ฉันท์ เทวธรรมบรรยาย

จุณณิยบท คาถาเทวธรรม

หิริโอตฺตปฺปสมฺปนฺนา สกฺกธมฺมสมาหิตา
สนฺโต สปฺปุริสา โลเก เทวธมฺมาติ วุจฺจเร.

สัททุลลวิกกีฬิต ๑๙

ตูข้าขออภิวาทพระพุทธะพระประทาน  
ธรรมเพื่อประสพศาน- ติบท
ตูข้าขออภิวาทพระธรรมะพระสุคต  
สอนสัตว์ขจัดหมด อธรรม์
ตูข้าขออภิวาทพระสงฆ์สุปฏิบันน์  
สืบพุทธศาสน์อัน รุจี
ตูข้าขออภิวาทชนกและชนนี  
ครูกอบพระคุณศรี วิศิษฏ์
ตูข้าขออภิวาทพระบาทวรนริศร์  
จอมราษฎร์สยามิศ รศรี
ทรงปกเกล้านรไทยอุทัยสุขทวี  
พูนเพิ่มพิพัฒน์ปรี- ดิผล
ด้วยเดชแห่งอภิวาทประสาทนกมล  
พุทธาธิคุณดล สวัสดิ์
จงปลดเปลื้องอุปสรรคและสรรพ์ภยพิบัติ  
ในการนิพนธ์อรรถ ประพันธ์
เพื่อบูชาวรคุณพระบาทบรมธรร-  
มิกฉัฏฐรามอัน อุฬาร์
บำรุงราษฎรกอประด้วยพระกรุณา-  
คุณทั้งพระเมตตา- ธิธรรม์
สบคาบคล้ายศุภวารสมภวณพรรษ์  
สิบหกฉนำถวัล- ยราชย์
เพื่อเป็นมงคลฤกษ์วราศิรประกาศ  
เกื้อเกียรติโอภาส พระองค์

----------------------------

ฉะบัง ๑๖

ข้าขอไขธรรม์บรรจง บรรยายอรรถองค์
พระทรงพระภาคหากสอน  
ถึงข้อมารยาทราษฎร ผู้ทวยนาคร
ควรผ่อนผันประพฤติตาม  
เพื่อให้ทวยราษฎรชาติสยาม ลุธรรม์อันงาม
ได้นามว่า ‘อารยชน’  
ขอเชิญ ‘เทวธรรม’ ล้ำผล เป็นพจน์พิมล
ทศพลชินศรีชี้ไข  
เพื่อหมู่มนุษย์เวไนย มีธรรมอำไพ
แผกไปจากดิรัจฉาน  
กล่าวคือมรรยาทชาติอารย์ ถือทั่วถิ่นฐาน
ไม่ผ่านพ้นไปได้เลย  
ตามข้อคาถาเฉลย สงฆ์สวดแผ่เผย
ผู้เคยกับพระจะเห็น  
เวลาพระสวดมนตร์เย็น ลงท้ายไม่เว้น
ท่านเป็นต้องสวด ‘เทวธรรม’  
คือว่าคาถาที่นำ มาจดประจำ
เป็นคำคุณจุณณีย์ชี้ไข  
ท่านหวังให้ฟังร่ำไป เพื่อน้อมน้ำใจ
เป็นไปตามพุทธพจี  
แต่กลายเป็นกิจพิธี น้อยนักจักมี
ผู้ที่ฝักใฝ่ในความ  
ขอแปลแต่เค้าเอาตาม พากย์พจน์สยาม
เห็นงามอย่างไรไขขาน  
คาถาว่าสั้นบรรหาร มีสามประการ
ควรมานมนัสคัดจำ  
”หนึ่ง-ให้ขวยเกรงบาปกรรม หนึ่ง-ให้เพียรบำ-
เพ็ญธรรมที่ชอบใส่ตน  
หนึ่ง-ให้รำงับอกุศล ซึ่งกลั้วกมล
ให้พ้นสันดานผ่านไป  
อันว่าบุทคลผู้ใด ประพฤติดังไข
นับได้ว่ามี ‘เทวธรรม’”  
แผกชนกลดิรัจฉานอัน ป่าเถื่อนเลื่อนชั้น
สู่สัญชาติอารย์ปานสรวง  
เราพุทธสาวกปวง ควรตั้งฝังดวง
จิตต์หน่วงน้อมนบอบรม  
เพื่อสมเกียรติชาติศาสน์สม- ที่ได้อุตดม-
ราชสมบูรณ์ลักษณ์อุฬาร  
ต่อนี้ข้าขอต่อสาร สาธกนิทาน
อาจารย์ท่านปลูกผูกพัน  
เพื่อหวังฝั่งธรรมสำคัญ ซึ่งนิยมกัน
ในชั้นโบราณท่านสอน  
แต่ขอย่อสั้นบั่นรอน เลือกคัดตัดตอน
ผันผ่อนพอเข้าเค้าความ  

