประติบัติตามคำสาบานอันจริงเหมือนว่าไว้นั้น. ราชอาณาจักรของท่านถูกข้าพเจ้าแย่งชิง; แม่ยอดหญิงเท๎ราปทีของท่านเล่าก็ถูกข้าพเจ้าทำประจานให้ได้ความอัปยศ; ท่านทั้งหมดถูกข้าพเจ้าวางบทกดคอเนรเทศโดยไร้สัตยา. ภีมยักษ์ปากกล้าคุยโผงไปซ่อนหน้าอยู่ที่ไหน, เขาผู้คุยไว้ว่าเขาจะกินเลือดทุหศาสน ? ทุหศาสนเหนื่อยเต็มที มีแต่รอท่าปากปลิงของเขา อรชุนผู้อวดดีอยู่ที่ไหน ? ให้เขาออกจากที่ซุ่มซ่อนและแสดงศิลป์ศรอย่างเด็กวัดฝึกหัดฝีมือให้เราชมเล่นบ้างเป็นไร” และอะไรต่ออะไรต่างๆ นานา.

รับคำท้ารบนี้ไว้และได้ส่งคำประกาศสงคราม, ใช้ถ้อยคำเรียบร้อยตามระเบียบราชการเป็นคำตอบไปยังเจ้ากุรุ.

วันพรุ่งรุ่งเช้า, เวลาอรุณรุ่งฟ้า, กองทัพทั้งสองของเจ้าเการพและปาณฑพก็มาตั้งขบวนรบอยู่ในท้องทุ่งใหญ่ไม่ไกลจากกรุงหัสตินาปุร, ซึ่งปรากฏตามพงศาวดารว่าเป็นสนามกุรุเกษตรเพื่อเหตุนี้ ภีษ๎มถูกเลือกเป็นจอมโยธาฝ่ายกุรุ และธฤษฏทยุมน์, โอรสท้าวทรุบท, ภราดาเท๎ราปที นำทัพฝ่ายปาณฑพ. ในหมู่ชายหนุ่มกล้า, อภิมันยุบุตรอรชุน, สมภพด้วยนางสุภัทราผู้ภคินีของกฤษณ, เป็นยอดเยี่ยมกว่าทุกคน. โท๎รณเป็นผู้บัยชาการปีกขวากองทัพเการพ. ซึ่งมีศกุนิเป็นผู้ช่วย คือศกุนิผู้นักเล่นการพนัน, กับเหล่าทหารคันธารีขี่ม้าถือทวน ทุหศาสนนำปีกซ้าย, ธฤตราษฎร์เฒ่าบอดอยู่กองหลังรั้งท้าย, มีสัญชัยนายสารถีของท้าวอยู่ด้วย, ช่วยรายงานความเป็นไปในสนามรบให้ท้าวเธอทราบ กองทัพของทุรโยธน์มีกำลังไพร่พลแข็งแรงกว่ากองทัพของยุธิษฐิร. ผู้นำทัพทั้งสองฝ่ายได้จัดขบวนของตนด้วยใจอันชื้นยิ่ง, ราวกับว่าสิ่งทั้งมวลเป็นขบวนที่จัดเพื่อการกรีฑากระนั้น ทุกสิ่งที่จะกระทำภาพผลแห่งภูมิประเทศที่นั้นให้สง่าขึ้นได้เพียงใด ได้มีอยู่ ณ ที่นั้น. ธงสีรุ่งโรจน์ของกองทัพที่เป็นข้าศึกทั้งสองฝ่ายปลิวไสวอยู่ในลม; แตรสั้นเป่าขรมเสียงรัวก้องอึงมี่; ยุทธเภรีกลองรบตีบอกเหตุสำคัญ: ช้างร้องแปร๋แปร้นสนั่น; รถศึกลั่นดังฟ้าคะนอง; ม้าศึกเริงร้องก้องดัง. ทุกสิ่งทุกอย่างตระเตรียมครบ, และทุกขณะนักรบทั้งสองฝ่ายคอยฟังบัญชาของมูลนายสั่งให้เข้าตีข้าศึก.

ขณะกองทัพทั้งสองยืนจ้องดูกันอยู่นั้น, เหตุประหลาดอัศจรรย์ปรากฏแก่ตาของเขาทั้งหลาย ยุธิษฐิรลงจากรถศึก, เปลื้องเกราะออกจากองค์ เดินตรงไปยังที่ผู้บังคับ กองร้อยหลายนายฝ่ายกุรุยืนกำกับกองของตนอยู่เป็นหมู่ เธอมิได้มีอาวุธแต่อย่างใดอย่างหนึ่ง, แสดงให้เห็นว่า ท้าวเธอมาเพื่อความสงบ, เพราะตามข้อกติกาของชาวอินเดียนั้น, นักรบคนใดจะไปแตะต้องกายของข้าศึกผู้มิได้กุมอาวุธนั้นมิได้ สหายของยุธิษฐิรก็พากันตะลึงลานพิศวง, และข้าศึกของเธอนั้นพากันดีใจ หมายว่าเธอตกประหม่ามาขอทำสัญญาสงบศึกแน่แล้ว, การรีรอเพื่ออยากรู้ได้เป็นอยู่สักครู่ทั่วทั้งสนามยุทธ์ ตาทุกๆดวงได้หันไปเพ่งอยู่ที่ยุธิษฐิร, ขณะเธอสาวก้าวเดินเข้าไปหานายทหารผู้ใหญ่ฝ่ายกุรุ สีพระพักตร์ขอเธอบอกว่าดวงกมลไม่สบาย.

