เรื่องอะไรแน่หนอ !

ผีมันหลอกช่างผีตามทีมัน

คนเหมือนกันหลอกกันเองกลัวเกรงนัก

----------------------------

“คุณลุงขอรับ คุณลุงขอรับ” เสียงหลานคนเล็ก วิ่งกระหืดกระหอบเข้ามาหาลุงในเรือน “คุณลุงขอรับ ผีมันหลอกผมขอรับ.”

ลุง (หัวเราะ) “ผีหลอกหรือ มันทำอย่างไรบ้างละ ?”

หลาน (หายใจไม่ใคร่ทั่วท้อง) “ผมเล่นเอาเถิดอยู่ข้างล่าง แล้ววิ่งไปซ่อนอยู่ใต้ต้นมะดันทางหลังเรือนแน่ะขอรับ แล้วมันก็หลอก.”

ลุง “มันหลอกน่ะมันทำอย่างไร ?”

หลาน “เสียงมันตะกายดินแกรก ๆ อยู่ข้างตัวผมแน่ะขอรับ แม้ ! ใกล้ทีเดียวแหละ ผมตกใจก็วิ่งหนีมา.”

ลุง “ฮะ ผีหลอกอะไรมันจะทำท่านั้นเล่า มันน้อยนักนี่ มันหลอกจริงแล้วมันจะหลอกให้น่ากลัวยิ่งกว่านั้นไม่ได้หรือ แหกอกอย่างนี้ ห้อยหัวอย่างนี้ ตามที่เขาว่ากัน ที่จริงที่เขาว่าเรื่องผีๆ น่ะ เขาหลอกให้ทั้งนั้นแหละ ไม่ใช่ผีใช่สางอะไรดอกหลาน อย่ากลัวไปเลย ประเดี๋ยวจะเจ็บไป ผีไม่มีดอก.”

หลาน “ไม่มีอย่างไร เขาว่ามีเล่าขอรับ.”

ลุง “เขาแกล้งว่าเล่นเท่านั้นแหละ หลาน ไม่มีดอก ที่จริงถึงผีจะมีก็ไม่ใช่ธุระของมันที่จะมาแกล้งหลอกมนุษย์เล่น มันจะอยู่ตามพาสีภาษาของมันไม่ดีกว่าหรือ ธรรมดาผีถึงตามที่ว่ามีก็อยู่โลกอื่น ไม่ได้อยู่ในโลกนี้แต่ว่าผีนั้นมีอิทธิอะไรอย่างหนึ่ง ดีกว่าเราที่ว่าเห็นเราได้ เราเห็นผีไม่ได้ และการที่ผีจะทำให้เราเห็นตัวนั้น ก็ดูเหมือนไม่ได้เหมือนกัน นอกจากที่เราจะยอมอนุญาตให้คือเชื้อเชิญมา นี้แหละเรื่องผีดูเหมือนตามลุงได้ยินเปนอย่างนี้อยู่ แต่จะแน่หรือมิแน่ฉันใด ลุงก็ยังไม่ได้ทดลองแลไม่รู้วิธีจะทดลองได้ การที่ผีมาหลอกมนุษย์นั้นได้จริงดังเขาว่า ก็เปนโทษแก่มนุษย์ผู้ถูกหลอก แต่ไม่มีประโยชน์แก่ผีผู้หลอกเลย มิใช่เหมือนเราขึงตาข่ายหลอกจับนกจับเนื้อที่เราเอามามีที่ใช้ได้เมื่อไรเล่า อย่าเชื่อเขาเลยหลาน.”

หลาน “คุณลุงว่าผีไม่มีหรือขอรับ.”

หลาน “อย่างนั้นซี ลุงว่าผีที่หลอกคนนี้ไม่มีดอก ผีอื่นอย่างไรลุงไม่รู้ตัวย จะมีหรือไม่มีไม่แน่ ว่ามีก็พออ้างได้ว่าไม่มีก็พออ้างได้ทั้งสองอย่าง ตามพวกฝรั่งนั้นมีคนอยู่สองว่าพวก ที่เชื่อแลไม่เชื่อเรื่องนี้ คือ (๑) พวกสปิริตชัวริซต์เปนพวกที่เชื่อแท้ แลอาจทดลองได้ต่าง ๆ ตามวิธีของเขา แล (๒) พวกไซแอนติฟิค คือ พวกที่เรียนวิชาไซแอนซ์ (วิทยาศาสตร์) เปนพวกว่าไม่มี แลจะไม่ยอมเชื่อว่ามีเปนอันขาด เพราะว่าถ้าผีมีจริงแล้วตำราไซแอนซ์ที่เขาได้เรียนมาก็ไม่มีประโยชน์ด้วยตรงกันข้ามไป พวกไซแอนซ์ติฟิคนี้ถึงผีจะมาหลอกเขา ให้อย่างที่ว่ามาแหกอกอยู่ข้างหน้าเขาก็อาจอธิบายได้ว่า ทำไมธรรมดามันจึงส่อให้เห็นเปนอย่างนั้นไป แลไม่ใช่ผีเพราะอะไร นี่แหละคำที่เขาอธิบายนั้น เขาคงจะอ้างเอาตำราโน่นวิชานี่ ที่เราจะฟังเข้าใจไม่ได้ทั้งนั้น นอกจากสองพวกนี้ ก็ยังมีพวกกลางอิกพวกหนึ่ง คือจะเชื่อก็ไม่แน่ จะไม่เชื่อก็ไม่แน่ บางคนก็ไม่เชื่อแต่กลัวผี บางคนเข้าหมู่พวกที่ว่าผีมีก็เชื่อว่ามี เข้าหมู่พวกที่ว่าไม่มีผี ก็กลับเห็นว่าไม่มีดังนี้ ลุงทราบอยู่ว่าคนที่เขาแต่งหนังสือเรื่องนี้ เขาก็ไม่เชื่อว่าผีมีเหมือนกัน แต่ว่าถ้าเข้าที่ขับขันเขาก็คงกลัวเสมอ หรืออย่างน้อยไม่กลัวก็คงนึกถึง แต่ถึงอย่างไรก็ดี เขาคุยอยู่เสมอว่า ถึงผีจะหลอกเขา ๆ ก็คงต่อสู้พักหนึ่งเปนแท้ แลเขาอ้างว่าเขาได้ปรากฏใจกล้าต่อสู้ดังนั้นครั้งหนึ่งแล้ว คือวันหนึ่งเขาเดินไปคนเดียวทางเงียบ ๆ ทางหนึ่ง ด้วยผิดสัญญา อย่างใดอย่างหนึ่งกับบ่าวของเขา ครั้นไปถึงใต้ต้นไม้ต้นหนึ่งที่เขาเคยได้ยินอยู่ว่าเปนที่ผีดุนั้น ก็ผะเอิญมีเสียงแกรกกรากประหลาดอยู่ในเงาต้นไม้เขานึกว่าผีหลอกแน่แล้ว แต่ใจยังดีอยู่ตั้งหน้าจะต่อสู้ คือจับไม้เท้าที่เขาถืออยู่คอยที หมายว่าเอะอะแล้วเปนหวดเต็มแรงทีเดียว ผะเอิญได้จริง พอมีของขาวปราดออกมาจากเงาต้นไม้ เขาก็หวดเต็มกำลังที่จะหวดได้ เปนคราวตกใจหรืออย่างไร จึงผะเอิญให้เขาหวดผิดไป ถ้าหาไม่ก็ที่ไหน อ้ายแมวเจ้ากรรมที่แอบเข้าไปอยู่ใต้ต้นไม้เวลาขับขันดังนั้น ก็กลายเปนผีไปกับที่นั่นเอง จะเลยเปนมีผีใต้ต้นไม้นั้นจริงดังกล่าว นี่แหละหลานตามที่ลุงเคยได้ฟังมามันเปนอย่างนี้ ไม่ใช่แต่เท่านั้นยังมีเรื่องอิกถมไป แต่ลุงไม่เล่าให้เจ้าฟังในเวลานี้หละ เอาไว้เวลาอื่นเจ้าอยากฟังจึงจะเล่าครั้งหลัง ลุงเคยอ่านในหนังสือมามาก แลบางทีได้ยินเรื่องผีที่ประหลาดน่าจะเปนจริง ลุงนำไปเล่าให้พวกไซแอนติฟิคฟัง เขาก็กลับอธิบายว่าไม่มีให้ลุงเห็นไปได้ก็มี.