อินทรวิเชียร ๑๑

ปางพุทธบพิตร พระสถิต ณ อาราม
เรียก ‘เชตวัน’ นาม พระวิหารณเขตต์ ‘สา
วัตถี’ นครใหญ่ ณ สมัยบุราณมา
เขตต์ราชอาณา ชนบทโกสล
มีท่านกุฎุมพี สุขศรีพิพัฒน์ผล
ภรรยามลายชน- ม ระทดสลดใจ
จึงบรรพชาน้อม มนะพร้อมประพฤติใน
ศรีศาสนาไท วระทศพลญาณ
เธอมีอเนกภัณ- ฑ อนันต์บริกขาร
นุ่งห่มมิซ้ำนาน ณ ทิวาและราตรี
ทรายถึงพระสัมพุท- ธพิสุทธชินศรี
ตรัสเรียกกุฎุมพี นวภิกษุทรงสอน
เพื่อให้ละอวดโอ่ และละโลภขาดรอน
ฝ่ายภิกษุเคืองค้อน พระสุคตและหมดอาย
เปลื้องผ้ามิคลุมอง- ค สะบงแหละติดกาย
ในที่ประชุมหมาย จะประชดพระศาสดา
ทรงตรัสประโลมใจ อุปไมยนิทานสา-
ธกเรื่องอดีตชา ดกเทียบแถลงธรรม์
“โอ้ ! ภิกษุผู้หมาย ‘หิริ’ อาย ณ บาปสรรพ์
‘โอตตัปปะ’ หวาดหวั่น มนะเกรง ณ บาปผอง
ไป่ควรจะดาลโกรธ ทุรโทษมิตรึกตรอง
ทิ้งธรรมะเคยครอง และประพฤติทุราจาร
ท่านหา ‘หิโรตตัป- ปะ จะนับประมาณนาน
สิบสองฉนำกาล ณ อดีตชาติมา
บัดนี้ประพฤติพรต ณ สุคตศาสนา
ควรกอประจรรยา มุนินาถประศาสน์สาร
ควรครอง ‘หิโรตตัป- ปะ’ ระงับทุราจาร
เพื่อสมเกษมศานติ์ ดุจมุ่งณเดิมที”
ฝ่ายภิกษุฟังฟัง มนคลั่งก็คืนดี
ขวยใจก็หยิบจี- วรครองเสงี่ยมตน
จึงภิกษุทั้งนั้น อภิวันท์พระทศพล
ทูลเพื่อแสดงสน- ธิปวัตติ์อดีตกาล

