เรื่องค้างค้าง

มันจะเปนด้วยอะไรก็ไม่สู้เข้าใจ จะว่าเปนด้วยเทพดาดลใจก็ฟังดูมันยุ่มย่ามไม่สมกับ ร.ศ. ๑๒๔ จะว่าอยู่บ้านหนักเข้าก็อยากออกเที่ยวก็ไม่เชิง ด้วยวันนั้นก็กลับจากออฟฟิศเย็นกว่าธรรมดา จะหาทางอธิบายอย่างอื่นก็นึกไม่ออก ว่าทำไมเย็นวันนั้นอยู่ดี ๆ ข้าพเจ้าจึงออกเดินเรื่อยไปตามถนน ถ้าใครถามก็ตอบไม่ได้ว่าจะไปไหน เว้นแต่จะตอบตามทิศที่บ่ายหน้าเดินไป.

วันนั้นข้าพเจ้าออกจากออฟฟิศก็เย็นกว่าธรรมดามากอยู่ เมื่อกลับไปบ้านก็เกือบบ่าย ๕ โมง แต่ยังไม่ถึงเวลากับเข้าแล้ว เพราะฉนั้นยังไม่ถึงเวลาที่ควรหิวแต่ก็หิวนักหนา จึงลากเอาตะเกียงกอฮอมาต้มกาแฟขึ้นในเวลาที่ไม่ควรกินกาแฟ ด้วยถ้าว่าข้างฝรั่งก็เวลาที่ควรกินน้ำชา แลทั้งลากเอาขนมปังกับเนยออกมากินในเวลาที่ไม่ควรกินขนมปังทาเนย ด้วยว่าข้างไทยก็ทำให้เสียเข้าเย็น แลจะว่าข้างฝรั่งว่าเสียดินเนอร์ด้วยก็เห็นจะเกือบได้ ครั้นกินกาแฟกับขนมปังทาเนย แถมปลาซาดินแลไส้กรอกอิ่มหนำสำเร็จแล้ว ก็ควรที่ข้าพเจ้าจะนอนสูบกล้องอ่านหนังสือหรือไม่อ่านอยู่ที่เฉลียง แต่ข้าพเจ้ายังได้ทำของที่ไม่น่าจะทำอิกอย่างหนึ่ง ซึ่งได้กล่าวมาแล้วว่าอธิบายไม่ได้ว่าทำด้วยเหตุไร คือเมื่อสิ้นหิวแล้วข้าพเจ้าก็กลับสวมเสื้อฉวยหมวกกับไม้เท้าคาบบุหรี่เดินออกไปตามถนน ไม่ได้ตั้งใจว่าจะไปไหน เปนแต่อยู่ดี ๆ ก็ออกเดินเปื่อยเท่านั้น.

ข้าพเจ้าเดินเลียบกำแพงพระนครไปได้ครู่ใหญ่ ๆ เห็นสุนัขใหญ่สองสามตัวพากันล้อมไล่สุนัขเล็กเปนจ้าละหวั่น แต่สุนัขเล็กเปนสุนัขชนิดตัวลีบขายาวมีฝีเท้าดีก็วิ่งพ้นไปได้ อ้ายตูบอ้ายแดงอ้ายหมีไล่เลี้ยวถนนไป ข้าพเจ้านึกสงสารสุนัขเล็กกลัวจะเปนอันตราย ก็รีบสาวเท้าตามไปดู พอเลี้ยวก็พบเจ้าของอุ้มสุนัขเล็กขึ้นกอดไว้กับอก อ้ายตูบแลบริษัทพากันทำการข่มขี่จะให้เจ้าของส่งสุนัขเล็กให้มันช่วยกันกัด เจ้าของสุนัขเล็กก็ตัวสั่นหน้าซีดด้วยความกลัว มีผู้หญิงผู้ใหญ่ท่าทางเปนผู้ดีผู้หนึ่ง กับบ่าวผู้หญิงสองคน ช่วยกันต่อสู้ต้านทานศัตรูด้วยร่มแลไม้ ซึ่งถ้าจะใหญ่กว่าก็ไม่ตีอ้ายตูบให้เจ็บได้ยิ่งกว่าไม้ก้านรูป ครั้นข้าพเจ้าไปถึงเห็นคนสี่คนเข้าที่คับขันดังนั้น ก็ใช้ไม้เชอร์รี่ที่ถือเปนคทาวุธเข้าโจมตีข้าศึกแตกกระจัดกระจายพากันหนีไปสิ้น ก่อนที่ข้าพเจ้าสำแดงเดชแทนที่เทพดาเซ็นต์ยอชสังหารมังกรคืออ้ายตูบแลบริษัทนั้น ข้าพเจ้าเห็นได้แต่ว่านางผู้เปนเจ้าของสุนัขเล็กนั้นเปนหญิงสาว ต่อเมื่อมังกรหนีไปหมดแล้ว จึงทราบว่าเปนหญิงสวยด้วย เจ้าหล่อนจะเปนใครก็ตาม แต่เปนผู้ดีลงไปตั้งแต่กลางกระหม่อมตลอดสลิปเปอร์ อายุถ้าผิด ๑๘ ก็ ๑๙ หน้าตารูปร่างเหมือนผู้หญิง ซึ่งท่านเห็นว่าเปนสวยที่สุดในโลก ถ้าท่านเปนผู้หญิงแลเห็นว่าไม่มีใครสวยกว่าตัวท่านเอง (ซึ่งข้าพเจ้าเห็นด้วยทีเดียว) ท่านก็จงเข้าใจเถิดว่าหญิงเจ้าของสุนัขเล็กคนนั้นก็สวยเกือบเหมือนท่านเหมือนกัน.

แม่สาวสวยวันนั้นดูวิธีแต่งเนื้อแต่งตัวก็เห็นจะชอบด้วยแฟชชั่นแต่ไม่แต่งอย่างเต็มยศ กล่าวคือไม่ได้กลัดกระดุมหลังสพายแพรสอดถุงแลรองเท้า เปนแต่ใช้รองเท้าสลิปเปอร์ นุ่งผ้าพื้นสวมแพรแขนปลายบานเหมือนเสื้อเต็มยศขงเบ้ง ห่มแพรคลุยคลุมนอกเสื้อ กลัดเข็มกลัดมีล็อกเก๊ต นัยหนึ่งว่าหัวใจห้อยกระตุ้งกระติ้ง ถ้าดูฝาด ๆ ก็ประมาณโหลครึ่ง แต่ข้าพเจ้านับโดยละเอียดได้เพียงโหลกับ ๕ อันเท่านั้น อนึ่งกิริยาอาการแม่สาวคนนี้ดูออกฝรั่ง ๆ อยู่บ้าง เมื่อข้าพเจ้าได้ยินเรียกสุนัขว่า “เมรี” ด้วยสำเนียงอันชัด ก็รู้ได้ทีเดียวว่าโก้.

ข้าพเจ้าไปมัวตื่นแม่สาวเสีย จนลืมสังเกตท่านผู้ใหญ่ที่ยืนอยู่ด้วย ท่านผู้นี้ปรากฎภายหลังว่าเปน “คุณป้า” อายุก็เห็นจะเกือบ ๆ หกสิบ แต่ท่าทางดูออกจะรุ่มร่ามป้ำเป๋อเกินอายุ ส่วนบ่าวสองคนนั้น นางคนหนึ่งเปนสาวห่มผ้าแล้ว นางคนที่สองยังเปนเด็ก สวมเสื้อชนิดที่คนบางจำพวกเรียกว่าเสื้อคอ นัยหนึ่งว่าเสื้อชั้นใน.

ฝ่ายข้าพเจ้าเมื่อไล่หมู่มังกรแตกกระจายพลัดพรายไปหมดแล้ว ก็ลดตัวลงจากตำแหน่งเทพดาเซ็นต์ยอช แต่ก็ไม่รู้จะว่ากระไร จะพูดกับพวกผู้หญิงก็ขาดกิริยาสุภาพดูออกจะไปข้างเสือก คุณป้าก็ยุ่มย่ามพอที่จะไม่ขอบใจข้าพเจ้า แม่สาวเมื่อสิ้นตัวสั่นก็มีกิริยาสะทกสะเทิ้นกระดาก ๆ ไม่อาจพูดอะไรออกมาได้ ครั้นข้าพเจ้าจะเดินเลยเที่ยวต่อไปก็ออกเสียดายที่ยังไม่อิ่มตา แลทั้งข้าพเจ้าหลอกตัวเองเพื่อไม่ให้ผิดกิริยาสุภาพว่า เผื่ออ้ายตูบกับบริษัทมันกลับยกกันมา เรายังอยู่จะได้คอยป้องกัน ไม่ควรซึ่งจะปล่อยให้เจ้าของสุนัขน่าเอ็นดู (ท่านจะว่าคนน่าเอ็นดูหรือสุนัขน่าเอ็นดูก็ตาม) ยืนอยู่ในที่ซึ่งอาจเกิดอันตรายจากสิงสาราสัตว์ต่าง ๆ มีอ้ายตูบแลบริษัทเปนต้น เพราะฉนี้ เมื่อนายสองคนกับบ่าวสองคนยังยืนนิ่งอยู่ในที่นั้น ข้าพเจ้าก็ยืนนิ่งอยู่ด้วยเหมือนกัน แต่อยู่คนละฟากถนน ทำท่าทางประหนึ่งว่าคอยรถรางซึ่งไม่จริงเลยสักนิดเดียว.

สักครู่หนึ่งคุณป้าพูดขึ้นว่า “นี่ยังไงจนปานนี้ รถยังไม่มา ไงวะอีสุก มึงสั่งให้มาขี่โมง.”

นางบ่าวที่หนึ่ง “สั่งให้มา ๕ โมงครึ่งเจ้าค่ะ ปานนี้ไม่รู้ว่าจะไปอยู่ไหน.”

แม่สาวพูดเบา ๆ “อ้ายม้ามาโกงตามทางอิกก็ไม่รู้ ประเดี๋ยวเอาอ้ายคู่ดำเทียมมาแหละเต็มที (รถรางแล่นมาแต่ไกล) อ้อ คุณป้าคะ ไปรถรางไม่ได้รึคะ อีฉันอยากลองขี่ดูสักที.”

ข้าพเจ้าเมื่อได้ยินดังนั้น ก็ภาวนาว่าขอให้คุณป้ายอมขี่รถรางยิ่งกว่ารถม้า.

คุณป้า “ใครจะมายืนคอยอยู่ได้จนจะค่ำจะมืด บ้านเขาอยู่ริมทางรึวะอีสุก.”

นางสุก “เจ้าค่ะ พอลงก็เข้าประตูบ้าน อิฉันก็ยังไม่เคยเข้าไป เปนแต่คนอื่นเขาชี้บอกเมื่อวานซืนนี้เอง.”

คุณป้า “เองรู้จักพ่อหลวงเขารึวะ.”

นางสุก “ไม่รู้จักมิได้เจ้าค่ะ.”

พ่อหลวงคนนั้นจะใครก็ตาม แต่ข้าพเจ้าช่างอยากเปนเสียนี่กระไร ถึงเขาจะเลวเปวประการใด ก็คงได้รับรองคุณป้ากับคุณหลานที่บ้านในไม่ช้า.”

คุณป้า “เอ้า รถรางมาแล้วหละ เรียกให้เขาหยุดซีวะอีสุก ขากลับวานเขาเอารถมาส่งก็แล้วกัน รถเขามีไม่ใช่รึวะอีสุก.”

ข้าพเจ้าคิดในใจทันทีว่า ถ้าพ่อหลวงเขาไม่มีรถ ข้าพเจ้าจะยอมให้ยืมรถของข้าพเจ้าด้วยความยินดี แต่อีสุกตอบเสียว่า “เจ้าค่ะ” ก็เปนอันจนใจ.

พอรถรางเข้ามาใกล้ข้าพเจ้าก็ปฏิบัติคำสั่งคุณป้าแทนนางสุก ยกไม้เท้าขึ้นเปนสัญญาให้รถหยุด แล้วยืนคอยให้คุณป้ากับคุณหลานแลบ่าวสองคนขึ้นรถแล้วข้าพเจ้าก็ขึ้นนั่งไปด้วย.

คุณป้า “รถยังไงร้อนอ็อก นั่งไม่สบาย ไฟฟ้าไฟแฟ้ยังไงก็ไม่รู้.”

ข้าพเจ้าคิดอยากจะอธิบายแทนบริษัทรถราง ว่าไฟฟ้าเปนยาเลือด เพราะฉนั้น การที่นั่งไปในรถเท่ากับกินยาดอง.

คุณป้า “เออขี่รถนี่สบายดีที่ไม่กระเทือน (คนเก็บอัฐมาเก็บ) คนละเท่าไรล่ะยะ อ้อรวมสลึงเฟื้อง เดี๋ยวพ่อ (ค้นอัฐก้นกล่องหมาก) ตายจริงๆ มีอัฐสลึงหกอัฐเท่านั้นเอง ลดบ้างไม่ได้รึย่ะ (คนเก็บอัฐตอบว่าไม่ได้) ตายจริง นึกว่ามีพออิกเอ้า.”

ข้าพเจ้าลองพูดดูว่า “รับประทานโทษอัฐผมมี ถ้าไม่รังเกียจผมให้ยืมก่อนก็ได้ (พูดกับคนเก็บอัฐ) เอ้านี่แน่ะ.”

ตรงนี้แม่สาวไม่ยอม สกิดคุณป้าแล้วกระซิบว่า “คุณป้าก็ใครก็ไม่รู้ ธนบัตร์มีแตกก็แล้วกัน.”

คุณป้าเชื่อหลานสาวจึงพูดกับข้าพเจ้าว่า “ชั่งเถอะคุณ ชั่งเถอะคุณ เอาแบงก์นี่แตกก็แล้วกัน” แล้วหยิบธนบัตร์ใบละ ๒๐ บาทออกมายื่นให้คนเก็บเงินถึง ๓ ใบ ซึ่งแสดงความป้ำเป๋อของคุณป้ามิใช่น้อย ครั้นคนเก็บอัฐบอกว่าไม่มีทอน คุณป้าก็ค้นก้นกล่องหยิบใบละ ๑๐๐ บาทออกมาส่งให้อิกใบหนึ่ง ข้าพเจ้าเห็นจะไม่ได้การแน่ ก็ชี้แจงปลอบให้คุณป้ารับยืมอัฐข้าพเจ้า ๒ อัฐ.

คุณป้าถามว่า “ก็แล้วฉันจะใช้หนี้คุณยังไงหละ บ้านฉันอยู่ถึงคลองบางกอกน้อย.”

ข้าพเจ้าอยากไปคลองบางกอกน้อยเต็มที จึงตอบว่า “ไม่เปนไรมิได้ ถ้าคุณบอกไว้ว่าบ้านอยู่ตรงไหนผมจะไปรับประทาน.”

คุณป้าดีใจ “ดีละคุณ บ้านฉันอยู่ข้างวัดไก่เตี้ยแนะย่ะ เปนเรือนตึกอยู่น่ะยะ หาง่ายหรอก (หันไปพูดกับบ่าว) แน่ะอีสุก เองจำคุณเธอไว้นะ เวลาเธอไปละก็ไปขออัฐที่คุณหนูมาใช้เธอเสีย (กลับพูดกับข้าพเจ้า) ลงเรือจ้างที่ท่าพระจันทร์แนะคุณ.”

ข้าพเจ้านึกว่านี่คุณป้าแกอย่างไร จะให้จ้างเรือจ้างอย่างน้อยสองสลึงเข้าไปทวงอัฐ ๒ อัฐถึงในคลองบางกอกน้อย แต่ดูท่าทางแกป้ำเป๋อ ๆ คงจะเข้าใจว่าถ้าข้าพเจ้าไปก็คงไปเพื่ออัฐ ๒ อัฐนั้นจริง ส่วนคุณหลานนั้นทำท่าสกิดเตือนคุณป้าร่ำไป แต่คุณป้าก็ไม่รู้สึก จนคุณหลานสิ้นศรัทธา เลยเมินหน้าไปยิ้ม คุณป้าพูดต่อไปว่า “เรือจ้างหาง่ายหรอกคุณ.”

ข้าพเจ้า “ไม่เปนไรมิได้ ถ้าผมไปจะยืมเรือไฟเขาไป เลยเที่ยวตามเรือกตามสวนไปด้วย.”

ข้าพเจ้าพูดยังไม่ทันจะขาดคำ พอรถจะถึงน่าบ้านหลวงเกตุไกรภพ นางสุกร้องขึ้นว่าถึงแล้ว ก็บอกให้รถหยุด ครั้นคุณป้าคุณหลานแลนางบ่าวสองคนลงกันแล้ว ข้าพเจ้าก็ลงด้วย ไม่ใช่เพื่อตามส่งคุณหลานไม่ให้บริษัทอ้ายตูบมาแย่งอีเมรี แท้จริงบ้านข้าพเจ้าเองก็อยู่ต่อกับบ้านหลวงเกตุ ข้าพเจ้าต้องการจะกลับบ้านอยู่แล้ว เวลาที่กำลังลงจากรถนั้น ข้าพเจ้าเสียใจที่สุดที่คุณป้ากับคุณหลานมาเปนพี่น้อง หรืออย่างน้อยรู้จักมักคุ้นกับหลวงเกตุด้วย ถ้าไม่เช่นนั้นที่ไหนจะไปจนถึงบ้าน หลวงเกตุคนนี้เปนคนบ้านอยู่ต่อกับข้าพเจ้าก็จริง แต่เข้ากันไม่ได้ยิ่งกว่าน้ำมันกับน้ำ ข้าพเจ้าเห็นหลวงเกตุเปนมนุษย์เลว ๆ ขี้เมาตระกูลต่ำเปนบ้าแลกิริยาเปนไพร่คบไม่ได้ แต่หลวงเกตุก็คงเห็นข้าพเจ้าเปนคนชนิดนั้นเหมือนกัน เพราะฉนั้น เมื่อนางสุกร้องขึ้นว่า “ถึงแล้ว” ที่หน้าบ้านหลวงเกตุดังนั้น ข้าพเจ้าจึงนึกเสียใจที่ดูท่าทางคนผิด ควรหรือช่างไปเอาใจใส่กับคนที่เปนพี่น้องกับหลวงเกตุเช่นนี้ได้ เรื่องที่คิดจะก่อร่างสร้างกายเข้าไปทวงอัฐ ๒ อัฐ ถึงคลองบาง/*56 4*/กอกน้อยนั้นก็เปนอันเลิก จนชั้นคุณหลานเดินไปข้างหน้าก็ไม่ยอมแลดู บริษัทอ้ายตูบจะแห่กันมากัดอีเมรีก็มิใยจะกัด ดังนี้ข้าพเจ้าลงจากรถแล้ว ก็เมินหน้าก้มดูเดิน เลยแวะเข้าไปในร้านฝรั่งอยู่ตรงหน้าบ้านหลวงเกตุ มีคำว่า “บาร์” ตัวใหญ่ ติดอยู่น่าร้านแสดงสินค้าที่ขายอยู่ในนั้น.