เดินเข้าไปยังที่ที่ภีษ๎มยืนอยู่, ท้าวเธอค่อยๆ แตะต้องบาททั้งสองของท่านนักรบผู้เฒ่า, ขอขมาทำการรบพุ่งชิงชัยเขา เพราะกษัตริย์ผู้หนักในอารยจิตทรงรู้สึกว่าท้าวเธอจะถืออาวุธเข้าต่อสู้ผู้เป็นพระญาติโดยไม่รับขมาโทษจากท่านผู้หัวหน้าวงศ์สกุลก่อนมิได้, แม้ท่านผู้นั้นถืออาวุธจ้องมล้างเธอ, ต่อนั้น, ก้าวเข้าไปหาโท๎รณ, ท้าวเธอขอขมาโทษต่ออาจารย์ที่เธอจะต้องชักกระบี่เข้าต่อยุทธ์ชิงชัยชาวกุรุ; ท้าวเธอมิได้มีเจตนาที่จะต่อสู้อาจารย์และพวกพ้องของอาจารย์ผู้ศักดิสิทธิ์ ซึ่งได้ศึกษาการศิลป์ศรมาจากสำนักนักรบเฒ่า ทั้งสองก็อนุมัติยอมยกโทษแก่ยุธิษฐิร, และปาณฑวราชาครานั้นก็ถอยเข้าไปอยู่ในแนวของเธอ, และต่างฝ่ายต่างประกาศคำอำลาตามเคยว่า “สนามงามไม่มีความเอื้อกัน”

อรชุนขอให้กฤษณผู้สหายใหญ่ของเขาทำหน้าที่ขับรถศึก, หน้าที่อย่างอื่นไม่เหมาะสำหรับเธอ, เพราะได้ให้คำมั่นสัญญาไว้ต่อหน้าทุรโยธน์ว่า จะไม่ถืออาวุธเพื่อช่วยเหลือเจ้าปาณฑพ, เมื่ออรชุนทอดนัยนาไปตรวจดูหมู่นักรบทั้งหลายจากรถศึกสูงใหญ่, สังเกตเห็นว่าแถวข้าศึกนั้นเต็มไปด้วยญาติของตนทั้งหนุ่มและแก่, ใจก็สลดเศร้า, ปราศรัยกฤษณว่า: “ใจของข้าพเจ้าท้อถอยจากการหวังฆ่าฟันกันโลหิตนองอันอยู่ต่อหน้าบัดนี้, ข้าพเจ้าไม่แสวงหาชัย, ไม่กระหายหาอำนาจ, ไม่ปรารถนาหาความดีในโลก, ผู้ที่เราโลภเพื่อประโยชน์ของเขาสิ เขาก็มาเข้าขบวนคอยรบเราอยู่ ประโยชน์อะไรที่เราจะพึงได้ในโลกนี้ หรือสุขอะไรในโลกนี้จะมีถ้าเราฆ่าตีญาติพี่น้องของเขา?

กฤษณกล่าวเตือนด้วยคำตอบว่า “ที่นักรบสู้รบกันก็ไม่ใช่สำหรับความหวังดีหรือเกียรติ, ไม่ใช่สำหรับโลกหรือธรรม, ไม่ใช่สำหรับผู้ใกล้ชิดหรือห่างไกลกัน, เขารบหรือเว้นจากการรบเพื่อประติบัติการตามหน้าที่โดยมิได้นึกถึงผลในที่สุดแต่อย่างใดอย่างหนึ่ง ท่านเป็นกษัตริย์, และเป็นหน้าที่ของท่านจะต้องรบแทนพระราชาของท่าน, ผลจะเป็นอย่างไรต้องไม่เอาเป็นอารมณ์ส่วนตัวก็ดีหรือส่วนผู้อื่นก็ดี, อย่าพึงถือเอาคำของข้าพเจ้าเป็นถ้อยคำสำทับให้กลัว ถ้าท่านพูดถึงกีรติไซร้ กีรติศัพท์ของนักรบคือการรบ; และถ้าท่านพูดถึงมรณะ, ก็ไม่มีมรณะอันใดจะเป็นที่เชิดชูศักดิ์ของนักรบยิ่งกว่าตายในสมรภูมิ, ข้าพเจ้าสารภาพว่าสหายและคณาญาติของท่านกุมอาวุธเข้าต่อสู้ท่าน, แต่จะพาโลท่านคนเดียวไม่ได้ในเรื่องนี้, หรือท่านจะแก้ไขแต่อย่างไรก็ไม่ได้ จงระลึกถึงพระธรรมคำสั่งสอนที่ศักดิ์สิทธิ์ของท่านและดำเนินตามนั้น ทำเป็นคนใจอ่อนเกินไปในสนามรบก็จะเป็น,-เอาเถอะ, ข้าพเจ้าจะยับยั้งที่จะใช้ถ้อยคำนั้นๆ แก่ท่าน ความรักใคร่ย่อมเป็นความโลเลเสียการหมด”

