เรื่องหางแมว

หมอยิ้มเขียวเปนแพทย์เชลยศักดิ์ ใช้ยาแลวิธีรักษาโรคอย่างโบราณ แต่เพราะเหตุที่แกโบราณ ยังไม่คล่องในการใช้นามสกุล ถ้าคนไข้ไปเรียกแกว่าหมอยิ้มเขียว แกก็โกรธจนแทบจะทิ้งไข้ไม่รับเปนธุระต่อไป จนตลอดชีวิตคนไข้ ซึ่งแกรู้แน่ในใจว่าจะไม่อยู่ได้นาน เพราะแกไม่รับรักษาเสียแล้ว

อันที่จริงแกชื่อหมอแสงยิ้มเขียว แสงเปนชื่อตัว ยิ้มเขียวเปนชื่อสกุล ใครเรียกแกว่าหมอแสงลอย ๆ แกควรจะโกรธว่าถือวิสาสะเกินเหตุ แต่แกก็ไม่โกรธ กลับชอบ ส่วนชื่อสกุลนั้นใครเอ่ยไม่ใคร่ได้ เพราะนายบุญ บุญทัดน้องเมีย เปนเหตุ

นายบุญทัตนั้นที่จริงก็เปนลูกชาวบ้านนอกแต่ได้เล่าเรียนมาก แลฉลาดพอจะฉุดขาคนได้ เดิมบิดาได้สั่งให้ไปเรียนหนังสือที่วัดศาลาปูน นายบุญทัตเรียนจนความรู้กับโรงเรียนเหมือนหนุมานคับศาลา บิดานายบุญทัตตกที่นั่งฤษีที่ถูกหนุมานกวนจนต้องนิรมิตศาลาใหม่ แต่นิรมิตโรงเรียนไม่เปน เพราะไม่มีอำนาจในกรมศึกษาธิการ จึงต้องใช้วิธีย้ายลูกชายให้เข้ามาเรียนในกรุงเทพ ฯ นายบุญทัตเปนเด็กฉลาดใส่ใจในการเรียนก็เรียนได้ความรู้ไม่น้อย แลทั้งมีเชาว์สามารถเห็นความขันในสิ่งที่ขัน เปนเหตุให้พี่เขยไม่ใคร่ไว้ใจสนิท เพราะแกถูกเห็นขันร่ำไป

กล่าวเรื่องนามสกุลของหมอแสง ยิ้มเขียว นายบุญทัตกับพี่เขยเคยสนทนากันคล้ายๆ อย่างนี้ นายบุญทัต “ยิ้มเขึยวหรือพี่หมอ พี่ยิ้มยังไงถึงเขียวลองทำให้ฉันดูสักทีได้ไหม.”

หมอแสงแลไม่เห็น ตอบว่า “นามสกุลไงล่ะ จดทเบียฬที่อำเภอเมื่อวานซืนนี้เอง”

นายบุญทัต “รู้หละพี่ แต่ว่าพี่ยิ้มท่าไหนถึงได้เขียว ฉันนึกว่าเห็นจะทำยากพิลึก.”

หมอแสง “ไม่ใช่น่ะ เปนชื่อสกุล คือชื่อที่เหมือนกันหมดในพวกพี่น้องนี้แหละ.”

นายบุญทัต “ฉันเปล่าพี่ ฉันเปล่า ฉันทำไม่เปน เพราะยังงั้นถึงมาถามพี่ จะให้พี่ทำให้ดู.”

หมอแสง “ก็จะต้องทำอะไรล่ะ ไปจดทเบียฬเสียก็แล้วกัน ไม่ต้องทำอะไรหรอก อำเภอท่านทำให้เสร็จ.”

นายบุญทัต “อำเภอฉันก็นึกว่าทำไม่เปนประมาทได้.”

หมอแสง “อ๊ะ พูดอะไรยังงั้น ท่านทำไม่เปนท่านจะเปนนายอำเภอยังไงได้”

นายบุญทัต “ฉันว่าทำไม่เปน พนันกันเท่าไรก็เอา ถ้ายิ้มแดงบางทีจะพอทำได้ คือกินเหล้าเสียให้หน้าเปนตำลึงสุกแล้วลองยิ้มดู ถ้าอำนาจเหล้ายังอนุญาตให้ยิ้ม จะเรียกว่ายิ้มแดงก็พอได้กระมัง แต่ยิ้มเขียวนี่แหละหมดปัญญาจริง ๆ ถึงจะใช้สีสวรรค์ก็เปนย้อมภายนอก พูดไม่สนิท ไม่เหมือนยิ้มแดง”

หมอแสง “ก็พ่อข้าชื่อยิ้ม แม่ชื่อเขียว นามสกุลของข้าก็ยิ้มเขียว แม่ข้าไม่ได้ชื่อแดงจะให้เปนยิ้มแดงยังไงได้”

นายบุญทัต “เปล่า ฉันไม่ได้ว่าควรเปนยิ้มแดงดอก ฉันว่าแต่เพียงว่า ถ้ายิ้มแดง ๆ บางทีจะพอจัดการได้ แต่ยิ้มเขียวนั้นทำยากเหลือเกิน.”

หมอแสงกล่าวว่านายบุญทัตพูดอะไรแกไม่เห็นเปนรส แต่คำที่แกกล่าวนั้นก็เปนความจริง เพราะถ้าคนยิ้มให้เปนสีเขียวไม่ได้ การพูดให้มีรสเปรี้ยวหวานจืดเค็มก็คงทำไม่ได้ แต่เราท่านย่อมพูดถึงรสแห่งวาจา คือกล่าวคำหวานแลคำเผ็ดร้อนเปนต้น แลถ้าจะเหยียดต่อไปกล่าวถึงรสแห่งความขบขัน หมอแสงแกก็ไม่มีลิ้นอย่างที่อาจรู้รสชนิดนั้น เพราะฉนี้ คำที่แกกล่าวว่านายบุญทัตพูดอะไรไม่เห็นเปนรสนั้น เปนคำที่จริงทุกประการ.