การที่ข้าพเจ้าแวะเข้าไปในร้านนั้น ก็มิใช่จะต้องการอะไรที่น่าบาร์เปนด้วยเห็นพระเวชวิสิษฐ์อยู่ในนั้น ข้าพเจ้ามีธุระต้องการจะพูดกับพระเวชสองสามคำจึงแวะเข้าไป.”

พระเวช “เออนั่นไปไหนมา กันถูกนายท่านใช้ไปแต่กลางวัน กลับมาทางนี้หิวเหลือกำลัง แวะเข้าไปบ้านแกหมายจะขอขนมปังกินสัก ๒ ชิ้น แกไม่อยู่ กันก็เลยมาแวะซื้อแซนต์วิตซ์กินอยู่นี่เอง.”

ข้าพเจ้า “กลับมากินเข้าด้วยกันสิ.”

พระเวช “ไม่ได้หร็อก อิ่มแล้ว จะต้องรีบไปในวัง นายท่านคอยอยู่ที่ออฟฟิศ.”

ข้าพเจ้าพูดกับพระเวชสักสามสี่มินิตแล้วก็เลยไปบ้าน เมื่อไปถึงพบแขกคอยอยู่ที่เฉลียงสองคน คือคุณป้ากับคุณหลานเมื่อตะกี้นี้เอง.

ข้าพเจ้าประหลาดใจเท่ากับเห็นสินสมุทกับสุดสาครมานั่งอยู่น่าเฉลียงเรือน นึกถึงเรื่องที่ดูคนผิดเมื่อสักครู่นี้เองออกแค้นใจ จึงบอกกับคุณป้าออกไปทื่อๆ ว่า “นี่บ้านฉัน ไม่ใช่บ้านหลวงเกตุไกรภพ ท่านมาเห็นจะผิดบ้านเสียแล้ว.”

คุณหลานได้ยินข้าพเจ้าพูดดังนั้น ก็ไม่เข้าใจว่าอะไรไปทางไหน ทำตาเลิกลากแลดูคุณป้า แต่คุณป้าป้ำเป๋อ ๆ ไม่เข้าใจอะไรตามเคย กลับถามข้าพเจ้าว่า “พ่อนี้หรือหลวงรักษ์.”

พอข้าพเจ้ารับว่าใช่ คุณป้าก็ลุกมาลูบหน้าลูบหลังแล้วว่า “ดูรึ ป้าจำไม่ยักได้ โตเร็วเบารึ (ข้าพเจ้าโตมาแล้วกว่า ๑๐ ปี) พุโทป้าให้กินนมอยู่เมื่อวานซืนนี้เอง พุโท่จำไม่ได้” พูดแล้วร้องไห้โฮขึ้น.”

ข้าพเจ้าสิ้นความคิด ด้วยไม่ทราบว่าอะไรไปทางไหน ครั้นแลดูตาแม่สาว ๆ เห็นตาข้าพเจ้าเลิกลากก็กลับเมินยิ้มเอาด้วยซ้ำ ข้าพเจ้าหมดท่าก็ว่า “อะไรกันก็ไม่ทราบ ผมยังไม่เข้าใจ.”

คุณป้า “พุโท่ นี่พ่อจำป้าไม่ได้กระมัง (เช็ดน้ำตา) ป้าเปนพี่แม่เจียม แม่ของพ่อยังไงล่ะ ป้าเข้ามาจากเมืองวันพลีเมื่อสองสามวันนี้เอง พระยาวันพลีเขาบอกว่าพ่อกลับมาจากเมืองนอกแล้ว ป้าก็มาหา เลยพาแม่อิ้งมาด้วยให้รู้จักกันไว้พี่ๆ น้องๆ แม่อิ้งไหว้พี่แล้วรึ.”

แม่สะอิ้งไหว้ ข้าพเจ้าก็รับไหว้แลรับเปนพี่ด้วยความยินดี.

ข้าพเจ้า “ผมจำคุณป้าไม่ได้จริง ๆ เปนด้วยไปเมืองนอกเสียแต่โกนจุกใหม่ ๆ ไปอยู่สิบสามสิบสี่ปี แลเมื่อก่อนผมออกไปคุณป้าก็ไม่ใคร่ได้เข้ามากรุงเทพ ฯ ผมก็ดูเหมือนจะได้ไปเมืองวันบูรีครั้งเดียว แต่ยังไม่อย่านมจำความไม่ได้.”

คุณป้า “ผูกหละพ่อ ถูกหละ แต่ก่อนป้าไม่ค่อยได้มาบังกอก เดี๋ยวนี้ก็ไม่ค่อยได้มา แต่รถฟืนรถไฟมันมี ค่อยยังชั่ว พระยาวันพลีนะแหละ เขาเข้ามาบ่อย ๆ พระยาวันพลีพ่อแม่อิ้งนี่แหละ พุโท่ พี่น้องไม่รู้จักกัน พ่อทราบไหมล่ะ คุณตาของพ่อมีลูกสามคน ป้าหัวปี แม่เจียมคนกลาง พระยาวันพลีสุดท้อง ลูกป้ามีมันก็ไม่อยู่สักคนเดียว พี่น้องชั้นพ่อก็มีสามคน แต่ตัวพ่อเองกะแม่อิ้งพ่อเอกลูกพระยาวันพลีเท่านั้นแหละ.”

ข้าพเจ้า “ขอรับ ผมทราบแล้ว แต่ไม่รู้จักตัวกัน เมื่อลงจากรถรางเมื่อกี้ ผมคิดว่าคุณป้าจะไปบ้านหลวงเกตุ ไม่ได้คิดเลยว่าคุณป้ากับแม่สะอิ้งนี้เอง อ้อ เมื่อกี้อ้ายหมามันจะกัด อีตาขาวของหล่อนเสียให้ได้.”

แม่สะอิ้งออกจะพูดเก่ง ตอบทันทีว่า “ค่ะ แม้ อีฉันตกใจออก หากว่าคุณพี่มาช่วย ชอบก๊ล นึกว่าใครที่ไหนมา.”

ข้าพเจ้า “นั่นซิ พี่ก็พิศวงเสียนี่กระไรว่าใครหนอ เห็นจะเปนด้วยเลือดมันใกล้นักกระมัง ใจคอมันถึงได้ไปจดจ่ออยู่กับหล่อนจนตลอดทาง.”

เวลานั้นคุณป้าลุกไปรินน้ำกิน แม่สะอิ้งทำตาคว่ำต่อว่า ๆ “ไม่ใช่ดอกค่ะ.”

ข้าพเจ้าสารภาพทันที “นั่นซิ ตาด้วย พุโท ก็ไม่รู้ว่าใครนี่นา.”

แม่สะอิ้ง “ดีละค่ะ แก้ตัวไปเถอะ.”

คุณป้าถือถ้วยน้ำชากลับมานั่งเก้าอี้ ข้าพเจ้าก็แก้ตัวต่อไป “ผมมัวยินดีที่พบพี่น้องมาถึงบ้าน จนเสียกิริยาทำให้คุณป้าต้องไปรินน้ำเอง.”

คุณป้าดูทีไม่เข้าใจว่าข้าพเจ้าพูดอะไร แต่แม่สะอิ้งลอบทักเอาเบา ๆ ว่า “โก้จริง สตริกด์เอติเกตต์.”

ข้าพเจ้าได้ยินจึงกลับถามว่า “โอ ยู สปิก อิงลิช.”

คุณป้า “เออแน่ แม่สะอิ้ง ไปอยู่โรงเรียนเปนแปดปีเก้าปี พูดฝรั่งกับพี่ให้ป้าฟังทีรึ.”

คุณป้าป้ำเป๋อตามเคยให้โอกาศดังนี้ ข้าพเจ้าก็พูดฝรั่งเรื่อยไป แม่สะอิ้งก็พูดได้พอใช้ ตอบข้าพเจ้าได้ทันกันทุกคำ ต่อเมื่อคุณป้าพูดอะไรขึ้นเราจึงหันไปพูดไทยเสียสองคำแล้วกลับพูดฝรั่งไปใหม่ แม่สะอิ้งจะชอบพูดหรือไม่ชอบ ข้าพเจ้าก็ชักพูดตะพัดไป ในที่สุดแม่สะอิ้งจะคิดว่ากระไรก็ตาม แต่ข้าพเจ้ามีความคิดตกลงในใจ ๒ ข้อ ข้อ ๑ ว่าเด็กคนนี้ได้อย่างใจเราพร้อม ข้อ ๒ ว่าถ้าเจ้าคุณป้าท่านยอมตามความประสงค์ของเรา ๆ จะยินดีนัก แลจะต้องรีบคิดการ.

คุณป้า “เออประเดี๋ยวจะดึก ไปทีเถอะแม่อิ้ง พ่อหลวงมีรถไหมให้ไปส่งป้าท่าพระจันทร์สักประเดี๋ยวเถอะ วันไหนว่างไปหาป้าบ้างนะ ป้าอยากถามอะไรสักหน่อย” ตรงนี้แม่สะอิ้งเมินหน้า ซึ่งทำให้ข้าพเจ้าเข้าใจได้ว่าเรื่องที่จะถามนั้นเกี่ยวกับแม่สะอิ้ง ข้าพเจ้าจึงถามออกไปดื้อๆ เปนภาษาอังกฤษ.

แม่สะอิ้งตอบเปนภาษาอังกฤษ “อีฉันจะทราบได้อย่างไร.”

ข้าพเจ้า “ก็ทำไมหล่อนเมินหน้า.”

แม่สะอิ้ง “ซักอะไรก็ไม่รู้หละ คุณป้าวานรถไปส่ง ก็ไม่สั่งให้” เวลาลงเรือนไปจะขึ้นรถ คุณป้ากำชับข้าพเจ้าว่า “ว่างละไปนะพ่อหลวง อย่าลืมล่ะ.”

ข้าพเจ้า “คุณป้าอย่ากลัวเลยขอรับ วันอาทิตย์น่า เปนไปทีเดียว คุณป้าให้แม่สะอิ้งหาเข้าไว้ให้กินก็แล้วกัน.”

แม่สะอิ้ง “อีฉันหาไม่เปนหร็อก กับเข้าฝรั่งมังค่า.”

ข้าพเจ้า “ใครบอกว่าฉันกินกับเข้าฝรั่งอะไรหล่อน ออกโตแล้วหากับเข้าไม่เปนได้รึ ส่วนกับเข้าฝรั่งนั้น ถ้าไม่เปนจริงๆ ฉันจะเปิดตำรามาช่วยสอน ถ้าเจ้าคุณน้ากับคุณป้าท่านตกลงอนุญาต.”

คุณป้า “ดีหละ สอนน้องให้เปนไว้หลาย ๆ อย่าง อะไรกะอีจะสอนกันทำกับเข้าก็จะต้องให้อนุญาตด้วย” ข้าพเจ้ารักความป้ำเป๋อของคุณป้านัก แต่แม่สะอิ้งทำกิริยาสบัดเอาหน่อยๆ ถ้าแสงไฟหน้าบ้านไม่รุบรู่เต็มทีก็คงเห็นฉวัดหางตาอย่างขัดแค้น แต่ถึงไม่เห็นข้าพเจ้าก็รู้สึกอะไรเหมือนสายฟ้าฟาดอย่างอ่อน ๆ เห็นจะสายตากระมัง.”

เมื่อคุณป้ากับแม่สะอิ้งขึ้นรถแล้ว ข้าพเจ้าก็บอกว่าจะไปส่งลงเรือที่ท่าพระจันทร์ อธิบายว่าเผื่อม้าจะไปโกงตามทางจะได้ช่วยกับขับ.

คุณป้า “ดีเทียวพ่อหลวง ไปแต่ลำพังผู้หญิงกับคนขับป้าก็ออกกลัว นี่แน่ที่นั่งถมไป ให้บ่าวนั่งข้างหน้าเสียสองคน เรานั่งข้างนี้สามคน แม่สะอิ้งตัวเล็กนั่งกลางก็แล้วกัน ไม่เบียดกี่มากน้อยหร็อก.”

ข้าพเจ้าเต็มใจทีเดียวที่จะเบียด อยากจะเปลี่ยนเอารถคันเล็กด้วยซ้ำ แต่แม่สะอิ้งไม่ยอมเบียด ไพล่เปลี่ยนไปนั่งข้างน่า คุณป้าก็ออกจะเห็นด้วย เพราะข้าพเจ้าเปนพี่ควรนั่งต้นพนัก ต้องเกี่ยวกันอยู่พักหนึ่ง ข้าพเจ้าพยายามจะให้นั่งต้นพนักสามคน เพราะคืนวันนั้นออกหนาวจะได้ค่อยอุ่น แต่แม่สะอิ้งยอมหนาว จะนั่งคนละฟากกับข้าพเจ้า ในที่สุดตกลงตามที่ถูก คือแม่สะอิ้งนั่งต้นพนักไปกับคุณป้า ข้าพเจ้านั่งน่าไปกับบ่าวคนหนึ่ง บ่าวอิกคนหนึ่งว่าที่ศุขาจารนั่งไปท้ายรถ.

ครั้นไปถึงท่าพระจันทร์ เมื่อคุณป้าลงเรือแล้ว แม่สะอิ้งกำลังจะลงเรือ ข้าพเจ้าจึงเตือนว่า “วันอาทิตย์หล่อนอย่าลืม ทำกับเข้าไว้ให้อร่อย แกงไก่แหละดี.”

แม่สะอิ้ง “ค่ะ อิฉันจะไปบอกแม่ถึกเขามาแกงไว้ให้.”

เวลานั้นข้าพเจ้าไม่เข้าใจว่า แม่สะอิ้งพูดหมายความอย่างไร ต่อออกเรือไปแล้วจึงนึกขึ้นได้ว่า แม่ถึกคนนี้เปนพี่น้องกับเรา ห่างกันสามโยชน์ เมื่อเล็กดำปื้อราวกับอะไรดี ท่านผู้ใหญ่เคยจัดให้เปนคู่ตุนาหงันกับข้าพเจ้าตั้งแต่เด็ก ๆ อยู่ด้วยกัน ปานนี้ก็นานนักหนามาแล้ว ดูดู๋แม่สาวคนนี้ช่างไปขุดเอาขึ้นมาพูดได้ ข้าพเจ้านึกบนบานอารักขเทวดาว่า ขอให้แม่ถึกมีลูกเสียแล้วสักสามคน จะได้สิ้นเรื่องกันไปเสีย แต่นึกทราบเอาว่าคงยังไม่มีเย้าเรือน แม่สะอิ้งจึงไปฉวยเอามาพูดเช่นนั้น ดูหรือช่างจำไว้ได้.

ข้าพเจ้านึกถึงเรื่องนี้แลเรื่องที่เกี่ยวเนื่องกันตลอดทาง ด้วยเกรงว่าถ้าเจ้าคุณน้ากับคุณป้าท่านยังคงมีความคิดอยู่ว่า ข้าพเจ้าควรได้กับแม่ถึกก็จะลำบากนัก จะขอเปลี่ยนตัวท่านก็จะว่าไม่ทำตามคำผู้หลักผู้ใหญ่ ในเวลานั้นข้าพเจ้าอยากให้แม่ถึกเปนคนหูขาดจมูกโหว่ หรือเปนคนพิการอย่างอื่นไปเสียสิ้นเรื่อง เห็นจะบาปสักหน่อยกระมัง ท่านเห็นอย่างไร.

อิกสองวันถึงวันอาทิตย์ ข้าพเจ้าไปถึงบ้านเจ้าคุณน้าแต่ตอนเช้า พอถึงบันไดตึกพบนางสุก ข้าพเจ้าจึงว่า “อย่างไร นางสุกข้ามาทวงอัฐ ๒ อัฐของข้า เจ้าต้องไปบอกคุณหนูให้นำอัฐออกมาใช้ตามคำสั่งคุณนายในรถรางวันนั้น เจ้าคงจำได้กระมัง คุณหนูอยู่ไหนล่ะ.”

นางสุกตอบว่าคุณหนู (คือแม่สะอิ้ง) กำลังยกอั้งโล่มาแกงไก่อยู่ที่เฉลียงหลังเรือน ถามถึงแม่ถึกว่าไม่ได้มา แท้จริงนางสุกไม่รู้จัก แลเมื่อข้าพเจ้าถามว่าคุณนาย (คือคุณป้า) อยู่ไหน ก็บอกว่ากำลังรับแขกอยู่บนตึก แขกนั้นคือคุณสินป้าพระเวชซึ่งข้าพเจ้าได้ออกชื่อมาแล้ว ข้าพเจ้าไล่เลียงนางสุกได้ความว่า คุณสินเปนคนอยู่ในคลองเดียวกัน ได้เคยรู้จักกับคุณป้ามาบ้าง เมื่อคุณป้าเข้ามากรุงเทพ ฯ ก็มักไปหาบ่อย ๆ เมื่อไล่เลียงนางสุกได้ความดังนี้แล้ว ข้าพเจ้ายังมีธรรมเนียมฝรั่งติดอยู่หน่อยหนึ่ง ก็หยิบธนบัตร์ออกรางวัลใบหนึ่ง แล้วเลี่ยงเข้าไปคอยอยู่ในห้อง ซึ่งนางสุกแจ้งความว่าเปนห้องเขียนหนังสือของเจ้าคุณน้า สั่งว่าถ้าแขกไปแล้วจึงให้เรียนคุณป้าว่า ข้าพเจ้าคอยอยู่ในห้องหนังสือ แลทั้งให้บอกแม่สะอิ้งเสียเดี๋ยวนั้นด้วย.