อรชุนเงี่ยโสตฟังคำเตือนแห่งกฤษณแล้วก็ค่อยเกิดน้ำใจเตรียมรบ.

ต่อนั้นได้มีการกาหลกันยกใหญ่ ซึ่งไม่เคยมีแม้ในยุคกระหายรบครั้งนั้น แตรรบเป่าดังสนั่นก้องกึก; กลองศึกอันตั้งอยู่สูงตีเร้าเร่งเภรีศัพท์; สังข์กังวานรัวเสียงรับครื้นครึก; และเการพก็ยกเข้าตีด้วยเหล่าม้า, ราบเดินเท้า, เหล่ารถ, และช้างศึก, ปาณฑพรับด้วยพลชิดแถวแนวหน้ากล้าแข็งดั่งศิลา ทหารแต่สักคนมิได้เขยื้อนเคลื่อนจากที่ของตน: มิได้มีคนใดคนหนึ่งถอยหลังแต่สักก้าว พู่ขนนกเล่า; จะได้ยู่ยี่วิปริตผิดรูปปรกติแม้แต่สักขนหนึ่งก็ไม่มี ต่อนั้นเป็นคราวที่ปาณฑพเข้าตีตอบเชิงรบสู้อย่างลมบ้าหมู พุ่งเดินหน้ารุกเข้าไปอย่างลมบ้าหมู ทำให้แถวทหารกุรุไหวเขยื้อนเคลื่อนจากที่; อย่างลมบ้าหมูตีกระพือผงคลีฟุ้งตระหลบกลบสนามยุทธ์อยู่ช้านาน บดบังผลของการรบนั้นไว้ ภายในเขตหมอกควันคือผงคลีอันดวงตาแลตลอดไปไม่ได้นั้น.

ในเวลาเดียวกัน, ลางร้ายก็ตั้งต้นมีมาให้เห็นทั่วทิศ. ฝนโลหิตก็เชยลงมาจากท้องฟ้า; สุนัขป่าหอนกลางวันแสกๆ; เหยี่ยวและแร้งร่อนเวียนวนในเวหา. พื้นพสุธาอันมั่นก็ไหวสะท้านออกจากวิถีที่กำหนดไว้ โคลงมาคลอนไปไม่อยู่กับที่; ในท้องฟ้าที่ไม่มีเมฆก็แลบแวบแสงทั่วพื้นอัมพรอันธการ สายฟ้าชัชวาลรุ่งโรจน์อุโฆษเสียงเปรี้ยงๆ อยู่เหนือดวงอาทิตย์กำลังอุทัย, และแตกเป็นชิ้นน้อยชิ้นใหญ่น่าคร้ามข้ามขอบฟ้าทางทิศตะวันออก

แต่ใจของนักรบทั้งหลายมิได้ไหวหวั่นพรั่นลางร้ายเหล่านี้; ท้าทายซึ่งกันและกัน, เข้าประจัญบานกันอย่างอมิตร, คิดแต่จะเอาชัยชนะหรือสละชีพ. กระบี่ต่อกระบี่กระทบกันเสียงฉาดๆ, ลูกศรหวือไปในอากาศ, หอกซัดพุ่งไปมาโดยรวดเร็ว เมื่ออากาศสว่างขึ้น, การรบก็จัดขึ้นด้วยโทสะ ภีษ๎มทำการออกแรงแผลงฤทธิรณ; ทุรโยธน์นำพลเข้าปะทะกองพลใหญ่ของภีม; ทุหศาสนยกเข้าตีนกุล; ยุธิษฐิรยกเข้าตีศัลยราชาแห่งมัทร ธฤษฏทยุมน์เข้าตีโท๎รณ; ทรุบทเข้ารบรับต่อต้านชยัทรถราชาแห่งสินธู; เข้าต่อสู้กันอยู่เป็นคู่ๆ ในภาคแห่งสนามยุทธ์ด้วยผลอันยังไม่ปรากฏออกไป.

