กลอนสุภาพ พ่อแม่รังแกฉัน

มีซินแสแก่เฒ่าได้เล่าไข ถึงเรื่องงิ้วว่าเล่นกันเช่นไร มีข้อใหญ่นั้นก็เป็นเช่นละคร แต่ข้อหนึ่งแกเล่าเขาประสงค์ มุ่งจำนงในข้างเป็นทางสอน ชี้ทางธรรม์มรรยาทแก่ราษฎร เหมือนละครสุภาษิตไม่ผิดกัน เราบวชนาคโกนจุกในยุคก่อน มีกล่าวกลอนเพราะพริ้งทำมิ่งขวัญ การขันหมากยุคเก่าท่านเล่ากัน มีสวดฉันท์เรียกว่า ‘สวดมาไลย์’ เค้าก็คือท่านหวังจะสั่งสอน แต่ผันผ่อนตามนิยมสมสมัย มีเฮฮาพาสนุกเครื่องปลุกใจ สมกับได้มีงานการมงคล ในหมู่บ้านย่านกลางเมื่อปางก่อน มีโรงสอนธรรมทานการกุศล เพื่อเป็นเครื่องเรืองปัญญาประชาชน ในตำบลอัตคัดไกลวัดวา เรียกศาลาโรงธรรมประจำบ้าน เหมือนสถานที่ฝึกทางศึกษา บางคราวมีการกุศลปนเฮฮา เพื่อให้พาเพลิดเพลินเจริญใจ ฝ่ายจีนเขามิได้มีอย่างที่ว่า เอางิ้วมาฝึกหัดดัดนิสสัย ย่อมดูดดื่มซึมซาบปลื้มปลาบใจ เหมือนอย่างได้รู้เห็นที่เป็นจริง