หลาน “เมื่อกี้คุณลุงว่าอะไร ฟิคๆ ริตๆ ผมไม่เข้าใจนี่ขอรับ จำก็ไม่ได้.”

ลุง “ช่างเถอะหลาน จำนี่ไม่ได้ก็ไปฟังเอาอื่น แลจำที่จำได้ก็แล้วกัน ที่ลุงเล่ามานี้ไม่ได้สำหรับเจ้าฟังคนเดียวนี่ สำหรับคนอื่นฟังด้วยออกเปนกองสองกอง เจ้าจำที่ลุงเล่ายืดยาวไม่ได้ก็จำไว้ว่าลุงว่าผีไม่มีก็แล้วกัน.”

หลาน “คุณลุงว่าผีไม่มีแน่หรือขอรับ”

ลุง “เออน่า ลุงว่าไม่มีดอก มีลุงมิเคยเห็นบ้างหรือ นี่อายุลุงก็มากแล้ว เที่ยวมาก็นัก มีแต่ได้ยินเขาเล่า ไม่มีปรากฏเองเลย.”

หลาน “พุโท่ คุณลุง ผีมีหนาขอรับ อ้ายที่หลอกผมเมื่อตะกี้นี้ไม่ใช่ผีจะอะไรเล่า มีแน่ละขอรับ คุณลุงเชื่อผมเถอะ.”

ลุง “เจ้านะไม่เชื่อลุง ทำไมจะให้ลุงกลับไปเชื่อเจ้า.”

พอหลานคนใหญ่โผล่เข้าประตูมา ได้ยินเสียงพูดถึงผีหลอก ๆ พลอยตกใจด้วย ถามว่า “ผีหลอกใคร.”

หลานเล็ก “หลอกฉันเองแหละ”

หลานใหญ่ “ที่ไหนนะ.”

หลานเล็ก “ใต้ต้นมะดันนั่นแน่”

หลานใหญ่ “มะดันต้นไหน ต้นหน้าบ้านหรือต้นหลังเรือน.”

หลานเล็ก “ต้นหลังเรือน”

หลานใหญ่ “มันทำอย่างไร ?”

หลานเล็ก “มันมาตะกายดินแกรก ๆ อยู่ข้าง ๆ ตัวฉัน ๆ ก็วิ่งหนีขึ้นเรือนมา.”

หลานใหญ่ (ขนลุก) “นั่นน่ะซี เขาว่าผีที่หลังเรือนใต้ต้นมะดันดุก็ไม่เชื่อไหมล่ะ เล่นเอาเถิดแลขืนไปทางนั้นร่ำไป ว่าอย่าไปซ่อนใต้ต้นมะดันก็ไม่เชื่อ เขาว่ามันมาห้อยหัวอยู่ทุกคืน ใครเดินไปและคงพบเสมอ อ้ายข้อมันว่ามันเดินไปทางนั้นเมือคืนวานซืน ผีมันยื่นมือยาวมาจับบ่ามัน ๆ ว่าเย็นเหมือนน้ำแข็งเหมือนกัน.”

ลุง “อ๋า ! ไม่ได้การหละ ผีสางที่ไหนไปเชื่ออ้ายข้อก็ได้ด้วย มันปล้อนหยอกไปเมื่อไร มันหลอกให้ก็ไม่รู้สึก ช่างเอามาเล่าได้ ผีมันมีธุระอะไรที่จะมาจับบ่าคนเล่นดังนั้น.”

หลานใหญ่ “มันมีธุระจะหลอกน่ะซีขอรับ ไม่ใช่แต่อ้ายข้อดอกที่ถูกผีใต้ต้นมะดันหลอก อ้ายเขียนมันก็ว่ามันถูกเหมือนกัน เมื่อสักสองสามวันมานี้เองแหละ มันว่ามันเดินไปทางนั้นไปเจอผีห้อยหัวอยู่ ตัวขาวโพลนทีเดียว มันว่ามันไม่กลัวเดินเข้าไปดู พอเข้าไปใกล้อ้ายผีตัวนั้นมันยื่นมือไปจับแขนอ้ายเขียนเสือกไปเสือกมา แล้วผลักส่งจนอ้ายเขียนกระเด็นมาโดนเสาเรือนทางนี้ มันว่ามันเลยเข็ดไม่ไปทางนั้นเวลากลางคืนอิกเลย.”

ลุง “เอ๊ะ ! นี่ช่างเหลวใหลเลอะเทอะไม่ได้เรื่องเสียใหญ่แล้ว แต่อำนาจความกลัวผีเท่านั้น ก็ทำเอาโง่ไปได้ถึงเพียงนี้ อะไรช่างโง่เสียจริง ๆ เจียวหนา ไปเที่ยวเชื่ออ้ายข้ออ้ายเขียนออกกลุ้มไปดังนี้ ลุงว่าให้ฟังก็ไม่เชื่อ อ้ายเด็กสถุนอย่างอ้ายข้ออ้ายเขียนอย่างนั้นมันจะรู้จักอะไร นอกจากการปลิ้นปล้อนสรรพซุกซนของมัน นี่ก็ไม่มีนอกจากมันเห็นเจ้ากลัวผีมันก็ลุมกันหลอกให้เท่านั้น อย่าไปเชื่อมันหลาน เชื่อลุงดีกว่า.”

หลานเล็ก “ก็อ้ายพวกนั้นมันเคยเห็น คุณลุงไม่เคยเห็นนี่ขอรับ.”

ลุง “ที่ไหน อ้ายเรื่องเห็นนะหรือหลาน ลุงเห็นยิ่งกว่าใคร ๆ เคยเห็นเสียอิก ขนพองสยองเกล้าทีเดียวหละ.”

หลานเล็ก “ก็เห็นออกอย่างนั้นแล้วคุณลุงยังไม่เชื่ออิก.”

ลุง “ไม่เชื่อดอกหลาน เห็นแล้วก็ยังไม่เชื่อ.”

หลานเล็ก “ทำไมถึงไม่เชื่อเล่าขอรับ.”

ลุง “ก็มาตรองดูไม่เห็นจริงนะซีหลานถึงได้ไม่เชื่อ ถ้าเห็นจริงแล้ว ใครจะกล้าแกล้งทำไม่เชื่อได้.”

หลานใหญ่ “คุณลุงเห็นอย่างไรขอรับ คุณลุงยังไม่ได้เล่าให้ผมฟังเลยนี่ เห็นจะน่ากลัวพิลึกกึกกือทีเดียว คุณลุงถึงว่าอย่างนั้น.”

ลุง “น่ากลัวสิหลาน ลุงน่ะขนลุกซ่าไปทั้งตัวทีเดียวในเวลานั้นพูดไม่ใคร่ออก แต่นั่นแหละ ก็เปนไปชั่วคราวหนึ่งเท่านั้น มาทีหลัง ๆ ก็รู้สึกเปนอื่นไป แลดูเหมือนท่าจะพบอย่างที่พบคราวนั้นอิกก็คงจะไม่กลัวเปนแน่.”

หลานใหญ่ “คุณลุงโปรดเล่าให้ผมฟังบ้างซีขอรับ.”

ถึง “ได้สิหลาน เจ้าอยากจะฟังก็จะเล่าให้ฟัง แต่ก่อนลุงไม่ได้เล่าด้วยเห็นเจ้าเปนคนขี้ขลาดนัก เล่าให้ฟังประเดี๋ยวก็จะเกิดกลัวใหญ่ เอาเถอะคราวนี้จะเล่าให้ฟัง แต่ว่าฟังแล้วอย่าไปทำใจวุ่นวายถึงนอนไม่หลับนะคืนวันนี้ หน่อยจะเกิดกลัวจนราวกับจับไข้ ต้องเอาสายสิญจน์วงรอบมุ้งเหมือนคราวก่อนอิกจะเกิดลำบากขึ้น.”

หลานเล็ก “รอบมุ้งใครนะคุณลุงขอรับ.”

ลุง “รอบมุ้งเจ้าคนกล้าพี่ชายของเจ้านี่น่ะซี คราวก่อนไปฟังเรื่องอีนากพระโขนงที่ไหนมาไม่รู้ กลับมากลางคืนมานอนไม่หลับ ร้อนออกจะดับจิตต์ไปก็ห่มผ้าคลุมหัวได้ เหื่อหรือก็ออกซิก ๆ โซมไปทั้งตัว กระสับกระส่ายไม่หยุด จนที่สุดต้องทำพิธีเอาสายสิญจน์มาวงรอบมุ้ง จึงได้นอนหลับ คราวนี้มาขอให้เล่าอิกแล้วไปกลัวไม่รู้ด้วยหนา คราวนี้สายสิญจน์สายแสนไม่มีจะวงรอบมุ้งเหมือนคราวก่อนอิกหละ ขี้เกียจจะไปเที่ยววิ่งหา.”