ข้าพเจ้าคอยอยู่ในห้องหนังสือสักครู่หนึ่ง เห็นสีแดง ๆ เขียว ๆ ผ่านประตูเข้าไปในห้องต่อห้องหนังสือ ข้าพเจ้าตามไปชะโงกดู เห็นแม่สะอิ้งนุ่งแดงห่มเขียวนั่งเจียนหมากอยู่คนเดียวในห้องเตียนโล่ง มีประตูเปิด ๒ บานอยู่อย่างน้อย ๘ ประตู ข้าพเจ้าก็เข้าไปนั่งพูดด้วย.

ข้าพเจ้า “อย่างไรยะ แกงสุกหรือยัง.”

แม่สะอิ้ง “แม่ถึกแกยังแกงอยู่ค่ะ แม้พอแกทราบ ว่าจะแกงให้คุณพี่กิน แกปลื้มรีบมากุลีกุจออ็อก แกดี๊ดีแม่ถึก คุณพี่ควรยินดีที่สุดอีฉันก็พลอยยินดีด้วย.”

ข้าพเจ้า “นี่อะไรหล่อนจะมายกแม่ถึกให้ฉันรึยะ.”

แม่สะอิ้ง “เอ้า ก็ยังไงล่ะคะ คู่ตุนาหงันของคุณพี่แท้ ๆ นี่ แกซ้วยสวย ขาวคมคายน่าเอ็นดู กิริยามารยาตร์แช่มช้อยน่ารักจริง ๆ พูดจาคมสันทุกอย่าง คุณพี่เห็นและแทบคลั่งถึงไปกระมัง.”

ข้าพเจ้า “ฉันไม่เชื่อว่าหล่อนเคยเห็นแม่ถึก เพราะฉันเคยเห็นแกเมื่อเล็ก ๆ จำได้ดี ๆ ว่าตรงกันข้ามกับที่หล่อนว่านั้นทุกข้อ ข้อ ๑ แกดำใกล้ๆ เข้าไปกับถ่านหิน..........”

แม่สะอิ้ง “ตายจริง คุณพี่หาว่าอิฉันไม่รู้จักแม่ถึก ก็แกกำลังแกงไก่อยู่ที่เฉลียงหลังเรือนนี่นา จะไปเรียกก็กลัวแกจะไม่มาเพราะคงกระดาก.”

ข้าพเจ้า “อ้อ หล่อนนี้ก็เมกเก่งพอใช้ แม่ถึกแม่แถ็กที่ไหนมี ก็หล่อนนั่งแกงอยู่เมื่อกะกี้นี้เอง ไปเอาแม่ถึกมาเล่าออกจ้อ.”

แม่สะอิ้งทำหน้าเปนทีโกรธ “นี่คุณพี่หาความว่าอีฉันกุกระมัง.”

ข้าพเจ้า “แน่ทีเดียว ก็ฉันไล่เลียงนางสุกมันมาก่อนขึ้นมาบนตึกนี้เอง มันบอกว่าหล่อนยกอั้งโล่ขึ้นมาแกงไก่อยู่ที่เฉลียงหลังตึก คราวนี้หล่อนจะแก้ตัวว่ากระไรอิกเล่า.”

แม่สะอิ้งกลั้นไม่ได้ก็หัวเราะออกมาครึ่งๆแต่ทำเปนโกรธ “ต๊าย ตาย เฮ้ย สุก สุก นั่นเอง เอาอะไรมาปดคุณพี่.”

เวลานั้นนางสุกกำลังเดินผ่านประตูไป ได้ยินเสียงแม่สะอิ้งจับคำที่พูดได้พอเข้าใจ ก็ทำเปนไม่ได้ยินวิ่งหนีเลยไปเสีย ในทันใดนั้นคุณป้าเดินเข้ามาในห้องถามว่าอะไรกัน ข้าพเจ้าช่วยกุตอบขึ้นว่า “ผมถามถึงแกงไก่ขอรับ แม่สะอิ้งเรียกนางสุกจะให้ไปดูว่าสุกหรือยัง.”

คุณป้า “อ้อ แม่อิ้งเขาแกงไก่ดี ก็เห็นนั่งแกงอยู่ที่เฉลียงหลังตึกเปนนานแล้ว ยังไม่สุกอิกหรือหลาน.”

คราวนี้แม่สะอิ้งจะแก้ตัวอย่างไรไม่ได้ ก็ลุกขึ้นวิ่งหนีบอกว่าจะไปดูแกงด้วยกลัวจะไหม้.

เมื่อแม่สะอิ้งลุกหนีไปนั้น คุณป้าแลตามไปจนออกประตูไปแล้ว จึงหันกลับมาพูดกับข้าพเจ้ายืดยาวว่า “หลานคนนี้พ่อเขาให้ป้าเลี้ยงมาแต่เล็ก เปนแต่เมื่อไปโรงเรียนฝรั่งเขาช่วยจัดส่งให้ ครั้นออกจากโรงเรียนเขาก็ให้มาอยู่กับป้าตลอดมาจนป่านนี้ ตัวป้าเองลูกเต้าก็หมดแล้ว เห็นแต่หลานสาวอยู่คนเดียวที่จะสำหรับหยอดน้ำหยอดเข้า แต่เด็กมันก็โตแล้วจะไม่ให้มีเย่ามีเรือนมันก็ไม่ชอบกล ที่จริงหลานคนเดียวจะเลี้ยงไว้เองก็มีให้กินเหลือกิน แต่ถ้าเขาอยากมี ป้าก็ไม่ขัดเขา มีคนมาขอก็หลายคน พวกเมืองวันพลีสองสามราย พ่อเขาก็ไม่ว่ากระไรออกไป แต่แม่อิ้งก็ไม่ชอบว่าชาวบ้านนอกรุ่มร่าม บัดนี้มีเขามาขออิกรายหนึ่ง ชื่อพระเวชลูกพระยาอะไรอยู่ฟากข้างโน้น เปนหลานแม่สินที่มาเมื่อตะกี้ พระยาวันพลีเขาก็ว่าตามใจป้า ป้าก็ยังไม่แน่ จึงผัดว่าจะตรึกตรองดูก่อน พระเวชคนนี้พ่อหลวงรู้จักไหม พ่อเห็นอย่างไร ป้าอยากปรึกษา ด้วยคิดว่าคงรู้จักด้วยกันหนุ่ม ๆ ด้วยกัน.”

ข้าพเจ้าอ้ำอึ้งอยู่พักหนึ่งจึงตอบว่า “พระเวชคนนี้กับผมก็พอรู้จักชอบพอกันอยู่บ้าง ได้เรียนหนังสือพร้อมกันมาแต่เล็ก ถ้าจะว่าไปเขาก็ดี ทำงานได้เงินเดือนอยู่ ๕ ชั่ง แต่อ้ายเรื่องนี้ผมยังไม่สู้จะเห็นด้วย เพราะเห็นว่าให้ได้กันพี่ ๆ น้อง ๆ แหละดี.”

คุณป้า “นั่นนะซีหลาน แต่ว่าพี่น้องยังมีอยู่ก็แต่พ่อทรัพย์ เขาก็มีอันจะกิน มีเรือกสวนอยู่แถวบางแวก พ่อก็ตายแล้วเหลืออยู่แต่แม่ ลูกก็ยังเหลือแต่แม่ถึกกับพ่อทรัพย์ พี่น้องสองคน แต่แม่อิ้งเขาว่าพ่อทรัพย์ชาวสวนเซ่อซ่า เขาว่าอิน ๆ แอ็น ๆ อะไรของเขาก็ไม่รู้ อ้อ พ่อหลวงกับแม่ถึกว่ากระไรกันล่ะ.”

ข้าพเจ้า “ก็เฉย ๆ ขอรับ แต่ก็ถ้าแม่สะอิ้งไม่ชอบนายทรัพย์ ก็ไม่มีพี่น้องคนอื่นที่หล่อนชอบบ้างหรือขอรับ.”

คุณป้า “ก็ไม่มีนี่หลาน หรือพ่อเห็นใครอยู่บ้าง.”

ข้าพเจ้าเห็นอยู่คนหนึ่งแล้ว ว่าเหมาะนัก ไม่ใช่แต่เห็นถึงรู้สึกแลหายใจอยู่เองทุกอึดใจด้วยเสียอิก แต่จะบอกคุณป้าออกไปตรง ๆ ก็ดูจะเปนการอิมโปลิติก ด้วยยังไม่ได้สืบสวนความเห็นผู้ใหญ่ว่าเปนอย่างไร ถ้าทำผลุนผลันออกไป ฉวยว่าไม่สำเร็จ ก็จะทำให้ข้าพเจ้าเปนผู้ถูกรังเกียจเสียเปล่า ๆ เพราะฉนี้ ควรอดใจนิ่งตรับฟังระวังการไปก่อน ข้าพเจ้าจึงตอบคุณป้าไถลไปว่า “ผมก็ยังไม่ใคร่รู้จักพี่น้องทั่วทุกคน แต่คิดว่าพี่น้องเราก็มาก คงมีที่เหมาะสักคนหนึ่ง ถ้าคุณป้าดูให้ถ้วนหน้ากันก็คงเห็น.”

คุณป้าชวนข้าพเจ้าพูดเรื่องนี้ไปอิกพักหนึ่ง ข้าพเจ้าก็เก็บโน่นผะสมนี่ได้ความว่า ความเรื่องนี้ข้อสำคัญอยู่กับตัวแม่สะอิ้งเอง ด้วยคุณป้าไม่ขัดใจหลาน เจ้าคุณน้าก็ไม่ขัดใจลูก เว้นแต่แม่สะอิ้งไพล่ไปชอบใครเลอะเทอะนั่นแหละจึงจะขัด ตามบรรดาพวกที่มาขอไม่สำเร็จไปแล้วนั้น ที่ต้องหน้าเจื่อนกลับไปก็ด้วยแม่สะอิ้งไม่ชอบ ไม่ได้ยินเสียงว่าคุณป้าหรือเจ้าคุณน้าขัดข้องคนไหนเลย ส่วนเรื่องพระเวชคนนี้ที่ยังไม่ตกลงไปทางไหน ก็เพราะแม่สะอิ้งยังไม่แน่ใจ แท้จริงก็คงไม่ได้ยินข่าวอะไรที่เปนทางเสียของพระเวช ถ้าไม่อย่างนั้นคงปฏิเสธเสียแล้ว การที่ยังลังเลอยู่นี้ก็ด้วยแม่สะอิ้งเคยอ่านหนังสือฝรั่ง มีความเห็นไปข้างโก้ว่า ผู้หญิงกับผู้ชายควรรู้จักชอบพอต่างคนต่างปลื้มกันเสียก่อนจึงคิดการต่อไป แต่ที่พระเวชให้ผู้ใหญ่มาพูดกับผู้ใหญ่ แลยังไม่เคยเห็นตัวกันเลยเช่นนี้ ข้างผู้หญิงจะเออลงไปก็ไม่แน่ใจ จะปฏิเสธเสียทีเดียวก็ได้ข่าวว่าเขาที่จึงเปนการลังเลอยู่

ความข้อนี้พูดรวมลงได้สั้น ๆ ว่าผู้ใหญ่ตามใจแม่สะอิ้ง แม่สะอิ้งมีความคิดไปข้างฝรั่ง แต่พระเวชมาพูดจาสู่ขอเปนอย่างไทย ๆ ซึ่งเปนทางเดียวที่พระเวชจะทำได้ ด้วยจะเข้าประจ๋อประแจ๋ใกล้ชิดอย่างฝรั่งก็ไม่มีช่องทาง เพราะคุณป้าเปนคนชนิดเก่า ถึงจะอย่างไร ๆ ก็ไม่ยอม เพราะฉนั้นจึงเปนเหตุให้ลังเลกัน.

ส่วนข้าพเจ้าเองนั้นจะพูดกับคุณป้าแลเจ้าคุณน้าเวลานี้ก็ยังไม่ชอบกล ด้วยถ้าเสียทีจะเลยเหลว ต้องดูท่าทางเห็นจะจับได้มั่นจึงจับ เรื่องนี้ข้าพเจ้าใคร่ครวญถ้วนถี่เห็นช่องทางว่าคงจะสำเร็จ เว้นแต่จะตกลงยกให้พระเวชเสียก่อน นั่นแหละ ข้าพเจ้าจึงจะไม่ได้ดังนี้ ท่านจงคิดดูเถิดว่า ถ้าข้าพเจ้าจะคิดให้ได้ข้อต้นข้าพเจ้าจะต้องทำอย่าง ไร พระเวชกับข้าพเจ้าก็เปนคนชอบพอกันอยู่บ้าง แต่เรื่องชนิดนี้ตัวใครก็ต้องตัวใครกระมัง.

* * * * * *

วันนั้นข้าพเจ้ากลับไปบ้านกินอาหารเย็นแล้ว ก็นั่งสูบสุหรี่อ่านหนังสืออยู่ที่เฉลียงน่าเรือน สักครู่หนึ่งเห็นรถขับมาหยุดหน้าบ้าน พระเวชเดินเข้าประตูขึ้นบันไดมานั่งลงบนเก้าอี้ แล้วคุยเรื่องอะไรต่ออะไรกันได้พักหนึ่ง ข้าพเจ้าจึงถามขึ้นว่า “ได้ยินว่าแกไปขอลูกสาวพระยาวันบุรีหรือ?”

พระเวช “ทำไมแกถึงรู้ล่ะ ?”

ข้าพเจ้า “ทำไมกัน ๆ ถึงรู้ ก็กันเปนหลานชายเจ้าคุณวันบุรี แกรู้หรือเปล่าล่ะ เปนแต่กันไม่ใคร่ได้ไปมาหาท่านใน ๑๕ ปีนี้ได้ไปครั้งเดียว” (๑๕ ปีนั้นรวม ๑๔ ปีเศษ ที่ข้าพเจ้าไปอยู่เมืองนอกด้วย แต่พระเวชกำลังทึ่งไม่ยักสงสัย.)

พระเวช “ว๊ะ งั้นรึ กันไม่ยักรู้ ถ้าอย่างนั้นแกต้องช่วยกันบ้าง ประเดี๋ยวนี้มันยังตกลงกัน ข้างโน้นผัดตรึกตรอง แต่กันสืบได้ความว่ามันสำคัญอยู่กับตัว ๆ เจ้าสาวเปนใหญ่ ด้วยผู้ใหญ่ตามใจเด็ก แลก็ไม่มีข้อที่จะไม่พอใจเราทางไหน เปนแต่ลูกสาวยังลังเลในใจ ด้วยไม่รู้จักมักจี่กับเรา แลเจ้าหล่อนออก โก้อยู่นิด ๆ ถ้าหล่อนว่าเออคำเดียวก็คงตกลง แกเปนพี่น้องช่วยหนุนให้กันบ้างก็เห็นจะได้กระมัง.

ข้าพเจ้า “นี่แหละแก มันขัดอยู่หน่อยหนึ่ง ด้วยกันจะต้องช่วยตัวกันเองยิ่งกว่าช่วยแก.”

พระเวชทำตาเขียว “เอ๊ะ นี่แกจะแย่งกันรึนี่.”

ข้าพเจ้าเมินหน้าตอบว่า “อ้ายเรื่องชนิดนี้ตัวใครก็ตัวใครกันบ้างกระมัง กันไม่ต้องการจะเปนผู้มีชื่อเสียงปรากฏว่ารักเพื่อนมากกว่ารักตัว.”

พระเวชโกรธน่าแดง “ถ้าอย่างนั้นแกกะกันก็คบกันไม่ได้.”

ข้าพเจ้า “ทำไมจะไม่ได้ แกจะว่ากันแย่งอย่างไรได้ แกจะมาแย่งพี่น้องของกันน่ะไม่ว่าบ้าง อ้ายอย่างนั้นพี่น้องของกัน ๆ ก็ต้องรัก กันควรจะโกรธแกที่แกจะมาแย่ง แต่กันไม่โกรธ แกกลับมาโกรธเอากันเข้าได้.”

พระเวชเสียงเขียว “ก็พี่น้องของแกทำไมแกไม่คิดเสียก่อนละ ทำไมถึงมาคิดปานนี้.”

ข้าพเจ้าไถลไปว่า “คิดปานไหน พี่น้องของกัน ก็เปนพี่น้องตั้งแต่แรกเกิดมา มิใช่ว่ามันพึ่งมาเกี่ยวญาติกันได้สองสามวันเมื่อไรล่ะ.”

พระเวชเสียงยังคงสีเดิม “เออน่า ดีหละ เรามันเปนอันคบกันไม่ได้อิกต่อไป เคยชอบเคยพอกันมาตั้งแต่เด็ก ๆ จะมาต้องเลิกกันด้วยเรื่องนี้ก็ตามใจ.”

ข้าพเจ้า “ตามใจอย่างไร กันไม่ได้บอกว่าจะเลิกคบกับเก แต่แกจะมาแย่งพี่น้องกัน ๆ ยังไม่โกรธ ส่วนแกสิแต่เรื่องผู้หญิงเท่านี้จะปล่อยให้เสียเพื่อนฝูงเก่าแก่.”

พระเวชโกรธเต็มที “ก็ใครเขาทำเสียล่ะ ใครทำก่อน.”

