เรื่องสืบสรรพการ

เมื่อพลิกหนังสือพิมพ์รายเดือนมาถึงตอนอ่านเล่น พบเรื่องจ่าน่าว่า “เรื่องสืบสรรพการ.” ดังนี้ ท่านผู้อ่านจะคิดว่า “อ๊าย ! เรื่องนี้เราเคยอ่านแล้ว” ดังนั้นไม่ถูก ด้วยเรื่องสืบสรรพการมีต่าง ๆ มากมายหลายเรื่องนัก มิใช่แต่เท่านั้น ท่านสืบก็มีหลายคนต่อหลายคนด้วย ไทยก็มี ฝรั่งก็มี ไม่หายากหาเย็นเลย ตามที่ข้าพเจ้าได้รับมา เรื่องราวของเขาล้วนแต่พอฟังได้ทั้งนั้น ว่าที่จริง เรื่องราวของใคร ๆ ก็เถอะ ถ้าไม่สนุกหรือประหลาด ดีชั่วให้เปนเหตุพอเพียงแล้ว จะมีผู้จดจำเล่าสู่กันไปโด่งดังที่ไหน เปนต้นว่านายสีขี่ม้าไปตามถนนใหม่ อ้อมรอบถนนสระประทุมแล้วกลับไปบ้านตามปรกติดังนี้ รุ่งขึ้นเช้าเราลองไปดูหนังสือพิมพ์ข่าวดูหรือว่าจะมีเรื่องนายสีม้าหรือไม่ ข้าพเจ้าตอบก่อนดูก็ได้ว่าไม่มี ไม่มีเปนแน่ อย่าว่าขี่ไปเปล่า ๆ เลย ต่อให้ไปพบเอดิเตอร์เข้าตามทาง ๑๐ คนก็ไม่มีอยู่นั่นเอง รุ่งขึ้นอิกวันหนึ่ง ต่างว่านายสีม้าไปทางถนนเหล่านั้นอีก แต่คราวนี้เคราะห์ร้าย ผะเอินไปโดนกับรถผู้มีชื่อ นายสีตกม้าขาหักไป เอาละซี รุ่งพรุ่งนี้ใครอ่านหนังสือพิมพ์ข่าวคงจะพบเรื่องนายสี ว่า:–

“เมื่อวานนี้เวลาบ่ายประมาณ ๕ โมงเศษนายสีบ้านตลาดใหม่ขี่ม้าเที่ยวเล่น มาทางถนนใหม่พอถึงประตูสามยอด นายแสงขับรถด๊อกก๊าดลงสพานเหล็กสวนมากำลังแรง โดนนายสีตกม้าลงแล้วเลยทับขานายสีหักไป พลตระเวนได้จับ ฯลฯ ฯลฯ ฯลฯ แลพานายสีไปส่งที่โรงบูรพาพยาบาล ฯลฯ.”

ส่วนชาวบ้านร้านตลาดก็ยังจะโจทย์ต่อกันไป อย่างที่เขาเรียกว่าปากคนยาวกว่าปากกา จนถึงว่านายสีตายก็มี ดังนี้ เปนด้วยอะไร ? เปนด้วยนายสีตกม้าลงมาขาหักนั้นเองเปนเหตุหรือไม่ใช่ ?

ส่วนเรื่องราวต่าง ๆ เช่นเรื่องสืบสรรพการ เปนต้นนี้ ถ้าท่านสืบไปสืบสวนเรื่องราวใด ๆ ที่ถึงแม้จะสำเร็จเด็ดขาดได้ตามปราถนาก็เปนการไม่สู้ลึกลับ ท่านสืบไม่ต้องออกสติปัญญาความไหวพริบแลกระทำการเปนกลไกโดยขบขันให้เปนเหตุที่ควรจะเล่าสู่กันฟังต่อ ๆ ไปแล้ว ก็หามีใครจำมาไว้เล่าให้ป่วยการเวลาไม่ เพราะฉนี้เอง ข้าพเจ้าจึงได้กล่าวมาแล้วว่า เรื่องราวของท่านสืบทั้งหลายเขาแต่ละเรื่อง ๆ ที่ข้าพเจ้าได้เคยฟังมานั้น ล้วนแต่เปนเรื่องที่ควรจะจำมาเล่าสู่กันฟังได้ทั้งนั้น.

เรื่องสืบสรรพการที่เคยมีมาแล้วนั้น ดูเหมือนจะเปนเรื่องอันสนุกสนานเพลิดเพลิน ของท่านสืบฝรั่ง ที่มีนามปรากฎว่าเชอร์ล๊อกโฮมซ์ นั้นโดยมาก ท่านสืบ เชอร์ล๊อกโฮมซ์ผู้นี้เปนคนไหวพริบแคล่วคล่อง ปรีชาสามารถในทางสืบสรรพการ อันเปนวิถีอันดี ทั้งกับตัวเขาเองแลกับมหาชนทั่วไปเปนอันมาก เรื่องราวของท่านสืบ เชอร์ล๊อกโฮมซ์ที่ได้ทำการสำเร็จเด็ดขาดเปนชื่อเสียงปรากฎมานั้นมีมากมายหลายเรื่องหลายราวนัก ข้าพเจ้ามีความเสียใจที่จะกล่าวว่า ถึงแม้แต่เรื่องราวของท่านสืบผู้นั้นเปนเรื่องสนุกเพลิดเพลินจนทำให้ผู้อ่านติดใจถึงไม่ใคร่วางสมุดลงได้แล้วก็ดี เรื่องที่มีปรากฏมาสำหรับเราอ่านในภาษาเรายังมิได้มีมากถึงครึ่งค่อนในภาษาอื่นเลย เราต้องหวังใจว่าเรื่องเหล่านี้คงมีเพิ่มเติมมาในไม่ช้านัก.

ส่วนเรื่องที่ข้าพเจ้ากำลังจะจับเล่าอยู่นี้ หาใช่เรื่องของท่านสืบคนเก่งที่กล่าวมานั้นไม่ เปนเรื่องของท่านสืบคนอื่น ซึ่งดูเหมือนข้าพเจ้าจะจำชื่อไม่ชัดเสียแล้ว เรื่องนี้ถึงแม้ว่าจะไม่เปนเรื่องของท่านสืบตัวเก่งนั้นก็ดี ข้าพเจ้าก็ยังมีความหวังใจอยู่ว่า ถ้าท่านลองอ่านดูแล้ว บางทีท่านจะเห็นสนุกแลเห็นว่าท่านสืบคนใหม่นี้ ก็มีท่าทางกลไกเกือบเท่าเรื่องที่ท่านเคยอ่านมาแล้วนั้นเหมือนกัน.

ท่านสืบที่ข้าพเจ้ากำลังจะเล่าเรื่องราวของเขาสู่ท่านผู้อ่านฟังอยู่นี้ ถึงเปนผู้มีชื่อเสียงในการสืบสรรพการอยู่บ้างแล้วก็จริง แต่ดูเหมือนจะยังไม่มีผู้เชื่อถือสนิท ให้สืบสวนการใหญ่โตมากนัก ด้วยยังไม่ได้ทำการสลักสำคัญอะไร นอกจากช่วยพลตะเวนสืบจับคนร้าย แลทำการเล็ก ๆ น้อย ๆ เกะกะไปดังนั้น ต่อเมื่อได้ทำการสำเร็จตามเรื่องที่ข้าพเจ้ากำลังจะเล่าอยู่นี้แล้ว จึงค่อยมีชื่อเสียงโด่งดัง มีคนนับหน้าถือตามากเข้า.