หลานใหญ่ “เดี๋ยวนี้ผมไม่กลัวดอกขอรับ พุโท่ คุณลุงช่างดูถูกผมเสียจริง ๆ แต่ก่อนผมยังเด็กอยู่มันก็เปนอย่างนั้นบ้าง คราวนี้ไม่เปนไร เล่าอย่างไรก็ไม่กลัว.”

ลุง “เอาเถอะจะเล่าให้ฟัง ไม่กลัวน่ะดีแล้ว แต่ว่าอย่าเลื่อนเข้าไปนั่งกลางวงก็แล้วกัน.”

“เรื่องที่ลุงจะเล่าให้ฟังนี้ เปนเรื่องดีฟังแล้วเจ้าต้องจำไว้ ๆ แล้วต้องตรึกตองดูเอง ลุงจะไม่อธิบายให้ว่า ต่อเรื่องนี้ไปแล้วมันเปนอย่างไร แลมูลของเรื่องนั้นมันเกิดมาจากไหน เพราะลุงเองก็เปนแต่เพียงเข้าใจเท่านั้น หามีพยานพอว่าเปนแน่ตามความเข้าใจของลุงไม่ เพราะฉนั้นถึงลุงจะอธิบายว่า เรื่องนั้นมันเปนอย่างไรก็จะต้องว่าคงอย่างนั้นคงอย่างนี้เท่านั้น จะไม่อาจว่า ๆ มันเปนอย่างนั้นมันเปนอย่างนี้ได้ ถ้าลุงจะไม่อธิบายให้เจ้าคิดเอาเอง ก็คงจะเห็นได้เหมือนกัน หรือถ้าไม่เห็นได้ในเวลานี้ไปภายน่าเจ้าโตใหญ่ขึ้นก็จะต้องเข้าใจตลอด ถ้าเจ้าจำเรื่องไว้ได้แลเมื่อถึงเวลานั้นเจ้าจะเข้าใจได้ว่า การที่ลุงไม่อธิบายให้เจ้าฟังว่าเหตุของเรื่องที่เกิดเปนอย่างไรนั้นดีกว่าอธิบายอย่างไร.”

“เรื่องนี้เกิดขึ้นเมื่อประมาณสัก ๓๐ ปีเศษมาแล้ว เวลานั้นอายุลุงได้ ๒๐ ปี กำลังหนุ่มคนองทีเดียว ลุงเมื่อเวลาหนุ่มนั้นกับเวลานี้ดูเหมือนจะมีนิสัยไม่ใคร่แปลกกันนัก กล่าวคือไม่มีความเชื่อ แลมีความกล้าหาญในเรื่องผี แลเรื่องของที่ผิดธรรมดาเช่นนี้เปนต้น เปนธรรมดาเมื่อหนุ่มกับเวลานี้ใจคอย่อมผิดกัน เปนต้นว่าในเวลานั้นมักจะฉุนเฉียวไม่ใคร่จะมีสติตริตรองอะไรในเหตุการณ์ทั้งปวง ที่จะพึงเกิดขึ้นสำหรับความเสียหายของคนหนุ่ม ซึ่งมักจะเปนไปโดยความไม่คิดให้ตลอดนั้น ยังอิกอย่างหนึ่ง คือความทะเยอทะยานของลุงในเวลาเมื่อมีอายุน้อยอ่อนอยู่แก่ความดังนี้ ก็ย่อมจะมีมากเหมือนคนหนุ่มทั้งปวงอันหาความกดขี่มิได้ ไม่ว่าในเวลานั้นหรือในเวลานี้หรือเวลาใด ๆ ครั้นเมื่อมีอายุล่วงเข้ามาดังนี้แล้วความฉุนเฉียวก็น้อยเข้า สติแลความตรึกตรองก็ค่อยมีมากเข้า ความทะเยอทะยานก็หมดไป ถึงตัวเจ้าเองในเวลานี้อายุกำลัง ๑๓–๑๔ ปี ก็เปนเวลาที่กำลังเดินไปสู่ความหมกมุ่นในสันดาน อันมีความสามารถพอที่จะกระทำให้มนุษย์ ผู้ไม่รู้สึกกลับตัวได้ ถึงซึ่งความเสียหายหรือความชั่วร้ายโดยเร็วพลัน เหมือนหนึ่งม้าตื่นจะพาคนขี่โจนออกจากทางไปฉนั้น แต่คำที่ลุงว่านี้จะได้หมายว่าเจ้าจะต้องจำเปน ๆ ดังนั้น ๆ หามิได้ ลุงบ่งแต่ว่าเจ้ายังอยู่ในทางที่ยังจะพบของสิ่งนั้น ๆ อยู่ ถ้าเจ้าหลบเลี่ยงได้เอง หรือมีผู้ชักนำให้หลบเลี่ยงได้แล้วก็เปนอันไม่มีอันตรายเปนธรรมดา.

“ในเวลานั้นลุงกำลังอยู่ในวัยชั้นต้น ประกอบด้วยความสุขสำราญทั้งปวงที่จะพึงหาได้ ด้วยไม่ ต้องมีธุระทำวนการงานต่าง ๆ แต่สักอย่างหนึ่งอย่างใดเลย ของวิเศษที่ชอบใจลุงมากกว่าสิ่งอื่น ๆ ในเวลานั้นก็คือการปาณาติบาต คือยิงนกยิงเนื้อเหล่านี้เปนต้น เรื่องปืนแล้วลุงมีความแม่นใจเหมือนกับที่เขาว่าหลับตายิงทีเดียว แต่ไม่ถึงดังนั้น เพราะลุงไม่เคยหลับตาเสียก่อนจึงยิงสักครั้งหนึ่ง เปนแต่ว่าหมายอะไรถ้ากำลังปืนไปถึงแล้วก็คงจะได้ทั้งนั้น ตื่นขึ้นเช้าก็กับเพื่อนบ้างบ่าวบ้าง ฉวยปืนออกไปเที่ยวยิงนกเสียตูมหนึ่งสองตูม เช่นเดียวกับเขากินกาแฟเวลาเช้า แลเวลาบ่าย ๆ ก็ออกเที่ยวยิงเช่นเดียวเหมือนกับเขากินของว่างเรานี่เอง.”

วันหนึ่งลุงกับเพื่อนอิกคนหนึ่งไปยิงนกด้วยกันเวลาบ่าย มีกระเป๋าย่ามแลเครื่องอะไร ๆ คาดแลตะพายไปเองพร้อม หาได้มีบ่าวไปด้วยไม่ ด้วยบ่าวของลุงแต่ละคน ๆ ดูเหมือนเขาจะไม่เหมือนใจนาย คือไม่มีใครชอบการไปเที่ยวบุกรกบุกพง เพื่อจะต้องการนกสองตัวสามตัวเหมือนใจลุงเลย เพราะฉนั้น เมื่อมีเพื่อนไปด้วยกันสักคนหนึ่งสองคนแล้ว ลุงก็ไม่ต้องการไปกดขี่ข่มเหงน้ำใจเขาให้มาไปกับลุง ในทางที่เขามิได้รู้สึกสนุกด้วยนั้น.

“วันนี้หาได้ไปเที่ยวยิงตามทางที่เคยไปอยู่บ้างแล้วไม่ ด้วยเพื่อนที่ไปด้วยกันกับตัวลุงเองก็ออกรสเท่า ๆ กัน เที่ยวเรื่อยออกไปไกลเท่าใด ก็หามีใครจะเตือนใครว่า ‘ไกลมากแล้วหนา ขากลับค่ำตามทางจะลำบาก’ ไม่ วันนั้นเปนวันแรกที่ได้ทราบข่าวว่านกทางวัดบ้านมะม่วงชุมนัก วัดบ้านมะม่วงเราก็ทราบอยู่แต่ว่าไกลเท่านั้น หาทราบว่าจะไกลประมาณเท่าใดไม่ แต่เราก็ตั้งหน้าจะไปให้ถึงวัดนั้นให้ได้ พบปะนกตามทางก็ลั่นนกปืนเรื่อยไป.