ข้าพเจ้า “แกนะซิทำเสีย แกเปนคนออกปากตัดออกมาว่าไม่คบกันต่อไป ก็จะต้องเรียกว่าแกทำ แลไม่มีก่อนไม่มีหลัง เพราะแกทำคนเดียว.”

พระเวช “ใครเปนคนแย่งล่ะ.”

ข้าพเจ้า “แกนะซิแย่ง พยายามจะแย่งพี่น้องกันอย่างไรเล่า ส่วนกันนั้นถ้าหากว่าแย่งแกจริงก็แย่งคนอื่น ส่วนแกสิมาแย่งพี่น้องกันได้ พุโท่ เสียแรงคบกันมาเปนนานจะมาแย่งพี่น้องกันได้ แต่กันก็ไม่ยักโกรธ” ข้าพเจ้าพูดแล้วก็หัวเราะ.

ว่าตามจริงถ้าพูดกันตรงไปตรงมา ข้าพเจ้าก็ไม่มีข้อที่จะเถียงได้ เพราะถ้าจะว่าแย่งก็พยายามจะแย่งเขาจริง แต่ข้าพเจ้าได้ดันเถียงข้างๆ คูๆ ทีเล่นทีจริง จนพระเวชโกรธหน้าเปลี่ยนสี เปนเขียวบ้างเปนแดงบ้าง ข้าพเจ้าเห็นโกรธก็ยิ่งยั่วให้หนักขึ้น ส่งท้ายพระเวชเกือบจะพูดไม่ออก ลุกขึ้นเดินปัง ๆ ลงบันไดไป บ่นว่า “พูดด้วยไม่ได้ คนพันอย่างนี้ พูดด้วยไม่ได้.”

เมื่อพระเวชเดินไปจะขึ้นรถนั้น ข้าพเจ้าเรียกอ้ายเขียวคนใช้มาสั่งให้ขึ้นรถจักรยานตามไปดูว่าจะไปทางไหน ไม่ช้าอ้ายเขียวกลับมาส่งรายงาน ว่าขับตรงไปท่าพระจันทร์ แล้วจ้างเรือจ้าง ๔ บาท ไปคลองบางกอกน้อย คงจะไปส่งข่าวให้คุณสินผู้ป้าทราบ

รุ่งขึ้นเวลาเช้าข้าพเจ้าตื่นยังไม่ลุกจากที่นอน พอลืมตาก็เห็นอีเมรี คือสุนัขของแม่สะอิ้ง วิ่งวุ่นไปมาเที่ยวดมโน่นดมนี่อยู่ในห้อง ข้าพเจ้าดีใจ นึกว่าแม่สะอิ้งมาก็ผลุดลุกขึ้น รีบล้างหน้าแต่งตัว รีบออกไปที่เฉลียง แต่ไม่พบคุณป้าหรือแม่สะอิ้ง พบแต่นางสุกนั่งอยู่คั่นบันได.

ข้าพเจ้า “มาทำไมวะ สุก.”

นางสุก “คุณหนูให้ถือหนังสือกับพาสุนัขมาเจ้าค่ะ.”

ข้าพเจ้ารับหนังสือมาอ่านดู.

“เรียนคุณพี่ อีฉันถือวิสาสะตั้งให้บ้านคุณพี่เปนโรงพยาบาลสุนัข โดยหวังว่าคุณพี่จะไม่รังเกียจ คือเดี๋ยวนี้อีเมรีป่วยมีอาการชอบกล ไม่กินเข้าแลไม่ใคร่มีแรง ทำให้เปนที่ร้อนใจนัก ดีฉันจะส่งมันไปให้คุณพี่ ด้วยฟากข้างโน้นใกล้มดใกล้หมอ ถ้าคุณพี่ไม่รังเกียจโปรดให้คนพาไปให้หมอฝรั่งตรวจ แลรับไว้รักษาตามคำสั่งหมอที่บ้านคุณพี่สักสองสามวัน อีฉันจะขอขอบพระคุณที่สุด การเลี้ยงดูไม่มีอะไรลำบาก เปนแต่ให้เข้ากินเวลาคุณพี่รับประทานก็แล้วกัน.”

ข้าพเจ้ารีบเขียนหนังสือตอบว่า จะรับอีเมรีไว้รักษาด้วยความยินดี เพราะข้าพเจ้ารักสุนัขนัก ทั้งเข้าใจรักษาพยาบาลดีราวกับได้เรียนมาจากเมืองนอก ในเช้าวันนั้นเมื่อไปออฟฟิศจะแวะที่ห้างให้เย็บเบาะแลมุ้งให้นอน แลทั้งจะได้พาไปให้หมอชันสูตร์โรคในบ่ายวันนั้น ขอให้แม่สะอิ้งวางใจเถิด อย่าว่าแต่เท่านี้จะไหว้วานอะไรอิกเท่าไรก็ได้ ขออย่าได้รังเกียจที่จะใช้ ฯ ล ฯ ล ฯ ล ฯ

ข้าพเจ้าเขียนหนังสือมอบให้นางสุกแล้วก็ซักไซ้ไล่เลียงเรื่องราวในบ้านโน้น ตลอดถึงคุณป้าแลแม่สะอิ้ง ในที่สุดใช้ธนบัตร์ใบหนึ่งแทนสัญญาบัตร์ ตั้งให้นางสุกเปนกงซุลของข้าพเจ้าอยู่ในบ้านนั้น.

ในตอนค่ำวันนั้นข้าพเจ้าได้รับหนังสือจากพระเวรฉบับหนึ่ง พูดจายืดยาวเปลี่ยนเสียงเปนตรงกันข้ามกับที่พูดเมื่อคืนก่อน กล่าวย่อสั้น ๆ เปนใจความว่า พระเวชมีความเสียใจที่สุด ที่เมื่อคืนนี้เกิดโทษะทำให้หัวหมุน จนถึงใช้กิริยาแลวาจาที่ไม่ควรใช้ แท้จริงพระเวชได้มีความรำคาญใจด้วยเรื่องอื่นมาแล้วตลอดวัน ครั้นมาได้ยินเรื่องนี้เข้าจึงเกิดหัวเสียเอาทีเดียว ขออย่าให้ข้าพเจ้าถือเลย ความเรื่องนี้แท้จริงพระเวชควรขอบใจข้าพเจ้าที่บอกให้รู้ตัวเช่นนั้น เพราะการชนิดนี้เปนธุระส่วนตัวใครก็ตัวใครดังที่ข้าพเจ้าว่า ในที่สุดพระเวชขอให้ข้าพเจ้าลืมถ้อยคำ แลกิริยาอาการของพระเวชเมือคืนเสียทีเดียว การที่เราสองคนมามีความจงใจในคน ๆ เดียวกันเช่นนี้ ก็เปนข้อที่น่าเสียดาย ด้วยถ้าไม่เปนเช่นนั้นก็คงจะต่างคนต่างช่วยเหลือกันได้ดังที่เคยเปนมาแต่ก่อน การครั้งนี้เมื่อมาคิดพ้องกันเสียแล้ว ต่างคนก็ต่างจะต้องพยายามโดยลำพังตนเอง ถ้าฝ่ายไหนจะเล่นอย่างรู้มากบ้างก็คงติเตียนกันไม่ได้.

ในที่สุดแห่งจดหมายนั้นพระเวชชักพูดไปเรื่องอื่น คือบอกข่าวว่าสุนัขชนิดบูลดอคที่ได้สั่งไปคนละตัวนั้นมาถึงแล้ว ได้ไปรับมาไว้ที่บ้านพระเวชทั้งสองตัว ของพระเวชตัวผู้มีชื่อมาแต่นอกว่าอ้ายจอน ของข้าพเจ้าตัวเมียชื่ออีเจน เปนสุนัขครอกเดียวกัน พระเวชหวังใจว่า เมื่อผสมกันคงจะได้ลูกดี จะผสมที่บ้านพระเวชหรือบ้านข้าพเจ้าก็ตามใจ ในวันรุ่งขึ้นพระเวชจะพาอีเจนมาส่ง.

เมื่อข้าพเจ้าได้รับจดหมายพระเวชมีใจความตามที่กล่าวมาข้างบนนี้แล้ว ก็เกิดหนักใจขึ้นหน่อย ๆ ด้วยพระเวชโกรธเปนฟืนเปนไฟอยู่เมื่อคืนนี้เอง ถึงลงเรือจ้างผลุนผลันไปคลองบางกอกน้อยแต่กลางคืน กว่าจะถึงก็สองยามเปนอย่างหัวค่ำ น่าจะถูกผีหลอกตามทางสักสามรายเปน อย่างน้อย มาบัดนี้ก็วันเดียว เหตุใดจึงพูดเปลี่ยนเสียงเปนคนละอย่าง ชรอยจะมีอุบายอะไรสักอย่างหนึ่ง ในจดหมายก็มีเสียงไปทางนี้อยู่ด้วย.

จดหมายพระเวชฉบับนี้ ทำให้ข้าพเจ้าตรึกตรองไปจนดึก เกือบจะนอนไม่หลับจนตลอดคืน ความจริงเรื่องชนิดนี้พระเวชกับข้าพเจ้าเมื่อสมทบความคิดกันเข้าก็ไม่เคยแพ้ใคร แต่คราวนี้มาต่อสู้กันเอง พระเวชเกือบจะบอกออกมาตรง ๆ ว่าจะเล่นรู้มาก ดังที่เขาเข้าใจว่าข้าพเจ้ารู้มากก่อน ข้าพเจ้าตรึกตรองยังไม่เห็นว่าพระเวชจะรู้มากข้อไหน การที่พระเวชจะหาอุบายเขียนรูปข้าพเจ้าด้วยสีดำ กล่าวคือทำให้ข่าวไปถึงแม่สะอิ้งแลคุณป้าเจ้าคุณน้าว่า ข้าพเจ้าเปนคนเสเพลร้ายกาจชั่วช้าสามาญนั้นก็คงไม่เปน เชื่อว่าไม่เปน คงไม่เปนไปได้

เอ๊ะ แต่หรือจะเปนได้

* * * * * *

ในคืนวันนั้นโดยที่ข้าพเจ้านอนไม่หลับ รุ่งขึ้นเช้า ตื่นสายกว่าธรรมดาไปหลายชั่วโมง ครั้นตื่นขึ้นก็พบกงซุลสุกถือหนังสือนั่งคอยอยู่ ข้าพเจ้ายินดีรับหนังสือมาอ่านได้ความดังนี้.

“เรียนคุณพี่ ด้วยที่เมืองวันบุรีมีโทรเลขเข้ามาว่า คุณพ่อจับไข้อาการมาก ปรอทขึ้นไปถึง ๑๐๔ คุณป้ากับอีฉันต้องรีบกลับออกไปแต่รถไฟโมงเช้าพรุ่งนี้.

“ก่อนจะไปนอน อีฉันเขียนหนังสือมาขอให้คุณพี่โปรดรับอีเมรีไว้ก่อน จนกว่าอีฉันจะกลับมากรุงเทพ ฯ ถ้ายังกลับมาไม่ได้วันอื่นจะให้คนเข้ามารับ ขอคุณพี่ได้โปรดดูแลมันให้ดีด้วย อีฉันรักมันราวกับชีวิต ถ้ามันไม่กลับอ้วนท้วนอย่างเก่า อีฉันจะเลิกรู้จักกับคุณพี่ต่อไป”

เมื่อข้าพเจ้าอ่านหนังสือตลอดแล้ว จึงไล่เลียงกงซุลได้ความว่า คุณป้ากับแม่สะอิ้งรีบตาลีตาเหลือกขึ้นรถไฟไปแต่โมงเช้า นางสุกอยู่ถือหนังสือมาให้ข้าพเจ้า แล้วจะตามออกไปกับรถไฟบ่าย.

ข้าพเจ้าซักต่อไปถึงเรื่องอื่น ๆ ได้ความว่า เมื่อคุณป้ากับแม่สะอิ้งไปแล้ว สักชั่วโมงหนึ่งคุณสินป้าพระเวชไปหาคุณป้า ครั้นไม่พบก็กลับไป นางสุกสงไสยว่าลุกขึ้นมาทำไมแต่เช้า จึงเกณฑ์ให้พี่ชายสืบจากนางคนใช้สนิทของคุณสิน (ซึ่งรักอยู่กับพี่ชายนางสุก) ได้ความว่าเมื่อก่อนพระเวชงุ่มง่ามไปเรียกประตูแต่กลางดึก คุณสินตื่นขึ้นนั่งพูดกัน ปลุกอีพี่สะใภ้นางสุกขึ้นรับใช้ อีพี่สะไภ้ฟังได้ความกระท่อนกระแท่น ว่าข้าพเจ้าเปนผู้จะแย่งแม่สะอิ้ง พระเวชจะต้องเล่นรู้มาก คิดการให้ข้าพเจ้ากระเด็นออกไปเสีย แต่ในชั้นต้นให้คุณสินรีบไปเตือนเสียแต่เช้า ถ้าตกลงกันก็แล้วกัน ถ้าไม่ตกลงก็มีอุบายอยู่แล้ว ฟังดูเหมือนจะขยายเรื่องที่ข้าพเจ้าได้เลยติดพันธ์กับลูกสาวนายแสง ลูกสาวพระยาศร ลูกสาวจมื่นแสนแลคนอื่น ๆ ขึ้นกล่าวให้แม่สะอิ้งเปนที่ขมใจ จะได้สาบน้ำหน้าข้าพเจ้าเสียทีเดียว ดูเหมือนพระเวชกับคุณสินเกือบจะคบคิดกันหาว่า ถ้าแม่สะอิ้งได้กับข้าพเจ้าก็จะเปนภริยาคนหนึ่งในสิบคน หรืออะไรเช่นนั้น.

เมื่อข้าพเจ้าได้ยินเช่นนี้ก็นึกโกรธ ด้วยหาความกันมันเกินไปหน่อย การที่ข้าพเจ้าได้ติดพันธ์กับผู้หญิงที่ออกชื่อมานั้นก็จริงอยู่ แต่พระเวชทราบดีทีเดียวว่า ไม่ได้คิดเปนจริงเปนจังอะไรเลย เขามีผัวไปเสียแล้วก็สองคน ที่ยังอยู่ก็แต่ลูกตาแสงขรัวคร่ำเครอะ ซึ่งจะเกณฑ์ให้เปนบ่วงติดข้าพเจ้าเช่นนั้นไม่ได้ พระเวชเองก็มีเรื่องที่ข้าพเจ้าจะนำมาขยายได้ถมไป ด้วยงูกับไก่ก็ยอมเห็นนมแลตีนกันอยู่ ข้าพเจ้าไม่ได้คิดเลยว่าจะยกเรื่องอีนุงตุงนังเหล่านี้ของพระเวชขึ้นขยาย เพราะฉนั้น เมื่อได้ยินว่าพระเวชจะเอาเรื่องของข้าพเจ้าขึ้นกล่าว ข้าพเจ้าจึงแค้นนัก.

ข้าพเจ้าแก้ตัวกับนางสุกด้วยเรื่องนี้ตามสมควร ทั้งให้สัญญาบัตร์กงซุลอิกฉบับหนึ่งแล้วก็เขียนหนังสือตอบไปถึงแม่สะอิ้ง เปนใจความว่าจะรับรักษาสุนัขให้เรียบร้อย ด้วยถ้ามันเหมือนชีวิตแม่สะอิ้ง มันก็เหมือนชีวิตข้าพเจ้าเหมือนกัน แลข้าพเจ้าจะยอมให้โลกแตกก่อนยอมให้แม่สะอิ้งโกรธ ทั้งพูดบ้าต่างๆเช่นนั้นไปจนเต็มกระดาษแล้วก็เข้าผนึกมอบหนังสือให้นางสุกกลับไป.

ในตอนเช้าวันนั้น เมื่อนางสุกออกจากบ้านไปได้ประเดี๋ยวเดียว พระเวชพาอีเจนมาส่งที่ประตูบ้านข้าพเจ้า แต่ไม่ได้ขึ้นมาบนเรือน อธิบายว่ามีธุระจะรีบไปออฟฟิศ ข้าพเจ้าพิจารณาดูอีเจนเปนสุนัขรูปร่างดีมีสกุล นึกชอบใจไม่คิดเสียดายเงินเลย ถ้าใครจะมาขอให้ราคา ๔ เท่าก็คงไม่ขาย ข้าพเจ้าเรียกขนมปังมาเลี้ยงดูเสร็จแล้ว ก็ปล่อยอีเจนเที่ยวเดินตรวจเรือนที่มันมาอยู่ใหม่.

ขณะนั้นอีเมรีวิ่งออกจากหลังเรือน เห็นอีเจนเข้าก็ตกใจ แต่อีเจนก็ไม่ว่ากล่าวประการใด เดินดมๆตามเก้าอี้แล้วก็ลงนอน อีเมรีเห็นอีเจนไม่ว่ากระไรก็กล้าเข้าทีละน้อย ๆ ข้าพเจ้ามีความยินดีที่เข้าใจว่าสุนัขสองตัวจะอยู่ด้วยกันได้.

สักครู่หนึ่งอีเมรีค่อย ๆ เข้าไปใกล้ ถึงเข้าดมอีเจน ๆ ไม่ชอบใจก็ห้ามว่า “หื้อ—” อีเมรีตกใจถอยห่างออกไป แต่อีเจนก็นอนเฉยอยู่ ไม่ช้าอีเมรีกลับเข้ามาอิก ครั้นอีเจนหื้อเข้าอิกก็ถอยห่างออกไป ดังนี้สองสามครั้ง.