ข้าพเจ้าไม่เล่าละว่าบ้านช่องของท่านสืบผู้นี้เขาอยู่ถนนใหม่ถนนเสาชิงช้า หรือบนบกในน้ำนอกกรุงในกรุงอะไร ด้วยเราไม่พูดถึงตัวเขาแลถิ่นฐานบ้านเมืองของเขา เราจะต้องการแต่เรื่องของเขามาเล่าสู่กันฟังต่างหาก.

ข้าพเจ้าขอเล่าตามคำของท่านสืบที่เขาขึ้นต้นเล่าเองทีเดียวว่า :–

“เมื่อต้นปี ร.ศ. ๑๑๔ ข้าพเจ้าไม่สู้มีการงานทำมากนัก จะเปนด้วยไม่ใคร่มีการอะไรเกิดขึ้นที่ต้องการ ๆ สืบสวน หรือเปนด้วยไม่สู้มีคนเชื่อถือไว้เนื้อเชื่อใจข้าพเจ้า ให้สืบสวนการงานของเขาอย่างหนึ่งอย่างใด ข้าพเจ้าก็ไม่ทราบแน่ ข้าพเจ้ายอมสารภาพแต่ว่า ในเวลานั้นกระเป๋าข้าพเจ้าอยู่ข้างเบาเกินกว่าที่จะให้ความฟุ่มเฟือยกับตัวข้าพเจ้าให้เสมอหน้าเพื่อนเย็นเตลแมนด้วยกันอยู่สักหน่อย แต่ถึงอย่างไรก็ดี ข้าพเจ้าก็ได้ขวนขวายอยู่มาได้กล่าวคือ หาได้อาหารตายเสียโดยไม่มีการงานทำดังนั้นไม่ การสืบสรรพการนี้มีรสชาติถูกกับนิสัยแลความชอบใจของข้าพเจ้ามาแต่ข้าพเจ้ายังเด็กอยู่แล้ว เพราะฉนั้น เมื่อข้าพเจ้ามีอายุพอ แลเปิดโอกาศตั้งตัวเปนท่านสืบได้ดังนั้นแล้ว ถึงการสืบสรรพการในเวลามิได้นำผลประโยชน์มาให้ข้าพเจ้าพอเพียงกับความต้องการ ซึ่งควรเปนที่ให้ข้าพเจ้าเบื่อหน่ายละทางหาเลี้ยงชีพในทางนั้นเสียดังนั้นก็ดี ข้าพเจ้าก็หาได้คลายความรักในการสืบสรรพการนั้นไม่ เพราะฉนั้น ข้าพเจ้าจึงตั้งใจแน่วว่าจะไม่ทิ้งทางที่ได้ลงมือเดินมาแล้วอันนี้เสีย จนที่สุดจะถือไว้ไม่ได้จริง ๆ.”

ตามที่ข้าพเจ้า (ผู้เรียบเรียง) ได้ฟังท่านสืบเขาพรรณนาคำนำของเรื่องนี้มานั้น ข้าพเจ้าจำได้ว่าถึงจะไม่เหมือนทีเดียว ก็ดูเหมือนจะคล้าย ๆ กับข้างบนนี้ ต่อไปข้าพเจ้าจะกลับเล่าเปนคำของข้าพเจ้าเองเสีย เพราะถ้าจะเล่าตามคำท่านสืบทีเดียวก็จะผิดพลั้งกับคำที่เขากล่าวไป สำนวนไม่เหมือนกันด้วย ถ้าข้าพเจ้าแต่งเลียนคำท่านสืบไป ประเดี๋ยวท่านที่ได้อ่านเรื่องนี้แล้ว ไปได้ฟังที่ท่านสืบเขาเล่าเองเข้าสำบัดสำนวนห่างกันไปหลายโยชน์แลไม่ได้การหละซีเรา!

เพราะฉนั้น ข้าพเจ้าจะลงมือเล่าตามคำข้าพเจ้าเองทีเดียว:–

วันหนึ่งท่านสืบกินอาหารเช้าเสร็จแล้ว เข้านั่งอยู่ในห้องสำหรับรับแขกที่จะมาสนทนาด้วยเรื่องสืบสรรพการ ตรึกตรองถึงเรื่องเล็กน้อยเรื่องหนึ่งที่ได้ลงมือสืบจะสำเร็จอยู่แล้ว พอคนใช้นำก๊าดพระยา ก. เข้ามาส่งให้

ท่านสืบ “ท่านอยู่ที่ไหน ?”

คนใช้ “ท่านนั่งคอยอยู่ในรถนอกประตูขอรับ.”

ท่านสืบ “จัดแจงน้ำร้อนน้ำชาซี.”

ว่าเท่านั้นแล้ว ท่านสืบก็ออกไปรับรองท่านพระยา ก. เชิญท่านเข้ามาในห้องสนทนา เตือนคนใช้ยกน้ำชา ฯลฯ ฯลฯ มาเสร็จแล้ว ท่านสืบก็เรียนถามท่านพระยาว่า “รับประทานกระผมจะได้รับเกียรติยศทำการอย่างหนึ่งอย่างใดสำหรับใต้เท้าหรือขอรับ ?”

ท่านพระยา “ที่บ้านฉันเกิดยุ่งเหยิงกันใหญ่ขึ้น ฉันมานี่จะขอให้ท่านช่วยสืบสวนบ้าง.”

ท่านสืบ “กระผมมีความยินดีที่จะช่วยให้เท้าจนเต็มกำลังทีเดียวขอรับ แต่ให้เท้าต้องโปรดเล่าเรื่องให้กระผมทราบแจ่มแจ้งก่อน.”

ท่านพระยา “แน่ทีเดียว ท่านต้องทราบเรื่องราวให้ชัดเจนก่อน ที่จริงก็ไม่มีอะไรยืดยาวพอที่ควรจะเรียกว่า ‘เรื่อง’ ได้ ฉันจะเล่าให้ฟังแต่สั้น ๆ ก่อน ถ้าท่านสงสัยตรงไหนก็ซักถามเถิด ฉันจะได้แจ้งความให้ฟังให้ชัดแจ้ง เรื่องนั้นก็คือ เมื่อคืนนี้ที่จริงก็ยังไม่ควรเรียกกลางคืน เวลาประมาณทุ่มหนึ่ง มีผู้ร้ายขึ้นไปบนห้องนอนฉัน ลักตั๋วธนาณัติกับของอื่น ๆ ไปได้ เปนราคาประมาณสามหมื่นบาทเศษ”

ท่านสืบ “ใต้เท้าจะให้กระผมช่วยจับผู้ร้ายหรือขอรับ.”

ท่านพระยา “อย่างนั้น ท่านช่วยฉันได้เปนแน่หละซี เอาเถอะ ฉันจะให้รางวัลให้เต็มที่ทีเดียว.”

ท่านสืบ “ที่ตรงรางวัลนั้นไม่เปนไรดอกขอรับ ใต้เท้าจะโปรดอย่างไรก็แล้วแต่จะเห็นควร แต่ที่ว่าสำเร็จได้หรือไม่นั้นผมยังเรียนใต้เท้าไม่ได้ ผมต้องทราบเหตุการณ์ที่เกี่ยวข้องกับการนี้ทั้งปวงแลสืบสวนดูให้เพียงพอ.”

ท่านพระยา “ถูกแล้ว ถูกแล้ว เอาเถอะ ฉันจะลงมือเล่าตามที่ฉันเห็นว่าพอเปนทางให้ท่านเห็นเหตุได้บ้างทีเดียว แล้วท่านมาไปดูร่องรอยที่บ้านกับฉัน จะได้เห็นแจ่มแจ้งขึ้นได้อิก.