แต่คำที่นายบุญทัตกล่าวนั้น ทำให้หมอแสงสงสัยว่านายบุญทัตลอบฉุดขาแก ถึงแม้ไม่รู้แน่ก็ไม่หายสงสัย แกจึงฉุนง่าย ๆ ในเรื่องนามสกุล แลในที่นี้เราจะเรียกแกว่าหมอแสง ไม่ใช่ชื่อสกุลโดยเคารพความรู้สึกของแก ส่วนภริยาของแกนั้นเคยเรียกกันว่าอำแดงอ้น ลูกชายเคยเรียกเจ้าเซ่ง จึงยังคงเปนอำแดงอ้นแลเจ้าเซ่งอยู่จนบัดนี้

เราได้กล่าวมาแล้วว่า หมอแสงเปนหมออย่างโบราณ แลโบราณอย่างสนิท ไม่มีศรัทธาต่อยาควินินในทางแก้ไข้จับแลเพราะแกไม่เชื่อ แกจึงไม่เอายาควินินมาผสมกับเท่าถ่าน ที่บดเลอียดแล้ว แลเรียกว่ายามหานิลอย่างวิเศษ ส่วนยาฝรั่งอิกเปนอันมากซึ่งรักษาโรค ด้วยกินเข้าไปก็ดี ด้วยทาก็ดี แกไม่ยอมใช้ทั้งนั้น แลสิ่งใดแกไม่รู้จักเพราะไม่มีในตำราของแก แกประกาศว่าใช้ไม่ได้ทั้งหมด ใช่แต่ใช้ไม่ได้ ถ้าใครขืนใช้ก็กระเดียดจะให้โทษถึงตายด้วยซ้ำ การที่หมอแสงไม่ยอมใช้ยาที่แกไม่รู้จักนั้น ก็เปนเรื่องที่ไม่พึงติเตียน แต่ที่กล่าวว่าของที่แกไม่รู้จักเปนของใช้ไม่ได้ทั้งหมดนั้น เห็นจะพูดมากเกินไปสักหน่อย เพราะไม่มีใครจะรู้คุณชั่วแห่งสิ่งที่ตนไม่รู้จักได้ นอกจากจะเปนความรู้ของคนที่ไม่รู้อะไรเสียเลย หรือเปนความฉลาดของคนที่โง่ดักดานที่สุด ถ้าจะยกเอาเต่ามาเปรียบก็เห็นจะพอกล่าวได้ว่า ความรู้ในสิ่งที่ไม่รู้นั้น คือความฉับไวของเต่านั้นเอง.

ส่วนการขึ้นต้นไม้ช่ยแรงคาถานั้น ไม่ต้องสงสัยเลย ว่าหมอแสงแกจะไม่ใช้ การเศกไพลเศกแป้งแลทำน้ำมนต์เปนวิชาที่แกทำได้ขลัง แลใช้ไพลเศกแลแป้งน้ำมนต์แต่ในเวลาที่ควรใช้ได้ จึงมีเพื่อนบ้านแลคนไข้เปนอันมาก ที่เห็นแน่นอนว่าแกเปนหมอศักดิ์สิทธิ์นัก.

ขอให้ท่านเข้าใจว่า ข้าพเจ้าเปนผู้อยู่ห่างไกลจากความหมิ่นประมาทวิชาแพทย์ของหมอแสง ซึ่งข้าพเจ้าก็ได้เคยอาศรัยแลได้เห็นคุณดีบ่อย ๆ ความรู้อย่างโบราณสำหรับรักษาไข้ ซึ่งพอรักษาได้นั้นแกมีเปนแน่ แต่การจดฉลากห่อยานั้น แกก็เขียน “กินกไดทากได” ในที่ซึ่งท่านแลข้าพเจ้าคงจะเขียนว่ากินก็ได้ทาก็ได้ เหมือนอย่างหมอไทยอิกหลายคนที่เรารู้จัก แลเลือกการใช้เอกโทในที่ถูกเสียทีเดียว ข้อนี้แสดงว่าความเล่าเรียนของแกบกพร่อง ไม่รู้อะไรนอกจากในทางแพทย์ แลความขาดการศึกษานี้เปนเหตุสำคัญ ที่ทำให้เกิดเรื่องซึ่งจะนำมาเล่าในบัดนี้

หมอแสงกับอำแดงอ้นเช่าห้องหมายเลขที่ ๕๙๘ ถนนชื่ออะไรจำไม่ได้ อยู่แทบวัดเลียบ มีเจ้าเซ่งลูกชายอายุ ๑๓ ปี อยู่เพิ่มจำนวนชาวห้องแถวหมายเลขที่ ๕๙๘ ขึ้นให้เปนสาม เจ้าเซ่งเปนผู้รับใช้บิดาเก็บเครื่องยาได้บ้าง แลรับใช้มารดาในการไปตลาดได้ในเวลาที่หาตัวพบ ด้วยเจ้าเซ่งคนนี้เปนเด็ดขาดความเปนผ้าพับไว้ ที่สำหรับวิ่งเล่น คือกรุงเทพ ฯ ทั้งกรุง ที่สำหรับนั่งเล่น คือค่าคบไม้ เมื่อเล่นเอาเถิดในฤดูหนาวผู้อยู่โยง คือพระเสวตรรุจิราภาพรรณ์ในเวลาตกน้ำมัน ในฤดูร้อนถ้าพบสุนักข์บ้าก็คงชวนเล่นเอาเถิดจนได้ ส่วนรถยนต์แลรถรางนั้นเปนของที่เชื่องต่อเจ้าเซ่งทั้งนั้น ถึงรถบดถนนก็รู้จักคุ้นเคยกันดี แลเมื่อรถชนิดนั้นทับเด็กตายที่ถนนหว่างวัดเลียบนั้น เจ้าเซ่งก็จวนจะได้เปนเพื่อนตายกับเด็กคนนั้นด้วย

ก็เมื่อหมอแสงเปนคนเนิบนาบทั้งในภูมปัญญาแลกิริยาอาการ แต่พะเอินมีลูกเปนเด็กซนดูไม่ทันดังนี้ ใจแกจะหนักกี่ตันก็ยากที่จะประมาณได้ แกเปนผู้ใหญ่แลเปนชาวบ้านนอกมาแต่เดิม พึ่งเข้ามาอยู่กรุงเทพฯ เมื่อเกือบจะแก่ มาเห็นรถต่าง ๆ มันวิ่งเร็วเกินเคยที่นึกว่าอะไรจะเร็วได้บนดิน ให้คิดสยดสยองยิ่งนัก แต่ลูกชายของแกคุ้นกับเจ้าพวกตัวภัยเหล่านั้นเร็วนัก ใจแกวับๆ หวำๆ อยู่ร่ำไป.

เย็นวันหนึ่ง นายบุญทัตน้องเมียมาหา หมอแสงกำลังนั่งพูดกันอยู่ถึงเรื่องฝรั่งรบกัน เวลานั้นเยอรมันกำลังฮึกเหิมตีทัพพวกเราเข้ามาจนใกล้ปารีส นายบุญทัตกล่าวว่าเยอรมันชาติเดียวตีทัพเบ็ลเยียม ฝรั่งเศส อังกฤษถอยเข้ามาทุกที ทัพทั้งสามชาตินั้นรับหาหยุดไม่ หมอแสงกล่าวว่า ธรรมดาคน ๆ เดียวจะชกคนสามคนให้เพลี่ยงพล้ำจนไม่มีเวลาตั้งตัวนั้น นอกจากคนดีมีเวทมนต์แล้ว ก็ทำไม่ได้เปนอันขาดฉันใด คนมีเวทมนต์คนเดียวสู้ได้สามคนฉันนั้น ชาติมีเวทมนต์ชาติเดียวสู้ได้สามชาติ การที่จะรบเยอรมันด้วยกำลังดื้อ ๆ นั้นไม่อาจชำนะได้ เมื่อใดมีชาติที่มีวิชาดี มีเวทมนต์เข้าไปช่วยแก้เวทมนต์เยอรมัน เมื่อนั้นแหละจึงจะมีชัยสมหมาย ก็การอยู่ยงคงกะพันชาตรีนั้น ชาติเราไม่ต้อยกว่าใคร คนดีมีเสมอ เช่นอาจารย์เขียววัดป่ามะขามเปนต้น เมื่อใดเราแต่งทัพไปช่วยรบ เมื่อนั้นเยอรมันจะแพ้ยับย่อย เพราะในทัพของเราคงจะต้องมีคนอย่างอาจารย์เขียวไปด้วย ก็อาจารย์เขียวนั้นเธอมีวิชาจริง ๆ ดังจะเห็นได้จากตัวอย่างการแสดงเวทมนต์ของเธอที่จะเล่าในบัดนี้ว่า...