สุรางคนาง ๒๘

  พระพุทธ์นายก
เทศนาชาดก สาธกนิทาน
โพธิสัตว์อัน สืบขันธ์สันดาน
ในครรภ์นงคราญ มารดาเทวี
  ผู้แก้วกัลยา
จอมราษฎร์ราชา พาราณสี
นาม ‘มหิสสาส’ ราชบุตรหัวปี
พระน้องนามมี ศรี ‘จันทกุมาร’
  มิช้าชนนี
ดับชีพรีบหนี สามีภูบาล
ทรงตั้งมหิษี แทนที่นงคราญ
เกิดพระกุมาร โปรดปรานหนักหนา
  ทรงนามขนาน
สุริยกุมาร ปานเนตรราชา
พระประทานพร ก่อนนึกตรึกตรา
จึงพระมารดา ขอราไชศวรรย์”
  ให้โอรสนาง
เหลือตรัสขัดขวาง หมดทางบิดผัน
จำสละรัชช์ ตามตรัสทรงธรรม์
ส่งสองบุตรนั้น ดั้นเต้าเนาไพร
  ทรงสั่งโอรส
เมื่อพ่อสวรรคต หมดพรพ่อไซรื
เจ้าจงกลับหลัง มายังกรุงไกร
ครอบครองเวียงชัย สืบไอศวรรย์
  ฝ่ายสองโอรส
ลาองค์ทรงยศ บทจรตามกัน
มาพบพระน้อง ร่ำร้องใฝ่ฝัน
ขอจรจรัล ผันเต้าตามไป
  เหลือห้ามปรามน้อง
ครวญคร่ำร่ำร้อง จำต้องตามใจ
ยอมให้ผายผัน พากันครรไล
จากปราสาทชัย หมายไปอรัญ
  เดิรตัดลัดทุ่ง
ล่วงฐานย่านกรุง ต่างมุ่งผายผัน
เข้าในไพรกว้าง แรมค้างในวัน
ลุสระมหันต์ ชวนกันพักกาย
  ใต้ร่มรุกขชาติ
มีเทินเนินลาด เป็นอาสน์สบาย
จึงโพธิสัตว์ ตรัสแก่น้องชาย
สุริยะเพื่อผาย ผันสู่สระศรี
  “แน่ ! น้องสุริยะ
จงจู่สู่สระ ชำระอินทรีย์
ครั้นเสร็จเด็ดใบ บัวใส่วารี
มาฝากสองพี่ ขมันขมีหน่อยรา”
  สุริยกุมาร
ได้ฟังสั่งสาร ลยลานรรีบมา
เดิรด้นจนปะ เห็นสระโศภา
มีบัวนานา วารีเย็นใส
  ผลัดผ้าคลาลง
ชำระสระสรง ทรงดื่มปลื้มใจ
เที่ยวหักฝักบัว มามั่วสุมไว้
ครั้นเสร็จเด็ดใบ บัวใคร่ใส่ชล
  สระนี้มียักษ์
เสื้อน้ำสำนัก รักษาวังวน
ได้พรเวสสวัณ กินบรรดาคน
ผู้ลงสรงชล มืดมน “เทวธรรม์”
  ครั้นสบพบพาน
สุริยกุมาร สรงสนานอยู่นั้น
เสแสร้งแปลงตน เป็นคนฉับพลัน
กล่าวถาม ‘เทวธรรม์’ นั้นคือสิ่งไร ?
  สุริยกุมาร
ไร้ตริวิจารณ์ ขานตอบทันใด
ว่า ‘เทวธรรม์’ คือจันทร์สูรย์ไซร้
ยักษ์นั่งฟังไข เห็นไม่ถูกตรง
  อิ่มใจได้อา-
หารอันโอชา โลดคว้าพระองค์
“ดูก่อนมนุษย์ บริสุทธิ์เชื้อวงศ์
แต่ใจไม่ยง คงอันธพาล
  เราไซร้ได้พร
ใครหมดบทจร พักผ่อนในย่าน
สระศรีนี้จัก เป็นภักษาหาร
เว้นเหล่าเผ่าอารย์ เชี่ยวชาญ ‘เทวธรรม์’
  เสียดายกายไย
คนปานท่านไซร้ ไร้ผลทั้งนั้น
ให้เราเข้าปาก ผลมากอนันต์”
พลางคร่าห์พาผัน สู่ครรภ์คูหา