กองทัพทั้งสองย้องยุทธ์กันด้วยมานะอันไม่เหือดวันยังค่ำ, ครั้นตกเวลาเย็น อภิมันยุเห็นว่าเการพได้เปรียบในเชิงณรงค์ก็มุ่งตรงเข้าตีภีษ๎ม, และด้วยกระบี่อันไม่มีใครต่อต้านได้, ฟันธงชัยเฉลิมพลที่ปักอยู่บนรถของภีษ๎มขาดล้มลงไป. แต่ก่อนแต่ไรมาวิรบุรุษผู้มีอายุระหว่าง ๘๐-๙๐ ปี ไม่เคยเห็นนักรบหนุ่มทำการรบองอาจเช่นนี้. ภีษ๎มยกเข้าตีกองทัพปาณฑพเป็นคำรบสอง. ฟันแทงเลือดสาดนองเข้าไปในกรมกองทหารซึ่งเป็นฝ่ายรับ. อรชุนก็ขับรถเข้ารบศึกอันมาหนักพักใหญ่ดั่งน้ำป่าหลั่งไหลไว้ได้, และเมื่อล่วงการต่อสู้โดยไม่คิดเห็นเป็นและตายแล้ว เขาก็สามารถรับการรุกนั้นไว้ได้ชั่วเวลาครู่หนึ่งเท่านั้น อรชุนต่อนั้นก็รบรุก บุกบั่นเข้าไปในแถวทหารกุรุที่แน่นหนา, และฆ่าฟันข้าศึกเสียเหลือที่จะคณนาได้. ในบัดนี้พระอาทิตย์ก็ลับเหลี่ยมไศลลงไปแล้ว, แตรสัญญาหยุครบชั่วคราวได้เป่าขึ้น, การรบวันต้นก็มายุติลงโดยส่งผลให้ไม่เฉียบขาด. ตลอดราตรีกาลค่ำวันนั้น ยุธิษฐิรมิได้มีการพักผ่อนกายหรือใจ, เพราะว่าโชคแห่งการรบพุ่งชิงชัยปรากฏแก่ตาของเธอแล้วว่าออกจะขัดๆอยู่. ในความสลดเศร้าพระหฤทัย, เธอก็เสด็จไปหากฤษณ; กฤษณก็ตักเตือนท้าวเธอมิให้ครั่นคร้าม.

ครั้นได้เวลาอุษาโยค, ตาลธวัชธงชัยเฉลิมพลต้นตาลของภีษ๎มก็ตั้งขึ้นใหม่, ปลิวไสวน่าดูอยู่เหนือสนามยุทธ์, และอรชุนก็ทำเป้าเล่นเสียอีกสำหรับศรของเธอซึ่งแผลงไปเล่มไรมิได้ผิด โอรสท้าวทรุบทระหว่างนั้นทำการรบพุ่งขับเคี่ยวอยู่กับโท๎รณ และภีมได้แสดงความกล้าหาญประจักษ์แก่ตาโลก โดยขับไล่ยุทธหัตถีทั้งฝูงหนึ่งซึ่งข้าศึกปล่อยมาลุยไล่ไพร่พลในกรมกองของเขาแตกกลับไปหมดทั้งฝูง, ทุรโยธน์เห็นไพร่หลบางเหล่าบางกองของท้าวเธอหนี, ก็ตรัสคำเสียดสีบันดาลโทสะและความละอายแก่ภีษ๎มว่า, “ภีษ๎ม, -ท่านสำคัญใจว่าตัวท่านเป็นผู้นำทัพกุรุในการรบนี้หรือ? สำคัญใจว่าโท๎รณเป็นโล่และกำลังของเราหรือ? ไฉนท่านมารีรอในข้อน่าพิรุธและขยาดคร้าม? มีความเมตตาปรานีเจ้าปาณฑพหลบซ่อนอยู่ในปลอกแห่งดวงหฤทัยท่านหรือ? ถ้าดังนั้นขอให้ ‘กรรณ’ นำกองทัพของข้าพเจ้าเถอะ.”

นลาตของภีษ๎มเปล่งรุ่งโรจน์ด้วยโทสัคนีเมื่อได้สดับคำเสียดสีเหล่านี้. ในความรีบร้อนของท้าวเธอ ทุรโยธน์อยากจะได้ชัยชนะเฉียบขาดในวันเดียว, และเห็นการไม่เป็นดั่งคาดหมาย, ป้ายเอาภีษ๎มผู้เดียว แต่ภีษ๎มมิใช่คนที่จะมาทนคำถากถางเช่นนี้ จึงตอบด้วยเสียงสั่นรัวด้วยโทสะว่า, “ภีษ๎ม, หรือโท๎รณ หรือกรรณก็ดี, ไม่สามารถที่จะล้างมลทินแห่งอยุติธรรม- ทำเหนือกฎหมาย-ไม่อายแก่บาป ทำเล่นตามพลกรรม. ท่านสามารถชนะเหตุที่ชอบธรรมด้วยความฉลาดเชิงโกงของท่านหรือ? ข้าพเจ้าจะต่อสู้ข้าศึกของท่านฉันนักรบผู้กอปรด้วยความสัตย์ตามสติกำลังที่จะทำไปได้เพียงไร.”