หมอแสงกำลังพูดยังไม่หมดประโยค พอมีคนอิกคนหนึ่งเดิรเข้าไปในห้องแถว มิใช่ใครอื่น คืออาจารย์เขียวที่หมอแสงกำลังพูดถึงอยู่นั้นเอง อาจารย์เขียวผู้นี้ เปนผู้ที่เคยรู้จักมักคุ้นกับหมอแสงอำแดงอ้น มาแต่เดิมครั้งอยู่บ้านนอกด้วยกัน เมื่อเด็กอาจารย์แสงเคยเปนศิษย์อาจารย์เดียวกันกับหมอแสงที่วัดดงอ้อ ครั้นโตขึ้นถึงแม้จะเปนคนชอบพอกัน ก็มีนิสัยต่างกัน ต่างคนแยกกันไปเรียนวิชาตามสมัค.

อาจารย์เขียวนี้ ประกาศตัวว่าเปนภิกษุนุ่งเหลืองห่มเหลืองแต่งกายสมชื่อ แต่ความประพฤติค่อนจะนอกคอก ฉันสุราทั้งนอกเพลในเพล แลมีความรู้ว่าเกี๊ยวหาบหม้อทองเหลืองที่ขายกลางคืนนั้น ใช้น้ำปลาดีกว่าหาบอื่น ๆ ที่ขายกลางวันทั้งนั้น ส่วนสำนักที่อยู่ของอาจารย์เขียวนั้น กล่าวว่าวัดป่ามะขาม อันเปนอาวาสอยู่ป่าห่างไกลบ้านคน มีพระองค์เดียวในเวลาที่อาจารย์เขียวอยู่ ถ้าแกไม่อยู่ก็เปนวัดที่ร้างอย่างสนิท กล่าวความจริง ขรัวเขียวอยู่วัดป่ามะขามน้อย เหตุไม่มีที่รับบิณฑบาต แต่แกอยู่วัดอื่น ๆ ก็น้อยเหมือนกัน เพราะหาสมภารที่จะยอมให้แกอยู่ในวัดกว่าวันสองวันนั้นยาก แกจึงเปนพระอาคันตุกะเกือบจะปีละ ๑๒ เดือน

หมอแสง “อ้าว ท่านอาจารย์เขียวมานี่แล้วหละ กำลังพูดถึงอยู่เดี๋ยวนี้ ยังกะท่านรู้เทียวไหมล่ะ.”

ขรัวเขียว “บางทีก็รู้บ้าง.”

หมอแสงแลดูตานายบุญทัต “ไหมล่ะ.” นายบุญทัต “ก็พี่หมอพูดดังออกเอ็ดได้ยินไปถึงกลางถนนท่านก็ได้ยินอยู่เอง.”

หมอแสง “ไม่ใช่ พ่อบุญ ไม่ใช่ยังงั้น ท่านรู้อิกอย่างหนึ่ง (หันไปพูดกับครัวเขียว) พ่อบุญนี่ไม่เข้าใจขอรับ ท่านอาจารย์ลองอธิบายสักทีว่าท่านรู้ยังไง”

ขรัวเขียว “ของอย่างนี้อธิบายยากปสก”

นายบุญทัต “ยากจริงเปนแน่.”

หมอแสง “ไหมล่ะ ว่าแล้วว่าทำไม่เชื่อ ๆ พอพบท่านเข้าก็คงต้องเชื่อ ท่านพูดคำเดียวก็เชื่อเสียแล้ว แม่อ้น แม่อ้น แน่ะท่านอาจารย์ท่านมาแน่ะ”

อำแดงอ้นตะโกนตอบออกมาว่า “เดี๋ยวย่ะ หม้อเข้ากำลังเดือดอยู่ย่ะ.” หมอแสง “ท่านมาเมื่อไหร่ขอรับ สบายอยู่รึไง.”

ขรัวเขียว “ก็ยังงั้นแหละปสก อาตมาภาพไปธุดงค์กลับมาทางนี้ก็แวะเข้ามาเยี่ยม.”

หมอแสง “ท่านจะพักอยู่กรุงเทพ ฯ หลายวันรึครับ.”

ขรัวเขียว “จะต้องไปพรุ่งนี้แหละย่ะ พระท่านมาด้วยอิกสององค์ ท่านจะรีบไปก็ต้องไปด้วยกัน.

อำแดงอ้นออกมาจากครัวถามว่า “ท่านไปธุดงค์เห็นจะสนุกนะคะ.”

ครัวเขียว “ก็ยังงั้นแหละสีกา ไปธุดงค์ก็อาศรัยพระแหละย่ะ.”

อำแดงอ้น “เสือสางมันไม่กวนรึคะ.”

ขรัวเขียว “เขาก็อยู่ส่วนเขา เราก็อยู่ส่วนเรา ไม่ทำร้ายกันหรอกโยม.”

หมอแสง “ท่านไปเที่ยวตามป่าได้ของดีอะไรมามั่งก็ขยายออกมาอวดกันมั่งขอรับ.”

ขรัวเขียว คราวนี้ไม่ได้อะไรดอกปสก เว้นแต่เมื่อไปที่ถ้ำเขานิลคิรี ได้ของมาอย่างหนึ่ง ก็ไม่ปลาดอะไร แต่จะว่าปลาดก็ได้ดูเหมือนจะหายาก ประโยชน์อะไรก็ไม่มีกี่มากน้อย อาตมาภาพก็นึกจะไม่เอาไว้ เพราะใช้อะไรไม่ได้เสียแล้ว แต่เปนของหายาก.”

หมอแสงอยากรู้เต็มที กล่าวว่าไหน “ไหนอะไรท่านอาจารย์ลองขยายออกมาดูทีรึ.”

ขรัวเขียวค้นในย่ามสักครู่หนึ่ง แล้วหยิบของปลาดออกมาวางให้ดู เปนดุ้นดำ ๆ ยาวสักสามนิ้วเปนของตากแห้ง มีขนร่วงไปบ้างแล้วยังอยู่บ้าง ดูน่าเกลียด ไม่น่าใคร่จะจับ.

หมอแสงก็ไม่กล้าจับ ก้มพิจารณาอยู่สักครู่หนึ่ง แล้วถามว่า “นี่อะไรนะขอรับ.”