งิ้วเรื่องหนึ่งแกเล่าครั้งเยาว์อยู่ ได้ไปดูจำไว้ได้ทุกสิ่ง เกาะในจิตต์ติดแน่นแม้นกับปลิง เลยเป็นสิ่งสอนใจจนใหญ่มา ตามเรื่องนั้นว่ามีเศรษฐีหนึ่ง เป็นคนซึ่งสูงชาติวาสนา มีทรัพย์สินเหลือล้น คณนา มีบ้านช่องแน่นหนาด้วยข้าไทย ท่านเศรษฐีมีบุตรสุดที่รัก แกฟูมฟักใฝ่จิตต์พิสมัย บุตรคนเดียวแสนจะห่วงดังดวงใจ หวังจะให้สืบวงศ์ดำรงไป มีโรงเรียนไกลบ้านอาจารย์สอน กลัวลูกอ่อนลำบากไม่พรากได้ อุตส่าห์จ้างครูบามาแต่ไกล ให้สอนในบ้านตนสู้ปรนปรือ ฝ่ายลูกเรียนผู้เดียวให้เปลี่ยวจิตต์ มักเบือนบิดเบื่อชังเรื่องหนังสือ อย่าได้เพื่อนพูดจาและหารือ พ่อก็อือออตามด้วยความรัก เกณฑ์พวกเด็กในบ้านให้อ่านด้วย เพื่อได้ช่วยชวนใจให้สมัคร ครั้นมีเพื่อนเรียนล้อมอยู่พร้อมพรัก กลับชวนชักเล่นกันไม่หมั่นเรียน ครูก็ดีจี้ไชมิได้หยุด แกเห็นสุดเอาใจจึงได้เฆี่ยน หวังให้กลัวอาชญาตั้งหน้าเพียร แต่กลับเพี้ยนผิดคาดถึงขาดกัน คือบุตรท่านเศรษฐีหนีไปหา- พ่อ, ฟ้องว่า “ครูนี้แกตีฉัน” ปลอบให้เรียนก็ไม่ไปจนใจครัน ต้องเป็นอันเลิกกับครูที่อยู่มา อุตส่าห์จ้างครูใหม่ตามใจ แต่ไม่ถูกใจบุตรสุดจะหา “ครูคนนั้นฉันเข็ดไม่เม็ตตา คนนี้ว่าจู้จี้พิรี้พิไร” แต่เปลี่ยนครูอยู่ฉะนี้ไม่มีเหมาะ มักทะเลาะเลิกเรียนต้องเปลี่ยนใหม่ พวกครู ๆ เข็ดกลัวกันทั่วไป ถึงจะให้เงินมากไม่อยากเอา บิดาผู้รักบุตรสุดจะกลุ้ม ลูกเป็นหนุ่มใหญ่โตยังโง่เง่า เที่ยวจ้างครูอยู่ห่างต่างลำเนา ค่าจ้างเท่าไรนั้นไม่พรั่นกลัว แต่ก็ไม่ยืดไปเท่าไรนัก ประเดี่ยวชักเหหันต้องสั่นหัว เผอิญมาปะครูที่รู้ตัว แกหวังชั่วค่าสอนสู้ผ่อนตาม ศิษย์จะรู้เท่าไรไม่ธุระ ชื่อเสียงจะเสียไปก็ไม่ขาม ศิษย์ผู้ใดตั้งหน้าพยายาม สอนให้ตามแต่รักสมัครเรียน ครูคนนี้ถูกใจอยู่ได้ยืด ถึงจะจืดจางการเรื่องอ่านเขียน ก็ถูกจิตต์ศิษย์ตนยอมวนเวียน อยู่จำเนียรโตใหญ่ไว้วิชชา ฝ่ายพ่อแม่รักบุตรสุดจะรัก บุตรสมัครทางไหนมิได้ว่า ใช้เงินทองกอบกำไม่นำพา อยู่ไม่ช้าแกก็ตายทำลายชนม์ ทรัพย์สมบัติมฤดกตกแก่ลูก ไม่ต้องปลูกเปลืองแรงแสวงผล มีเพื่อนมาฮาฮือนับถือตน เฝ้าแต่ขนทรัพย์จ่ายสบายจริง เอาอะไรได้ทุกอย่างช่างสะดวก จะหยิบหมวกหมวกรี่เหมือนผีสิง ทุกอย่างรู้เอาใจไม่ประวิง ดูเหมือนชิงกันมาคราต้องการ ไม่ช้านักทรัพย์หมดลดสะดวก จะหยิบ หมวกหมวกกะเดียดข้างเกียจคร้าน ถ้าเผลอหน่อยคอยหนีตะลีตะลาน วิ่งเข้าร้านโรงจำนำไม่อำลา เพื่อนทั้งมวลล้วนหายเหมือนตายจาก ที่มีมากคือสหายพวกนายหน้า “บ้านของท่านขายเท่าไร ? ให้ราคา ผมช่วยค้าขายให้ด้วยไมตรี เพื่อนสนุกพลุกพล่านขายบ้านช่อง พอเงินทองหมดเรียบก็เงียบจี๋ ต่อนี้ไปใครเยือนคือเพื่อนดี ไม่เช่นนี้เพื่อนโหลโง่ระยำ บุตรเศรษฐีเป็นมาถึงครานี้ ไม่เห็นมีมิตรสหายมากลายกล้ำ ผิวผู้ดีมีกะดากพะอากพะอำ จะคิดทำการอะไรก็ไม่เป็น ต้องตรำตรากจากย่านถิ่นบ้านเก่าขอทานเขาเลี้ยงตนด้วยข้นเข็ญ พักสถานศาลเจ้าทุกเช้าเย็น ค่อยคิดเห็นโทษตัวที่ชั่วมา คิดถึงเรื่องเก่าแก่พ่อแม่รัก สู้ฟูมฟักใฝ่ฝึกให้ศึกษา ตามใจลูกเหลือล้นคณนา ทุกสิ่งสารพัตรไม่ขัดใจ คิดถึงครูผู้สอนแต่ก่อนเก่า บางคนเฝ้าฝึกฝนพ้นวิสัย บางคนเฝ้าจู้จี้พิรี้พิไร ไม่ถูกใจฟ้องพ่อก็อออือ จนเหลวใหลได้เข็ญถึงเช่นนี้ พ่อแม่ที่รักลูกทำถูกหรือ? สิ่งใดพาเสียคนกลับปรนปรือ ร้องไห้ฮือ ! บ่นว่าเหมือนบ้าบอ วันหนึ่งไปถึงถิ่นบ้านซินแส ก็เดิรแร่เข้าไปหาตรงหน้าหมอ ร้องขอทานทันทีไม่รีรอ ฝ่ายท่านหมอมองหน้าไม่ว่าไร ลงท้ายแกกลอกหน้าหาว่าหลอก “เฮ้ย ! เจ้าวอกเองอย่ามาไถล หลอกดูลูกสาวข้าหรือว่าไร หรือเข้าใจว่ากูไม่รู้ที ข้าหมอดูรู้จักลักษณะ อย่างมึงน่ะบอกเพศเป็นเศรษฐี รูปลักษณ์พักตร์เจ้าเผ่าผู้ดี ทำเช่นนี้ตั้งใจอย่างไรกัน” ลูกเศรษฐีฟังว่าน้ำตาหลั่ง ตอบเสียงดัง “พ่อแม่รังแกฉัน !” ร้องไห้โฮ ! ซบหน้าพลางจาบัลย์ คนบ้านนั้นต่างพากันมาดู