“ประมาณบ่าย ๕ โมงเศษ จึงไปถึงวัดบ้านมะม่วงนั้น แม้! เจ้าประคุณ! เหมือนเขาว่า นกช่างชุมเสียจริงๆ! แต่ก็เหมือนกันชุมหรือไม่ชุมก็เปล่าทั้งนั้นด้วยพอเราไปถึง เที่ยวเดินตรวจดูยังไม่ทันได้ยิงสักตูมเดียว ก็พอท้องฟ้าเขียวมืดฝนพายุพัดใหญ่มา เพื่อนกับลุงก็ระเห็จออกรีบเดินกลับบ้านได้สักสองสามก้าว ก็พอฝนตกซู่ใหญ่ลงมา.”

จะทำอย่างไร? ร่มก็ไม่มีไป อะไรก็ไม่มีไป นอกจากปืนกระสุนปืน แลเครื่องยิงนกทั้งปวง ตกลงเปนต้องวิ่งหนีเข้าไปอยู่ในศาลาทางป่าช้าวัดนั้นเอง.

“เมื่อเล่ามาถึงตรงนี้ เจ้าคงจะนึกว่า นี่คงติดฝนอยู่ที่ศาลาในป่าช้านั้นจนค่ำ แล้วก็ถูกผีในป่าช้าหลอกอย่างนั้น หลอกอย่างนี้ ตามแต่จะน่ากลัวอย่างไร ด้วยท่าเรื่องดูเหมือนจะเปนดังนั้น แต่ที่จริงไม่ยักใช่ ด้วยเรื่องไปอย่างอื่น ดังลุงจะเล่าต่อไปนี้.

“ที่วัดนั้นเปนที่เงียบ ด้วยแต่ลุงไปถึงจนฝนตกมิได้เจอคนเลยก็จริง แต่ดูเหมือนจะเปนทางคนเดินอยู่บ้าง แลดูจะมีคนมาลอบยิงนกยิงไก่อยู่เสมอไม่มากก็น้อย ด้วยเปนที่สำหรับการนั้นดียิ่งนัก คำที่ลุงว่า ‘ลอบ’ นั้นเพราะว่าใครจะไปทำเที่ยวยิงซุ่มซ่ามไปไม่ได้ ด้วยท่านสมภารแลพระในวัดนั้น ถึงจะมีพระน้อยรูปก็จริง แต่ข้อนข้างร้ายอยู่สักหน่อย ใครไปยิงนกยิงไก่ในวัด หรือไปทำการเกะกะอย่างอื่นที่ไม่ถูกอารมณ์ท่านเข้าแล้ว ถ้าควรจะถูกกระสุนก็ถูกกระสุน ถ้าควรจะถูกพลองก็ถูกพลองทีเดียว เพราะฉนั้น คนที่ไปยิงที่นั้นจะต้อง ‘ลอบ’ คือไปยิงเสียตามป่าช้าแลสวนนอกวัด หรือยิงในวัดแล้วรีบหนีออกเสียดังนี้ทั้งสิ้น ลุงไปวันนั้นก็รู้จักวิธีแลเรียนภูมิศาสตร์ของวัดนั้น คือตรวจทางหนีทีไล่ตลอดแล้วเหมือนกัน.

“ศาลาที่เพื่อนลุงกับลุงเข้าไปอาศรัยอยู่นั้น เปนศาลาน้อยไม่มีฝามีเฝือง เปิดโถงทั้งสี่ด้าน ตั้งอยู่ในป่าช้า แต่มีทางเดินตัดหน้าศาลาไปออกสุดป่าช้า ทางสองข้างต่อกับถนนใหญ่ ศาลานี้ถึงเล็กก็มีประโยชน์มาก ด้วยว่าเปนที่มีหลังคาที่เดียวในทางนั้น เมื่อถึงเวลาฝนตกดังนั้นใคร ๆ ตามทางก็ต้องวิ่งมาหาทั้งสิ้น.

“เพราะฉนั้น ที่มาพักฝนอยู่ในศาลาวันนั้น จึงไม่ใช่แค่เพื่อนกับลุงสองคนเท่านั้น ยังมีคนอื่น ๆ คือพวกเที่ยวยิงนกเหมือนกันกับลุง แลพวกเดินทางเปนต้นอิกประมาณ ๗ คน ๘ คนด้วยกัน.

“เปนธรรมดาเมื่อเข้าไปอยู่ในที่จนด้วยกันดังนี้แล้ว ถึงคนเหล่านั้นกับเรา แลพวกที่ไม่เคยรู้จักกันในพวกเหล่านั้นเอง จะไม่เคยพูดจาคุ้นเคยกันมาเลยก็ดี ก็อาจรู้จักกันขึ้นได้ พอเราพูดถึงเรื่องยิงนกขึ้น พวกเที่ยวยิงนกด้วยกันก็คงแอบเข้ามาพูดด้วย คนอื่นที่เปนคนเดินทางแลอื่นๆ เห็นเขาพูดเรื่องยิงนกกันมาก ก็สอดเข้ามาพูดเรื่องนกที่นั่นชุมนกนั่นกินดีอะไรดังนี้เปนต้น เลยต่างคนต่างเสนอรายงานของวันนั้น ตั้งแต่เวลาที่ตัวออกจากบ้านมา สุดแต่ใครมีอะไรประหลาดหรือสนุกก็คงขยายออกมาทั้งนั้น.

“ในพวก ๙–๑๐ คนทั้งตัวลุงที่มาอาศรัยพักฝนอยู่ในศาลาวัดนี้ มีตาคนหนึ่งชอบกลกว่าเพื่อน ข้อนข้างเปนผู้ใหญ่ เห็นจะมีอายุราว ๕๕–๖๐ ปี ดูรูปร่างขึงขังล่ำสัน มีหนวดเครารุงรัง ตะพายย่ามใหญ่ คอคล้องลูกประคำ มีดาบเหน็บพุงเล่มหนึ่ง มือถือหวายลงตัวอักษรข้างมือถือแลข้างปลายด้วย ดูรูปร่างเสื้อผ้าชอบกล ไม่มีอิกใน ๙–๑๐ คนนั้น ที่จะสำแดงท่าทางกิริยาอาการคล้ายคลึงกับตาคนนั้นเลย.

“ตัวลุงเองน่ะเอาใจใส่ ดูอีตาคนนี้มาแต่แรกโผล่เข้ามาแล้ว แกพูดอะไรลุงก็คอยฟังแก ๆ ทำอะไรก็ดูแก ด้วยเห็นเปนประหลาดไปเสียทุกอย่าง แต่คนอื่น ๆ นั้นเขาจะเอาใจใส่คอยดูคอยฟังตาคนนี้หรือไม่นั้นลุงหาได้สังเกตไม่ เห็นแต่เขาข้างรังเกียจแกไม่น้อยก็มากทั้งนั้น จะเปนด้วยรูปร่างท่าทางแกประหลาด ที่ลุงคิดว่าคงคล้ายหมอผีนี่เองนั่นหรืออย่างไร.

“ฝนวันนี้มันช่างเอาจริง อีตานั่นพูดขึ้นลอย ๆ หันหน้าไปทางป่าช้า ดูเหมือนจะไม่ตั้งใจพูดกับใคร.

‘นั่นซีตา’ เพื่อนที่ไปกับลุงตอบ ด้วยเขาเห็นว่าการที่เข้าไปติดอยู่ด้วยกันในที่เช่นนั้น ๆ ควรจะทำให้พวกคนอื่น ๆ เหล่านั้นกับเราเปนเพื่อนกันได้ทั้งนั้น ‘นี่ถ้าตกอยู่อย่างนี้จนค่ำจะทำอย่างไรกัน แต่เดือนหงายดอกเห็นจะค่อยยังชั่ว.’

“อีตาคนนั้นนั่งทำเฉยหูทวนลมเหมือนไม่ได้ยินที่เพื่อนของลุงพูดบ่นกับแกดังนั้น.

‘จริงๆ นะ ถ้าตกไปจนค่ำแหละจะลำบากทีเดียว’ เพื่อนของลุงกลับพูดขึ้นอิก.

‘จะค่อยรอดตัวก็ที่เดือนหงาย’ อิกคนหนึ่งพูดขึ้น ‘เขาว่าที่ศาลานี้กับตามทางที่จะออกไปถนนใหญ่นี้ผีดุไม่หยอก.’