ครัวเขียว “หางแมวย่ะ.”

หมอแสงตั้งแต่เกิดมาไม่เคยได้ยินว่าหางแมวเคยทำร้ายใคร ครั้นได้ทราบว่าดุ้นดำนั้นเปนแต่เพียงหางแมว ก็เกิดความกล้า หยิบขึ้นพิจารณาอยู่ช้านาน เพื่อจะทราบว่ามันปลาดที่ตรงไหน หัน ทางตวันออกก็แล้ว ทางตวันตกที่แล้ว หันให้ถูกแสงสว่างทั้งสี่ทิศก็แล้ว แปดทิศก็แล้ว สิบทิศก็แล้ว จะหันให้ถึงสิบสี่แลสิบหกทิศก็ไม่มีทิศจะหัน แต่อ้ายดุ้นนั้นมันก็หางแมวอยู่นั่นเอง ไม่เห็นอะไรยิ่งกว่าหางแมวธรรมดาที่มีคนเอาใจใส่ตากให้แห้ง เมื่อยกขึ้นดมก็เหมินตืด ๆ ตามเยี่ยงของมัน ไม่มีกลิ่นหรือลักษณะอื่นแปลกจากหางแมวอิกกี่ล้านที่มีในโลก.

หมอแสงจนปัญญาก็ส่งให้นายบุญทัตดู นายบุญทัตรับไปดู แล้วถามขรัวเขียวว่า “มันปลาดที่ตรงไหนขอรับ.”

ขรัวเขียว “มันเปนของฤษีท่านทำไว้.”

นายบุญทัต “ฤษีในเมืองเราก็มีด้วยหรือขอรับ นึกว่ามีแต่อินเดียอันเปนเมืองที่ยังมีคนแปลก ๆ ซึ่งไม่น่าจะมีในสมัยนี้.”

หมอแสง “อย่าว่าไป ท่านอาจารย์ท่านเคยเที่ยวมาก คงจะเคยพบตามป่าสูง ๆ บ้างกระมัง ครองหนังเสือหรือขอรับ.”

ขรัวเขียว “อาตมาภาพก็ไม่เคยพบ ท่านจะครองใบไม้หรือครองหนังเสือหนังควายอะไรก็ไม่ทราบ เขาว่ากันแต่ว่าท่านเปนฤษี ท่านทำหางแมวนี้ไว้.”

ขณะนั้นเจ้าเซ่งเข้ามาใกล้ได้ยินคำที่ขรัวเขียวกล่าว เจ้าเซ่งเปนเด็กสุกก่อนห่าม เมื่อได้ยินดังนั้นก็หัวเราะขึ้นแล้วว่า “กะอีหางแมวก็ต้องฤษีทำด้วย เราก็ทำเปน ขอมีดโต้เล่มเดียว.”

หมอแสงหันไปตบหน้าลูกชายผัวะหนึ่ง แล้วหันกลับไปถามขรัวเขียวว่า “ท่านว่าฤษีทำหางแมวยังไงขอรับ.”

ขรัวเขียว “ท่านทำยังไงอาตมาภาพก็ไม่ทราบ อาตมาภาพก็ทำไม่เปน.”

นายบุญทัต “มิได้ พี่หมอไม่ได้ถามยังงั้น หางแมวท่านก็คงตัดมาจากแมวเปนแน่ แต่ว่าฤษีท่านทำให้มันเปนยังไงขึ้น.”

ขรัวเขียว “เศกไว้ว่าใครเปนเจ้าของหางแมวคนแรกจะขออะไรให้ขอได้ ๓ หน เจ้าของคนที่ ๒ ขอได้อีก ๓ หน คนที่ ๓ อีก ๓ หน เมื่อขอกันหมดแล้วเปนสิ้นอำนาจเศก ใครขออะไรไม่ได้ต่อไป.”

นายบุญทัต “ขอแล้วได้อย่างขอหรือขอรับ หรือขอเล่นเฉย ๆ ไม่ได้อะไร.”

ครัวเขียว “ขอแล้วก็ได้สิจึงจะเปนของดี ไม่ยังงั้นจะต้องเศกกันทำไม.”

หมอแสงใครทราบยิ่งขึ้น ถามว่า “ใครเคยขออะไรมั่งไหมล่ะขอรับ.”

ขรัวเขียว “เขาว่ากันว่าเจ้าของคนแรก ขอหวย แต่ไม่ได้บอกว่าขอหวยในวันไหน ก็ได้มาพร้อมกันทั้ง ๓๔ ตัว เลยไม่รู้จะแทงตัวไหน ก็เปนอันต้องเลิกกันไปครั้งหนึ่ง ครั้งที่ ๒ ขอจำเพาะวัน แต่พะเอินแกนับวันพลาดไป นึกว่าพรุ่งนี้ ๑๔ ค่ำ ก็ขอหวย ๑๔ ค่ำ อันที่จริงวันที่ขอนั้น ๑๔ ค่ำ ครั้นได้หวยมาทั้งเช้าทั้งเปน เกเอาหวย ๑๔ ค่ำไปแทงวัน ๑๕ ค่ำ มีเงินเท่าไรแทงหมด เพราะจะเอารวยใหญ่ ครั้นหวยกินจนสิ้นเนื้อประดาตัวแล้ว เวลาคลั่งหยิบหางแมวออกมาจะเผาไฟ ยังไม่ทันเผา กำลังถือมันอยู่ในมือ บ่นกับเมียว่า ‘ผ่าซี อยากเชือดคอตายเสียให้รู้แล้วรู้รอดไป’ คำที่บ่นนั้นเปนคำขอคำที่สาม หางแมวจึงตกเปนมรดกต่อกันมา ไม่มีใครกล้าใช้ แล้วมีผู้พาออกไปบ้านนอก ไปตกอยู่ที่ถ้ำเขานิลคิรี อาตมาภาพไปธุดงค์ก็ได้มา”

หมอแสงขนลุกไปทั้งตัว ถามว่า “ก็ท่านอาจารย์ได้ขออะไรบ้างแล้วหรือยังขอรับ.”

ขรัวเขียว “เวลาไปธุดงค์ห่างบ้าน ไม่มีที่รับบิณฑบาตก็ได้ใช้บ้าง.”

อำแดงอ้น “ได้ไหมเจ้าค่ะ.”