ข้าพเจ้าก็นั่งดูกิริยาสุนัขสองตัวอยู่สักครู่หนึ่ง ได้ยินเสียงเกรียวกราวขึ้นทางหน้าบ้าน บางคนร้องว่าไฟไหม้ ข้าพเจ้ารีบลงไปดู เห็นกองไฟลุกอยู่ในห้องตึกแถวข้ามฟากถนน ก็ช่วยกันกาหลดับไฟได้แล้ว ก็โจษกันเอะอะไล่เลียงว่าไฟลุกขึ้นได้อย่างไร ไม่ช้าก็กลับขึ้นไปบนเรือน พออีเมรีนอนหลับตาตายอยู่ที่เฉลียง มีแผลเขี้ยวใหญ่ๆ หลายเขี้ยว แลปากอีเจนก็ยังมีเลือดสด ๆ ติดอยู่.

เมื่อข้าพเจ้าเห็นดังนั้นก็ราวกับจะสลบไปกับที่ จะอธิบายความรู้สึกให้ท่านฟังยืดยาวก็เสียเวลา เพราะท่านคงเข้าใจอยู่แล้ว ในคืนวันนั้นข้าพเจ้านอนไม่หลับอิกเกือบตลอดคืน แต่คิดอุบายได้ข้อหนึ่งซึ่งเข้าใจว่าจะแก้ตัวหลุดได้.

รุ่งขึ้นแต่เช้าข้าพเจ้ารีบเขียนหนังสือสองฉบับ ซึ่งข้าพเจ้าขอให้ท่านอ่านพิจารณาถ้อยคำสำนวนแลวรรคตอนจงละเอียด เพื่อให้ท่านเห็นได้ว่า คำที่ข้าพเจ้ากล่าวนั้น ไม่มีคลาดจากความจริงแต่สักคำหนึ่งเลย.

ฉบับที่ ๑ ถึงพระเวช

“ขอบใจเปนอันมากที่แกพาอีเจนมาส่ง มันงามดีนัก ถ้าอ้ายจอนงามเช่นกันก็คงได้ลูกดีๆ ทีเดียว เมื่อวานนี้เมื่ออีเจนมาถึง กันคิดว่าจะเลี้ยงมันไว้ที่นี่ก่อน ถึงฤดูผสมคิดกันภายหลัง แต่บัดนี้เห็นว่าการที่จะแยกมันไว้นั้นไม่ควร ด้วยมันเคยอยู่ด้วยกันแต่เกิดมา มันพลัดบ้านพลัดเมืองมาแล้ว ๆ ยังจะต้องมาพลัดกันอิกเล่า เพราะฉนั้น กันส่งอีเจนกลับมาให้แก แลขอยกให้แกเปนสิทธิ์ทีเดียว แต่เมื่อมันมีลูกครอกแรกกันจะขอเลือกเอาก่อนสองตัว.”

ฉบับที่ ๒ ถึงแม่สะอิ้ง

“ฉันมีข่าวร้ายที่จะบอกหล่อน แลบอกด้วยความเสียใจที่สุด คือฉันมีเพื่อนอยู่คนหนึ่งชื่อพระเวชวิสิษฐ์เปนคนชอบเลี้ยงสุนัข เดี๋ยวนี้เขาได้สุนัขมาใหม่อิกคู่หนึ่งชนิดบูลดอก ตัวผู้ชื่ออ้ายจอน เขาสั่งมาเอง ตัวเมียชื่ออีเจนคนอื่นให้.”

“เมื่อวานนี้พระเวชวิสิษฐ์พาอีเจนมาที่บ้านฉัน อีเจนมากัดอีเมรีตายในเวลาที่ฉันไม่อยู่บ้าน เมื่อฉันกลับมาพอขึ้นบนเรือน ก็พบศพอีเมรีกลิ้งอยู่กลางเฉลียง.”

“การที่เปนเช่นนี้ ฉันรู้สึกอยู่ว่าเปนความผิดของฉันแท้ๆ ในเวลาที่เขียนหนังสืออยู่นี้ นึกว่าจะ เอาปืนโกไปยิงกลางกระหม่อมอีเจนก็ไม่ได้ ด้วยมันเปนสุนัขของเขาคนอื่นอยู่บ้านเขา ไม่อาจที่เราจะบุกรุกเข้าไปทำอันใดได้ พระเวชเขาก็ยังไม่ได้ออกปากว่าเสียใจสักคำเดียว แท้จริงเขาไม่พูดถึงอย่างคนที่ไม่รู้เรื่องรู้ราวอะไรเลย.”

“ขอให้หล่อนพยายามที่จะไม่โกรธฉันให้นานนัก ฉันก็ทราบว่าเปนผู้ผิด แต่ไม่ได้คิดเลยว่าจะมีหมาใหญ่ขึ้นมากัดอีเมรีถึงบนเรือนในเวลาที่ไม่อยู่ ข้อนี้ควรทำให้โทษเบาลงไปบ้าง.”

ข้าพเจ้าเขียนจดหมายส่งไปแล้ว ก็นั่งนึกขันครึ่งหนึ่ง นึกร้อนใจครึ่งหนึ่ง ปะปนกันไป ในจดหมายฉบับนั้น ข้าพเจ้าไม่ได้กล่าวคำไม่จริงตรงไหนเลย แต่ถ้าแม่สะอิ้งจะเข้าใจไปอย่างไรนั้นข้าพเจ้าไม่ทราบด้วย.

อนึ่งในการชนิดนี้ตัวใครก็ต้องตัวใคร แลถ้าจะเล่นรู้มากกันบ้างก็ติเตียนไม่ได้ อย่างที่พระเวชว่า.

อิกสองสามวันข้าพเจ้าได้รับตอบจากแม่สอิ้ง “เรียนคุณพี่ เรื่องอีเมรีตายฉันโกรธจนร้องไห้แค้นเสียนี่เหลือกำลัง แต่ไม่รู้จะโกรธคุณพี่อย่างไรได้ ถ้าคนอื่นเขาจะพาสุนัขใหญ่ของเขาขึ้นไปกัดอีเมรีบนเรือนของคุณพี่ ในเวลาที่คุณพี่ไม่อยู่เช่นนั้นแล้ว ก็ไม่เห็นเจ้าของบ้านจะผิดตรงไหน

“ส่วนอีตาพระเวชนั้น อีฉันไม่ขอได้ยินใครออกชื่อต่อไป ไกลร้อยโยชน์แสนโยชน์.

“สะอิ้ง”

“ป. ล. อาการคุณพ่อค่อยยังชั่วมากแล้ว กำหนดว่าอิกสองสามวันจะเข้าไปกรุงเทพ ฯ ให้ทันงานในวัง.”

* * * * * *

ข้าพเจ้าได้กล่าวมาแล้วว่า ในจดหมายของข้าพเจ้า ๆ ไม่ได้กล่าวเท็จที่ตรงไหนเลย จะซ้ำพูดอิกก็ได้ให้ท่านเห็นง่าย ๆ คือ

(๑) เดี๋ยวนี้ (ปัจจุบัน) พระเวชมีสุนัขใหม่คู่หนึ่ง ชื่ออ้ายจอนกับเจน.

(๒) เมื่อวานซืน (อดีต) พระเวชได้พาอีเจนมาที่บ้านข้าพเจ้า.

(๓) ในเวลาที่ข้าพเจ้าไม่อยู่ (อดีต) อีเจนได้กัดอีเมรีตาย ดังนี้เปนความจริงทั้งนั้น แต่ถ้าใครเก็บเอาปัจจุบันกับอดีต คือเดี๋ยวนี้กับเมื่อวานซืน ไปคลุกกันยุ่งจนเข้าใจผิดไปเองข้าพเจ้าไม่รู้ด้วย แลเมื่อแม่สะอิ้งเข้าใจผิดไปดังที่มีจดหมายมานั้นแล้ว ก็หาใช่ธุระของข้าพเจ้าที่จะว่ากระไรไม่ ตัวใครก็ตัวใคร.

ไม่ช้าได้ข่าวว่าเจ้าคุณน้ากับคุณป้าบอกตัดเรื่องพระเวชไป ว่าจะไม่ให้แม่สะอิ้งเปนอันขาด ครั้นพระเวชให้ป้ากลับไปพูดอ้อนวอนแกจะไปพูดขวางโลกว่ากระไร เจ้าคุณน้าเกือบจะไล่ตกบันได ทั้งได้ข่าวว่าแม่สะอิ้งขอให้ส่งแขกยามไม่ให้ยายคุณสินขึ้นบ้านอิกต่อไป การที่เปนทั้งนี้ก็เพราะอีเจนกัดอีเมรีตาย นึก ๆ ก็ออกสงสารพระเวช แต่เรื่องชนิดนี้ตัวใครก็ตัวใคร แลถ้าจะเล่นรู้มากกันบ้างก็ไม่ควรติเตียน ดังที่พระเวชว่า.

ส่วนเรื่องแม่สะอิ้งกับข้าพเจ้านั้น มันก็ยังค้างๆ กันอยู่เพียงนี้ ถ้าท่านอยากทราบว่ามันไปลงท้ายกันอย่างไร ท่านก็จะต้องคอยฟังไปก่อน ด้วยข้าพเจ้าเองก็ยังไม่ทราบเหมือนกัน เพราะฉนั้น เรื่องนี้มันจึงยังเปนเรื่องค้างๆ.

ข้าพเจ้าไปราชการทางมณฑลเหนือเสียประมาณ ๔ เดือน พอกลับลงมาถึงกรุงเทพ ฯ วันนี้ ไปเยี่ยมฟังราชการที่กระทรวงแล้ว พรุ่งนี้ก็ไปที่บ้านคุณป้าในคลองบางกอกน้อย ด้วยไม่ได้ข่าวคราวแม่สะอิ้งมานาน ถึงข้าพเจ้าได้มีจดหมายลงมาจากเหนือโดยฉันญาติ แลได้รับตอบอยู่บ้างก็จริง แต่ไม่ใคร่ได้ทราบข่าวคราวอันใด นอกจากว่าเปนสุขสบายกันอยู่.

พอขึ้นบันไดท่าน้ำก็พบนางสุกหอบผ้าเช็ดตัวผ้าผลัดจานสบู่ตะลิงปริงมะกรูด แลเครื่องอาบน้ำทั้งปวงนั่งอยู่ปลายสพาน สอบถามได้ความว่าคอยแม่สะอิ้งจะลงมาอาบน้ำ เปนโอกาศอันดีข้าพเจ้าก็หยุดนั่งคอยอยู่ด้วย ทั้งใช้เวลาที่แม่สะอิ้งยังไม่ลงมานั้นซักถามนางสุกถึงข่าวในบ้าน แลให้ธนาบัตร์เปนสัญญาบัตรกงซุลตามเคย.

นางสุก “ก็ดูเรื่อย ๆ กันค่ะ แต่หมู่นี้เห็นคุณนายต่วนมาติด ๆ กันสองสามครั้ง ออกจะมีข่าวว่ามาเรื่องคุณหนู.”

ข้าพเจ้าตาลุกถามว่า “ใครเปนคุณนายต่วน เกี่ยวข้องอะไรกับแม่สะอิ้ง.”

นางสุกตอบว่านางสุกเองก็ออกไม่ใคร่ทราบว่าคุณนายต่วนคือใคร แต่หลานชายเปนหลวงอะไรอยู่ทางบางขุนพรหม มีเสียงว่าจะมาขอแม่สะอิ้ง.

ข้าพเจ้าร้องออกมาคำเดียวว่า “อ๊ะ” แล้วนิ่งนึกว่ามีหลวงอะไรบ้างอยู่ตอนบางขุนพรหมที่จะดีพอ หรือทลึ่งพอที่จะมาขอแม่สะอิ้งได้ หลวงที่อยู่ตอนบางขุนพรหมที่ข้าพเจ้ารู้จักก็มีอยู่เพียงสามคน ๆ หนึ่งอายุราวๆ เจ็ดสิบ เห็นจะหมดอันตรายแล้ว อิกคนหนึ่งเปนหลวงเลวๆ น่าจะเปนขุนนางประทวนมากกว่าสัญญาบัตร ไม่มีอันตรายเหมือนกัน เห็นทีท่าทางจะเข้าเค้าก็แต่หลวงกฤษณานุรักษ์ ยิ่งนึกไปก็ยิ่งเห็นสมจริงเข้าทุกที ด้วยหลวงกฤษณานุรักษ์ก็เปนคนชั้นเดียวกันกับข้าพเจ้า เคยเปนเพื่อนนักเรียนมาด้วยกันแต่ครั้งโรงเรียนพระตำหนักสวนกุหลาบ ทั้งได้เคยไปเมืองนอกไล่ๆ กัน เปนคนยังไม่มีภริยาออกหน้า แต่ไม่ใช่คนที่หาภริยายาก เพราะเปนคนที่ไม่สู้มีใครรังเกียจ ที่จะเปนพ่อตาแม่ยาย คิดดูก็เห็นจะสมจริงทุกอย่าง.

ข้าพเจ้ายังไม่ทันได้ไล่เลียงกงซุลประการใดต่อไป พอแม่สะอิ้งเดินลงเรือนมาเมื่อเห็นข้าพเจ้าก็ทำท่าเหมือนจะหนีกลับขึ้นเรือน แต่ข้าพเจ้าไม่ยอม รีบลุกตรงเข้าไปพูดด้วย แล้วเลยชวนกันมานั่งปลายสพาน ดูอาการแม่สะอิ้งเหมือนจะอายผ้าที่นุ่งห่มอย่างเก่าๆ สำหรับที่จะอาบน้ำหาได้นุ่งผ้าใหม่ สวมเสื้อหุ่นกระบอกอย่างสวยตามสมัยไม่ ตามความจริงการที่แม่สะอิ้งมาพบข้าพเจ้าในเวลาที่หล่อนนุ่งผ้าเก่าห่มผ้าเก่าดังนั้น ก็เปนที่ยินดีของข้าพเจ้าสองประการ คือเปนช่องให้ข้าพเจ้าเห็นได้ว่า น้องสาวของข้าพเจ้าสวยด้วยตัวเอง ไม่ใช่สวยด้วยความตกแต่งประการหนึ่ง อิกประการหนึ่ง เมื่อหล่อนกระดากอายผ้าเก่าดังนั้น ก็เปนที่เห็นได้ว่าหล่อนอยากให้ข้าพเจ้าเห็นสวย ข้อนี้ท่านจะตีความไปทางไหนก็แล้วแต่จะเห็นควร.

ครั้นแม่สอิ้งกับข้าพเจ้ามานั่งกันที่ปลายสพาน พูดถึงน้ำฝนต้นเข้าดินฟ้าอากาศอยู่ครู่หนึ่งแล้ว ข้าพเจ้าก็หันไปบอกนางสุกว่า ข้าพเจ้าขาดหมากบุหรี่ ขอให้นางสุกไปหามา นางสุกเข้าใจในทีก็รีบลุกไป แต่แม่สะอิ้งก็รู้ทีรีบพูดขึ้นว่า “อิฉันจะไปจัดเอง เฮ้ยสุก เองมาอยู่เปนเพื่อนคุณพี่เถอะ ข้าจะไปหาเอง.”

ข้าพเจ้า “หล่อนจะไปไหน นางสุกมันไปหาก็แล้วกัน ฉันต้องการจะถามอะไรหล่อนสักหน่อย ยังไม่ยอมให้ไป.”

แม่สะอิ้ง “อ๊ะ คุณพี่จะมายึดอิฉันไว้ได้รึยังไง.”

ข้าพเจ้า “เออ หล่อนอย่าท้าฉันนา.”

แม่สะอิ้ง “อะไร้ ในบ้านอีฉันแท้ ๆ จะได้เรียกหมามากัด.”

ข้าพเจ้า “อ้อ พูดถึงหมา หล่อนได้ตัวแทนอีเมรีมาแล้วรึยัง.”

แม่สะอิ้ง “ได้แล้วละค่ะ งามกว่าอีเมรีไปอิก ได้มาเมื่อสองสามวันนี้เอง เฮ้ย สุกอุ้มอีมากะเร็ตต์มานี่.”

โดยกำลังที่ทึ่งจะอวดดีอีมากะเร็ตต์ แม่สะอิ้งลืมเรื่องที่จะหนีไปจัดหมากบุหรี่มาให้ข้าพเจ้า เลยนั่งเล่าถึงอีมากะเร็ตต์ดีอย่างนั้นฉลาดอย่างนี้ แลงามอย่างโน้นอยู่กับที่นั่นเอง นางสุกก็รู้ทีหารีบจัดหมากบุหรี่แลอุ้มอีมากะเร็ตต์มาไม่.

ข้าพเจ้า “ฉันมีหมาใหม่ตัวหนึ่งเก่งพิลึก ยืนสองตีนถนัดเหมือนหล่อนยืนเหมือนกัน.”

แม่สะอิ้ง “เอาแล้ว นี่อะไรช่างเอาอีฉันไปเปรียบกับหมูกับหมาก็ได้.”

ข้าพเจ้า “อะไร้ ฉันหรือจะตั้งใจเอาหล่อนไปเปรียบยังงั้น ถ้าจะเปรียบกับหล่อนก็เห็นที่ควรเปรียบแต่นางเทพธิ–”

แม่สะอิ้งไม่ปล่อยให้ข้าพเจ้าพูดตกคำ พูดแย้งขึ้นว่า “เออ คุณพี่อย่ามายออีฉันนะ ประเดี๋ยวอีฉันเชื่อก็จะเลยหัวสูงไม่รู้จักคุณพี่ก็ได้.”

ข้าพเจ้า “เปล่า ผ่าซีเอ้า ฉันไม่ได้ยอเลย ที่พูดก็ล้วนแต่ความจริงทั้งนั้น.”

แม่สะอิ้ง “แต่ความจริงยังเปนถึงเช่นนี้ ถ้าความเท็จจะดีสักเพียงไหน.”

ข้าพเจ้า “จริงนะ มันจะเปนยังไง ฉันไม่มีอยู่ในตัวจึงไม่รู้จักหรือหล่อนเคยจับได้ที่ไหน.”

แม่สะอิ้งทำยิ้มในหน้าตอบว่า “เปล่าดอกค่ะ อีฉันรึจะไปฉลาดพอที่จะไหวพริบของคุณพี่ได้ ไหนเมื่อกี้คุณพี่ว่าสุนัขยืนได้ นั่นรึค่ะคุณพี่ว่าประหลาด อีมากะเร็ตต์ของอิฉันก็ยืนได้.”