“เมื่อเวลาทุ่มเศษวานนี้เอง มีผู้ร้ายขึ้นไปบนห้องนอนฉัน จำเพาะเวลาเราลงมากินเข้าเย็นอยู่พร้อมกัน.”

ท่านสืบ “รับประทานใครบ้างขอรับ ที่รับประทานอยู่กับใต้เท้า.”

ท่านพระยา “อ๋อ ที่กินอยู่ด้วยกันวันนั้นก็คือ ตัวนั้นคนหนึ่ง ภริยาฉันคนหนึ่ง บุตรชายฉันพึ่งกลับมาจากโรงเรียนคนหนึ่ง กัปตันเสน ลงมาพักอยู่ที่บ้านฉันจากหัวเมืองลาวคนหนึ่ง.

“เราอิ่มกันเสร็จสรรพ จะออกจากห้องกินอาหารอยู่แล้ว พอคนใช้ของภริยาฉันวิ่งลงมาบอกว่า มีผู้ร้ายขึ้นไปในห้องนอนฉันลักของไปได้หลายอย่าง ฉันตกใจวิ่งขึ้นไปดู เห็นลิ้นชักที่ใส่ตั๋วเงินไว้กับตู้ต่างอื่น ๆ เปิดอยู่ มีของทิ้งกระจัดกระจายอยู่หลายอย่าง ห่อตั๋วธนาณัติกับของมีราคาอิกสองสามอย่างหายไป.”

ท่านสืบ “รับประทานลิ้นชักกับตู้ต่างเหล่านั้น ไม่มีรอยงัดหรือขอรับ?”

ท่านพระยา “ไม่มี เปิดออกเฉย ๆ อย่างนั้นเอง ชรอยอ้ายผู้ร้ายมันจะมีกุญแจมาไขกันได้ แลเมื่อมันได้ของแล้วมันจะตกใจอย่างหนึ่งอย่างใด จึงหาทันใส่กุญแจเข้าเสียให้ช้าความต่อไปอีกไม่.”

ท่านสืบ “รับประทานเมื่อทราบดังนั้นแล้ว ใต้เท้าทำอะไรต่อไปอิกเล่าขอรับ?”

ท่านพระยา “ฉันก็รีบลงมาข้างล่าง บอกพวกที่กินอาหารอยู่ด้วยกัน กัปตันเสนเปนคนมีสติพูดว่า ‘เราต้องรีบตามรอยทีเดียว มันคงไปยังไม่ถึงไหน ดีร้ายอ้ายผู้ร้ายจะยังซุ่มอยู่ในตรอกนี้เอง’ ว่าเท่านั้นแล้ว กัปตันเสนก็ออกนำหน้า เรียกคนในบ้านให้รีบไป.”

พอกัปตันเสนเดินสาวเท้าไปเกือบถึงประตูบ้าน ก็ล้มพวบลงริมสนามหญ้า แล้วร้องว่า ‘ระวัง ระวัง อ้ายผู้ร้ายขึงเชือกไว้’ ฉันเรียกไฟตามไปดูเห็นมีเชือกขึงขวางหน้าประตูไว้สูงประมาณคืบเศษ ปลายเชือกข้างโน้นข้างนี้ผูกกับหลักที่ตอกลงไปในดินทั้งสองข้าง เชือกกับหลักนั้น ฉันให้บ่าวเก็บไว้ด้วย.”

ท่านสืบ “ใต้เท้าไม่ได้เรียกพลตระเวนให้ช่วยค้นตามแถวนั้นหรือขอรับ?”

ท่านพระยา “เรียก ฉันใช้บ่าวไปที่โรงพักพลตระเวนเดี๋ยวนี้เอง ช่วยกันทั้งพวกเราทั้งพลตระเวนค้นแถบข้างบ้านจนทั่ว ก็หามีผู้หนึ่งผู้ใดแปลกปลอมไม่ พบแต่กำไรมือข้างหนึ่งที่อ้ายผู้ร้ายทำตกไว้ กับมีรอยเท้าคนๆเดียวไปทางหลังบ้านสองสามก้าวก็ไปถึงถนนอิฐเสีย เปนอันไม่ได้ร่องรอยอะไร.”

“ครั้นรุ่งขึ้นเช้าฉันไปที่โรงพักพลตระเวนถามดูก็ไม่ได้ความเปนทางที่จะสืบจับผู้ร้ายได้ เขารับแต่ว่าจะสืบต่อไป.”

ท่านสืบ “รับประทานเงินทองราคาถึงอย่างนั้น ใต้เท้าไม่ได้เก็บแน่นหนาหรือขอรับ อ้ายผู้ร้ายจึงได้รักได้ง่ายดายนัก ถ้าใส่เก็บในกำปั่นเหล็กที่ไหนใครจะมีลูกกุญแจไขได้.”

ท่านพระยา “นี่แหละ ฉันเก็บเลินเล่ออยู่หน่อยหนึ่ง คือใส่ไว้แต่ในลิ้นชักโต๊ะล้างหน้าเท่านั้นเอง.”

ท่านสืบ “ถ้าใต้เท้าเก็บเงินทองในที่ดังนั้นแล้ว ในห้องนอนใต้เท้าคงไม่มีคนเข้าออกได้สิขอรับ.”

ท่านพระยา “มี คนเข้าออกได้มีหลายคน คือคนใช้ของภริยาฉันที่วิ่งลงมาบอกว่า ผู้ร้ายขึ้นนั้นคนหนึ่ง กับคนอื่นอิกหลายคน ที่จริงฉันไม่ได้เคยเก็บเงินไว้เลินเล่อดังนั้นเลย เงินรายนี้ฉันไปเรียกมาจากแบงก์ในวันนั้น จะซื้อที่ดินที่สวน นัดจะวางเงินกันในวันรุ่งขึ้น คือวันนี้ ฉันเห็นว่ากับคืนเดียวเท่านั้นดอก จึงได้ทิ้งไว้ในลิ้นชักโต๊ะล้างหน้าใส่กุญแจเข้าไว้ รุ่งขึ้นก็จะหยิบไปนี่ท่านจะต้องไปกำปั่นเก็บเงินคืนเดียวเท่านั้น ก็ดูเปนการใหญ่เกินเวลาอยู่สักหน่อยนะซี ฉันต้องสารภาพทีเดียวว่า ที่เกิดเหตุทั้งนี้เปนเพราะฉันเลินเล่อแท้ๆ ไม่ใช่อื่นใช่ไกลเลย.”

ตรงนี้ท่านสืบจดอะไรลงในสมุดเล็กน้อยแล้วถามว่า “รับประทานคนใช้วิ่งลงมาบอกว่า ผู้ร้ายขึ้นนั้นใต้เท้าไว้ใจหรือขอรับ?”

ท่านพระยา “นี่แหละ ฉันก็รู้สึกไม่แน่ใจอยู่สักหน่อยที่จะตอบว่า ‘ไว้ใจทีเดียว’ เพราะถึงแม้แต่คนใช้ของภริยาฉันนี้ได้อยู่มากับเรา แลเปนคนไว้เนื้อเชื่อใจมาหลายปีต่อหลายปีแล้วก็ดี เมื่อเงินทองหายไปมากมายดังนี้ ฉันก็ออกสงสัยบ้าง ด้วยถ้าเขาจะประพฤติเช่นนี้แต่ครั้งเดียว แล้วไม่ทำอิกก็พอไปชั่วอายุเสียแล้ว.”

ท่านสืบคิดว่าท่าทางก็ชอบกล แต่เราจะฟังเปนแท้ก็ไม่ได้ จะต้องดูให้แน่ก่อน แล้วพูดกับท่านพระยาว่า “รับประทานใต้เท้าต้องโปรดให้กระผมเรียนถามอะไรต่ออะไรสักสองสามอย่าง.”