ขรัวเขียว “ก็ไม่อดหรอกสีกา แต่ได้ใช้เสียแล้วถึงสามหน อาตมาภาพจะเอาไว้ใช้ก็ไม่ได้อิกต้องคนอื่นถึงจะขอได้ใหม่”

หมอแสง “ถ้าใช้ไม่ได้ที่ท่านจะเอาไว้ทำไมล่ะขอรับ ให้คนอื่นเสียก็แล้วกัน”

นายบุญทัต “ถ้าขอเอาตัว ไกเซอร์ มาที่นี่เห็นจะดี แล้วจับหนวดหลุบลงมาข้างล่าง ดูสักทีว่าหน้าตาจะเปนยังไงบ้าง”

หมอแสงไม่อยากเห็น ไกเซอร์ หนวดหลุบ ที่จริงแกออกจะไม่ได้ยินคำที่นายบุญทัตพูด หรือได้ยินก็แลไม่เห็น แกพะวงอยากได้หางแมว มาขออะไรต่ออะไรที่แกยังไม่ได้นึกว่าจะขอ ครั้นเห็นขรัวเขียวนิ่งอยู่ก็กล่าวว่า “ยังไงขอรับ ท่านอาจาย์ ใช้ไม่ได้แล้วก็ให้ผมเสียก็แล้วกัน เสียแรงได้รู้จักคุ้นเคยกันมาเปนนาน.

ขรัวเขียวตอบว่า “มันชอบกลอยู่นะปสก หางแมวนี้ยังไม่เคยให้คุณแก่ใครจริง ๆ เลย เจ้าของคนแรกก็เชือดฅอตาย มาอยู่กับอาตมาภาพเปนคนมีวิชาอยู่บ้าง มันไม่ได้ให้โทษอะไรก็จริง แต่ได้ให้คุณนิดเดียว แต่เพียงแก้หิวไปสามครั้งเท่านั้น ครั้นอาตมาภาพจะให้ใครต่อไป ถ้าเกิดเหตุอะไรขึ้นก็จะติโทษได้ ครั้นจะเก็บไว้ที่ป่วยการทิ้งเสียดีกว่า.”

ขรัวเขียวพูดเท่านั้น แล้วก็หยิบหางแมววิเศษขว้างออกไปกลางถนน ย้ายตูบกับอีแดงมันอยู่ข้างนั้นนึกว่าของกินได้ก็ชวนกันเข้าไปดม หมอแสงตกใจเปนกำลังลุกขึ้นวิ่งเหย่า ๆ ออกไปตวาด แลเงื้อมือไล่ อ้ายตูบกำลังไต่ส่วนหางแมวยังไม่ทันได้พยานเปนหลักฐานให้มันทราบว่าอะไรแน่ ครั้นหมอแสงไล่มัน ๆ ก็ยอมไป แต่คาบเอาหางแมวไปด้วย เพื่อจะพิจารณาไต่สวนในที่รโหฐาน หมอแสงยิ่งตกใจออกวิ่งไล่ ใช้ขาคู่ที่ได้ใช้มาถึง ๖๐ ปีแล้วนั้นมากเกินความสามารถของมันสักหน่อย ใจหมอแสงจะรีบไปให้เร็วทันอ้ายตูบ แต่ขาไม่ยอมไป ครั้นหมอแสงข่มขี่จะให้มันไปให้ได้ มันก็สไตรก์ หมอแสงก็ล้มอยู่กลางถนน นายบุญทัตวิ่งไปพยุงกลับมาห้องแถว แกบอกว่าไม่เจ็บดอก เปนแต่ถลอกนิดเดียว แลหอบซี่โครงรวนหน่อยเดียวเท่านั้น.

ฝ่ายเจ้าเซ่งครั้นเห็นอ้ายตูบกับหมอแสงออกวิ่งไล่กัน เจ้าเซ่งเห็นเปนการเล่นที่ถูกใจ ก็ออกช่วยวิ่งไล่อ้ายตูบด้วย ครั้นหมอแสงหยุดไล่แล้ว อ้ายตูบเห็นเจ้าเซ่งตามมาคนเดียว แลได้ยินเจ้าเซ่งเรียกออกชื่ออ้ายตูบก็หยุด เพราะมันกับเจ้าเซ่งเปนเกลอกัน เมื่อเจ้าเซ่งจะเอาหางแมวมันก็ให้

ขรัวเขียว “นั่นปสกไปเก็บมันมาทำไม แต่เพียงเท่านี้มันยังทำขาแข้งถลอกไปเปนกอง.”

หมอแสง “ไม่เปนไร ยามี แต่ว่าหางแมวนี่ท่านอาจารย์ให้ผมนะขอรับ.”

ขรัวเขียว “อาตมาภาพให้ไม่ได้ ทิ้งแล้วก็แล้วกัน ปสกไปเก็บมาเอง ถ้าเกิดเหตุอะไรขึ้นจะมาโทษอาตมาภาพไม่ได้ ทิ้งเสียเถอะปสก บอกไม่เชื่อ.”

หมอแสงหยิบหางแมวขึ้นพิจารณาอยู่สักครู่หนึ่ง แล้วถามว่า “เวลาจะขออะไร ขอยังไงขอรับ”

ขรัวเขียว “ท่านให้ถือกำไว้ในมือขวาแล้วอยากได้อะไรก็ว่าออกไป ต้องพูดดัง ๆ ถึงจะ ได้ เพียงแต่นึกในใจก็ไม่สำเร็จ แต่อาตมาภาพบอกแล้วว่า ถ้าเกิดเหตุอะไรอย่ามาโทษ อาดมาภาพไม่รับผิดชอบ”

อำแดงอ้น “ถ้าขออะไรขอได้ก็ชอบกล แน่ะ พ่อหมอ ลองขอแขนให้ฉัน ๔ คู่เห็นจะดีกระมัง มีมือมาก ๆ จะได้ทำอะไรทำได้พร้อม ๆ กันเวลาหุงเข้าก็ติดไฟ ๒ มือ ซาวเข้า ๒ มือ อีก ๔ มือ ขอดเกล็ดปลาแลตำน้ำพริก หาเข้าแล้วเร็วพิลึก.”

นายบุญทัต “มันก็หนักไปนักหละพี่ แต่พระนารายน์ยังมี ๔ กร นี่พี่จะเปนพระนารายน์ ๒ ซ้อนเทียวรือไง แขนมากนักก็คงจะสบักจมวันยังค่ำ ๆ จะหาที่วางแขนก็เห็นจะยาก บางทีจะต้องเช่าห้องแถวเติมอิกห้องหนึ่งก็เปนได้

ขรัวเขียว “ปสกอย่าพูดเล่นไปน่ะ ทำไม่เชื่อ ๆ เดี๋ยวไปขอเข้าจริง ๆ จะเกิดความ.”

หมอแสง “เกิดก็เปนไรไป มีมือมาก ๆ ดีเสียอิก.”

นายบุญทัต “พี่หมออย่าเพ่อว่าไป ก็เผื่อพี่อ้นแกอยากใส่แหวน พี่หมอจะเอาที่ไหนมาให้แกใส่ เมื่อเด็ก ๆ พี่อ้นแกนอนร้าย ถ้าแกยังเปนยังงั้นอยู่ เดี๋ยวนี้แกมีแขน ๒ แขน แกก็คงจะปัดหน้าพี่หมอแย่อยู่แล้ว ถ้าแกมี ๘ แขน ประเดี๋ยวแขนนั้นปัดทีแขนนี้ปัดที พี่หมอนอนไม่เปนสุขคืนยังรุ่ง ๆ เปนแน่.”