ข้าพเจ้า “ยืนได้คงยืน ๔ ขา.”

แม่สะอิ้ง “ไม่ใช่ค่ะ ยืนสองขาซิค่ะ ยืนสี่ขาจะเรียกว่ายืนยังไง.”

ข้าพเจ้า “อ๋อ อ้ายสัตว์จตุบาทมันจุนตัวมันให้พ้นดินอยู่ได้ด้วยขาสี่ขาเมื่อใด เมื่อนั้นฉันก็เรียกว่ามันยืนเหมือนกัน หล่อนจะเรียกว่านอนหรือคลานไม่ทราบ.”

แม่สะอิ้ง “อะไร้คุณพี่ก็ เมื่อเขาอวดกันว่าหมายืนได้ เขาก็เล็งเอาว่ายืนสองขาเท่านั้นแหละ.”

ข้าพเจ้า “แต่อ้ายตัวของฉันมันยืนขาเดียวได้ มิดีกว่าอีมากะเร็ตต์ไปอิกหรือ ไม่ใช่แต่ยืนขาเดียว ยืนด้วยขาหน้าด้วย หล่อนจะว่าแปลกหรือยัง.”

แม่สะอิ้ง “นั่นเห็นจะ ‘ความจริง’ ของคุณพี่อิกแล้ว ถ้ามันยืนได้ขาเดียว ส่วนตัวของมันจะมิคล้าย ๆ ส้มโอกระมัง.”

ข้าพเจ้า “เปล่าเลย ส่วนกว้างยาวของมันก็เหมือนกับสัตว์ชนิดมันทั้งนั้น.”

แม่สะอิ้ง “ถ้ายังงั้นคุณพี่ให้อิฉันเถอะค่ะ คุณพี่จะต้องการอะไรแลกอีฉันยอมหมด ที่สุดจะใช้ทำสารกรมธรรม์ก็ยอม.”

ข้าพเจ้ามัวทึ่งที่จะได้สารกรมธรรม์เปนของแลก เลยงุ่มง่ามตกหลุมโพล่งใหญ่เพราะรับออกไปว่า “ได้” ก่อนที่รู้สึกตัวว่า ข้าพเจ้าหาได้มีสุนัขที่ยืนได้ตั้งแต่สี่ขาไปจนขาเดียวดังที่กล่าวนั้นไม่ ถ้าข้าพเจ้ารับออกไปว่า จะให้สุนัขที่ยืนได้เพียงสองขา เมื่อเข้าตาอับตาจนเช่นนั้นก็คงหาจนได้ แต่อ้ายสุนัขที่ยืนได้ด้วยขาหน้าขาเดียวนี่เห็นจะเหลือหา ข้าพเจ้ายังสิ้นสติตกตะลึงไม่ทันว่ากระไรออกไป แม่สะอิ้งได้ท่าก็เลยรุกใหญ่ว่า “คุณพี่รับจะให้แล้วอย่าเหลวนะคะ ถ้าไม่อย่างงั้น อ้ายเรื่องที่อวดความจริงอยู่เมื่อกี้จะไม่ได้การ ความไม่จริงเปนอย่างไรคุณพี่ไม่เคยมี เพราะฉนั้น ไม่รู้จัก แลเรื่องนี้อิฉันเชื่อแน่ว่าจะไม่ทำให้คุณพี่รู้จักความไม่จริง ถ้าไม่เช่นนั้น อีฉันจะสบประมาทคุณพี่ไม่เปนที่นับถือเชื่อฟังต่อไป.”

ข้าพเจ้าตกบันไดแล้วก็พลอยโจน ดูเปนเวลาที่สิ้นสติ แม่สะอิ้งยิ่งขยั้นขะยอก็ยิ่งรับแน่นหนาหนักเข้า ตามความจริงข้าพเจ้าตกหลุมไม่ใช่ตกบันได เพราะฉนั้น ไม่ควรโจนชอบที่จะถอนตัวให้หลุดพ้นหลุมจึงจะถูก.

แต่เมื่อข้าพเจ้าเสียทีเรื่องนี้แล้ว ก็พยายามที่จะให้ได้การด้วยเรื่องอื่น แต่พูดจาวนเวียนกันไปสักครู่ใหญ่ จึงมาลงเรื่องที่ข้าพเจ้ากระหายอยากจะทราบนั้นได้ ข้าพเจ้าถามว่า “คุณต่วนน่ะคือใคร.”

แม่สะอิ้ง “อิฉันก็ออกไม่ใคร่ทราบ ได้ยินคุณป้าพูดอยู่ว่าเคยรู้จักมานาน แต่รู้จักห่าง ๆ.”

ข้าพเจ้า “ที่จริงคุณต่วนแกจะใครก็ช่างแก ที่ฉันอยากทราบ คือหลานชายของแกนั้นใครแลแกมาที่นี่ทำไม.”

แม่สะอิ้ง “สุกโว้ย สุก อะไรไปหาหมากเปนนานสองนานยังไม่ได้ ประเดี๋ยวค่ะ อิฉันจะไปหาเอง” พูดเท่านั้นแล้วก็ลุกขึ้นวิ่งหนีเอาดื้อๆ ข้าพเจ้าไม่อาจทำอย่างไรให้หยุดอยู่ได้.

เมื่อแม่สะอิ้งวิ่งหนีขึ้นเรือนไปดังนั้นแล้ว ข้าพเจ้าก็เดินตามจะขึ้นไปหาคุณป้าบนเรือน ผะเอิญพบคุณป้ากำลังลงจากเรือนจะลงไปนั่งเล่นท่าน้ำ ข้าพเจ้าก็ทำอาการเคารพตามธรรมเนียม แล้วตามคุณป้าลงไปนั่งปลายสพาน.

: คุณป้า “พ่อหลวงหายไปนาน ป้าคิดถึงก็ไม่ได้พบ ดูรึ โตเร็วจริงๆ กินนมบ้าอยู่เมื่อวานซืนนี้เอง.”

ดูเถอะ คุณป้าพูดจาป้ำเป๋อตามเคยอยู่นี้เสมอ ข้าพเจ้าโตมาแล้วกว่าสิบปี คุณป้ายังเรียกว่าเร็วได้ ส่วนเรื่องกินนมนั้นก็กว่ายี่สิบสี่ปีมาแล้ว ข้าพเจ้าไม่อาจจำได้ว่าเอร็ดอร่อยหวานมันประการใด ด้วยสิ้นอินเตอเร็ซต์มานานเสียแล้ว แต่กระนั้นคุณป้ายังเห็นเปนเมื่อวานซืนนี้เอง ดูเหมือนจะเกือบคิดว่า ข้าพเจ้ายังอยากกินอยู่อิกก็ได้.”

คุณป้า “พ่อมาวันนี้ก็ดีแล้ว ป้าอยากจะปรึกษาสักหน่อย พระยาวันพลีหมู่นี้เขาก็ไม่ได้เข้ามาบางกอก ป้ายังไม่ได้พูดกับเขา คิดว่าจะพาแม่สะอิ้งออกไปข้างแรมนี่แหละ พระยาวันพลีเขาว่าหมู่นี้ไม่ใคร่ว่างราชการเข้ามาไม่ได้.”

ข้าพเจ้านั่งนิ่งฟัง คุณป้าก็พูดต่อไปว่า “เดี๋ยวนี้มีคนเขามาขอแม่สะอิ้งอิกรายหนึ่ง เปนหลานแม่ต่วนอยู่ทางบางขุนพรหม ชื่อหลวงกฤษณา พ่อรู้จักไหม.”

ข้าพเจ้าตอบว่า “รู้จักขอรับ แต่อ้ายเรื่องนี้ผมยังเห็นอยู่ว่าได้กับคนอื่นสู้พี่ๆ น้องๆ ของเราเองไม่ได้.”

คุณป้า “ก็นั่นซี ป้าก็ว่าอย่างงั้นแหละ แต่ไม่เห็นหน้าใคร.” มีพ่อทรัพย์อยู่คนหนึ่ง แม่สะอิ้งก็ว่าชาวสวนงุ่มง่าม คนอื่นที่สมควรกันป้าก็ไม่เห็นใคร.”

ข้าพเจ้าอยากจะบอกคุณป้าว่า พี่น้องที่สมควรข้าพเจ้าเห็นมีอยู่คนหนึ่งแล้ว ไม่ใช่แต่เห็น ถึงรู้สึกแลหายใจอยู่เองเสียอิก แต่ที่จะพูดออกไปเช่นนั้น ข้าพเจ้าก็ยังไม่กล้าจึงพูดใบ้ ๆ แต่ว่า คุณป้านึกตรวจหน้าดูให้หมดในหมู่พี่น้อง ก็คงจะเห็นใครที่สมควรบ้างกระมัง.”

คุณป้าพูดต่อไปว่า “หลวงกฤษณาคนนี้ก็ได้ข่าวว่าเปนคนมีหลักฐานผู้ลากมากดีทรัพย์สมบัติบริบูรณ์ดีอยู่ ทั้งเปนคนไม่เล่นเบี้ยกินเหล้าเสียหายตรงข้อไหน แต่นี่แหละเปนคำที่แม่ต่วนบอก ป้ารู้จักแม่ต่วนก็สักแต่ว่ารู้จัก จะต้องให้พระยาวันพลีเขาสืบสวนดูก่อน หลวงกฤษณาคนนี้พ่อก็เห็นจะรู้จักกระมัง.”

ข้าพเจ้า “รู้จักกันมานานเทียวขอรับ ข้อที่ว่ามีหลักฐานแลไม่เล่นเบี้ยก็จริงอยู่ แต่ข้อที่ว่าไม่กินเหล้านั้นคุณป้าอย่าเพ่อเชื่อให้สนิทก่อน.”

คุณป้า “อ๊ะ ถ้ายังงั้นก็เห็นจะต้องเลิก คนขี้เมา ป้าไม่คบ ไม่ได้ ไม่ได้ ประเดี๋ยวจะพาแม่สะอิ้งไปเมานอนกลางถนน เกิดทุบตีวิวาทกันขึ้น มีอ้ายแสงอยู่นี่คนหนึ่งแล้ว มันเมาสามวันสามคืนตีเมียทุกวัน.”

ข้าพเจ้าเมื่อได้ยินคุณป้าพูดดังนั้น ก็ออกละอายปากขึ้นมาในชั่วขณะ ด้วยหลวงกฤษณาไม่ใช่คนขี้เมา ถึงเขาจะมีเวลาดื่มเหล้าแดงบ้างก็น้อยเต็มที กระเดียดจะน้อยกว่าข้าพเจ้าไปเสียอิก ที่ข้าพเจ้าจะเสแสร้งทำให้คุณป้าเข้าใจว่าเขาเปนคนขี้เมาอย่างอ้ายตาแสงนั้น ก็ให้กระดากแก่ใจไป จึงชี้แจงกลบเกลื่อนเสียใหม่ว่า เขาไม่ได้รักษาศีลสุราเปนนิตย์ก็จริง แต่เขาดื่มน้อยที่สุด ข้าพเจ้ายังไม่เคยเห็นเขาเมาเลย.

คุณป้าตอบว่า ถ้าอย่างนั้นก็ค่อยยังชั่ว แต่ก็ยังเปนที่ไว้ใจไม่ได้ ต่อนี้ข้าพเจ้าก็พูดกลับไปกลับมาถามคุณป้าในเรื่องนี้ไปจนกลับ ได้ความผสมต้นผสมปลายก็อย่างคราวก่อน ผิดกันแต่คราวนี้ คุณป้ากับเจ้าคุณน้ายังหาได้ปฤกษากันไม่ ส่วนตัวแม่สะอิ้งนั้นฟังดูก็ลังเลตามเคย ด้วยหล่อนทราบว่าหลวงกฤษณาเปนชนิดที่หล่อนชอบ ด้วยเขาเปนผู้ดีพอ โก้พอ ได้ไปเมืองนอกร่ำเรียนมาพอ เปนราชการจะมีตำแหน่งสูงพอ ดูเปนคนที่น่าต้องการทุกอย่าง แต่ในเวลานี้แม่สะอิ้งยังไม่รู้จักตัวหลวงกฤษณา ยังถือตามโก้ว่า ผู้หญิงกับผู้ชายไม่ควรผูกตาแต่งงานกัน ข้อนี้ทำให้แม่สะอิ้งไม่ตกลงในใจ เปนแต่ทำอุบๆ อิบๆ ไม่ว่ากระไรออกไปทางไหน กล่าวคือไม่ว่า “ตามใจคุณป้ากับคุณพ่อ” หรือ “อีฉันไม่ชอบ” หรืออะไรเช่นนั้น ข้าพเจ้าทราบนิสัยแม่สะอิ้งว่า ถ้าตกลงในใจว่าชอบหรือมิชอบ ก็คงว่าออกไป ตรงๆ ทีเดียว.

ส่วนคุณป้ากับเจ้าคุณน้านั้นเกือบจะไม่มีปัญหา ด้วยคุณป้าก็สุดสวาทตามในหลาน ดูเหมือนถ้าอยากได้ดาวได้เดือน ก็แทบจะแต่งคนไปเมืองจีน หรือเขาหินลับให้ลองหาเผื่อจะได้ ฝ่ายเจ้าคุณน้าก็ตามในคุณป้า แลไว้ใจลูกว่าคงไม่คิดเสเพล เพราะฉนั้น ถ้าแม่สะอิ้งตกลงคนเดียวก็คงตกลงกันหมด.

เพราะฉนั้น ในการคราวนี้ ถ้าแม่สะอิ้งเกลียดแลโกรธหลวงกฤษณาเสียขนานใหญ่เมื่อใด เมื่อนั้นการจึงจะละลายไปได้โดยเร็ว ธุระของข้าพเจ้า จะต้องคิดการให้เปนอย่างไรเชิญท่านเข้าใจเอาเถิด แลขอให้ท่านจำไว้ว่าข้าพเจ้ากับหลวงกฤษณา ถึงจะได้เคยชอบพอกันมาแต่ปางก่อนร่อนชะไรก็จริง แต่เรื่องชนิดนี้ตัวใครก็ตัวใคร.

ส่วนเรื่องที่ข้าพเจ้าไพล่ไปสัญญาไว้กับแม่สะอิ้งว่า จะให้สุนัขที่ยืนได้ด้วยขาน่าขาเดียวนั้น เปนข้อที่ลำบากอยู่ ถ้าข้าพเจ้าไปเที่ยวตามโรงลครเซอร์คัซทั่วโลกก็เห็นจะหาสุนัขชนิดนั้นไม่พบ ข้อที่มีอยู่แล้วนั้นช่างเถอะ อย่าว่าแต่ยืนขาเดียวเลย ถึงยืนสี่ขาก็หามิได้ เรื่องนี้ข้าพเจ้าจะต้องหาทางแก้ตัวให้หลุดเสียก่อน ถ้าไม่เช่นนั้นจะเปนลูกตุ้มถ่วงให้ข้าพเจ้าแพ้หลวงกฤษณาเปนแน่.

ในเวลาที่นั่งเรือมาตั้งแต่คลองบางกอกน้อยถึงท่าพระจันทร์ ข้าพเจ้าคิดตรึกตรองเรื่องนี้มาตลอด ข้อที่จะแก้ตัวไม่เห็นทางไหน ครั้นขึ้นจากเรือไม่มีรถ ด้วยข้าพเจ้าไม่ทราบว่าจะกลับดึกดื่นเที่ยงคืนประการใด จึงไล่ให้รถกลับเสียแล้ว ข้าพเจ้าเดินนึกหาข้อแก้ตัวไปตามทาง พบรถรางแล่นมาก็ขึ้นนั่งนึกไปอิก โดยที่กำลังนั่งตลึงอยู่เมื่อเวลาเลี้ยวถนนไม่ได้สังเกตว่า เหตุใดคนขับจึงเหยียบระฆังดังใหญ่ แลลงห้ามล้ออย่างเต็มกำลังด้วยเหตุใด ต่อได้ยินเสียงเอ๋ง ๆ ๆ ๆ ขึ้นมาจากใต้รถจึงรู้สึกตัวขึ้นมา ทราบว่ารถทับสุนัขเข้าแล้ว เสียงคนขับรถบ่นว่าอารามที่อ้ายตัวเล็กมันกลัวอ้ายตัวใหญ่ไล่กัด ไพล่วิ่งหนีเข้ามาชนเอาหน้าล้อเข้าได้ ข้าพเจ้าเยี่ยมหน้าออกไปดูเห็นอ้ายสุนัขตัวนั้นขาขาดข้างหนึ่ง เลือดสาดอยู่กลางถนน มีเด็กวิ่งมาฉวยก้อนอิฐสำแดงอิทธิฤทธิ์ไล่ขว้างอ้ายตัวใหญ่ ที่เปนตัวไล่กัด ข้าพเจ้าเห็นท่าทางจะได้การก็ลงจากรถ เรียกเด็กคนนั้นมาสอบถามได้ความว่า อ้ายตัวเล็กเปนสุนัขที่มันเคยให้น้ำเข้ากินมาทุกวัน อ้ายตัวใหญ่มาไล่กัดจนเปนเหตุขึ้นเช่นนี้มันจึงโกรธ ในที่สุดข้าพเจ้าขอซื้อสุนัขขาขาดตัวนั้นจากเด็ก ให้มันอุ้มมาส่งบ้าน แล้วล้างแผลใส่ยาเหลืองไม่กี่วันก็แห้ง.

ครั้นวันอาทิตย์ข้าพเจ้าไปที่บ้านคุณป้า พาสุนัขตัวนั้นไปด้วย แต่ผูกไว้ปลายสพานแล้วขึ้นไปบนเรือนพบคุณป้านั่งอยู่ที่เฉลียงน่าเรือน แม่สะอิ้งยกอั้งโล่มาตั้งแกงไก่อยู่ด้วย.