อินทรวงศ์ ๑๒

ฝ่ายโพธิสัตว์คอย มนะพลอยระอิดระอา
ห่วงน้องพระปองหา หฤทัยพะวักพะวน
สงสัยจะไผล้เผล จรเตร่ระเหระหน
เที่ยวหาสระเวียนวน บมิพบตลบตะแลง
ให้น้องกุมารจันทร์ จรผันเสาะสืบแสวง
ด้วยในพระทัยแคลง ภยน้องจะพ้องจะพาน
ฝ่ายว่ากุมารจันทร์ จรดั้นละลนละลาน
ไม่ช้าก็ถึงย่าน สระก็ค้นทุรนทุราย
ลงดื่มอุทกล้าง มุขสร่างกระวนกระวาย
ถูกยักษ์ถามทาย ณพระ ‘เทวธรรม์’ กะเธอ
ตอบ “เทวธรรมนี้ ทิศสี่แหละถูกละเกลอ”
ยักษ์ออกอุทาน เฮอ ! และสลดระทดระทวย
“ใจท่านมิสมกาย และมิหมายจะเขินจะขวย
อยู่ไปก็ไม่อวย คุณแก่ประชานิกาย
สิ้นชนม์สกนธ์เน่า คุณเปล่ากระจัดกระจาย
มอบร่างกะเราตาย ขณะนี้สิมีกุศล
พลางจับพระจันทร์จู่ จรสู่ณครรภะตน
ขังร่วมพระน้องกล ปศุสัตว์จะกัดจะกิน
บ้างโพธิสัตว์ตั้ง มนะหวังจะรู้ระบิล
คอยคอยละห้อยจิน- ตนะแคลงระแวงพระทัย
จึงต้อมเสด็จมา ลุสระน่าฉงนกระไร
เห็นรอยพระน้องไป ณ สระนี้มิเห็นพระกาย
ทราบด้วยพระปัญญา อนุชาลุอันตราย
ยั้งองค์มิทรงผาย จรสู่สระสรงสนาน
รากษสสะกดใจ เพราะจะให้ประเวศน์ณย่าน
คอยท่าก็ช้านาน บมิเห็น ธ ล่วงถลำ
แปลงเป็นมนุษย์ไคล จรใกล้และกล่าวแนะนำ
“ท่านยากและตรากตรำ ณ พนัสระหกระเหิน
โน่นแน่สระบัวใหญ่ จรไปสนานสิเชิญ
ดื่มน้ำและว่ายเพลิน มนะชมปทุมอนนต์”
ฝ่ายโพธิสัตว์ทราบ บมิอายเพราะแจ้งณกล
รู้ว่ามิใช่คน ก็ประภาษขมีขมัน
“ท่านหรือนะคือยัก- ษ พิทักษ์ ณ ถิ่นอรัญ
จับกุมพระน้องอัน จรมาจะทำอะไร ?”
ยักษ์รับพระวาจา บมิกล้าเถลไถล
แล้วเลยเฉลยไข กรณีย์มิปิดมิบัง
ทราบเรื่องก็บรรหาร “ผิวท่านประสงค์จะฟัง
ซึ่ง ‘เทวธรรม’ ตั้ง สติเถิดจะขานจะไข”
ยักษ์ฟังก็ปลื้มปรี- ดิฤดีและเชิญคระไล
อาบดื่มอุทกใน สระระงับกระวนกระวาย
เสร็จเชิญประทับอา สนะผา ณ พฤกษฉาย
จึงโพธิสัตว์ผาย พจนารถ ณ ‘เทวธรรม์’
เป็นบาทพระคาถา ดุจจ่า ณ ต้นประพันธ์
ยักษ์ฟังเกษมสันต์ ณ พระธรรมเทศนา.