“ท่านเจ้าข้า ! พ่อแม่รังแกฉัน เขาใฝ่ฝันฟูมฟักฉันอักขู ฉันทำผิดคิดระยำกลับค้ำชู จะว่าผู้รักลูกถูกหรือไร ? ท่านทายฉันนั้นถูกลูกเศรษฐี ผู้กลีเลวกว่าบรรดาไพร่ ซึ่งยังรู้กอบการงานใด ๆ เลี้ยงชีพได้เพียงพอไม่ขอทาน โอ๊ย ! ยิ่งเล่ายิ่งซ้ำระกำเหลือ โปรดจุนเจือเถอะท่านหมอขอเข้าสาร เหมือนช่วย ชีพข้าเจ้าให้เนานาน จักเป็นการบุญล้นมีผลงาม”

ฝ่ายท่านหมอฟังเล่าสิ้นเค้าเงื่อน แกจึงเอื้อนโอษฐ์มีวจีถาม “ข้าฟังเข้าเล่าไปก็ได้ความ จึงเห็นตามพ่อแม่รังแกตรง เข็ดหรือไม่ใครรังแกอย่างแม่พ่อ หรือว่าพอทนดอกบอกประสงค์” “โอ๊ย ! หนเดียวชีวิตแทบปลิดปลง ถ้าซ้ำสองต้องลงอวิจี อย่ารังแกอีกเลยลูกเคยเข็ด ขอจงเมตตาเถิดประเสริฐศรี” ท่านหมอฟังยิ้มเยื้อนเอื้อนวจี “เจ้าว่าดีสมจริงทุกสิ่งอัน ข้าไม่อยากรังแกเช่นแม่พ่อ ที่เจ้าขอข้าไม่อ่อนตามผ่อนผัน แม้เจ้าขอสิ่งใดข้าให้ปัน ก็เป็นอันข้าทำซ้ำรังแก เจ้าจะตกอวิจีไม่ดีดอก เจ้าจะออกปากพ้ออย่างพ่อแม่ ลูกเศรษฐีตกตะลึงทะลึ่งแล “โอ๊ยผมแย่ ! ถูกล่อลงบ่อตม เมื่อไม่ให้ใคร จะว่าเจ้าข้าเอ๋ย นี่กลับเย้ยยกคำทิ่มตำผม จะไล่ไปก็ไม่ไล่ให้ระทม” ว่าแล้วซมซานกลับด้วยคับใจ หมอขยับจับบ่า “ช้าซีเจ้า, คำที่เล่าบอกข้าน่าเลื่อมใส พ่อแม่รักลูกผิดชะนิดไร เขาก็ได้ทุกข์ถมจนล้มตาย เวลานั้นตัวเจ้ายังเยาว์อยู่ จึงไม่รู้ยั้งตนจนฉิบหาย เดี๋ยวนี้เจ้ารู้สึกสำนึกกาย จงขวนขวายฝึกหัดดัดสันดาน ข้าจักเป็นพ่อแม่ช่วยแก้ให้ ต้องตามใจแต่ข้าจะว่าขาน ถ้ายอมตามข้าว่าไม่ช้านาน จักไม่ต้องขอทานเขาต่อไป” ลงท้ายลูกเศรษฐียินดีรับ ไปอยู่กับซินแสแก้นิสสัย ไม่ว่ามีกิจการสถานใด แกใช้ให้ทำสิ้นจนชินการ แกปราณีจี้ไชด้วยใจรัก จนรู้จักค้าขายหลายสถาน อยู่กับหมอต่อมาไม่ช้านาน ก็พ้นการทุรพลเป็นคนแคลน.

ชาวเราเอ๋ยพ่อแม่มุ่งแต่รัก สู้ฟูมฟักในบุตรนั้นสุดแสน แต่ความรักมักเดิรจนเกินแกน เลยเข้าแดนทุกข์ถมระทมกาย ดังเศรษฐีรักบุตรสุดสวาท “บุตรอุบาทว์มิได้รักสมัครหมาย เอาแต่ใจใฝ่ ตามความสบาย พ่อแม่ตายก็เพราะตรมระทมใจ ยังมิหนำซ้ำว่าด่ากะดูก หาว่าถูกรังแกพ่อแม่ได้ แต่ชาวเราเนาเขตต์ประเทศไทย คงจะไม่พบปะขอประกัน เพราะพระราชบัญญัติอุบัติแล้ว เหมือนดวงแก้วส่องสว่างทางสวรรค์ บังคับให้ศึกษาทั่วหน้ากัน พระคุณธรรมข้อนี้ไม่มีเทียม

ที่สุดนี้ ชาวเราน้อมเกล้าฯ นบ พระจอมภพภูบดินทร์พระปิ่นเสียม พระปลุกใจไทยทั่วตั้งตัวเตรียม ทุกอย่างเยี่ยมยิ่งคุณวิบุล เอย.

วันที่ ๑ มิถุนายน พ.ศ. ๒๔๖๘

----------------------------

 

แชร์ชวนกันอ่าน

แจ้งคำสะกดผิดและข้อผิดพลาด หรือคำแนะนำต่างๆ ได้ ที่นี่ค่ะ