“คนอื่นๆก็หัวเราะขึ้น ด้วยพวกนั้นคงจะไม่เปนคนกลัวผีทั้งนั้น คนที่พูดขึ้นก็หัวเราะด้วยเหมือนกัน.

“เอ๊ะ ใคร ๆ ก็เห็นเปนแต่เขาพูดเล่น ที่มีคนพูดถึงผีขึ้นเช่นนั้น แต่ตาคนนั้นดูเหมือนจะไม่เห็นดังนั้น ด้วยแกเหลียวมาจ้องดูคนที่พูดนั้นแล้ว ทำตาคว่ำหันหน้ากลับไป.

“พวกเราต่างคนต่างเห็นประหลาดที่ตาคนนั้นทำท่าชอบกลดังนั้น แต่ก็ไม่มีใครพูดกระตกกระตากอะไร ต่างคนก็ต่างพูดเรื่องฝนบ้าง เรื่องอะไรบ้างต่อไป.

“เอ๊ะ นี่จะยังไม่หยุดเอาจริงๆ หรืออย่างไร ตาคนนั้นกลับพูดขึ้นลอย ๆ อิก ‘อ้ายนายผีในป่าช้านี้ไม่ทำให้ฝนหยุด เดี๋ยวนี้แหละกูจะเอาตัวไปขังเสียสักสองสามเดือน.’

“นี่แหละ แกพูดดังนี้นะใครจะไม่เห็นขันบ้าง พวกที่อยู่ที่นั่นด้วยกันต่างก็เห็นขัน บางคนก็ยิ้ม บางคนพยักหน้าให้เพื่อนกันฟัง บางคนก็หัวเราะดังๆ บางคนก็เอาผ้าปิดปากเปนอันเห็นขันที่ตาคนนั้นพูดชอบกลขึ้นดังนี้ทุกคน.

“ในพวกที่อยู่ด้วยกันในที่นั้น มีชายหนุ่มอิกคนหนึ่งรูปร่างแข็งแรงสะสวย ดูท่าทางองอาจ แต่งตัวนุ่งผ้าพื้นใส่เสื้อเก่า ๆ นั่งอยู่ห่างกับตาคนประหลาดนั้น ชายหนุ่มคนนี้เห็นขันมากกว่าคนอื่นที่มีคนพูดขึ้นดังนี้ ก็เปนธรรมดาต้องหัวเราะมากกว่าคน พวกเราขยิบตาห้ามก็ไม่ฟัง จนอีตาคนนั้นพื้นเสียหันหน้ามาทำหน้าบึ้งถลึงตาใส่ชายหนุ่มคนนั้นประหนึ่งจะกินเนื้อเสีย.

‘เจ้าหัวเราะเยาะข้าหรือหา’ ตาคนนั้นถาม เสียงสั่นด้วยความโกรธ.

‘ข้าจะไปหัวเราะเยาะแกธุระอะไร’ ชายหนุ่มตอบ.

‘ก็เจ้าหัวเราะเยาะใครล่ะ’ ตาคนนั้นกลับถาม.

ชายหนุ่มตอบ ‘ข้าไม่ได้หัวเราะเยาะใคร.’

ตาคนนั้น ‘ก็เจ้าหัวเราะทำไมล่ะ.’

ชายหนุ่ม ‘บ๊ะ ก็นี่แกเสือกมาไล่เลียงข้าธุระอะไรล่ะ.’

ตาคนนั้น ‘อย่างนั้น เจ้าก็หัวเราะเยาะข้าน่ะซี.’

ชายหนุ่ม ‘ข้าไม่ได้หัวเราะเยาะใคร ข้ามีปากข้าก็หัวเราะเล่นของข้า ใครจะมาเปนนายข้า ธุระอะไรของแกละที่มาซักข้า.’

ตาคนนั้น ‘ฉา เจ้าเด็กหนุ่มคนนี้สำบัดสำนวนด้วย ข้าก็ไม่ใช่นายของเจ้าดอก นายละก็ที่ไหนเจ้าไม่ต้องพูดมากดังนี้ดอก.’

ชายหนุ่ม ‘เอ้า ต่างว่าแกเปนายข้า เอ้า จะทำอะไรก็ทำซี.’

ตาคนนั้น ‘ข้าจะไปทำอะไรเจ้า ข้าอยากแต่จะให้เจ้าบอกมาว่า เจ้ามีกรรมสิทธิ์อะไร ที่มาหัวเราะเวลาข้าพูดดังนั้น.’

ชายหนุ่ม ‘แกพูดขันข้าก็หัวเราะหละ แกจะทำไมข้าเล่า แกว่าข้าไม่มีกรรมสิทธิ์ที่จะหัวเราะเวลาแกพูด ก็นี่แกมีกรรมสิทธิ์อะไรเล่าที่มาซักถามข้า ดังหนึ่งลูกความของแกดังนี้ หรือแกถือดีอย่างไรก็ว่าออกมาซี.”

ตาคนนั้น ‘บ๋า เจ้านี่ไม่รู้จักภาษา ปากยังไม่สิ้นกลิ่นน้ำนมก็มากล้าหัวเราะเยาะผู้ใหญ่ได้.’

ชายหนุ่ม ‘ก็ผู้ใหญ่บ้า เด็กก็หัวเราะเยาะแหละจะว่ากระไรเล่า.’

ตาคนนั้น ‘เอ๊ะ เจ้าหนุ่มนี่ไม่รู้จักอะไร แล้วก็ยังท้าทายผู้ใหญ่ด้วย นี่แน่ะ ข้าจะว่าให้ฟัง อะไรที่เจ้าไม่รู้นะ จะเอามาพูดขัดกับผู้รู้น่ะเห็นจะไม่ได้การดอกเจ้า เจ้ายังหนุ่มนัก จะมีอะไรเปนทุนที่จะมาเที่ยวหัวเราะเยาะขัดคอเขาดังนี้.’

ชายหนุ่ม ‘ทำไมแกจะให้ข้าเชื่อเรื่องผีเมื่อตะกี้ที่แกว่านั่นหรือ เมินเสียเถอะแก ออกชื่อว่าผีแล้วทำอย่างไร ๆ ข้าก็ไม่เชื่อ.’

ตาคนนั้น ‘ที่เจ้าว่าเจ้าไม่เชื่อเรื่องผีน่ะ แน่ละหรือ.’

ชายหนุ่ม ‘ข้าไม่เชื่อแน่ซี กะของหลอกกันเล่นเปล่า ๆ จะเชื่อทำไม.’

ตาคนนั้น ‘เด็กคนนี้ไม่ใช่โง่อย่างเดียว แถมหยิ่งด้วย นี่แน่ะเจ้า ที่เจ้าว่าเจ้าไม่เชื่อนะ ถ้าข้าทำให้เห็นจริงได้ เจ้าจะว่ากระไร.’

ชายหนุ่ม ‘ว่ากระไร ข้าก็ยอมแพ้แก แลเชื่อว่าผีมีจริงนะซี.’

ตาคนนั้น ‘ถ้าอย่างนั้นข้าจะทำให้เจ้าดูธุระอะไร มีประโยชน์แต่กับเจ้าอย่างเดียว ข้าเหนื่อยเปล่าหาได้อะไรด้วยไม่ เจ้าอวดดีแล้วมาพนันกันซีน่าถึงจะดี ข้าจะเรียกเพื่อนหรือพี่น้องของเจ้าที่ตายไปแล้วมาให้เจ้าเห็น เอาไหมล่ะ.’

ชายหนุ่ม ‘เอาซี.’

ตาคนนั้น ‘เอ้า อย่างนั้นพนันกันสามตำลึง พูดพลางล้วงย่ามหยิบถุงเงินโยนลงกลางกระดาน ‘เอ้า ถ้าเรียกมาได้แล้วเจ้าต้องให้เงินข้าสามตำลึง ถ้าเรียกไม่ได้เจ้าเอาเงินในถุงนี้ไป ไม่ต้องพูดมากกัน’

ชายหนุ่ม ‘ข้าไม่มีเงินสามตำลึงมาด้วยนี่ มีอยู่กึ่งตำลึงเท่านั้น ถ้าแกจะพนันเพียงกึ่งตำลึงก็เอาซี.”

ตาคนนั้น ‘กึ่งตำลึงข้าจะไปพนันกับเจ้าธุระอะไรเสียเที่ยวที่จะเรียกผีมา.’