อำแดงอ้น “ข้านอนร้ายก็ไม่ใช่กงการอะไรของเองหรอก.”

หมอแสง “ก็เห็นจะต้องเย็บที่นอนใหม่ถึงจะพอวางแขน.”

หมอแสงพูดทีเล่นแกมจริง นายบุญทัตพูดที่เล่นล้วนอยู่ดังนี้สักครู่หนึ่ง ในที่สุดขรัวเขียวอ้อนวอนว่าอย่าให้ขออะไรเปนเล่นเปนอันขาด ถ้าหมอแสงกับอำแดงอ้นไม่ให้สัญญาให้เด็ดขาดว่าจะไม่ขออะไรอุตริ ขรัวเขียวก็จะต้องเอาหางแมวกลับไปเสีย แล้วไปทิ้งที่อื่น หมอแสงอำแดงอ้นก็เปนอันต้องสัญญามั่นคง ว่าจะไม่ขออะไรที่เลอะเทอะนัก.

ครั้นขรัวเขียวลาไปแล้ว นายบุญทัตยังไม่ทันกลับ หมอแสงกับภริยาก็พูดกันถึงหางแมวต่อไป อยากจะลองขออะไรดูว่าจะได้จริงหรือไม่ นายบุญทัตกล่าวซ้ำข้อที่อยากจะได้ ไกเซอร์ มาบิดหนวดหลุบลงดูว่าจะเปลี่ยนเค้าหน้าไปอย่างไร หมอแสงว่าพูดไม่เปนรส ถ้าได้มาจะเอาอะไรให้กินเพราะแกคงกินราวกับช้าง.

พอเอ่ยถึงช้าง อำแดงอ้นก็ได้ความคิด กล่าวว่า “ลองขอช้างเผือกดูจะดีกระมัง.”

หมอแสงคัดค้านว่าห้องแถวเล็กนัก แต่เครื่องยาก็แน่นเสียแล้ว จะได้ที่ ๆ ไหนมาเลี้ยงช้างเผือก.

นายบุญทัตสอดขึ้นว่า “พี่อ้นเห็นจะไม่รู้ว่าช้างเผือกนั้นบุญหนักศักดิ์ใหญ่ ยศแกราวกะเจ้าฟ้า ฉันเคยได้ยินในกรมรับสั่งว่า การสมโภชช้างเผือกแต่ก่อน เจ้านายต้องทรงเขียนทองเสมอกับเจ้าฟ้าโสกันต์ ที่จะเชิญเสด็จเจ้าฟ้ามาอยู่ห้องแถวนี้ ต่างว่ามีที่พอ ก็พี่จะได้อะไรตั้งเครื่อง เจ้าฟ้าองค์เผือกนั้นเสวยของที่หาไม่สู้ยาก คือหญ้าก็จริงอยู่ แต่เสวยวันละมาก ๆ แล้วมิหนำซ้ำยังจะต้องไปวานกวีแต่งฉันท์เสียงดัง อ้าพ่อ ๆ แลหาพราหมณ์มาสวดกล่อมอีกเล่า อย่าเลยพี่ คิดอย่างอื่นเถอะ”

หมอแสง “นั่นซิ เล็บกับงาช้างเผือกใช้เปนเครื่องยาหมู่ได้ก็จริง แต่ได้ช้างเปน ๆ มาทั้งตัวจะเอามาทำยาหมู่ยังไงได้ ที่จริงอยากได้เลือดแรดแท้ ๆ เพราะร้านเครื่องยาเดี๋ยวนี้ไม่ใคร่ได้ของจริง.”

นายบุญทัต “พี่อย่าคิดเอาแรดมาเลี้ยงเปนอันขาด คนเลี้ยงแรดเห็นควรอยู่พวกเดียวคือกองดับเพลิง เพราะเขาว่าแรดมันกินไฟ เวลาไฟไหม้ก็พามันไปกินให้อิ่ม.”

หมอแสง “ข้าไม่ได้ว่าจะขอแรดมาเลี้ยง ข้าว่าอยากได้เลือดแรกต่างหาก ถึงม่าเมี่ยวดี ๆ ก็ไม่ใช่ของหาง่าย ของเหล่านี้มีประโยชน์กว่าช้างเผือกทั้งนั้น เป้นต้นว่าเลือดแรดมีที่ใช้มากกว่ายาหมู่ ถ้าว่าข้างจะขออะไร ข้าก็สมัคขอเครื่องยาหละ.”

คำที่หมอแสงกล่าวนี้ อำแดงอ้นไม่เห็นด้วย อธิบายข้อคัดค้านเปนใจความว่า เครื่องยาที่หายากมีหลายอย่าง จะขอเลือดแรดก็เสียดายดีหมี จะขอดีหมีก็เสียดายม่าเมี่ยว ยังอาพันทองชมดเชียงและอะไรต่ออะไรอิกมากอย่าง ถ้าจะให้ดีลองขอเงินดูสัก ๒๐๐ บาท ถ้าได้จริงขอคราวที่ ๒ ห้าหมื่นชั่ง เมื่อได้ห้าหมื่นชั่งแล้ว ขอครั้งสุดท้ายแปดแสนชั่งก็เปนอันพอทีเดียว เมื่อเปนเศรษฐีใหญ่ถึงเช่นนั้นแล้ว ถ้าหมอแสงยังจะขืนเปนหมออยู่อีก และจะต้องการเลือดแรดแลม่าเหมี่ยวก็จัดกำปั่นให้ไปซื้อถึงลอนดอน แม้ที่สุดจะต้องการเขากิเลนมาเข้ายาหมู่ หรือไข่มังกรมาเปนยาบำรุงกำลัง ก็จัดให้คนไปขอซื้อจากฮ่องเต้ หรือเปรสิเด็นต์ หรือใครที่ครองกรุงปกิ่ง อย่าว่าแต่จะต้องการเล็ก ๆ น้อย ๆ จะซื้อกี่กระบุงหูก็คงได้ ถ้ามีเงินมากพอแล้ว อย่าว่าแต่จะซื้อเครื่องยาธรรมดา ถึงจะต้องการหนวดไกเซอร์มาถลุงเอาเหล็กต้มยาเลือดก็คงจะสำเร็จ หรือจะซื้อราชัยพระอินทร์ก็แทบจะได้ ถ้าต้องการมีเมียจะขอลูกสาวใครในสกุลที่จองหองที่สุดก็คงขอได้เหมือนกัน.”

อำแดงอ้นชี้แจงทำนองความที่กล่าวมานี้ แต่โวหารแกอ่อน จึงมีผู้ช่วยเสิมให้แข็งแรงแจ่มแจ้งขึ้น ฝ่ายหมอแสงเมื่อได้ฟังภริยาชี้แจงดังนั้นก็ตกลงในใจว่าจะลองขอเงิน ๒๐๐ บาท แต่ยังไม่กล้าขอ เพราะอายนายบุญทัต ครั้นนายบุญทัตลากลับไปแล้วเจ้าเซ่งยังอยู่ จะขอต่อหน้ามันก็อายเด็ก จึงแสร้งทำเปนต้องการกะปิ ใช้ให้เจ้าเซ่งเข้าไปหยิบกะปิในครัว ดูที่เหมือนจะเอามากินกับส้มเขียวหวาน เจ้าเซ่งไม่เข้าใจว่าพ่อจะต้องการกะปิมาทำไม แต่แกใช้ให้ไปหยิบก็ไป.