ท่านพระยา “ถามเถิด ถามเถิด เชิญถามตามชอบใจ ฉันจะได้เล่าให้ฟังให้เต็มที่ทีเดียว.”

ท่านสืบ “บุตรใต้เท้าที่ใต้เท้าพูดถึงเมื่อตะกี้นั้นโตหรือยังเล็กอยู่ขอรับ ?”

ท่านพระยา “อายุ ๑๖ ปี.”

ท่านสืบ “รับประทานอยู่โรงเรียนหรือขอรับ?”

ท่านพระยา “ยังอยู่โรงเรียน แต่เดี๋ยวนี้อยู่บ้าน ด้วยเวลานี้หยุดเรียนเดือนหนึ่ง.”

ตรงนี้ท่านสืบนึกว่า เด็กอายุ ๑๖ ปีคนนี้เราจะสงสัยก็ควรด้วยกำลังคนอง ถ้าไปซุกชนอะไรเปนหนี้สินเขาลง หรือไปติดพันกับสาวน้อยที่ไหนเข้าก็ย่อมต้องการเงินทองเปนธรรมดา เมื่อมาบ้านเห็นพ่อเอาเงินมาทิ้งเลินเล่อไว้ ก็ฉวยเอาไปเสียดังนี้ เปนได้ ๆ ๆ แต่ต้องดูท่าทางก่อน ถ้าเด็กซนต้องบอกอยู่ในตัวเอง.

ท่านสืบ “รับประทานบุตรใต้เท้าคนนี้ไม่เปนคนซุกซนอะไรดอกหรือขอรับ?”

ท่านพระยา “อ้ายเรื่องจะซุกซนเหลือไปไม่มีเลย บุตรฉันคนนี้ว่าที่จริงก็เปนคนเจ้าหน้าอยู่สักหน่อย แต่ถึงอย่างนั้นก็ไม่ถึงกับที่เราจะควรสงสัยว่าจะซุกซนถึงลักเงินลักทองดังนั้น.”

ท่านสืบคิดว่า “ดีแล้ว ๆ ควรจะสงสัยหรือไม่ควรจะสงสัยก็คอยดูเถิดหน่อยก็รู้กัน.”

ท่านสืบ “กัปตันเสนที่ใต้เท้าออกชื่อเมื่อตะกี้นั้นใครเล่าขอรับ?”

ท่านพระยา “กัปตันเสนก็ไม่ควรสงสัย.”

ท่านสืบ “รับประทานกระผมไม่ได้ไปเที่ยวสงสัยมนุษย์รอบโลกมิได้ดอกขอรับ แต่ถ้าใต้เท้าต้องการให้กระผมทำการสืบสวนในการเรื่องนี้แล้ว ใต้เท้าต้องให้ผมทราบละเอียด การที่กระผมเรียนถามใต้เท้าดังนี้ ก็เพราะจะต้องดูท่าทางแลร่องรอยของรูปเรื่องเสียก่อน ไม่ใช่เท่านั้นจะพอ กระผมยังจะต้องตรวจดูที่ทางด้วยเสียอีก ถ้าใต้เท้าจะไม่โปรดให้กระผมทราบโดยตลอดทั้งนี้แล้ว กระผมก็มีความเสียใจที่จะ––”

ท่านพระยา “ไม่ใช่ ๆ ไม่ใช่ดังนั้น ฉันคิดว่าสงสัยกัปตันเสนด้วย จึงบอกเสียให้ทราบ กัปตันเสนคนนี้เปนบุตรของหลวงศรี เพื่อนสนิทดั้งเดิมของฉัน กัปตันเสนเปนนายทหารแต่บิดายังอยู่ ครั้นบิดาตายก็ขึ้นไปรับราชการอยู่ในกองข้าหลวงมณฑลลาวประมาณ ๑๒ ปีเศษ จึงกลับลงมากรุงเทพ ฯ เมื่อต้นเดือนนี้เอง ฉันไปพบเข้าเมื่อวิกก่อนนี้มีคนแนะนำให้จึงได้นึกหน้าได้ ฉันทราบว่าเขายังไม่มีที่บ้านต้องเช่าตึกแถวอยู่ จึงได้ชวนมาอยู่ด้วยกันที่บ้าน เขาจะกลับไปเมืองลาวในเร็ว ๆ นี้ ด้วยได้รับตำแหน่งใหม่.”

ท่านสืบ “รับประทานใต้เท้าหาเชอร์ล๊อกโฮมซ์ท่านสืบฝรั่งช่วยในการสืบผู้ร้ายเรื่องนี้ด้วยหรือ ขอรับ?”

ท่านพระยา “เปล่า ฉันไม่หาดอกฝรั่งมังค่า ที่จริงเขาว่าเชอร์ล๊อกโฮมซ์คนนี้ฉลาดนักหนาทีเดียวนะ.”

ท่านสืบ “ขอรับ ใต้เท้าก็คงทราบเรื่องของเขาอยู่บ้างแล้ว เชอร์ล๊อกโฮมซ์ผู้นี้เขาจะได้ทำประโยชน์ให้แต่กับมิสเตอร์โคแนนโดยลผู้แต่ง แลห้างยอซนิวเนซ ผู้พิมพ์ประกาศเท่านั้นหามิได้ ถึงพวกเราๆเขาก็ทำให้หลายคนเหมือนกัน.”

ท่านพระยา “ท่านไปกับฉันวันนี้จะดีกระมัง.”

ท่านสืบ “วันนี้เย็นเสียแล้ว ถึงไปก็ทำอะไรไม่ทัน พรุ่งนี้ประมาณ ๕ โมงเช้า ผมจึงจะไป เห็นจะดีกว่า.”

ท่านพระยา “ดีแล้ว พรุ่งนี้ ๔ โมงครึ่งฉันจะให้รถมาคอยรับที่นี่ทีเดียว.”

ท่านสืบ “ขอรับ ถ้าโปรดอย่างนั้นดีมาก เพราะผมก็ยังไม่รู้จักบ้านใต้เท้าสนัดด้วย.”

ท่านพระยา “ถ้าอย่างนั้นฉันขอลาก่อน.”

ท่านสืบ “อ้อ ยังอิกอย่างหนึ่ง ใต้เท้าต้องโปรดสัญญาผมอย่างหนึ่งว่า––”

ท่านพระยา “ว่ากระไรก็ว่า ฉันรับสัญญา.”

ท่านสืบว่า “ใต้เท้าจะไม่ให้ใครทราบเลยว่าผมนั่นใคร ไปบ้านใต้เท้าทำไม.”

“ได้ ฉันรับสัญญา” ว่าเท่านั้นแล้วท่านพระยาก็ยื่นมือมาให้ท่านสืบจับ แล้วออกประตูขึ้นรถขับปัง ๆ ไป.

ท่านสืบตามออกไปส่งท่านพระยานอกบ้านแล้ว ก็กลับเข้ามาในห้องสนทนานั่งตรึกตรองถึงเรื่องจะจับผู้ร้ายให้ท่านพระยาอยู่สักครู่หนึ่ง พอมีแขกคนอื่นมาขอให้ช่วยสืบเรื่องการเล็ก ๆ น้อย ๆ ท่านสืบก็เลิกไม่ได้คิดเรื่องของท่านพระยาต่อไปอิกในวันนั้น.