ข้าพเจ้าไหว้คุณป้า พูดจาปราไสตามธรรมดาแล้วจึงถามแม่สะอิ้งว่า “ทำไมหล่อนทราบว่าฉันชอบแกงไก่.”

แม่สะอิ้ง “คุณพี่นี่ก็ขันจริง อะไรจะมาเคลมเอาแล้วหละ อีฉันแกงกินเองต่างหาก อ้อ สุนัขเห็นคุณพี่จะเอามาแล้วกระมัง.”

พูดแล้วทำยิ้มเปนเชิงเยาะ.

ข้าพเจ้า “หล่อนอย่ายิ้ม ฉันเอามาแล้วจริงๆ.”

แม่สะอิ้งเปลี่ยนสีหน้ากลับทึ่ง “จริงรึคะ ไหนล่ะคะ.”

ข้าพเจ้า “อยู่ปลายสพาน ไปดูก็ไป.”

ข้าพเจ้าลุกขึ้น แม่สะอิ้งก็ลุกขึ้นด้วย คุณป้าร้องว่าทิ้งแกงเสียประเดี๋ยวจะไหม้ แม่สะอิ้งเรียกให้นางสุกมาดูแทน แล้วลงบันไดไปปลายสพานกับข้าพเจ้า ครั้นเห็นสุนัขก็ร้องว่า “พุโท่ หมาไทยก็.”

ข้าพเจ้า “ขออย่าให้หล่อนประมาทมันว่า “ก็” ด้วย ถึงมันเปนไทยก็เคยยืนขาหน้าขาเดียวได้ ประหลาดกว่าหมาอื่น ๆ ในโลก.”

แม่สะอิ้ง “ไหนคุณพี่ลองให้มันยืนทีคะ ขาด้วนข้างหนึ่งด้วยซ้ำ.”

ข้าพเจ้า “มันยืนไม่ได้เสียแล้ว มันไปถูกรถรางทับขาขาดเสียเมื่อวานซืนนี้เอง ผะเอิญทับขาที่ยืนได้เสียด้วย อ้ายขาหน้าที่เหลืออยู่ไม่มีประโยชน์ให้ยืนก็ไม่ได้ อย่างเดียวกับฉันเอง ถ้ามือขาดไปเสียให้เขียนหนังสือก็เห็นจะไม่ไหว”

แม่สะอิ้ง “นั่นคุณพี่จะตั้งใจให้อีฉันเชื่อกระมัง.”

ข้าพเจ้า “ถ้าหล่อนไม่เชื่อก็จนใจ ฉันสัญญาว่าจะให้หมาที่ยื่นได้ด้วยขาหน้าขาเดียว แต่หากเปนเวลาวิบัติ รถรางเจ้ากรรมไพล่มาทับขาสำคัญขาดไปเสีย เออ ปานนี้แกงไก่เห็นจะสุกกระมัง ออกหิวแล้วหละ.”

แม่สะอิ้ง “ยังไม่สุกหรอกค่ะ ถึงสุกก็ยังไม่ควรที่คุณพี่จะได้กิน เพราะสัญญาแล้วไม่ได้ยังสัญญา คุณพี่ว่าไว้กับอีฉันว่าจะให้หมาที่ยืนขาเดียวได้ ไม่ได้ว่าตัวนี้หรือตัวไหน เพราะฉนั้น ถ้าอ้ายตัวนี้ขามันขาดเสียแล้ว ก็เปนธุระของคุณพี่ที่จะหาตัวอื่นมาให้ใหม่ จึงจะสมกับคำที่กล่าวไว้เปนมั่นเปนเหมาะ ถ้าคุณพี่ไม่รับสัญญาเสียใหม่ให้มั่นคงก็เห็นจะยังไม่ควรกินเข้า.”

ข้าพเจ้าพยายามเลี่ยงออกช่องเดิมว่า “ก็ฉันบอกแล้ว ว่าผะเอิญมันมาเสียอ้ายขาสำคัญที่ยืนได้เสียแล้วดังนี้ หล่อนจะให้ทำอย่างไรต่อไปได้ ถึงหากจะต่อให้ติดได้ก็คงพิการไม่ยืนได้อย่างแต่ก่อน.”

แม่สะอิ้ง “เอาแล้ว คุณพี่ทำไก๋ไม่เข้าใจอีฉันเสียแล้ว ถ้าคุณพี่สัญญาว่าจะให้อ้ายตัวนี้ จำเพาะตัวนี้ แล้วขามันมาขาดไปเสีย จะนำมันมาให้ทั้งขาขาด ๆ ก็ควรอีฉันจะโต้เถียงว่ากระไรไม่ได้ เพราะเหตุที่มันเกิดเปนแอคซิเด็นต์ซึ่งห้ามไม่ได้ แต่คำที่คุณพี่สัญญานั้น คือว่าจะให้หมาที่ยืนขาเดียวได้ หมาตัวหนึ่งที่เปนเย็นเนอราลเทอมไม่ใช่ตัวนี้ หรือตัวไหนก็เปนชิงกูลาร์เทอม แลก็เมื่อว่าไว้ว่าจะให้ตัวหนึ่งที่ยืนขาเดียวได้ แต่บัดนี้นำตัวนี้ที่ยืนขาเดียวไม่ได้มาให้ดังนี้ คุณพี่จะไม่ทำผิดสัญญาหรือ ต่างว่าคุณพี่สัญญาว่าจะให้เงินอีฉันบาทหนึ่ง ครั้นมาตามทาง เงินบาทที่ตั้งใจจะเอามาให้นั้นตกน้ำเสียดังนี้ คุณพี่ก็จะต้องเอาบาทอื่นมาให้แทนไม่ใช่หรือ หรือคุณพี่จะมาบอกอิฉันได้ว่าเงินบาทนั้นตกน้ำเสียแล้ว เพราะฉนั้น เปนอันไม่ต้องให้อิฉันพูดอย่างนี้คุณพี่เข้าใจหรือยัง หรือยังไก๋อยู่นั่นเอง.”

ข้าพเจ้า “เงินบาทกับหมาที่ยืนขาหน้าขาเดียวได้นั้น หล่อนจะเห็นหาง่ายเท่ากันกระมัง.”

แม่สะอิ้ง “ข้อหาง่ายหายากไม่เกี่ยวกับอีฉัน แต่ปรินซิปลที่อีฉันยกขึ้นเปนข้อเถียงนั้น มันอันเดียวกัน.”

ข้าพเจ้า “ถ้าหล่อนจะเกณฑ์ให้ไปเที่ยวหาม้ามังกรก็เห็นจะไม่ยากกว่าหาหมาที่ยืนขาเดียวได้ แล้วมิหนำซ้ำยืนขาหน้าด้วย ดูเหมือนถ้าจะให้เลือกก็สมัคจะหาม้ามังกรมากกว่า.”

แม่สะอิ้งเมินหน้าไปอมยิ้มแล้วหันกลับมาบอกว่า “ถ้าคุณพี่หาหมาชนิดนั้นไม่ได้ จะขอเอาม้ามังกรมาแทนอีฉันก็ยอม ปานนี้เข้าเห็นจะพร้อมกระมัง.”

ข้าพเจ้าเห็นเสียท่าจะเถียงเรื่องสุนัขไม่ขึ้นแน่แล้วก็ยอมตกลง ด้วยแม่สะอิ้งตั้งใจจะจับข้าพเจ้าตอกตะปู ตรึงลงไปกับอ้ายสุนัขยืนขาเดียวนั้นให้ได้ แลหล่อนไหวพริบเร็วนัก จะแก้ตัวอย่างอื่นก็เห็นจะไม่หลุด อิกประการหนึ่ง รับหาม้ามังกรดูเปนนักเลงดีกว่ารับหาหมายืนขาเดียว ด้วยม้ามังกรมีอยู่ตัวเดียว ก็แต่ที่สุดสาครขี่อยู่ในเรื่องพระอภัย ใครจะมาเข้าใจว่าข้าพเจ้าพูดอย่างอื่นนอกจากพูดเล่นนั้นไม่ได้ ส่วนสุนัขขาเดียวนั้น คนบางคนอาจนึกว่าจริงก็ได้ แลการที่เปลี่ยนเอาสัญญาเล่น ๆ ไปแทนสัญญาที่ดูเหมือนจริงได้ นั้นก็เรียกว่าค่อยเบาลงไปบ้าง.

เพราะฉนั้น ข้าพเจ้าจึงตอบว่า “ตกลงฉันจะรับหาม้ามังกรมาให้หล่อนแทนหมายืนขาเดียว แต่หล่อนต้องสัญญาเสียก่อนว่า หล่อนจะไม่เอ่ยเรื่องหมาอิกเลย.”

แม่สะอิ้ง “ถ้าคุณพี่สัญญาอีฉันก็สัญญาเหมือนกัน.”

ข้าพเจ้า “ตกลง ถ้าหล่อนผิดสัญญาก่อน ฉันผิดบ้างหล่อนอย่าว่า.”

เวลานั้นได้ยินเสียงคุณป้าตะโกนลงมาจากบนเรือนว่า “แม่สะอิ้ง แม่สะอิ้ง เข้าสุกแล้วมาเปนนานสองนาน บอกพี่มากินเสียซี.”

แม่สะอิ้งแลดูตาข้าพเจ้าแล้วยิ้ม ข้าพเจ้านึกสงไสยว่า คุณป้าจะไม่ชอบให้เรามาดูสุนัขด้วยกันนานนักกระมัง เวลาที่เรามามัวพูดกันอยู่นั้นจะยาวเกินความป้ำเป๋อของคุณป้าเจียวหรือ.

เมื่อกินเข้าเสร็จแล้วนั่งพูดกันอยู่สักครู่หนึ่ง มีบ่าวขึ้นมาบอกคุณป้าว่าคุณนายต่วนมาหา แม่สะอิ้งลุกหนีเข้าเรือนไป ข้าพเจ้าต้องหลีกเข้าไปอยู่ในห้องเขียนหนังสือของเจ้าคุณน้า ด้วยยังไม่อยากพบให้หลวงกฤษณาทราบว่า ข้าพเจ้าไปมาที่บ้านนี้ได้ แลเพื่อจะแอบฟังด้วย ครั้นยายคุณนายต่วนขึ้นไปถึงบนเรือนยังไม่ทันจะพูดว่ากระไร ข้าพเจ้าเห็นสีเขียว ๆ แดง ๆ แวบอยู่ทางประตูหลังห้องเขียนหนังสือ รู้ทีว่าแม่สะอิ้งก็จะแอบมาฟังเหมือนกัน แต่เห็นข้าพเจ้าอยู่เสียแล้ว ก็นึกกระดากไป ถ้าข้าพเจ้าจะขืนแอบฟังอยู่คนเดียว แม่สะอิ้งคงไม่ชอบ ทั้งเวลานี้เปนโอกาศที่จะคุยต่อไปได้อิก ข้าพเจ้าจึงตามเข้าไปในห้องโถงหลังห้องเขียนหนังสือ พบแม่สะอิ้งนั่งช่วยนางสุกเจียนหมากตากอยู่ ข้าพเจ้าก็เข้าไปพยายามช่วยเจียนบ้าง แต่ดูหมากบอบช้ำเต็มที.

ข้าพเจ้าถามว่า “คุณยายต่วนมาทำไม.”

แม่สะอิ้ง “คุณพี่นี้ก็ชอบกล อีฉันจะไปทราบยังไงได้ คุณพี่เปนคนไปแอบฟังแล้วกลับมาถาม ควรจะมาเล่าถึงจะถูก อ้อ ม้ามังกรเมื่อไรจะได้ล่ะคะ.”

ข้าพเจ้า “สงกรานต์นี้ก็ได้ แต่รูปร่างมันน่ากลัว เขี้ยวงอกออกโง้ง หล่อนเห็นเข้าลางทีจะไม่ชอบ ไปดูเสียก่อนเห็นจะดี ตัวมันใหญ่อยู่ ประเดี๋ยวเอามาไม่ชอบจะต้องข้ามน้ำสองหนสามหนลำบาก.”

แม่สะอิ้ง “อะไร้ คุณพี่จะให้ไปดูที่ไหนคะ.”

ข้าพเจ้า “ก็ที่บ้านฉันนะซี หล่อนจะไปดูที่ไหนเล่า.”

แม่สะอิ้ง “ตายจริง อกแตก นั่นคุณพี่กล้าบอกอีฉันรึค่ะ ว่ามีม้ามังกรอยู่ที่บ้าน คุณพี่ได้มาจากไหนคะ.”

ข้าพเจ้า “มันก็มาจากเมืองจีนน่ะซี หล่อนจะให้มันมาจากไหนละ เสฉวนแท้ด้วย ไม่ใช่ม้ามังกรเลว ๆ มาจากแต่จิ๋วนี่เลย.”

แม่สะอิ้ง “เออแน่ะ คุณพี่นี่ก็หนักมือพอใช้ ช่างพูดได้ออกจ้อ เอาเถอะค่ะ สงกรานต์นี่แหละ อีฉันจะชวนคุณป้าไปดู จะไปวันไหนจะมีหนังสือบอกไปให้คุณพี่ทราบ จะได้อาบน้ำถูสะบู่ม้ามังกรไว้ให้สอาด ไหนคุณพี่ว่ารูปร่างมันเปนยังไงนะคะ.”

ข้าพเจ้า “ฉันก็อธิบายไม่ถูก หล่อนไปดูเอาเองก็แล้วกัน สีมันม่วง ๆ ขี่วันอังคารก็ได้ วันเสาร์ก็ได้”

เวลาที่กลับบ้านวันนั้น ข้าพเจ้าช่างร้อนใจจริงๆ ด้วยยายคุณนายต่วนแกไปบ้านคุณป้าบ่อยนัก ข้าพเจ้าก็ยังไม่เห็นทางที่จะป้องกันอย่างไร จะพูดเรื่องตัวเองกับคุณป้าเสียทีเดียวก็ยังไม่กล้า ด้วยยังไม่สู้แน่ใจว่าแม่สะอิ้งจะตกลง ถ้าฉวยเสียทีจะเลยเจิ่นกันไปเสียคอยพูดต่อเมื่อเห็นจะสำเร็จจริงๆ ดีกว่า ข้อสำคัญในเวลานี้คือจะต้องป้องกันอย่าให้หลวงกฤษณาสำเร็จ แต่จะทำอย่างไรก็ยังแลไม่เห็น เปนที่เบาใจอยู่หน่อยหนึ่ง ก็ที่คุณป้ากับเจ้าคุณน้าจะยังไม่พบกันอยู่อิกหลายวัน ส่วนเรื่องม้ามังกรนั้น ข้าพเจ้าก็ยังไม่ทราบที่จะแก้ตัวไปทางไหน แต่ถึงอย่างไร ๆ ก็จะได้แม่สะอิ้งมาบ้าน ข้อนี้ทำให้ข้าพเจ้าพอใจพอแล้ว ไม่ต้องร้อนใจถึงเรื่องอื่น ๆ ไข้ยังไม่ทันทราบว่าอาการเปนอย่างไร จะมาด่วนตีตนไปก่อนทำไม

รุ่งขึ้นข้าพเจ้าได้รับหนังสือแม่สะอิ้งว่า คุณป้าตกลงแล้วที่จะมาบ้านข้าพเจ้าสงกรานต์วันต้น จะถึงท่าพระจันทร์ราวบ่าย ๔ โมง ถ้าข้าพเจ้าไปคอยรับอย่างที่ว่าก็ดี ด้วยคุณป้าไปไหนชอบมีผู้ชายไปทำนององครักษ์.

ข้าพเจ้าเขียนตอบไปว่าวันสงกรานต์วันต้น ข้าพเจ้าจะไปคอยอยู่ที่ท่าตั้ง ๓ ชั่วโมงครึ่งไปจะให้ข้าพเจ้าคอยสักเท่าไรก็ตามใจ แต่ถ้าอย่าให้เย็นนักเปนดี อนึ่งม้ามังกรในเวลานี้กินได้นอนอ้วนท้วนดี ดูมันทำการเหมือนดีใจที่จะมีนายเปนสองคนขึ้น.

ส่วนการรับรองคุณป้ากับแม่สะอิ้งนั้น ข้าพเจ้าตระเตรียมไว้พร้อมแต่วันจ่าย ครั้นวันสงกรานต์วันต้น ข้าพเจ้าสั่งให้บ่าวปัดกวาดเช็ดล้างเปนพิเศษกว่าธรรมดาขึ้นไปเสร็จแล้ว กำลังนั่งตรึกตรองหาช่องจะแก้ตัวเรื่องม้ามังกรให้น่าฟังสักหน่อย พอได้ยินเสียงฝีเท้าคนเดินขึ้นเรือนมา ข้าพเจ้าลูกไปดูที่เฉลียง พบเจ้าคุณปลัดทูลฉลองก็ตอนรับตามสมควร.

เจ้าคุณ “ไง คุณหลวง นึกกลัวจะไม่พบเสียแล้ว เพราะไม่ได้นัดได้หมายไว้ ตรุษสงกรานต์นึกว่าเผื่อจะไปเล่นไพ่ที่ไหนเสียกระมัง.”

ข้าพเจ้าชี้แจงว่า ข้าพเจ้าไม่ใช่คนเล่นไพ่ แล้วลุกไปหยิบหีบบุหรี่มาตั้ง แลเรียกให้บ่าวยกน้ำชามาตั้งเลี้ยงแล้ว เจ้าคุณก็พูดต่อไปว่า “ไหนคุณครอบสำฤทธิ์ที่คุณอวดว่าได้มาใหม่ ขยายออกมาอวดกันบ้างซี อะไรมีอิกมั่งเทวรูปยังไง.”