ภุชงคประชาต ๑๒

กมลกอประชื่นบาน ฤดีซ่านประกาศสา-
ธุการศัพท์มินับครา แถลงซ้ำมิหนำใจ
“กระแส ‘เทวธรรม’ นี้ ขยมมีกมลใฝ่
ทวาทศพรรษ์ได้ ประจักษ์ฟัง ณ ครั้งนี้
มนุษย์เอ๋ยไฉนขาด สุมรรยาทประเสริฐศรี
ผิไร้ ‘เทวธรรม’ มี สกนธ์เป็นมนุษย์ไย
กนิษฐ์ท่านมิรู้ ‘เท ธรรม’ เล่หสัตว์ไพร
ก็สมกับจะจับไป กระทำเป็นสะเบียงเรา
ขยมปรีดิเลื่อมใส จะคืนให้กนิษฐ์เจ้า
จะชอบใครก็เลือกเอา เถอะคนหนึ่งจะยอมปล่อย”
บรมโพธิสัตว์ต้อง ประสงค์น้องกนิษฐ์น้อย
และยักษ์ได้สดับถ้อ ประภาษเพ้ยเฉลยไข
แน่ะ ! ท่านปราชญ์ฉลาดเล่ห์ แถลง ‘เทวธรรม’ ไพ
เราะแต่ปากมิอยากใฝ่ ประพฤติ ‘เทวธรรม’ เลย
มนุษย์ควรจะถือา- ยุแก่กว่าสิท่านเอ๋ย !
กนิษฐ์รองสิเฉยเมย มิช่วย, ช่วยกนิษฐ์น้อย
พระองค์โพธิสัตว์ตรัส เฉลยอรรถสนองถ้อย
กะยักษ์ผู้ประสงค์คอย สดับข้อระแวงใจ.

วสันตดิลก ๑๔

“ตูนี้มิมีกมลเปร สละ ‘เทวธรรม’ ไป
แม้นทราบปวัตต์ประถมไซร้ ก็จะทราบระแสธรรม์”
เราร่วมพระราชชนนี มหิษีพระราชัน
กับน้องพระนามกรจัน- ทกุมาระภักดี
สิ้นบุญพระแม่ก็พระชนก ธก็ยกพระเทวี
อื่นเป็นพระราชมหิษี ธประสูติพระน้องชาย
คือน้องกุมารสุริยะองค์ บิตุรงค์ประสงค์หมาย
มอบรัชชะตามพรธผาย พจนารถกะมารดา
ให้เราและน้องจรปเวศน์ วนเขตต์สถิตป่า
ฝ่ายน้องกุมารสุริยะอา- ลยเราและเฝ้าตาม
เราแสนจะหนักอุระระลวง มนะห่วงพยายาม
ป้องกันประชานิกรหยาม ครหามิคลาคลาย
ทั้งเพื่อพิทักษ์พระประสงค์ บิตุรงค์ธจงหมาย
ชีพเราและจันทร์ผิวมลาย ก็มิสู้จะเป็นไร
แม้นเราจะคืนนครเรา และจะเล่าแถลงไข
“ยักษ์กินกุมารสุริยะ” ใคร น๋ะจะเชื่อณวาจา
“เชิญจงวิจารณคดี ดุจชี้เฉลยมา
เรานี้และมีกมลสา- ธุประพฤติณสัทธรรม”
ฝ่ายยักษ์สดับพระพจนารถ ก็ประสาทณถ้อยคำ
จรสู่ชลาลัยและนำ พระกุมาระสององค์
มาคืนถวายฉะเพาะพระพักตร์ บริรักษ์พระบาทบงสุ์
เชิญเนาณมณฑลสระปลง มนะกอประอารี
องค์โพธิสัตว์และพระกนิษฐ์ ก็สถิตสวัสดี
สอนยักษ์ณเบญจวรศี- ลประพฤตินิรันดร์กาล
ตราบเท่าพระราชบิตุรง- คธทรงมลายปราณ
จึงกลับประเวศน์นครผ่าน สิริราชมไหศวรรย์
ตั้งน้องพระจันทร ณ มหา อุปราชฐานันดร์
ตั้งน้องกุมารสุริยะอัน จรตามณที่เป็น
เสนาบดีอดุลศักดิ์ ทะนุยักษเพื่อนเข็ญ
ให้บรรลุเกียรติคุณเพ็ญ ยศลาภอเนกนอง
ทรงกอบพระราชกรุณา ณประชานิกรผอง
ให้น้อมมนัสนิยมปอง ปฏิบัติ ณ สัทธรรม.