รุ่งขึ้นพรุ่งนี้เช้า เวลากินอาหารเช้าแล้วสักครู่หนึ่ง เสียงรถขับมาจอดน่าบ้านท่านสืบ คนใช้ขึ้นมาแจ้งความว่า รถเมื่อวานมารับแล้ว ท่านสืบก็แต่งตัว หยิบเครื่องมือบางอย่างที่ต้องใช้เช่นท่านสืบทั้งปวง มีกล้องสำหรับส่องตรวจของเล็ก ๆ ที่จะเห็นด้วยตาเปล่า ๆ ไม่ได้เปนต้น ใส่กระเป๋าเสร็จแล้วก็ฉวยร่มไม้เท้า ลงบันไดเรือนออกประตูบ้านขึ้นรถขับไป.

ประมาณ ๒๐ นาฑีเศษถึงบ้านท่านพระยา ก––ท่านสืบก็ลงจากรถส่งก๊าด แล้วเข้าไปรออยู่ในห้องรับแขกสักครู่หนึ่ง ท่านพระยากับท่านผู้หญิง ก––ก็ออกมารับรอง นั่งพูดจากันอยู่สักครู่หนึ่ง ท่านสืบก็ขออนุญาตท่านเจ้าของบ้านทั้งสอง ซักไซ้ไล่เลียงคนใช้แลคนอื่นที่เข้าออกในห้องนอนนั้นได้ทุก ๆ คน.

เมื่อได้ไล่เลียงเสร็จแล้ว ท่านสืบก็ทราบแน่ทีเดียวว่า คนทั้งหลายเหล่านั้นหาได้เปนเองหรือรู้เห็นเปนใจกับผู้ร้ายไม่ เว้นแต่สาวใช้ของคุณหญิง ก–– ที่วิ่งลงมาบอกข้างล่างว่าขะโมยขึ้นนั้น คนใช้คนนี้ท่านสืบทราบอยู่ว่าถึงโดยจะเกี่ยวข้องกับการที่ผู้ร้ายขึ้นนั้นบ้างก็ไม่ได้เปนตัวเองจะเปนก็แต่รู้เห็น ที่จริงจะว่าดังนั้นก็ยังไม่ควร ด้วยท่านสืบไม่ได้มีพยานอะไรสักอย่างเดียว นอกจากที่สาวใช้คนนั้นให้การตะกุกตะกัก โดยความประหม่าแลความกลัว ซึ่งเปนไปโดยความเข้าใจว่าเขาจะปรักปรำเอาตัวก็เปนได้.

ส่วนคนอื่น ๆ ที่ท่านสืบพลอยสงสัยไปด้วยแต่แรกนั้นไม่มีราคีมัวหมองเลย บาปเปล่า ๆ ทีเดียว ถึงสาวใช้คนที่ให้การไม่ชัดนั้นจะบาปเปล่า ๆ ด้วย หรือบาปไม่เปล่าก็ยังรู้ไม่ได้ หาพยานอื่นเสียให้พอเถิด ท่านสืบเอ๋ย !

ท่านสืบ “รับประทานผมอยากจะตรวจดูที่ทางสักหน่อย ใต้เท้าโปรดให้คนนำผมลงไปดูข้างล่างหน่อยจะดี.”

ท่านพระยา “ได้ซี ฉันจะพาไปเอง.”

ท่านสืบ “บุตรใต้เท้ากับกัปตันเสนเห็นจะไม่อยู่กระมังขอรับ ? ผมยังไม่เห็นตั้งแต่ผมมา.”

ท่านพระยา “เขานัดเพื่อนฝูงไปยิงนกกันแต่เช้ามืด จะกลับมากินอาหารเย็นที่บ้าน.”

ท่านสืบ “อ้อ จะกลับวันนี้ดีทีเดียว ผมอยากจะถามอะไรต่ออะไรบ้างเล็กน้อย ใต้เท้าโปรดให้คนปักหลักขึงเชือกอย่างที่ผู้ร้ายมันขึงไว้ แล้วผมจะตรวจดูให้ละเอียด.”

ท่านพระยา ก็เรียกอาบังคนทำสวนที่เก็บหลักกับเชือกไว้มาปักขึงให้.

ท่านสืบ “ปักถูกตามที่หละหรือ อาบัง ?”

อาบัง “ผมปักตามที่ ๆ ขะโมยมันปักทีเดียวขอรับ.”

ท่านสืบหันหน้าไปทางท่านพระยาพูดว่า “ใต้เท้าโปรดขึ้นไปคอยอยู่บนตึกเถิดขอรับ กระผมอยากจะอยู่คนเดียวในเวลาที่จะตรวจท่าทางข้างล่างนี้.”

ท่านพระยาก็กลับขึ้นไปบนตึก อาบังก็ไป คนอื่น ๆ ก็ไปหมดแล้ว ท่านสืบก็ลงคลานกลางดินตรวจรอยแลวัดดูอะไร ๆ เล็กน้อยอยู่สัก ๕ นาทีแล้วก็ลุกขึ้น เลิกการตรวจในที่นั้น ด้วยถึงแม้ว่าท่านสืบได้ตรวจดูแต่ ๕ นาฑีเท่านั้นเอง ก็ได้เรื่องที่นั้นพอแล้ว.

ท่านสืบก็เรียกอาบังมา จะบอกให้ถอนหลักแก้เชือก พอมีคนหนึ่งหอบอะไรรุงรังเข้าประตูบ้านมา เชือกที่ขึงอยู่นั้นยังไม่ทันแก้ คนนั้นเดินไม่ดูทางไพล่มาดูท่านสืบเสียสดุดเชือกล้มลง.

ท่านสืบ––แลถึงเราก็ลองดู––อดหัวเราะไม่ได้ด้วยทางสว่าง ๆ ก็หกล้มได้ เวลาเดินควรจะดูทาง ไม่ดู ไพล่ไปดูคนเสียได้.

ท่านสืบ “นั่นใครมาแต่ไหนน่ะแก ?”

อาบัง “บ่าวกัปตันเสนขอรับ.”

ท่านสืบ “อ้อ เห็นจะกลับจากยิงนกกันกระมัง?”

อาบัง “ไม่ใช่ดอกขอรับ คนนี้กัปตันเสนใช้ไปกรุงเก่าแต่อาทิตย์ก่อนพึ่งกลับมา.”

“อ้ออย่างนั้นดอกหรือ” ท่านสืบคิดในใจเท่านั้นแล้ว ก็ขึ้นไปบนตึกขออนุญาตท่านพระยา ขึ้นไปตรวจดูบนห้องข้างบน ท่านพระยาก็ให้สาวใช้ที่ลงมาบอกว่าผู้ร้ายขึ้นนั้น พาท่านสืบขึ้นไป ตรวจอยู่สักครู่หนึ่ง เห็นมีรอยที่ผู้ร้ายพาดบันไดกับน่าต่างมีรอยสีที่ทาไว้ใหม่ ๆ หลุดไปสองสามแห่ง.

ท่านสืบ (ถามสาวใช้) “น่าต่างนี้เปิดเสมอหรือปิดบ้าง ?”

สาวใช้ตอบว่า “น่าต่างนั้นเปิดเสมอ ไม่ว่ากลางวันกลางคืนไม่มีเวลาปิดเลย.”

ตรวจบนห้องนอนเสร็จแล้ว ท่านสืบก็ลงไปตรวจข้างล่าง เห็นมีรอยเท้าตรงน่าต่างห้องนอนลงไปสองสามรอย ท่านสืบวัดดูรอยเท้าสองสามแห่งแล้วก็เปนอันพอใจไม่ต้องตรวจอิก.

เวลานั้นเปนเวลาบ่ายประมาณ ๒ โมงเศษยังวันมาก ท่านสืบก็ออกจากบ้านท่านพระยา ก––ไปที่ออฟฟิศโทรเลข ส่งโทรเลขไปไหนฉบับหนึ่ง แล้วคอยรับตอบอยู่สักครู่หนึ่ง ก็กลับมาหาท่านพระยา ก–– สนทนากันถึงเรื่องอื่น ๆ ต่อไป บอกท่านพระยาแต่ว่าได้ตัวคนร้ายแล้ว.