พูดดังนั้นแล้วก็ตรงเข้ารบทันที, ตีทุกสิ่งแหลกแตกกระจัดกระจายไปข้างหน้า, ยุทธรถาหักพัง, ช้างถูกขับไล่, ม้าแตกกระจัดกระจาย, พลทหารล้มตาย, กองทัพยุธิษฐิรหวั่นไหวจากมุมที่สุดด้านหนึ่งรวนไปถึงอีกด้านหนึ่ง, ราวกะว่าต้องแผ่นดินไหว, แม้แต่ใจอรชุนยังชักท้ออยู่เป็นครู่; แต่มีมานะขึ้นมาโดยคำปลุกใจของกฤษณ, ก็ขับต้อนกองทหารม้าเข้าร่ารับข้าศึกที่รุกเข้ามานั้น และตีตัดแถวแนวรบของข้าศึกขาดเป็นสองตอน. ไล่ราญรอนฟันฟาดแตกกระจัดกระจายไปทางขวาและซ้าย.

ตกเวลาตะวันชายได้เห็นการต่อสู้ระหว่างสองนักรบหนุ่ม- อภิมันยุผู้บุตรของอรชุนฝ่ายหนึ่ง, และลักษมัณบุตรทุรโยธน์อีกฝ่ายหนึ่ง. เจ้ากุรุหนุ่มจวนจะสิ้นชีพหรือจวนจะถูกข้าศึกจับตัวได้อยู่รอมร่อ, พอพระบิดาของเธอเข้าแก้เอาเธอไปได้, มีเจ้าเข้ามาช่วยด้วยหลายองค์ ท่านพวกนี้ได้ช่วยลักษมัณให้รอดจากชีพิตันตรายไปได้, แล้วก็พยายามเข้ากลุ้มรุมหักกำลังอภิมันยุ. ซึ่งชั่วเวลาครู่ใหญ่จำเป็นจำใจต่อสู้ราชศัตรูหมู่ใหญ่อันน่ากลัวแต่ลำพังตัวคนเดียว. เมื่อเห็นอภิมันยุตกอยู่ในภัย, พวกทหารปาณฑพก็ร้องเรียกหาอรชุน, อรชุนก็รีบไปถึงที่ซึ่งบุตรกำลังต่อสู้ราชศัตรูซึ่งกลุ่มรุมตีทั้งสี่ด้าน. เพียงแต่แลไปเห็นรถศึกของอรชุนขับตรงมา, พวกทหารกุรุก็ร้องว่า: “อรชุน ! อรชุน!” แล้วก็พากันวิ่งหนีวุ่นวายย้ายแยกแตกหรู. อรชุนไล่ตีศัตรูของบุตรไปไกลที่สุดที่ไปได้, บั่นเศียรเกล้าเหล่าทหารกุรุไปตามทาง, และเกือบจะวางรี่ตีพุ่งพังกำลังหมู่ใหญ่หนาแน่นของทุรโยธน์เข้าไป พอดีได้เวลาอัสดงลับเหลี่ยมไศลและได้มีอาณัติสัญญาพักรบเวลาค่ำเสียแล้ว.

ยุทธวารอีกวันหนึ่งได้รุ่งสว่างขึ้นมา, แสงแดงแห่งขอบฟ้าทิศตะวันออกเข้าสลับกับสีแดงแห่งโลหิตในท้องสนามยุทธ์ก็เป็นพื้นแสงแดงที่สุด สีก่ำจ้าพร่าไปตามท้องทุ่งเวิ้งว้างทางหลายชั่วธนูนักหนา, กระทั่งถึงฟากฟ้าที่เป็นขอบเขต.

ทีนี้ปาณฑพเป็นฝ่ายรุก, จัดขบวนเป็นรูปจันทร์ใหม่, ยกเข้าตีทัพกุรุด้วยโทสะมุทะลุดุบ้าฆ่าฟันกันลงก่ายกอง; โลหิตนองดั่งธารา: ม้าล้มชักดิ้นไปมาด้วยความเจ็บปวดระบม, อากาศก้องขรมด้วยเสียงครวญครางของผู้ใกล้จะตาย. ลางร้ายเกิดมีมาให้เห็นประจักษ์อีกที นักรบศีรษะไม่มีวิ่งเหินเดินอากาศ, และก้อนเมฆกลายกลับเป็นรูปปีศาจ—ทหารมายากำลังทำการสู้รบเข่นฆ่ากันอยู่ในยุทธภูมินภดล.