----------------------------

ฉะบัง ๑๖

เมื่อพระพุทธองค์ทรงสำ- แดงอรรถตรัสนำ
บุรพกรรมก่อนเก่าเล่าไข  
“อันยักษ์กักขฬะยังใฝ่ เสาะธรรมอำไพ
และใคร่ถือธรรมอำพาน  
ไฉนมนุษย์บุทคล ซ้ำผนวชตน
ปานกลท่านไซร้ไร้อาย  
เปลื้องปลดจีวรล่อนกาย จิตต์โกรธโหดร้าย
จักหมายมุ่งผลกลใด  
อันผู้เสาะธรรมอำไพ ควรอบรมใจ
ห่างไกลทุจริตมิจฉา  
อันการเปลือยปลดงดผ้า ไว้ผมชฎา
หรือว่าคลุกเกลือกเปือกตม  
งดกินนอนดินหมักหมม กายด้วยโสมม
ยืนงมกระเหย่งเพ่งธรรม์  
ล้วนกิจผิดพรหมจรรย์ ไม่ยังสัตวสรรพ์
ให้บรรลุผลกลหมาย  
จบตรัสสัทธรรม์บรรยาย ภิกษุทั้งหลาย
ต่างถวายศัพท์สาธุการ  
ย่อเรื่อง ‘เทวธรรม’ ตำนาน เพื่อเป็นสะพาน
ทราบสารซึ้งในใจความ  
เชิญปราชญ์ตริตรึกนึกตาม ซึ่งอรรถอันงาม
ทั้งสามข้อเทวธรรม  
จักเห็นเป็นธรรม์อันจำ- เป็นจักต้องบำ-
เพ็ญสำหรับราษฎร์ชาติอารย์.  

หิริโอตฺตปฺปสมฺปนฺนา

ข้อต้นฝึกฝนสันดาน ให้ขวยเกรงการ
ทางพาลทุจริตผิดผัน  
ยั้งใจประพฤติยึดธรรม์ ตั้งอยู่ในมรร-
ยาทอันสุภาพอำไพ  
อันว่าความคิดจิตต์ใจ ส่ำสัตว์ใดใด
ตรงไปตามจิตต์คิดหมาย  
อยากกินก็กินสิ้นอาย อยากสมพาสผาย
ผันกรายกรีดเข้าเคล้าคลึง  
ยามโกรธโลดตามความขึ้ง ไป่คิดคำนึง
นึกถึงผิดพ้องคลองธรรม์  
นี้เป็นธรรมดาสามัญ แห่งสัตว์ทุกพรรณ์
ไม่ฝันใฝ่ธรรมอำพน  
มนุษย์สันดานปานกล กล่าวนี้พึงยล
ไม่พ้นภูมิดิรัจฉาน  
ดังยักษ์ไขในนิทาน ข้างต้นย่นขาน
ช่วยการเห็นคุณหนุนนำ  
ใน “หิโรตตัปปะ” ธรรม ควรถือประจำ
ชาติส่ำมนุษย์แน่นอน.  

----------------------------

อินทรวิเชียร ๑๑

สุกฺกธมฺมสมาหิตา

ข้อสอง, แสวงกิจ สุจริตนิรันดร
เพื่อให้นิกรนร ประลุสุขเกษมศานติ์
คือใฝ่ณกิจกอบ คุณชอบนิรันดร์กาล
ทางโลกและธรรมมาน มนะใฝ่พิพัฒน์ผล
อันสัตว์ดิรัจฉาน บมิมานกมลชวน
ขวายเพิ่มพิพัฒน์ตน แหละขยับเจริญเชาวน์
รังนกกระจายสร้าง ขณะปางอดีตเอา
เทียบกันกะรังเนา ขณะนี้มิผิดผัน
ความประพฤติสัตว์ ปฏิบัติ ณ กัปป์กัลป
อย่างใดก็อย่างนั้น บมิมีทวีผล
ฝ่ายว่ามนุษย์เรา มนะเฝ้าประพฤติตน
ดำเนิรเจริญพ้น คติสัตว์ดิรัจฉาน