ชายหนุ่ม ‘ข้าไม่มีเงินสามตำลึงมาด้วยนี่ แกจะให้ข้าทำอย่างไรเล่า.’

ตาคนนั้น ‘ทำอย่างไร ก็ไม่พนันกัน ข้าก็ไม่ต้องเรียกผีมาให้เจ้าเห็นนะซี เจ้าจะเชื่อหรือมิเชื่อก็ช่างเจ้าเปนไร..’

ชายหนุ่ม ‘ก็ข้าไม่มีมาจะทำอย่างไรได้ อยากเห็นของจริงหรือจับคำเท็จของแก จะไปเสียดายอะไรกับเงินเท่านี้ ไม่อย่างนั้นก็เอาใหม่ ถ้าแกชนะแล้ว แกตามไปเอาเงินที่บ้านข้า เอาไหมล่ะ ถ้าอย่างนั้นก็เปนได้กัน เท่าไร ๆ ก็เอา ข้าไม่เสียดายดอก แล้วข้าไม่กลัวจะแพ้ด้วย อย่างไรเอาหรือไม่เอา บ้านข้าอยู่ต่อวัดนี้ไปนิดเดียวเดินไม่กี่อึดใจก็ถึง.’

ตาคนนั้น ‘เอ๊ะ ที่ไหนได้ ข้าจะต้องทำให้เจ้าดูแล้วยังจะต้องไปบ้านเจ้าอิก ก็เปนการใหญ่นักน่ะซี เจ้าเปนคนต้องง้อข้า ให้ข้าทำให้ดูสิถึงจะถูก นี่ข้าจะต้องทำงานสำหรับความรู้เจ้าแล้ว จะต้องง้อเจ้าตามไปบ้านเจ้าอิกนั้น ดูอย่างไรอยู่ ข้าไม่ได้เปนคนอ้อนวอนให้เจ้าพนัน เจ้าจะพนันหรือไม่พนันก็ตามใจ.’

ชายหนุ่ม ‘ถ้าอย่างนั้นก็ไม่มีอื่นนอกจากไม่ได้พนันกัน เปนคราวเคราะห์ของข้าไม่ดีที่จะไม่ได้เห็นของจริงของแกเท่านั้นเอง ข้าไม่มีเงินมาจะทำอย่างไรได้ พรุ่งนี้มาพบกันที่นี่ใหม่พนันกันเอาไหมล่ะแก.’

ตาคนนั้น ‘ข้าไม่มาหรอก ไม่มีก็ไม่พนันกันเปนอะไรไป.’

ชายหนุ่ม ‘อ๋า ตาคนนี้ไม่ได้เรื่อง นี่ข้าไม่เห็นมีอื่นนอกจากแกไม่มีอะไรจริงจะขยาย แกก็แกล้งว่าท้าไปดังนั้น แกคะเนได้เท่านั้นเอง ว่าข้าไม่มีเงินสามตำลึงมาด้วย แกถึงกล้าท้าได้ ถ้าข้ามีจริงแกก็หากล้าจะท้าไม่ ปานนี้จะจ๋องไปนานแล้ว ไม่อาจเล่นตัวอย่างนี้ได้.’

ตาคนนั้น ‘เอาเถอะน่า ข้าจะกล้าหรือไม่กล้าก็ไม่ต้องพูดในเวลานี้ เอาไว้ต่อเจ้ามีเงินเถิดถึงค่อยพูด เวลานี้ไม่เปนไร ข้าไม่อยากจะธุระกับเจ้าดอก เจ้ามีก็มาพนันกัน เจ้าไม่มีก็แล้วไป เจ้าไม่ต้องมายักอย่างโน้นยักอย่างนี้ แลพยายามที่จะทำให้ข้าเรียกผีมาให้เจ้าดูเปล่า ๆ ดอก ข้าก็พอรู้เท่าเจ้าอยู่ พูดคำเดียวว่าไม่พนันกันเท่านั้น’

ชายหนุ่ม ‘เมื่อแกไม่ยอมก็ไม่ได้พนันกันเท่านั้น ข้าจะทำอย่างไรได้ ข้ามีอำนาจบังคับแกได้เมื่อไร.’

“เวลาที่ชายหนุ่มกับตาคนนั้น ทุ่งเถียงไม่ตกลงกันนี้ ลุงแลพวกเหล่านั้นเอาใจใส่ฟังเอาจริง ๆ จัง ๆ ทีเดียว ต่างคนต่างมองดูเปนตาเดียว อกใจเต้นตึกตักด้วยอยากจะเห็นความจริงด้วยกันทั้งนั้น ตาคนนั้นแกจะเรียกผีมาอย่างไร ดูจะพิลึกกึกกือ น่าขนพองสยองเกล้าหนักหนาทีเดียว ตัวลุงเองน่ะอยากจะให้เขาพนันกันให้เห็นเท็จเห็นจริงเสียจริง ๆ คนอื่น ๆ ก็องอย่างนั้นทั้งนั้น แต่ไม่มีใครพูดออกมา.”

“เมื่อชายหนุ่มมีเงินไม่พอ แลจะผันผ่อนอย่างไร ตาคนนั้นก็ไม่ยอมดังนี้แล้วก็เปนอันตกคงจะไม่ได้พนันกัน พวกเราก็จะไม่ได้พลอยเห็นด้วย ถ้าไม่ได้พนันวันนั้นแล้วก็จะเลยไป ที่ไหนจะได้เห็นเล่า เวลานั้นใจลุงเองน่ะข้อนข้างมีผีเสียแล้ว แต่ยังไม่ลงแน่ด้วยว่าเห็นผีไม่มีมานานแสียแล้ว เพราะฉนี้ จึงต้องว่าเปนกลาง ๆ เชื่อก็ไม่แน่ ไม่เชื่อก็ไม่แน่อยู่ เพราะเหตุนั้น ลุงจึงอยากให้เขาพนันกัน เมื่อได้เห็นหรือไม่ได้เห็นแล้วจะได้ตกลงอย่างหนึ่งอย่างใดเสีย ก็เมื่อมีความกระหายดังนี้แล้ว ทำอย่างไรจึงจะสมประสงค์ได้เล่า นี่แหละทางอื่นนอกจากเราช่วยกันอุดหนุนชายหนุ่มคนนั้นบ้าง เห็นจะไม่มีเสียแล้ว ลุงจึงร้องไปว่า “นี่แน่ะพ่อคนนั้น ฉันมีเงินติดมาด้วย ๔ บาทฉันจะออกให้ ถ้าคนอื่นจะช่วยกันคนละเล็กละน้อยให้ครบ ๑๒ บาท พอลุงพูดขาดคำก็มีเสียงคนหนึ่งร้องขึ้นว่า ‘เอ้า ฉันมี ๒ บาท อิกคนหนึ่งร้องขึ้นว่า ‘ฉันมีบาทหนึ่ง’ ตกลงเปนพวกเราช่วยกันออกคนละบาทสองบาท จนครบ ๑๒ บาทเปนอันจะได้พนันกัน.

“ชายหนุ่มก็เก็บเงินรวมเข้า เอาวางไว้กับถุงของตาคนนั้นเปนเงินพนัน พอฝนหายสนิทตาคนนั้นก็ออกนำหน้า พวกเราตามหลังบุกรกเข้าไปหากุฎีร้างหลังหนึ่ง ยังมีหลังคาฝาเฝืองพร้อม เปนที่เงียบแลปิดปกสมควรกับการที่จะทำนั้น.

“จะให้เพื่อนหรือพี่น้องเจ้าคนไหนมาหาเจ้าๆ ก็บอกชื่อมาซี ตาคนนั้นหันหน้ามาว่ากับชายหนุ่ม.

‘ข้าอยากจะเห็นเพื่อนของข้า ชื่อนายตันตายสักสามปีเศษมาแล้วฝังอยู่ในป่าช้าวัดนี้เอง ชายหนุ่มตอบ ‘ให้เห็นเปนตัวจำได้นะถึงจะใช้ได้.’

‘เออน่า’ ตาคนนั้นตอบ ‘ไม่จริงก็เอาเงินของข้าไปซี ถ้าเห็นไม่ชัดแล้วก็ต้องเปนเจ้าชนะ อย่าสงไสยเลย.’