ครั้นเจ้าเซงพ้นไปแล้ว หมอแสงก็จับหางแมวกำในมือขวา เงยหน้าขึ้นดูเพดานแล้วพูดว่า “ข้าพเจ้าขอเงิน ๒๐๐ บาท.”

ในทันใดนั้นมีเสียงร้องขึ้น ๒ เสียง ในครัวมีเสียงเจ้าเซ่งตะโกนว่า “แม่จ๋า ช่วยด้วย ๆ.”

เสียงในห้องนอกเปนเสียงหมอแสงว่า “อุ๊ย เอ๊ย” มือแกลัดพร่อย ๆ ตาขาวเหมือนถูกผีหลอก จ้องดูหางแมวที่ตกลงไปอยู่ที่พื้น.

อำแดงอ้นตกใจวิ่งเข้าไปดูลูกชายในครัวถามว่า “อะไรถูก อะไรอ้ายเซ่ง ตายจริงอกแตกพ่อหมอเที่ยว เอากับดักหนูมาวางไว้ข้างอ่างกะปิ มันหุบเขาอ้ายเซ่งเข้าแล้วหละไหมล่ะ.”

ครั้นอำแดงอ้นปลดกับจากเท้าลูกชายแล้วก็จูงเขยกออกมาห้องนอก เห็นหมอแสงยังยืนตลึงจ้องดูหางแมว การที่ลูกชายติดกับร้องเอ็ดอยู่ในครัวนั้นดูทีเหมือนแกจะไม่ทันรู้ อำแดงอ้นเห็นหมอแสงทำท่าทางปลาดก็ถามว่า “อะไร พ่อหมอ อะไร.”

หมอแสงมีอาการเหมือนไม่ได้ยินเมียถามยืนบ่นว่า “พิลึกจริง พิลึก.”

อำแดงอ้น “อะไรพิลึก พ่อหมอ พ่อหมอนั่นยืนตลึงทำไม.”

หมอแสง “มันกะดุกกะดิก.”

อำแดงอ้น “อะไรมันกะดุกกะดิก.”

หมอแสง “หางแมวน่ะซี.”

อำแดงอ้น “อ๊ะ หางแมวน่ะรึกะดุกกะดิกได้ หางแมวแห้งนี่แหละหรือกะดุกกะดิก นึกไปเองกะมัง.”

หมอแสง “จริงนา พิลึกจริง ๆ พอขอมันก็ดิ้นกะดุกกะดิกในมือ เอ๊ย ขยะแขยงพิลึก ยังกะของเปน.”

อำแดงอ้น “ก็ไม่เห็นเงิน ๒๐๐ บาทที่ไหนนี่.”

หมอแสง “นั่นซี ไม่เห็นเงินที่ไหนสักบาทเดียว แต่ก็ยังว่าไม่ได้ บางทีมันจะไปได้เอาพรุ่งนี้กะกะมัง.”

อำแดงอ้น “ไม่ยักได้ แน่ะกับดักหนูมันลั่นเอาอ้ายหนูเลือดออกแดงไป เพราะอ้ายหางแมวนี่เทียว.”

หมอแสงพึ่งทราบเดี๋ยวนี้ ว่าลูกชายถูกบาดเจ็บเพราะไปหากะปิ จึงจัดการรักษาแผลตามแบบของแก คืนวันนั้นหมอแสงกับภริยานอนไม่ใคร่หลับ เพราะตรึกตรองเรื่องหางแมว ครั้นจะเชื่อก็ยาก เพราะได้ทดลองแล้วไม่เห็นผลอย่างว่า ครั้นจะไม่เชื่อก็เสียดายเงิน ๒๐๐ บาท ทั้งอิกห้าหมื่นชั่งแลแปดแสนชั่งอิกเล่า การเปนดังนี้ แกทั้งสองก็ลังเลไม่รู้จะวางใจลงไปทางไหนได้.

รุ่งขึ้นเช้าหมอแสงกับภริยาหย่อนศรัทธาลงมาก หมอแสงยังอยากจะเชื่ออยู่อิก เพราะเสียดายเงินที่ไม่ได้ แต่อำแดงอ้นนั้นสิ้นศรัทธาสนิท ออกจะหัวเราะเยาะเอาด้วยซ้ำ แกกล่าวว่า ถ้านายบุญทัดตคงจะหัวเราะก๊ากใหญ่.

หมอแสงครั่นคร้ามข้อที่นายบุญทัตจะหัวเราะเยาะ จึงเริ่มพูดกลบเกลื่อนกันตัวไว้ว่า “อ้ายเรื่องอย่างนี้มันก็เหลวทั้งนั้น เมื่อคนเราชั่งนึกเชื่อเปนจริงเปนจังไปได้ นึกก็น่าเสียดายนะแม่อ้น ถ้าได้เงิน ๒๐๐ บาท จะดีนักหนา หรือแม่อ้นเห็นข้อเสียหายที่ตรงไหนมั่ง.”

อำแดงอ้น “ถ้าเงินมันตกจากฟ้าลงมาถูกหัวแตกนั่นแหละเห็นจะไม่ค่อยดี.”

หมอแสง “หัวแตกทีละ ๒๐๐ บาททำไมจะไม่ดี ยาของเรามีถมไป หัวแตกกันทุกวัน ๆ ละ ๒ หนก็เอา

อำแดงอ้น “ถึงจะยอมหัวแตกมันก็ไม่ได้.”

หมอแสง “ที่จริงท่านอาจารย์เขียวท่านว่าเราขออะไรเวลาจะได้มันก็ได้มาอย่างธรรดา ไม่แปลกปลาดอะไร จนคิดว่ามันไปเหมาะกันเข้า.”

อำแดงอ้น “หรือพ่อหมอไปรักษาใครเขาไว้ เขาคิดใจดีขึ้นมา ส่งเงิน ๒๐๐ บาทมาให้เย็นวันนี้ บ้างกะมั่ง.”

หมอ “แฮะ เจ้าเซ่ง เจ้าก็ไม่เจ็บมากหรอก นี่แนะข้าจดเครื่องยาให้ เองไปซื้อที่ร้านขายเครื่อง ยาจะได้เอามาพอกกันแผลเปนพิษ.”