สนฺโต สปฺปุริสา โลเก

ข้อสามประคองตั้ง สติยั้ง ณ ทางพาล
คอยหักปหานราน บมิให้ประจำตน
ส่ำสัตว์ดิรัจฉาน บมิมานมนัสยล
สังเกต ณ เหตุผล ดุจหมู่มนุษย์เรา
ฉันใดจะรู้ใฝ่ มนะใคร่จะบรรเทา
บาปได้, เพราะไร้เข้า วนะนึกคะนึงการณ์
จึง ‘เทวธรรม’ นี้ บมิมี ณ สันดาน
แห่งสัตว์ดิรัจฉาน ดุจพรรณนามา.

เทวธมฺมา ติ วุจฺจเร

สามนี้มนุษย์ใด มนะใฝ่แสวงหา
บำเพ็ญ ณ อาตมา ปฏิบัตติครบครัน
ปราชญ์ชมนิยมนับ นรสัปบุรุษอัน
มี ‘เทวธรรม’ ชั้น นรอารย์ณโลกแล
นี้ข้อประสงค์บัณ- ฑิตสรรวิธีแผ่-
เผยกรรมมนุษย์แท้ กะมนุษย์ผะดุงฐาน
ไม่ให้ประพฤติทาง คติอย่างดิรัจฉาน
เพื่อให้ประพฤติอาร- ย นิยมประจำตน.

มานวก ๘

ควรนรผอง ปองวรธรรม
ปลื้มมนะบำ เพ็ญ ณ กุศล
สมนิติของ ผองนรชน
เพิ่มวรผล เพื่อนรผอง
เราปฏิสนธิ์ ดลนรชาติ
ควรทะนุอาตม์ มุ่งมนะปอง
ในคติธรรม ส่ำนรครอง
สมคติคลอง ผองนรอารย์
เราคณะไทย ได้วรลาภ
ปลื้มมนะอาบ ปรีดิสราญ
มีวรราช ปราชญ์วรญาณ
ทรงคุณสาร สอนคติสรรพ์
เปรียบพระชนก ปกศิรเกล้า
นำนรเต้า สู่คติธรรม์
เทียมปรเทศ เขตตมหันต์
คุณพระอนันต์ แก่นรไทย
ทรงอุปถัมภ์ นำชินศาสน์
บรรลุวิลาส วุฑฒิวิไล
ทรงคุณธรรม ล้ำภพตรัย
ควรนรไทย ใฝ่ปฏิการ
คือปฏิบัติ ดัดมนะตน
ตามพระยุบล ทรงบริหาร
ตั้งมนะภักดิ์ รักบทมาลย์
ยอมสละปราณ เป็นพลีกรรม.

สัทธรา ๒๑

จองพจน์ใน ‘เทวธรรม’ นำ พระชินพจนบำ-
บวงพระคุณธรรม พระจอมปราณ  
นับว่าสิ้นเสร็จกระแสสาร ประดุจสุรภิมาลย์
กรองมิชำนาญ มิน่าดู  
แต่ยังคงคันธรสชู มนะ คณะ นร, ตรุ
ธรรมบรมครู ประภาษไข  
ด้วยผลแห่งจิตต์ประสาทใน พระคุณรตนตรัย
ขอพระจอมไทย เกษมศานติ์  
ขอทวยไทยทั่วทวีอารย์ ลุบรมสุขมาน
‘เทวธรรม’ ปาน ภะเทพเทอญ.  

----------------------------

 

  1. ๑. แต่งเพื่อพิมพ์ในการพระราชพิธีเฉลิมพระชนมพรรษา ปีที่ ๑๖ แห่งรัชชกาลที่หก แต่เผอิญพระองค์เสด็จสวรรคตเสียก่อน.

แชร์ชวนกันอ่าน

แจ้งคำสะกดผิดและข้อผิดพลาด หรือคำแนะนำต่างๆ ได้ ที่นี่ค่ะ