เมื่อเห็นรถหักพังปี้ป่น, ธงชัยเฉลิมพลตกต่ำลับกลิ้งอยู่กับดินกับทราย, ไพร่พลล้มตายก่ายกอง, ทำให้ดวงหฤทัยท้าวทุรโยธน์สยดสยองเต็มไปด้วยความครั่นคร้ามต่อภัย, ท้าวเธอปราศรัยภีษ๎มอีกครั้งหนึ่ง: “ท่านต้องมอบ ตำแหน่งหน้าที่ของท่านให้กรรณหนุ่ม. ข้าพเจ้าสงสัยใจของท่าน, หรือศีรษะของท่าน, หรือมือของท่าน มันเป็นอย่างไรไปเสียแล้ว,”

ภีษ๎มตอบด้วยเสียงขึ้งโกรธอย่างเดียวกันว่า “ทุรโยธน์เอย, แสนยานุภาพของท่านสู้ธรรมานุภาพของปาณฑพไม่ได้หรอกหนา, การมีชัยในเชิงยุทธ์มิได้อยู่ที่ตรงว่าเหล่าไพร่พลโยธายืดยาวล้นหลามไปไกล. ความหนุ่มแน่น, กำลังกาย, และปัญญา สู้อานุภาพแห่งยุติธรรมไม่ได้ทั้งนั้น, คนอย่าง ‘กรรณ’ ให้ตั้งหมื่นจะพึงเอาชนะระรานอะไรแก่นิรันตรชัยแห่งธรรมะได้ ?”

พูดดังนั้นแล้วภีษ๎มก็ขับรถเข้าตีข้าศึกอีกครั้งหนึ่ง และได้ขับไล่ข้าศึกที่เข้ามาต่อยุทธ์รุดถอยกลับไปหมดอีกครั้งหนึ่ง ในไม่ช้าการรบก็ได้เป็นไปทั่วถึงกันทุกด้าน, ฝ่ายปาณฑพแทบไม่สามารถต้านทานฝ่ายกุรุซึ่งภีษ๎มนำเข้าตีนั้นได้ ผลก็ยังไม่เฉียบขาดลงไป พอดีรัตติกาลกระทำความมืดมิดปิดบังท้องสนาม, และผู้กระทำการสงครามทั้งสองฝ่ายก็กลับไปค่าย เตรียมตัวไว้สำหรับการชิงชัยในวันพร่ง.

วันที่สี่แห่งการยุทธ์ได้เห็นนักรบต่อสู้กันโดยขบวนรบอย่างดุร้ายเหมือนแต่ก่อน. รบพุ่งฆ่าฟันกันโลหิตนองมาสามวันแล้ว มิได้กระทำให้ฝ่ายไหนได้เปรียบแต่อย่างใดอย่างหนึ่ง เป็นแต่เพียงการตีและตีตอบกันเป็นลำดับ, ให้ผลแต่กระทำให้ไพร่พลล้มตายซับซ้อนกันก่ายกอง. โลหิตไหลนองดั่งน้ำ, ศีรษะมนุษย์กลิ้งเหนือแผ่นดินดุจก้อนกรวดหินที่ฝั่งสมุทร นอกจากการฆ่าฟันกันโลหิตสาดนี้ ฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งจะได้เปรียบหรือเสียเปรียบกันก็ไม่มีเลย.

การรบสู้ยังเป็นไปอยู่ระหว่างวีรบุรุษภีษ๎มและอรชุน นักรบผู้ไม่พรั่นทั้งสองท่านนี้ได้เข้าประจัญบานกันแล้วประจัญบานกันเล่า, และได้กลับเข้าต่อสู้กันอีกภายหลัง การถอยไปคราวหนึ่งๆแล้ว ดูเหมือนว่าพระผู้เป็นเจ้าได้แบ่งกำลังและความกล้าออกเป็นสองภาคก้ำกึ่งกัน, และได้ให้แก่ท่านทั้งสองฝ่ายเท่า ๆ กัน,-ช่างพอวัดเหวี่ยงกันตลอดเวลาที่ได้ต่อสู้กันอยู่ช้านาน. ประเดี๋ยวภีษ๎มถอยไปหนึ่งก้าว, ประเดี๋ยวอรชุน; ต่อมาดูเหมือนภีษ๎มจะชนะ, และต่อจากนั้นมาท่าทางอรชุนจะเป็นต่อในสนามกระนั้น, ผลัดกันเป็นต่อเป็นรองนิดหน่อยอยู่ตลอดเวลา.

หน้าตาของการรบในตอนเช้าเป็นดังกล่าวมานี้ ย่างเข้าเวลาเที่ยงวัน, แรงอย่างน่าประหลาดอัศจรรย์ของภีมได้ตั้งต้นมีมากขึ้น ราวกับลมบ้าหมูหมุนจี๋รี่เข้าใส่พวกเการพ, ซึ่งสมทบกำลังกันครั้งหนึ่งแล้วอีกครั้งหนึ่งเล่าเพื่อจะหักเขาลง, แต่ไม่สำเร็จผล. เขาฝากแผลไว้แก่ทุรโยธน์และศัลยทั้งสองคน. ราชภราดรของทุรโยธน์สิบสี่องค์รวมกำลังกันเข้าหักกำลังของภีมแต่คำเดียว; แต่อย่างสีหเลียปากเวลาได้กลิ่นโลหิต, ภีมประหารเสียแปดคน, พวกนอกนั้นเลยไม่รอหน้าภีมอีกต่อไป.