พอเกือบถึงเวลากินอาหารเย็น กัปตันเสนกับบุตรท่านพระยา ก–– ที่กลับมาถึงจากยิงนก ท่านพระยาแนะนำให้ท่านสืบรู้จักกับคนเหล่านั้น แล้วสักครู่หนึ่งก็ชวนกันเข้าไปกินอาหาร.

เวลากำลังเลี้ยงกันอยู่นั้น ท่านสืบรู้สึกจำเปนต้องขอโทษท่านที่กินอยู่ด้วยกันทั้งหลาย ลุกจาก โต๊ะไปสักครู่หนึ่ง สัก ๑๕ นาฑีก็กลับมา ไปสืบอะไรมาอิกแล้วกระมัง !

ครั้นเสร็จการกินอาหารแล้ว ท่านสืบก็ชักพูดไปถึงเรื่องผู้ร้ายแล้วถามกัปตันเสนว่า:–

“ผู้ร้ายขึ้นเรือนเวลาพลบดังนั้น ท่านกัปตันเสนเห็นว่าอย่างไร ?”

กัปตันเสน “เมื่อสาวใช้ของคุณหญิงลงมาบอกว่าผู้ร้ายขึ้นนั้น ฉันคิดว่าอ้ายผู้ร้ายคงยังหากล้าออกปากตรอก ผ่านโรงพักพลตระเวนไปได้ไม่ มันคงซุ่มอยู่ในตรอกเหล่านี้จนค่อยเงียบเข้า ท่านก็ทราบอยู่ว่า ตรอกนี้เปนทางมาบ้านนี้บ้านเดียว พลตระเวนกับคนบ้านนี้ก็คงรู้จักกันหมด อ้ายคนร้ายที่ไหนจะกล้าออกปากตรอกไปซึ่ง ๆ หน้าให้เขาสงสัยว่า เจ้าเปนคนแปลกปลอมได้ แต่ครั้นเราค้นดูจน ทั่วตรอกน่าบ้านหลังบ้านก็หาพบใครแปลกปลอมไม่ พบแต่บันไดที่อ้ายผู้ร้ายพาดปีนน่าต่างขึ้นไป.”

ท่านสืบ “คนในบ้านนี้ก็มีหลายคน ทำไมอ้ายผู้ร้ายจึงพาดบันไดปีนขึ้นไปบนตึกได้ ไม่มีใครมาพบเข้าเลย.”

กัปตันเสน “เวลานั้นบ้านฟากข้างโน้นเขาทำการมีงิ้วกับลครประชันกัน คนข้างล่างดูเหมือนไม่มีใครอยู่ไพล่ไปดูงิ้วกับลครเสียหมด.”

ท่านสืบ “นี่แน่ กัปตันเสน ฉันขอถามท่านสักอย่างหนึ่งว่า การที่ท่านวิ่งไปสดุดเชือกล้มที่ประตูบ้าน แต่ยังไม่ถึงที่ขึงเชือกนั้นเปนการประหลาดหรือไม่ ?”

กัปตันเส้น “ฉันไม่เข้าใจว่าท่านพูดอะไร.”

ท่านสืบ “ฉันถามท่านว่าตามที่ว่า ท่านสดุดเชือกล้มลงนั้นท่านสดุดอย่างไร แต่เมื่อท่านยังไม่ไปถึงที่ขึงเชือก หรือท่านสดุดใบหญ้าล้มลงก็ว่าไป แลอิกอย่างหนึ่งบ่าวของท่านที่ว่าอยู่กรุงเก่านั้น ทำไมไพล่มายืนอยู่ตรงน่าต่างห้องนอนเจ้าคุณในเวลาที่ผู้ร้ายขึ้นนั้นด้วย.

ท่านพระยา ก––พื้นเสีย ถามท่านสืบว่า “เอ๊ะ นั่นว่าอะไรอย่างนั้นนั่น ?”

ท่านสืบ “กระผมว่าผู้ร้ายที่ลักเงินกับของ ๆ ใต้เท้าไปนั้นนั่งอยู่นี่เอง.”

ท่านพระยา “อ๊ะ ท่านสืบ ๆ อย่าลืมตัวเองซีนา กัปตันเสนเปนบุตรของหลวงศรีเพื่อนฉัน ท่านเปนอะไรด้วยที่มาทำดังนี้.”

ท่านสืบ “นี่ไม่ใช่กัปตันเสนบุตรหลวงศรีเพื่อนเก่าของใต้เท้านี่ขอรับ กัปตันเสนเวลานี้อยู่เมืองลาวไหน ๆ มิรู้ ผมตีโทรเลขถามไปได้รับตอบนี่แน่ะขอรับ:–

“กัปตันเสนอยู่นี่ อะไรที่ไหนกัน ?”

คราวนี้กัปตันเสนปลอม ลุกขึ้นยืนเหลียวซ้ายแลขวาทำท่าเหมือนจะวิ่งหนี แต่วิ่งไม่ได้ด้วยไม่มีทางจะออกไปพ้น.

ท่านพระยา “เอ้า นั่งลงซี จะไปไหนล่ะ พ่อกัปตันตัวดี เอาเงินของเขาไว้ที่ไหนก็คืนมาเถอะหาไม่จะต้องไปอยู่คุก.”

กัปตันปลอมก็กลับนั่งลง ปากคอสั่นเล่าเรื่องว่าตัวชื่อแสนเคยทำการอยู่กับกัปตันเสน ตัวไปทำไม่ดีอะไรอย่างหนึ่งเขาไล่เสีย บ่าวที่ว่าใช้ไปกรุงเก่านั้นก็ไปหลบอยู่ที่อื่น หาได้ไปกรุงเก่าไม่ เมื่อเวลาตัวลักของได้บ่าวคนนั้นก็มารับเอา ที่จริงที่ว่าบ่าวนั้นก็เพื่อนกันปลอมเปนบ่าวมา หาใช่บ่าวแท้ ๆ ไม่.

ตั๋วธนาณัติกับของๆ ท่านพระยา ก––กลับคืนมาในวันรุ่งขึ้นนั้นเอง ขาดแต่สิ่งของทองรูปภัณฑ์บ้างสองสามอย่าง.

เมื่อข้าพเจ้า (ผู้เรียบเรียง) ได้ฟังท่านสืบเขาเล่าดังนี้ ก็ไม่อาจระงับความพิศวงได้ ถึงผู้อ่านก็เถอะคงอยากฟังเหมือนกันแหละ ว่าทำไมเขาจึงจับร่องรอยได้ดังนั้นหนอ เอาเถอะข้าพเจ้าจะเล่าให้ฟัง แลเมื่อท่านทราบตลอดแล้วคงคิดว่า “พุโท่ ง่ายๆนิดเดียวเท่านั้นเราก็เกือบทำได้.”

“นี่แน่ท่านสืบ” ข้าพเจ้าถาม “ก็ทำไมท่านถึงจับเค้าได้เล่า?”