“ว่าพลางตาคนนั้นก็เข้าไปในห้อง ปิดน่าต่างใส่สลักเสียรอบห้อง ด้วยเวลานั้นยังพึ่งเปนเวลาโพล้เพล้ มีแสงพระอาทิตย์ส่องเข้าทางช่องหลังคาทลุได้เห็นจะสว่างเกินต้องการไป.”

“ครั้นจัดแจงข้างในห้องเสร็จแล้ว ตาคนนั้นก็ออกมาข้างนอกบอกกับชายหนุ่มว่า ‘เข้าไปในห้องนี้ซี.’

ชายหนุ่มก็เข้าไปตามคำของตาคนนั้น พวกเราก็จะเฮตามเข้าไปบ้าง แต่ตาคนนั้นห้ามไว้ว่า ‘อย่าเข้าไป อย่าเข้าไป เข้าไปไม่ได้ อยู่ข้างนอกนี่เถอะ ประเดี๋ยวก็เห็นดอกอย่ากลัวไปเลย.’

“พวกเราก็อยู่ข้างนอกห้องกับตาคนนั้น ๆ ก็ปิดประตูขัดสายยูข้างนอกเสีย แล้วร้องกำชับชายหนุ่มว่า ‘ระวังตัวหนา คอยดูเถอะหน่อยก็จะรีบกลัวเสียแต่แรกล่ะ จะไม่ได้เห็นอะไร.’

“ว่าเท่านั้นแล้วแกก็อ่านมนต์ (ต่างว่า) ดังนี้ :-

‘วิฟ เอ คริกคิง น๊อยซ์. ธี คอฟฟิน เบอตส์ อิตซ์ ลิด.

ธี เกรฟ อีซ โอเพ็น ทู. ธี สะเป็ก เตอร์ ใครต์: –

‘ธี เกรฟ อีซ โอเพ็น. ธี เกรฟ อีซ โอเพ็น

เอคริ๊กคิง น๊อยซ์ อีซ เฮอด,

ธี คอฟฟิน ลิด อีซเบอซต์ แอ๊ด อันเดอร์.

เอ แฟนทอม ไสเซ็ซ ฟรอม อิตซ์ พริซิน เฮาซ์.

แอนด์ สะเต็ป เอาต์ ออน ธี โคลด์, เว็ต กราซ.

เมื่อตาคนนั้นแกอ่านมนต์ดังนี้แล้ว พวกเราที่อยู่ที่ข้างนอกคือตัวลุงเปนต้น ก็ตัวสั่นขนลุกไปทั้งตัว ต่างคนต่างนิ่งมองตากันเลิกลั้กไปทั้งนั้น ตาคนนั้นนั่งอยู่สักครู่หนึ่ง แล้วก็ร้องถามชายหนุ่มเข้าไปดังนี้:–

‘เจ้าอยากเห็นนายตัน เพื่อนของเจ้าที่ตายไปแล้ว แลที่ฝังอยู่ในป่าช้านี้นั้น เขามาหละ เจ้าเห็นอะไรบ้างหรือยัง.’

‘ยังไม่เห็นอะไรดอก ชายหนุ่มร้องตอบออกมาจากในห้อง ดูเสียงใสไม่มีตกอกตกใจอะไรเลย ‘อ้อ เห็น เห็น อะไรมันเปนรูปขาวโผล่เท่อขึ้นมาจากพื้นริมน่าต่างนั่นแน่ ดูเปนก้อนเมฆขาวอยู่ข้างนั้นไม่เห็นเปนอะไรเข้า.’

“พวกเรายิ่งกลัวหนักเข้า ดูเหมือนจะยิ่งกว่าเห็นผีเองเสียอิก ด้วยชายหนุ่มข้างในห้องเขาก็เสียงใสดีอยู่ ต่างคนเราก็ต่างจ้องดูตาคนนั้นไม่กระพริบตาเลย แกก็กลับถามเข้าไปอิกว่า ‘เจ้ากลัวหรือยังล่ะ.’

‘ไม่กลัวดอก ไม่เห็นมีอะไรน่ากลัวเลย’ เสียงชายหนุ่มข้างในร้องตอบออกมา.

“ตาคนนั้นก็กระทืบเท้าสามครั้ง แล้วอ่านมนต์อิก (ต่างว่า) ดังนี้ :–

‘ธีไว้ต แฟนทอม มูฟซ์, ธีไว แฟนทอม มูฟซ์

แอนด์ เชกซ์ ธี แดมป์ ฟรอม อีซ แฮ แอนด

เชกซ์ แดมป์ ธี ฟอรม อีซ ครีนยิง เชราด์’

“พวกเราก็ตกใจอยู่อย่างเก่า ดูเหมือนหายใจไม่ใคร่ออกทีเดียว บางคนกลับหอบ คือหายใจมากไปกว่าธรรมดา นี่แหละมนุษย์เรานี่ต่างคนก็ต่างมีกิริยากลัวต่าง ๆ กัน.

‘อย่างไร เห็นอะไรบ้างเล่า’ ตาคนนั้นร้องถามเข้าไป

ชายหนุ่มตอบ ‘อ้ายรูปขาวนั่นมันสูงขึ้นมาอิก เปนรูปเหมือนรูปคนแล้วหละ มีผ้าคลุมหัวด้วย แต่ยังไม่เห็นปรากฎอะไรเข้า ยืนนิ่งอยู่ริมน่าต่าง ที่มันโผล่ขึ้นมานั่นเอง.’

ตาคนนั้น ‘กลัวหรือยังล่ะ จำนายตันได้หรือยัง’

ชายหนุ่ม ‘กลัวอะไร จำที่ไหนได้ ไม่เห็นจริงสักหน่อย.’

ตาคนนั้น ‘เกือบกลัวดอกกระมัง.’

ชายหนุ่ม ‘ไม่เกือบหรอก ให้เห็นจริงซีน่า.’

ตาคนนั้น ‘ยังไม่เกือบก็คอยดูเถอะ ยังไม่ทันบอกว่าเกือบ ก็จะบอกว่ากลัวทีเดียวเสียอิก กลัวก็กลัวอย่างเดียวอย่าตกใจมากนักนา ตกใจมากเลยตายด้วย.’

ว่าเท่านั้นแล้ว ตาคนนั้นก็อ่านมนต์ต่อไปอิก (ต่างว่า) ดังนี้ :–

‘ธี แฟนทอม เสด แอ๊ด โธซ์ ฟรอม อีซ เกรฟ.’

“ไอ วิล แอพเพีย บีฟอ ไม เฟรนด์, แอนด์ ฮี วิล โนว์ มี, วิล โนว์ มี ฮี วิล รีครไนซ์ ฮีซ เฟรนด์.”

‘คราวนี้เห็นอะไรเล่า’ ตาคนนั้นถามชายหนุ่ม ‘จำนายตันได้หรือยัง.’

ชายหนุ่มตอบ ‘จำยังไม่ได้ออก อ้ายตัวขาวนั่นมันไปเลื่อนเลื่อนมาแล้วหละ เข้ามาใกล้เข้าแล้ว ๆ ๆ ใกล้เข้ามาทุกที เอ้า เลิกผ้าคลุมหัวแล้วหละ อ้อนายตันจริงๆ แหละจำได้ทีเดียว เข้าไปข้างฝาแล้ว อ้อ เขียนชื่อ เขียนด้วยนิ้วมือ ทำไมเส้นแดงเล่า เห็นจะเลือดกระมัง เอ้า กลับหันหน้ามาทางนี้แล้ว.’

‘กลัวหรือยังล่ะ’ ตาคนนั้นถาม.

‘ยังไม่กลัวดอก’ ชายหนุ่มร้องตอบเสียงเครือลงไปมาก ที่พูดมาแต่ก่อนดูเสียงแจ่มใสดูเหมือนไม่กลัวเลย คราวนี้ดูเสียงกลัวเข้าบ้างแล้ว แต่เปนคนใจกล้ายังไม่รับเท่านั้นเอง พวกเราข้างนอกนั้นพูดไม่ออกทีเดียว ดูเหมือนเกือบจะหลับตาอยู่แล้ว.

“คราวนี้ตาคนนั้นโบกมือไปมา ตบมือสามทีแล้วกลับโบกมืออิก ดูทำท่าน่ากลัวแท้ ๆ สักครู่หนึ่งแกก็อ่านมนต์อิก (ต่างว่า) ดังนี้ :–

“ธี แฟนทอม เสด ทู ธี ยัง แม นะ

“คัม โคลเซอร์, คัม โคลเซอร์ ไม เฟรนด์.