ในอีกภาคหนึ่งแห่งสนามยุทธ์นี้ นักรบกุรุสามนาย-กฤปาจารย์. โท๎รณ, และสาลี เข้าต่อตีอรชุนผู้เดียว, พยายามจะขยี้อรชุน หน้าตาเป็นพิเศษของการรบวันนี้ก็คือรบกันทำนองรวมกำลังเข้าเป็นเหล่าเป็นกองใหญ่ๆ; แต่ต่าง ‘กองรวมขนาดใหญ่’ ต่างก็ถูกตัดขาดสะบั้นแตกไปด้วยกัน, เพราะฉะนั้นเมื่อร่มเงาแห่งสายัณหกาลรูดม่านปิดท้องสนามยุทธ์อันเต็มไปด้วยโลหิตนักรบ, ที่มั่นของปาณฑพแม้ต้องเขย่าเขยื้อนหวั่นไหวมากก็ดี ยังคงรักษาไว้ได้มั่น.

วันที่ห้าแห่งการณรงค์สว่างขึ้นมา, และทหารที่กระหายรบก็หมายรู้เอาเป็นอาณัติสัญญาสำหรับการชิงชัย. พวกที่เป็นข้าศึกกันทั้งสองฝ่ายได้เคลื่อนที่โดยขบวนงดงาม ท่าฟ่องฟูใจเข้าไปยังท้องสนามยุทธ์, ราวกับว่าจะไปมีส่วนในการโอ่อ่ากรีฑาของทหารอย่างใดอย่างหนึ่ง.

กฎแห่งการรบด้วย ‘กำลังรวมใหญ่’ ซึ่งฝ่ายเการพได้เริ่มขึ้นเมื่อวันก่อนนั้น, ฝ่ายปาณฑพก็ใช้บ้าง, และภีมกับอรชุนรวมกำลังเข้าตีข้าศึก ทุรโยธน์นั้นไหวพริบดี เลี่ยงหนีจากมารคาของสองภราดร ปล่อยให้โท๎รณาจารย์เข้ายอการโจมตีของสองภราดร โท๎รณาจารย์เคยเป็นครูของภีมและอรชุนทั้งสองคน, และศิษย์ทั้งสองจะมล้างครูเสียด้วยกระบี่นั้นไม่ได้, แม้นในโทสัคนีแห่งการรบก็ทำไม่ได้, เป็นกลอุบายอย่างเอกของฝ่ายเการพที่ใช้ให้ท่านอาจารย์ผู้ชราออกรบรับการโจมตีของศิษย์.

นักรบหนุ่มสองคนซึ่งได้ต่อสู้กันอย่างกล้าหาญวันก่อน และต่างก็ได้มีผู้มาแก้รอดพ้นภัยอันใกล้จะถึงตัวไปได้ทันท่วงทีนั้น, ได้เข้าต่อสู้กันอย่างดุร้ายอีกครั้งหนึ่ง. อภิมันยุและลักษมัณได้รบกันตัวต่อตัวอยู่หลายนาฬิกา; และตลอดเวลานั้นไม่สามารถที่จะบอกได้ว่า คนไหนเป็นผู้ชนะและคนไหนเป็นผู้แพ้ ในที่สุดลักษมัณต้องอาวุธบาดเจ็บฉกรรจ์ ถูกลงเปลหามไปจากสนามรบ, ฝ่ายอภิมันยุมีชัยกลับไปหายุธิษฐิร.

ฮึกเหิมด้วยชัยชำนะ อภิมันยุกรากเข้าใส่ภีษ๎มเอง, หวังจะหักศึกกุรุเสียให้สิ้นเชิงโดยเข้าเล่นงานท่านแม่ทัพ, ภีษ๎มเพียงแต่ยิ้มเมื่อเห็นอภิมันยุมา. และด้วยคำสัพยอกฉันผู้ดีพูดว่า: “ฉันเสียใจ, เด็กน้อยเอย, เจ้าต้องพรากจากอกมารดามาเร็วนัก. ฉันจะไว้อายุเด็กของเจ้า” ขณะนั้นสังข์สัญญาพักรบชั่วคราวเป่าอาณัติให้ถอยทัพพักรบก็สงบเสียงพายุแห่งการยุทธ์. เมื่ออรุณไขแสงส่องท้องสนามยุทธ์อีกคราว กองทัพทั้งสองได้กระทบรบพุ่งกันถึงตายลงแล้ว. นักรบสำคัญสำหรับวันนี้มีภีมฝ่ายหนึ่ง และอัศวัตถามันกับสุศรมันอีกฝ่ายหนึ่ง, การรบได้เป็นไปอย่างดุร้าย, แต่โชคของสองฝ่ายดูยังก้ำกึ่งกันอยู่ กองแล่นของยุธิษฐิรได้กระทำความเสียหายอย่างหนักหนาแก่ข้าศึกบ้าง, และได้ขับไล่กองโจมตีอย่างดุร้ายของข้าศึกถอยไปได้บ้าง.