ท่านสืบตอบว่า “มีพิธีสิ พ่อคุณเอ๋ย การสืบสรรพการมิใช่จะดูเอาลวก ๆ ได้เมื่อไร ก็ต้องเหมือนกับวิชาชนิดอื่นๆ เหมือนกัน รอยเท้าเปนต้นดังนี้ จะต้องตรวจสอบกันด้วยกล้องแลทำพิธีอื่น ๆ อิกหลายอย่าง ต้องใช้ขันตีเปนใหญ่ ใครไม่มีขันตีเปนท่านสืบไม่ได้เลย ถ้าเห็นไม้เท้าทิ้งอยู่อันหนึ่งดังนี้ ท่านสืบตรวจดูแล้วควรจะรู้ได้ว่าเจ้าของหรือคนที่เคยถือไม้เท้านั้นเปนคน (ต่างว่า) มีมือข้างซ้ายข้างเดียวแลมักคอนห่อหรือมัดอะไร ๆ ไปด้วยไม้เท้า ถ้าท่านถามเขาว่าทำไมถึงว่าอย่างนั้น เขาจะบอกว่าเขาสังเกตว่าไม้อันนั้นเปนไม้ขอ แลสกปรกเปื้อนขึ้นไปจนถึงที่มือถือ ตรงรอยมือถือนั้นเปนรอยจับเปนมัน แลรอยนิ้วที่ไม้นั้นบอกอยู่ในตัวว่าคนที่ถือนั้นถือด้วยมือซ้าย คนมีมือสองมือทำไมถึงจะไปถือไม้เท้าด้วยมือซ้ายเล่า นั่นบอกแล้วว่ามีมือข้างเดียว ส่วนที่ว่ามันคอนห่อหรือมัดอะไรไปด้วยนั้น เพราะมีรอยเปนมันอยู่กลางไม้ ซึ่งบอกว่าเปนที่ถูกับบ่าเวลาแบก แถมรอยเชือกอยู่ที่ตรงขอด้วยดังนี้ ท่านผู้อ่านก็คงเห็นว่าไม่เปนท่าอะไร แต่ที่ทานสืบทั้งปวงทำการสำเร็จได้นั้น ก็เพราะพิจารณาเรื่องเล็ก ๆ น้อย ๆ เหล่านี้ โดยละเอียดชัดเจนเท่านั้นเอง จึงเปนทางให้จับข้อสำคัญที่ใหญ่ ๆ ได้.”

ข้าพเจ้า “ก็ท่านทำลู่ทางอย่างไรถึงจับกัปต้นเสนปลอมได้เล่า?”

ท่านสืบ “ก็โดยพิจารณาให้ละเอียดดังกล่าวมาแล้วน่ะซี.”

ข้าพเจ้า “พิจารณาอย่างไร ?”

ท่านสืบ “ก็จะซักเอาไปทำไมเล่า ?”

ข้าพเจ้า “ก็ทีเล่าเรื่องเล่าให้ฟังมาจนตลอดได้ กับอีเล่าว่าทำอย่างไรเท่านี้ไม่ได้ มาทำให้กันอยากรู้เรื่องเล่นครึ่งๆ ค่อน ๆ เช่นนี้ไม่ได้การ เล่าเสียทีเดียวก็รู้แล้วไป.”

ท่านสืบ “เอ๊ะ! นี่อยากจะรู้เอาจริง ๆ เจียวหรือนี่ เอาเถอะจะเล่าให้ฟัง เมื่อเล่าแล้วก็คงคิดว่า พุโท่ เท่านั้นเองแหละ แต่ถ้าจะลองคิดดูแล้ว เท่านั้นหรือไม่เท่านั้นก็จับผู้ร้ายได้ ๆ ของคืนให้ท่านพระยา ก–แลได้รับรางวัลของท่านหลายร้อยบาทด้วย.”

“ตั้งต้นทีเดียว เมื่อได้ทราบว่าผู้ร้ายขึ้นลักของกับตั๋วธนาณัติในวันที่พึ่งรับตั๋วธนาณัติมาจากแบงก์ใหม่ ๆ นั้น ก็ทำให้ฉันเห็นได้เล้ว ว่าผู้ร้ายนั้นเปนคนอยู่ในบ้านนั้นเอง แลเปนคนที่ไว้ใจด้วย คนอื่นถึงคนในบ้านที่ไม่เปนที่ไว้เนื้อเชื่อใจลงมาที่ไหนจะทราบได้ว่าท่านพระยาไปรับตั๋วธนาณัติมาแต่แบงก์ ด้วยกับห่อกระดาษนิดเดียวเท่านั้น.”

“เมื่อฉันให้ปักหลักขึงเชือกลงสอบดู ฉันตรวจดูรอยปลายเท้ากัปตันเสนปลอมกับรอยหัวเข่าที่คุกลงกับดิน ทราบได้ว่ากัปตันเสนสดุดเชือกล้มเสียแต่ยังไม่ถึงเชือกแล้ว.

“ฉันได้สืบถามพวกคนใช้ที่ปฏิบัติในห้องกินเข้า ทราบว่ากัปตันเสนปลอมลงมากินเข้าทีหลังใคร ๆ หมด ข้อนี้ทำให้ความสงสัยกระจ่างขึ้น.”

“เมื่อฉันขึ้นไปตรวจบนห้องนอน ฉันตรวจดูบนฝาเห็นรอยปีนเข้าทางในเรือน ผะเอิญฝาเจ้ากรรมทาสียังไม่แห้งสนิทดีด้วย คนที่ปืนเข้าไปนั้น ปืนเข้าไปอย่างระวังตัวดีอย่างที่สุด มีรอยสีเลอะไปแห่งหนึ่งก็นิดเดียวเท่านั้น ฉันตรวจดูเห็นเปนรอยผ้าเช็ดไปจึงเข้าใจว่า คนที่ปืนเข้าไปนั้นคงพาเอาสีติดผ้าไปด้วย เมื่อเวลากินอาหารอยู่ ฉันขอโทษท่านที่กินอยู่ด้วยกัน ลุกออกจากห้องไปสักครู่หนึ่ง ไปค้นดูตามผ้านุ่งกัปตันเสนที่มีรอยนุ่งอยู่ เจ้าสีที่หลุดไปจากฝานั้น ไปติดอยู่กับผ้านุ่งผืนหนึ่งในหมู่ผ้านั้นเอง.”

“เมื่อฉันลงไปดูรอยเท้าข้างล่าง ตรงน่าต่างห้องนอนลงไปแล้ว วัดเทียบกับรอยเท้าของคนที่เดินเข้ามาสดุดเชือก เมื่อขึงดูทีหลังที่น่าประตูล้มลง ก็ทราบแน่ว่าคนที่ว่าไปกรุงเก่านั้นมายืนอยู่ตรงน่าต่างในเวลาผู้ร้ายขึ้นนั้นด้วย.

“ฉันจึงส่งโทรเลขไปยังเมืองที่กัปตันเสนไปทำการอยู่ ถามว่ากัปตันเสนอยู่ที่ไหน ก็ได้ตอบตามคำโทรเลขที่เล่าให้ท่านฟังเมื่อตะกี้นี้แล้ว.”

“เมื่อมีพยานแน่นหนาดังนี้แล้ว ฉันจึงได้ปักหน้าเอากัปตันเสนปลอมทีเดียว ดังที่เล่ามาแล้ว.”

ข้าพเจ้า “พุโท่ เท่านั้นเองแหละ.”

ท่านสืบ “เท่านั้นเอง ไม่เท่านั้นเอง ก็ได้เงินแลของคืนหรือเปล่าล่ะ ?”

ข้าพเจ้า “ได้ก็เถอะ ดูไม่เห็นอะไรนี่.”

ท่านสืบ “อย่างนี้แหละไหมล่ะ เขาจึงไม่เล่าวิธีของเขาให้ฟัง.”

ข้าพเจ้า “เปล่า ฉันก็ไม่ได้ติเตียนว่ากระไร ว่าแต่ว่าวิธีที่จับเค้าเงื่อนนั้นนิด ๆ เท่านั้น มิใช่จะไม่เห็นด้วยเมื่อไร ของเลกที่ทำให้เปนทางถึงของใหญ่ได้นั้นเปนการดีมาก.”