กีฟมี ยัวแฮนด์, แอนด์ พุดยัว ฟิง เกวซ์ โซวอม อินทู ไม โคลด์ แคลมมี วันซ์––

ไอ วอนต์ ทูทัช ยู ไม เฟรนด์.”

‘อย่างไรบ้างเล่าคราวนี้’ ตาคนนั้นร้องถามเข้าไป ชายหนุ่มตะโกนเสียงสั่นตอบออกมา ‘เดินเรื่อย ๆ เข้ามาแล้ว ใกล้เข้ามาแล้ว ๆ ๆ จะเข้ากอดเอาแล้ว ๆ ช่วยด้วย ช่วยด้วย ช่วยด้วย เปิดประตูเร็ว เปิดประตู.’

‘กลัวหรือยังล่ะ’ ตาคนนั้นกลับถาม ยังไม่เปิดประตูให้

‘คราวนี้ไม่มีตอบ เสียงแต่ดิ้นกันตึงตังใหญ่ ราวกะห้องจะพังไป พอเสียงนั้นหยุดลงก็มีเสียงกรนโครกครากสักครู่ก็หยุดเงียบไป.”

“ตาคนนั้นหันหน้ามาทางพวกเราแล้วพูดว่า ‘เห็นหรือไม่เห็น การที่พนันกันฉันก็เปนชนะละซี พวกท่านเข้าไปดูเถิด คงนอนสลบอยู่ข้างในหรืออย่างไรแหละ เห็นจะไม่เปนไรดอก ท่านแก้ก็คงฟื้น ฉันจะไปหละค่ำแล้ว ว่าเท่านั้นแล้วตาคนนั้นก็กอบเงินที่กองอยู่กลางพื้นใส่ย่าม ออกสาวเท้าดุ่มๆไป.”

“พวกเรายังไม่มีสติสมฤดีเลย ไม่รู้จักจะทำอย่างไรนอกจากมองตามตาคนนั้นไปจนลับตา ก็ขีดไม้ขีดไฟออกเปิดประตูเข้าไปในห้องพร้อมกัน (ด้วยเราไม่กล้าจะเข้าไปคนเดียวสองคนได้) ผะเอิญในย่ามตาคนเดินทางอิกคนหนึ่งที่ไต้ขยายออกมาเราก็จุดไต้ขึ้นส่องดูพบชายหนุ่มคนนั้นนอนนิ่งอยู่บนฝามีหนังสือเขียนด้วยเลือดว่า “นายตัน” ตัวใหญ่ทีเดียว.”

“พวกเราก็ช่วยกันแก้ไขชายหนุ่มฟื้นขึ้นได้ แต่ยังง่วงโงกเงกชอบกล นั่งก็ไม่ใคร่ตรงตัว เราก็ไปหาน้ำมาให้ล้างหน้าล้างตาเสร็จแล้วจึงดูค่อยยังชั่วขึ้น เขาเที่ยวเหลียวดูที่ทางแลหน้าตาพวกเราแล้วถามว่า.”

‘นี่อะไรกันย้ะ นี่ทำไมฉันมาอยู่ที่นี่.’

“พุโท่ พ่อคุณเอ๋ย ถูกผีมันทำเสียป่นปี้ จนจำอะไรก็ไม่ได้น่าประหลาดจริง เห็นจะเปนด้วยสลบไปน่ะเอง พวกเราก็เล่าเรื่องให้เขาฟังตลอดตั้งแต่ต้นจนปลาย แต่เขาไม่ใคร่เข้าใจสนัดด้วย เขากลับบอกเราว่า ‘ฉันจำได้ราง ๆ เหมือนฝัน โปรดเล่าอิกทีเถิด พวกเราก็เล่าซ้ำอิก คราวนี้เขาจำได้ตลอดทีเดียว กลับตาขวางขบฟันโกรธตาคนนั้นเสียเต็มที.”

‘อ้ายตานั่นไปไหนย้ะ เขาถาม.’

‘พวกเราชี้ทางให้.’

“อ้ายตาคนนี้ไม่ได้การ ต้องแก้แค้นให้ได้ ว่าเท่านั้นแล้วชายหนุ่มก็ฉวยไม้ตะพดอันใหญ่ที่เขาถือมาออกวิ่งตามตาคนนั้นไปจี๋ทีเดียว.”

“คราวนี้ถึงคราวพวกเราเองหละซี ตาคนนั้นกับชายหนุ่มก็ไปหมดแล้ว จะไปฆ่าแกงกันฉันใดก็รู้ไม่ได้เลย แลถึงต่อมาก็หาได้ทราบข่าวไม่ คนอื่น ๆ ที่พบกันวันนั้นภายหลังมาก็ยังพบกันบ้างคราวหนึ่งสองคราวทุกคน แต่ตาคนนั้นกับชายหนุ่มนั้นไม่ได้พบปะหน้าตาอิกเลย ในเวลานั้นเปนเวลาดึกประมาณสองทุ่มเศษแล้ว พวกเราก็โจทย์กันคนละคำสองคำ บางคนก็ได้สติว่า ‘อะไรแน่หนอ’ ประเดี๋ยวก็ต่างคนแยกกันไป บางคนที่มาคนเดียวแลที่ไม่ได้สติ เห็นจะนึกกลัวผีตัวสั่นไปตามทางเปนแน่.”

“นี่แหละหลาน เรื่องผีที่ลุงเคยพบเห็นมาน่ะ มันเปนอย่างนี้แหละ เจ้าจะเห็นเปนอย่างไร.”

หลานเล็ก (ขนลุกซ่าไปทั้งตัว) “ก็คุณลุงเห็นมาออกอย่างนั้นแล้วยังไม่เชื่ออิกหรือขอรับ.”

ลุง “ก็ลุงมาตรองไม่เห็นจริงน่ะซี ถึงไม่เชื่อ.”

หลานใหญ่ “ทำไมคุณลุงถึงไม่เห็นจริงเล่าขอรับ.”

ลุง “ก็เจ้าจำเรื่องที่ลุงเล่านี้ได้หรือไม่ได้เล่า.”

หลานใหญ่ “จำได้ขอรับ.”

ลุง “จำได้ก็ไปตรึกตรองเอาเองเถิดซี ลุงได้ว่าไว้แต่แรกแล้ว ว่าจะไม่อธิบายให้เจ้า ๆ จะต้องไปคิดดูเอง ลุงจะไม่อธิบายตามที่ลุงว่าไว้นั้น.”

หลานใหญ่ ผมตรึกตรองไม่ออกนี่ขอรับ ที่อ้ายข้ออ้ายเขียนมันว่าผีหลอกน่ะ จะว่ามันหลอกผม ไม่ใช่ผีหลอกมันก็เอาเถอะเปนได้ แต่ว่านี่คุณลุงก็เห็นเองอะไรเองทั้งนั้น ทำไมคุณลุงถึงไม่เชื่อตัวคุณลุงเองเล่าขอรับ.”

ลุง “ใครว่า ลุงบอกว่าลุงเห็นผีเองเมื่อไรเล่า.”

หลานใหญ่ “ก็ไหนคุณลุงว่าคุณลุงก็อยู่นั่นด้วยเล่าขอรับ คนอื่นก็หลายคนมิใช่แต่ตัวคุณลุงคนเดียวเมื่อไร.”

ลุง “ถึงอยู่นั่นก็ลุงบอกแล้วว่าลุงตรึกตรองไม่เห็นจริงลุงจึงไม่เชื่อ.”

หลานใหญ่ “ก็ทำไมถึงไม่เห็นจริงเล่าขอรับ.”

ลุง “นี่ลุงบอกว่าจะไม่บอกแล้ว ทำไมมาซักอิก เจ้าจำเรื่องที่ลุงเล่าก็ได้แล้ว เจ้าต้องไปคิดเอาเอง จะเชื่อหรือไม่เชื่อก็ได้ทั้งสองทาง.”

หลาน “ก็ผมเชื่อนี่ขอรับ.”

ลุง “เชื่อก็เชื่อเถิดซีตามใจเจ้า จำแต่เรื่องไว้แล้วคิดดูบ่อยๆ ว่า ‘อะไรแน่หนอ’ ก็แล้วกัน.”

 

แชร์ชวนกันอ่าน

แจ้งคำสะกดผิดและข้อผิดพลาด หรือคำแนะนำต่างๆ ได้ ที่นี่ค่ะ