ต่อนั้นได้มีเรื่องซึ่งแปลกตาอย่างจืด ๆ ของการรบ, โดยเชื่อกำลังของตน, ภีมตีรุกบุกบั่นเข้าไปในตอนหนาแห่งแนวหน้ากระดานของกองทหารกุรุและได้ถูกข้าศึกกลุ้มรุมกำลังเข้าล้อมไว้, ข้าศึกกลุ้มรุมตีเขาทุกด้าน, แต่กำลังกายใจมิได้พรั่นแต่สักหน่อย ด้วยมือทั้งสองและอาการแคล่วคล่อง เขาวางศรไปต้องข้าศึก, ปลงชีพเสียบ้าง, หนีไปบ้าง, ต่อสู้อยู่เรื่อยอย่างคนไม่คิดแก่ชีวิตตกอยู่ในที่คับขัน, และในที่นี้แรงของเขาซึ่งเท่ากับแรงคนสิบคนอยูแล้วนั้น เกิดมากขึ้นสิบเท่าน่ากลัวมาก ความมุ่งหมายข้อใหญ่ของเขาก็คือ จะฆ่าหรือจับทุรโยธน์ให้ได้คามคำปฏิญญาในก่อน เขาได้สมความปรารถนาแต่เล็กน้อยเพียงฝากแผลลึกแผลหนึ่งไว้ที่ร่างทุรโยธน์., เพราะฉะนั้นเจ้ากุรุผู้อหังการ์จึงไม่สามารถเข้ารบได้อีกชั่วคราว.

ระหว่างนั้นภีมหายหน้าไปจากแถวปาณฑพ, และยุธิษฐิรก็กระสับกระส่ายไม่สบายพระหฤทัยเมื่อเห็นหายไปมิได้อยู่ในสนามยุทธ์ภาคของเธอ, มีพระราชบัญชาให้ธฤษฏทยุมน์ไปเที่ยวตามหา เจ้าชายหนุ่มไปไม่ไกลเท่าไร ก็เห็นรถศึกภีมจอดอยู่ในสนามยุทธ์ด้านหนึ่ง มิได้มีผู้คนอยู่บนนั้น; ใจของเธอก็สลด, แต่เมื่อเข้าไปใกล้รถ, นายสารถีทูลว่า ภีมยังมีชีวิตอยู่และกำลังสู้รบในท่ามกลางหมู่ทหารกุรุ. นายสารถียังได้ทูลประพฤติเหตุว่า ทหารม้าข้าศึกพวกหนึ่งเข้ามาห้อมล้อมรถภีม, ภีมได้กระโดดลงจากรถเพื่อใช้มือและเท้าให้สะดวกเข้า, ได้โจมเอาทหารม้าคนหนึ่งหล่นจากหลังอาชาและเผ่นขึ้นหลังม้าไม่มีคนขี่ควบเร็วรี่ไปโจมตีท้ายกองทัพกุรุ. จริตคือการเผชิญภัยนอกนั้นธฤษฏทยุมน์ได้เห็นด้วยตาของเธอเอง. ไกลจากที่ที่เธอยืนอยู่บัดนี้ เธอได้แลเห็นมือภีมอันเรี่ยวแรงแข็งกล้ากำลังหวดซ้ายป่ายขวาหน้าหลังเป็นจ้าละหวั่น; แต่ตัวของเขามิได้รู้ว่าเขาตกอยู่ในที่มีภัยมากที่สุด, เพื่อปลุกใจเขา, เจ้าชายหนุ่มตะโกนร้องไปแต่ไกลว่า! “จงรบเรื่อยไปเถิด, ท่านผู้ใจกล้า! ข้าพเจ้ามาอยู่ใกล้ ๆ แล้ว” ภีมได้ยินคำร้องปลุกใจหรือไม่ได้ยินก็ไม่ปรากฏ: แต่กองหนุนของธฤษฏทยุมน์ได้ทำให้เขาเป็นต่อขึ้นทันที, ตีข้าศึกที่ยังหลงเหลือห้อมล้อมภีมนั้นแตกกระจายไป. ข้าศึกรุดหนี, และขณะที่หนีนั้นทำให้ผงคลีฟุ้งตระหลบกลบห้องนภากาศ เข้าระคนกับแสงขมุกขมัวบังตัวลับแลไม่เห็น.

แชร์ชวนกันอ่าน

แจ้งคำสะกดผิดและข้อผิดพลาด หรือคำแนะนำต่างๆ ได้ ที่นี่ค่ะ