ท่านสืบ “มันก็ดูข้อเล็กๆ น้อยๆ แลมาอาศรัยตรึกตรองเอานั่นแหละมากกว่าอื่น จะเล่าถึงเชอร์ล๊อกโฮมซ์ให้ฟังเรื่องหนึ่ง ฟังแล้วก็คงอดหัวเราะไม่ได้ คือมีคนหนึ่งเก็บหมวกกลางถนนได้ใบหนึ่ง ว่าเปนหมวกที่อ้ายผู้ร้ายวิ่งราวจากคนเดินตามถนน พลตระเวนไล่ตามจับจวนตัวอ้ายผู้ร้ายจึงทิ้งหมวกเสีย หมวกใบนี้มีคนนำมาให้เชอร์ล๊อกโฮมซ์ดู เชอร์ล๊อกโฮมซ์พิจารณาดูสักครู่หนึ่ง ก็ส่งหมวกให้หมอวัตซันเพื่อนของเขา แล้วถามว่า :–

“ท่านเห็นไหมว่าเจ้าของหมวกใบนี้เปนคนอย่างไรบ้าง?”

หมอวัตซันตอบว่า “ไม่เห็นอะไรเลยนอกจากว่าเจ้าของหมวกนี้เปนคนหัวโต จึงได้ใส่หมวกใหญ่ถึงเท่านี้.”

เชอร์ล๊อกโฮมซ์ “พิจารณาดูอิกเถิด คงจะเห็นอิก.”

หมอวัตสัน “ไม่เห็นอิกแล้ว ที่ท่านเห็นว่ากระไรบ้างเล่า ?”

เชอร์ล๊อกโฮมซ์ “เห็นหลายอย่าง แต่อยากให้ท่านคิดดูก่อนว่าจะเหมือนกันเข้าบ้างหรือไม่.”

หมอวัตสัน “คิดไม่เห็นจะให้คิดว่ากระไร ท่านว่ากระไรเล่า ?”

เชอร์ล๊อกโฮมซ์ “เจ้าของหมวกใบนี้เปนคนมีความคิดดี แต่เดิมเปนคนพอมีอันจะกิน เดี๋ยวนี้จนลงไปเสียแล้ว แต่ถึงอย่างนั้นเขาก็ยังมีความถือตัวเขาอยู่.”

หมอวัตซัน “ท่านมีเหตุอะไรที่ว่าดังนั้น.”

เชอร์ล๊อกโฮมซ์ “ก็ท่านพิจารณาดูให้ละเอียดก่อนซี จะเข้าใจได้ตามที่ว่านี้บ้างกระมัง.”

หมอวัตซันหยิบหมวกนั้นขึ้นดูจนทั่วแล้วตอบว่า “พิจารณาอย่างไรก็เห็นจะไม่ได้ ไม่เห็นมีทางไปทางไหนเลย.”

เชอร์ล๊อกโฮมซ์ “จะว่าให้ฟัง ที่ว่าเปนคนมีความคิดนั้น คือนี่เอง ท่านหรือฉันลองใส่หมวกนี้ดูหรือ จะหลวมลงไปปิดหูหรือไม่ ก็เมื่อคนหัวโตมีมันสมองมากกว่าเราเปนกองดังนี้ จะไม่มีความคิดดีหรือ มนุษย์เรารู้สึกว่าสัตว์เดรัจฉานด้วยเหตุอะไร เปนด้วยเรามีมันสมองมากกว่าหรือมิใช่เล่า.”

หมอวัตซัน “ก็ที่ว่าแต่แรกเปนคนพอมีอันจะกิน แต่เดี๋ยวนี้จนลงไปเสียแล้ว นั่นเอามาแต่ไหนเล่า ?”

เชอร์ล๊อกโฮมซ์ “ก็ดูหมวกนี่ ลองดูทีหรือ เปนหมวกอย่างดีมีราคาหรือไม่ใช่เล่า คนไม่มีเงินเขาจะซื้อใส่เรื่องอะไร ราคาหมวกอย่างนี้ใบหนึ่ง ซื้อหมวกธรรมดาสามสี่ใบก็ได้.”

หมอวัตซัน “ก็ทำไมจึงว่าเดี๋ยวนี้เขาจนลงไปเล่า ?”

เชอร์ล๊อกโฮมซ์ “ก็เขาใส่จนออกคร่ำอย่างนี้ เห็นหรือไม่เล่า ถ้าเขายังมีเงินอย่างแต่ก่อน เขาจะไม่โยนเสียนานแล้วหรือ จะยังใส่อยู่ธุระอะไร เขาก็มีความถือตัวเขาอยู่.”

หมอวัดซัน “ทำไมถึงว่าเขายังมีความถือตัวอยู่เล่า ?”

เชอร์ล๊อกโฮมซ์ “ดูนี่ซี เห็นหรือไม่ว่าหมวกนี้เปนหมวกสีดำก็จริง แต่เก่ามีรอยจุด ๆ หลายแห่ง เจ้าของเขาเอาหมึกทาลบรอยจุดจนทั่วนั่นบอกว่า เขายังมีความถือตัวแลความละอายอยู่ ถึงไม่มีเงินดังแต่ก่อน ก็ยังระวังไม่ปล่อยตัวให้ลอมปอมลงไป.”

“ตามเรื่องที่เขาเล่า ต่อไปภายหลังสืบได้ตัวเจ้าของหมวกก็ได้ความว่า คนนั้นเปนตามเชอร์ล็อกโฮมซ์ว่าทุกประการ.”

ข้าพเจ้า “ก็เผื่อตาเจ้าของหมวกนั้น แกซื้อหมวกจากโรงจำนำ หรือมีใครเขาให้แกจะว่ากระไรเล่า ?”

ท่านสืบ “ไม่ทราบ เขาจะมีวิธีอะไรอิกกระมัง หมอวัตซันไม่ได้ซักเชอร์ล็อกโฮมซ์ดังที่ท่านถามฉันดังนี้ จึงหาได้มีอธิบายไว้ไม่.”

ข้าพเจ้า “ถ้าอย่างนั้น ทำไม–– ?”

ท่านสืบ “ไม่ได้ๆ ฉันไม่ใช่เชอร์ล็อกโฮมซ์ ท่านจะมาให้ฉันตอบปัญหาของท่านแทนเชอร์ล็อกโฮมซ์ ไม่ได้.”

ข้าพเจ้า “อย่างนั้นก็แล้วไป.”

ท่านสืบ “เลิกกันที ลาก่อนหละ อ้อ! นี่แน่ วิธีที่ฉันทำการหาร่องรอยจับผู้ร้ายรายที่เล่าให้ฟังนี้ อย่าไปเล่าให้ใครฟังให้ออกจากปากไปอิกนะ”

ข้าพเจ้า “เอาเถอะ ไม่เล่าให้ใครฟังให้ออกจากปากไปอิกดอก.”

การที่ข้าพเจ้าได้รับคำท่านสืบไว้นั้น ข้าพเจ้าก็ได้รักษามาจนบัดนี้ ข้าพเจ้าไม่ได้พบปะท่านสืบคนนั้นมานานแล้ว ไม่ทราบว่าหายหน้าไปไหน แลถึงที่ข้าพเจ้าเรียงเปนเรื่องนี้ ข้าพเจ้าก็ได้เล่าออกจากปากไปเมื่อไร.

แชร์ชวนกันอ่าน

แจ้งคำสะกดผิดและข้อผิดพลาด หรือคำแนะนำต่างๆ ได้ ที่นี่ค่ะ