ข้าพเจ้าลุกไปหยิบเครื่องเหล่านั้นมาอวดเจ้าคุณท่านก็เลยคุยอยู่จนบ่าย ข้าพเจ้าออกร้อนใจด้วยเวลาก็ใกล้เข้าทุกที ถ้าฉวยท่านไม่ไปจนเย็นจะเดือดร้อน แต่ครั้นจะพูดให้ท่านเข้าใจก็ดูเปนไล่ แต่ข้าพเจ้าตรึกตรองลังเลอยู่จนบ่าย ๓ โมงเศษ ไม่ทราบจะขยับขยายอย่างไรก็เรียนท่านออกไปตรง ๆ ว่า “ถ้ารถใต้เท้าไม่ได้มาผมไปส่งก็ได้ เพราะผมมีธุระที่จะต้องไปทางบ้านใต้เท้าเหมือนกัน.”

เจ้าคุณ “งั้นรึ มีธุระก็ไม่บอกกันเสียแต่แรกด้วยนา ฉันก็ไม่รู้ไพล่มาโอ้เอ้อยู่เปนนาน เอาหละคุณ ครอบใบนี้ถ้าคุณจะแลกก็ตกลง ของที่คุณต้องการฉันมีอยู่แล้ว.”

ข้าพเจ้าตามไปส่งเจ้าคุณหน้าบ้าน ขากลับขึ้นเรือนสั่งให้แขกผูกรถแล้ว ก็รีบแต่งตัวอย่างเร็วที่สุด แต่ดูช้าที่สุดในเวลานั้น ภายใน ๑๕ นาฑี ข้าพเจ้าก็ขึ้นรถบอกให้แขกรีบขับไปได้สักครึ่งทาง เห็นโมเตอร์คาร์คันหนึ่งขับมาแต่ไกล ดูท่าทางฉวัดเฉวียน ดูทีเหมือนผู้ขับจะยังไม่สู้ชำนาญ ข้าพเจ้าร้องบอกแขกให้หลีกแอบให้ชิดริมถนน ประเดี๋ยวเดียวโมเตอร์คาร์เข้ามาใกล้ ผะเอิญในเวลานั้นมีงัวฝูงหนึ่งพากันเดินจะข้ามถนน ผู้ขับโมเตอร์คาร์หันรถจะหลีกงัว แต่ขาดความชำนาญหันล้อเกินส่วนไปจะเลยลงคลอง ผู้ขับสีหน้าเสียพยายามจะหยุดรถ แต่อ้ายรถกลับโจนโครมลงไปในครอง หลวงกฤษณาผู้ขับ ๑ คุณป้า ๑ แม่สะอิ้ง ๑ ยายคุณนายต่วน ๑ ต่างคนต่างลงไปนอนแอ้งแม้งอยู่ในโคลน รถลงจมอยู่สักครึ่งรถ.

ข้าพเจ้าเห็นดังนั้น ก็ร้องให้แขกหยุดรถรีบโจนบุกโคลนลงไปช่วยคุณป้ากับแม่สะอิ้งขึ้นมาจากคลอง เคราะห์ดีที่เวลานั้นน้ำแห้งคลอง ไม่มีใครสำลัก แต่ดูมอกลอกมอกแลกกันใหญ่ เสื้อแพรของแม่สะอิ้งซึ่งเคยเปนสีขาว แพรห่มซึ่งเคยเปนสีโสก แลผ้านุ่งซึ่งเคยเปนสีม่วงนั้นก็กลายเปนสีโคลนไปเกือบหมด หน้าที่เคยเปนนวลก็เปนสีเดียวกับเสื้อผ้าไปด้วย ส่วนคุณป้านั้นไม่แต่เปรอะไปด้วยโคลนอย่างเดียว ดูอาการมีบาดเจ็บหายใจขัดแลจะเลยเปนลมเอาด้วย ข้าพเจ้าพาคุณป้ากับแม่สะอิ้งขึ้นรถแล้ว ก็ให้แขกขับไปท่าพระจันทร์ ด้วยข้าพเจ้าชวนให้ไปพักบ้านข้าพเจ้าก่อน คุณป้ากับแม่สะอิ้งก็หายอมไม่ ส่วนหลวงกฤษณากับยายคุณต่วนนั้นข้าพเจ้าทิ้งไว้ให้จัดการตัวเองเพราะไม่มีบาดเจ็บอันใด.

เมื่อไปถึงท่าพระจันทร์ข้าพเจ้าก็เขียนหนังสือสองสามบันทัดให้รถไปรับหมอฝรั่ง แล้วพาคุณป้ากับแม่สะอิ้งลงเรือไปบ้าน ให้เรือกลับไปคอยหมอที่ท่า ประมาณชั่วโมงเศษ ๆ หมอไปถึง ตรวจทราบโครงหักอยู่ซี่หนึ่งไม่มีอันตรายอะไร แต่กว่าจะหายก็ต้องนอนนิ่งอยู่หลายวัน.

การที่เกิดเอกซิเดนต์คราวนี้ ข้าพเจ้าไล่เลียงแม่สะอิ้งแลหลวงกฤษณาได้ความว่า โมเตอร์คาร์คันนี้ หลวงกฤษณาพึ่งมีมาใหม่ได้สองวัน เจ้าของกับรถยังไม่คุ้นกันกี่มากน้อย แต่หลวงกฤษณาถือตัวว่าเปนคนทำอะไรทำดีเร็ว (ซึ่งถ้ายกเรื่องตกคลองคราวนี้เสียแล้ว ข้าพเจ้าก็ยอมว่าจริง) แลบ่ายวันสงกรานต์วันต้นนั้น หลวงกฤษณาเกณฑ์ให้น้าสาว คือคุณนายต่วน พาไปหาคุณป้าให้รู้จักไว้ แลโดยหวังว่าถ้าสบโชคดีจะพบแม่สะอิ้งบ้างก็ได้ ครั้นเวลาบ่ายราว ๆ สามโมง หลวงกฤษณากับน้าสาวก็ขึ้นโมเตอร์คาร์ขับไปท่าพระจันทร์.

ฝ่ายคุณป้ากับแม่สะอิ้งนั้นจะเปนด้วยไม่ได้ยินปืนเที่ยงหรืออย่างไร จึงพากันงุ่มง่ามมาก่อนเวลาที่นัดไว้กับข้าพเจ้า ทั้งเจ้าคุณปลัดทูลฉลองยังมาทำให้ข้าพเจ้าช้าไปอิกเล่า คุณป้ากับแม่สะอิ้งมาคอยข้าพเจ้าอยู่ที่ท่าพระจันทร์ตามคำแม่สะอิ้งว่าสักครึ่งวัน แต่นางสุกว่าเกือบครึ่งชั่วโมง พากันบ่นปากเปียกว่าข้าพเจ้าเหลวจนใกล้จะกลับบ้านอยู่แล้ว พอหลวงกฤษณากับน้าสาวขับโมเตอร์คาร์ไปถึง ยายคุณนายต่วนเห็นคุณป้าเข้าก็พาเจ้าหลานชายเข้าไปประจ๋อประแจ๋ คุณป้าก็ป้ำเป๋อเล่าให้ฟังถึงเรื่องที่จะไปบ้านข้าพเจ้า แต่มาคอยอยู่นานแล้วข้าพเจ้ายังไม่ไปรับ หลวงกฤษณาเห็นเปนโอกาศอันดี ก็รับอาสาจะขับโมเตอร์คาร์พาคุณป้ากับแม่สะอิ้งไปส่งบ้านข้าพเจ้า บอกว่าจะอ้อมเที่ยวรอบเมืองเสียก่อนก็ได้ ฝ่ายแม่สะอิ้งได้ยินดังนั้นก็ออกชอบ แลโก้พอที่จะยอมไปขี่โมเตอร์คาร์กับหลวงกฤษณาได้ แต่คุณป้ายังสองจิตต์สองใจ ด้วยออกกลัว ๆ อยู่สักหน่อย ในที่สุดหลวงกฤษณาอธิบายความยั่งยืนของโมเตอร์คาร์จนคุณป้าเชื่อ ด้วยยายต่วนแกช่วยเล่าด้วยว่าแกขี่มาเมื่อตะกี้เรียบร้อยสบายดีนัก ดังนี้คุณป้ากับแม่สะอิ้งก็ตกลงกันขึ้นโมเตอร์คาร์ไปกับหลวงกฤษณาแลคุณนายต่วน พวกบ่าวๆ ให้ไปรถราง.

แม่สะอิ้งเล่าว่าเวลาที่ขับไปนั้นดูมันเร็วปรูดปราดดี แต่มีเวลาที่ไม่ไว้ใจอยู่บ้าง เพราะอาการที่หลวงกฤษณาขับนั้นทำให้เห็นได้บางคราวว่ายังไม่สู้ชำนาญนัก ครั้นไปถึงตรงถนนที่จะเกิดเหตุ ผะเอิญมีงัวขวางออกมาทั้งฝูง หลวงกฤษณาตั้งใจจะหลีกเฉียดไปริมคลอง แต่หันล้อมากเกินไปหน่อย แลหลวงกฤษณาแก้ตัวว่า เมื่อหลีกอ้ายตัวหน้า ๆ พ้นแล้ว อ้ายตัวหลังมันยังขวางออกมาอิกถึงสามตัว หลวงกฤษณาเห็นว่าหันลงคลองไปเสียไม่บาปดีกว่าชนงัวตาย.

ครั้นรถหันหน้าไปลงคลองดังนั้น หลวงกฤษณาอยากจะหยุดอยู่บนตลิ่งมากกว่าลงไปดำโคลนอยู่ในคลอง จึงเหยียบเบรกที่ห้ามล้อ แต่ผะเอิญอ้ายเบรกเจ้ากรรมไพล่ไปอยู่เคียงกับแอคซีเลอร์เรตเตอร์ หลวงกฤษณาโดยอารามตกใจจะเหยียบเบรก ไพล่ไปเหยียบแอคซีเลอร์เรตเตอร์เข้ารถจึงวิ่งเผ่นลงคลองเร็วหนักขึ้น.

ในคืนวันนั้นข้าพเจ้ากลับจากบ้านคุณป้าแต่ยังหัวค่ำก็เลยลงไปโฮเตล พบพระเวชวิสิษฐ์อยู่ที่นั่นก็ทักทายกันตามธรรมเนียม พระเวชถามว่า “เออ ได้ยินว่าหลวงกฤษณาตกโมเตอร์แกรู้หรือเปล่า.”

ข้าพเจ้า “ทำไมจะไม่รู้ ก็กันเห็นนี่นา.”

พระเวช “งั้นรึ เออ ใครอยู่ในรถมั่งถามหลวงกฤษณาไม่บอก เขาว่าผู้หญิงหลายคน เล่นเอาอาบโคลนกันหมด.”

ข้าพเจ้า “ใครเสียอิกละ น้องสาวกันน่ะซี แม่สะอิ้งคน ๑ คุณป้าคน ๑ น้าสาวหลวงกฤษณาคน ๑ พากันดำ ๆ ด่าง ๆ ไปหมด ยิ่งแม่สะอิ้งด้วยแหละสวยพิลึก เสื้อผ้าหน้าตามอกลอกมอกแลกไปด้วยโคลน คุณป้าก็โครงไปฟาดเอาอะไรหักไปซี่หนึ่ง” ข้าพเจ้าก็เล่าให้พระเวชฟังตลอดเรื่อง.

ในหมู่นั้นข้าพเจ้าเลิกจากออฟฟิศก็เลยไปเยี่ยมคุณป้าทุกวันที่จะไปได้ วันที่ ๓ พอพบหน้าแม่สะอิ้งเข้าก็เห็นได้ว่าคงมีเรื่องอะไรเปนแน่ แต่แรกออกจะไม่พูดกับข้าพเจ้า ครั้นพูดด้วยก็ทำสบัดเอา ข้าพเจ้าช่างตกใจนี่กระไร.

ในที่สุดเมื่ออ้อนวอนถามหนักเข้า แม่สะอิ้งจึงดุแหวออกมาว่า “เรื่องตกรถ ขอให้คุณพี่บอกอีฉันว่าใครเปนผู้เอาไปลงในหนังสือพิมพ์.”

ข้าพเจ้า “ตายจริง ลงเมื่อไรล่ะ.”

แม่สะอิ้งหน้าบึ้งเต็มทีตอบว่า “หนังสือนิวโรดโครนิก็ล เมื่อวานนี้นะค่ะ ชื่อเสียงลงไปตรง ๆ ทั้งนั้น หน้าตาผ้าเสื้อเปื้อนโคลนมอมแมมยังไงลงหมด คำพูดตลกล้อเล่นราวกะอะไรดี.”

ข้าพเจ้า “ตายจริง ใครฉวยเอาไปลงได้ เห็นจะออกจากพระเวชนี่เอง.”

แม่สะอิ้ง “ออกจากพระเวชไม่ได้ดอกค่ะ คนที่เห็นก็มีแต่คุณพี่กับหลวงกฤษณาสองคน เพราะถนนในเวลานั้นก็ไม่มีใครที่จะรู้จักเล่า อย่างที่ลงในหนังสือพิมพ์ หากว่าหนังสือพิมพ์จะได้ไปจากพระเวช ก็พระเวชได้ไปจากใคร”

ข้าพเจ้านิ่งอึ้งนึกไม่ทันว่าจะแก้ตัวอย่างไร เปนแต่นึกว่า ถ้าพบพระเวชเปนเตะเปนแน่.

แม่สะอิ้ง “ยังไงคะ คุณพี่นิ่งอึ้งจะว่ากระไรก็ไม่ว่า ใครเปนผู้เล่าให้พระเวชขอให้คุณพี่รีบบอก ถ้าไม่อย่างนั้นอีฉันจะต้องให้ไปถามหลวงกฤษณา

ข้าพเจ้า “อ้ายเรื่องเช่นนี้หล่อนคงเข้าใจว่าฉันคงไม่ไปเล่าให้พระเวชหรือใครฟังให้ขายหน้าเปนแน่.”

แม่สะอิ้ง “แน่หละนะคะ ถ้าอย่างนั้นก็หลวงกฤษณาเปนคนเอาไปเล่า ตั้งแต่วันนี้ไม่ขอดูหน้าอีตาหลวงคนนี้ต่อไป เฮ้ย สุกบอกทิดแสงให้สั่งแขกยามทีเถอะว่า ทีนี้ถ้ายายต่วนมาอย่าให้เข้าบ้าน บอกว่าข้าสั่ง ถ้าคุณป้าว่ากระไรข้าจะรับผิดรับชอบเอง.”

ตั้งแต่วันนั้นยายคุณนายต่วนหรือหลวงกฤษณาก็ไม่ได้วี่แววเข้าไปในบ้านนั้นอิกเลย หลวงกฤษณาเข้าใจว่า ที่ขอแม่สะอิ้งไม่ได้ก็ด้วยพาไปตกคลอง ได้ยินพูดว่าโมเตอร์คาร์คันนั้นที่ไหนเผาไฟได้ก็จะใช้เปนฟืนให้หมด.

ฝ่ายข้าพเจ้าเมื่อหลวงกฤษณาเข้าใจว่าขอแม่สะอิ้งไม่ได้เพราะตกคลอง แลแม่สะอิ้งโกรธหลวงกฤษณา เพราะเข้าใจว่าเปนผู้ปล่อยเรื่องไปลงหนังสือพิมพ์ดังนี้แล้ว ก็ไม่ใช่ธุระของข้าพเจ้าที่จะชี้แจงว่ากระไร แลส่วนที่แม่สะอิ้งเข้าใจว่าหลวงกฤษณานำเรื่องไปเล่าให้พระเวชฟังนั้น ท่านคิดว่าเปนเพราะข้าพเจ้ากล่าวเท็จให้หลอนเชื่อหรือ? เปล่าเลย ข้าพเจ้าไม่ได้กล่าวเท็จ ถ้าข้าพเจ้าปฏิเสธข้อที่เล่าเรื่องให้พระเวชฟังนั่นแหละจึงจะเปนเท็จ นี่ข้าพเจ้าไม่ได้ปฏิเสธ ข้าพเจ้าบอกแต่ว่าคงจะไม่นำไปเล่าเปนแน่ คำว่า “จะ” ย่อมแสดงอยู่แล้วข้าพเจ้ากล่าวส่วนอนาคต ถ้าแม่สะอิ้งเข้าใจคำว่า “จะไม่เล่า” เปน “ไม่ได้เล่า” ไปแล้วก็หาใช่ธุระของข้าพเจ้าที่จะอธิบายโต้แย้งประการใดไม่ ยิ่งเข้าใจผิดไปเช่นนั้นก็ยิ่งเปนที่ชอบใจของข้าพเจ้า.

ส่วนคุณป้านั้นยังติดใจอยู่เสมอว่า หลวงกฤษณาขี้เมาพูดอย่างแน่อกแน่ใจว่า ที่พาไปตกคลองก็เพราะฤทธิ์เหล้าเท่านั้น ข้าพเจ้าก็ออกจะต้องคดีว่า ปิดบังความขี้เมาของหลวงกฤษณาด้วยเสียอีก.

แต่การที่หลวงกฤษณาหลุดไปเช่นนี้แล้วนั้น ใช่ว่าข้าพเจ้าจะได้แม่สะอิ้งทีเดียวก็หามิได้ เปนแต่กันผู้ที่มาแย่งให้หลุดไปได้อีกคนหนึ่ง เพราะฉนั้น เรื่องนี้ก็ยังคงเปนเรื่องค้าง ๆ อยู่อย่างแต่ก่อน.

ส่วนม้ามังกรนั้นข้าพเจ้าชวนให้แม่สะอิ้งไปดูใหม่ก็ยังไม่ยอม มาจนบัดนี้ดูออกจะกลับโกรธๆ เอาด้วยซ้ำ ยิ่งว่าจะหาโมเตอร์คาร์ไปรับที่ท่า ยิ่งสะบัดหน้าหนักเข้า ดูเปนทำนองว่าล้อเรื่องตกโคลน.

 

แชร์ชวนกันอ่าน

แจ้งคำสะกดผิดและข้อผิดพลาด หรือคำแนะนำต่างๆ ได้ ที่นี่ค่ะ