เจ้าเซ่งได้ฟังคำสั่งพอก็ออกรับไป แม้ยังต้องเขยกก็อุส่าห์วิ่งเหยา ๆ ได้ ถ้าดูอาการที่มันออกจากห้องแถว ก็ดูเหมียนตั้งใจจะรีบไปรับมา แต่ครั้นไปพบหมากัดกัน ก็หยุดดูเสียพักใหญ่เพราะเปนของเหลือเว้น ต่อไป ๆ พบเจ๊กลากรถเถียงกับยายแม่แปรก เรื่องค่าจ้างที่เจ๊กยืนยันว่าให้น้อยกว่าอัตรา ยายแม่แปรกว่าให้ตามที่ตกลงกันไว้ เจ๊กเห็นแกเปนผู้หญิงก็กล่าวคำหยาบ แต่แกไม่ใช่ผู้หญิง แกเปนแม่แปรก ก็เกิดความใหญ่ เจ้าเซ่งหยุดดูจนใจเต้นตึก ๆ ไม่ใช่กลัวเขาจะเกิดตีรันฟันแทงกันขึ้น มันกลัวเขาจะไม่ตีกันจริง.

ต่อไปอิกหน่อยหนึ่ง พบคนขี่รถถีบมาชนกับรถเล็ก ต่างคนว่าเปนความผิดของข้างโน้น เจ๊กว่า “ทำลายลื้อมาโดงอั๊ว” เจ้าของรถถีบว่า “ทำไมมึงหลีกไปข้างขวา ต่างคนเถียงกันแลเรียกโปลิศจับ เจ้าเซ่งดูเพลินจนรถยนต์ขับมาบีบแตรโห่ง ๆ ก็ไม่ทันได้ยิน.

ฝ่ายหมอแสงกับอำแดงอ้น ครั้นบุตรชายไปแล้วก็ยังพูดถึงหางแมวกันอีก แต่คอย ๆ อยู่จนบ่ายเจ้าเซ่งก็ยังไม่กลับ อำแดงอ้นบ่นว่าลูกชายไปนานเหลือเกิน แต่ก็ไม่สู้ปลาดนัก ด้วยความเชือนของเจ้าเซ่งเปนของธรรมดา แม่ให้ไปซื้อน้ำปลาแค่คืบมันไปค้างเสียทั้งคืนก็เคยมี.

ครั้นเวลาเปนหมอแสงกับอำแดงอ้นนั่งอยู่ด้วยกันที่น่าห้องแถว มีแขกไปหาคนหนึ่งเปนแขกชนิดที่ไม่เคยวี่แววไปเลย หมอแสงเห็นเข้าก็ตกใจเปนกำลัง นึกว่าคงได้ทำผิดอะไรเปนแน่ โปลิศจึงจะไปจับ เพราะแขกนั้นเปนนายร้อยตำรวจนครบาล.

หมอแสง “ผมเปนหมอหากินโดยดี ไม่ได้ทำผิดคิดร้ายอะไร นี่นายมาทำไม ผมเปนคนเรียบร้อย ไม่เชื่อถามเพื่อนบ้านดีก็ได้”

นายร้อยตำรวจยังไม่เข้าใจว่าหมอแสงแสดงความดีของตนทำไม ก็นิ่งอยู่ หมอแสงเข้าใจว่า เขายังไม่พอใจในข้อที่แกเปนคนไม่ทุจริต จึงกล่าวต่อไปว่า “ผมไม่ได้ทำผิดอะไรเลย ถึงคนไข้ที่ตายเมื่อวานซืนนี้ ก็ตายเพราะโรคมากเหลือเกิน มาตามผมไปซิแก้ไม่หายเสียแล้ว ไม่ใช่ว่าผมวางยาผิดเมื่อไหร่ นี่นายมาธุระอะไร.”

นายร้อยตำรวจพึ่งเข้าใจว่าหมอแสงแกตกใจเพราะนึกว่าจะไปจับ แทบจะกลั้นยิ้มไม่ได้ แต่เหตุที่จะไปบอกนั้นไม่อนุญาตให้ยม เขาจึงทำหน้าเศร้าบอกว่า “ไม่ใช่ยังงั้นหรอกหมอ เดี๋ยวนี้มันเกิดเหตุขึ้นแล้ว คือลูกชายของหมอ..........”

หมอแสงตกใจเปนกำลัง นึกว่าลูกชายลงไปเที่ยวเก็บก้อนหินตามถนนโยนเล่น พะเปนไปถูก หัวขุนนางแตก มีโทษมากหรือน้อย แล้วแต่เจ้าของหัวมีบรรดาศักดิ์ เปนเจ้าพระยาหรือเปนขุนอารามที่ความคิดแกแล่นเร็วไม่ทันยั้ง ถามออกไปว่า “หัวท่านแตกมากรึนาย.”

นายร้อยตำรวจ “หมอพูดถึงหัวใคร.”

หมอแสง “อ้อไม่มีใครหัวแตกหรอกรึขอรับ.”

นายร้อยตำรวจ “เปล่า หัวไม่แตกหรอก ลูกชายของหมอ..........”

คราวนี้ความคิดหมอแสงแล่นไปถึงรถยนต์ แลแล่นเร็วเหมือนรถชนิดนั้น แกรู้ว่าลูกชายแกอยากขับรถยนต์เปนที่สุด ชรอยรถของใครจอดอยู่ที่ไหน คนเฝ้าเผลอ เจ้าเซ่งก็ลอบขึ้นนั่งขับไปชนอะไรเปนแน่ จะเปนเรื่องที่เกิดฉิบหายตั้ง ๒๐๐ บาท การที่ขอเงินต่อหางแมว ๒๐๐ บาทนั้น จะได้ตรงกันข้ามคือกลับเสีย ๒๐๐ บาท กระมัง ความคิดแกแล่นเช่นนี้ ยังไว้ไม่ทันก็ถามออกไปว่า “รถของใครล่ะนาย.”

นายร้อยตำรวจตอบว่า “รถของเจ้าคุณไศล.”

หมอแสง “ก็ท่านเรียกเอาเท่าไหร่ละขอรับ ถ้าพอมีกราบเท้าท่าน ผมจะได้เอาไปกราบเท้า ถ้าไม่มีก็จะต้องคิดอ่านหยิบยืมเขาให้จนได้.”

นายร้อยตำรวจ “ท่านจะเรียกเอาอะไรได้.”

อำแดงอ้นนิ่งฟังเห็นไม่ได้เรื่องอะไร แกก็สอดถามขึ้นว่า “ทำไมนาย ลูกฉันเปนอะไรไป.”

นายร้อยตำรวจ “มันไปยืนเหม่ออยู่กลางถนน กำลังเพลินฟังเขาเทลาะกัน รถยนต์ขับมาก ไมโคยน เปนเวลาจอแจหลีกไม่ทันรถมันก็ทับเข้า..........”

อำแดงอ้นหน้าเสีย ถามว่า “ขาหักหรือพ่อ หรือแขนขาด ไงพ่อหมอ เร็วซี หยิบยาเร็ว ๆ เข้าเถอะ”

นายร้อยตำรวจยิ้มแห้งตอบว่า “ไม่ต้องหยิบยาหรอก ไม่ต้องใช้เสียแล้ว.”

อำแดงอ้นดีใจ “เออ ไม่เจ็บรีย่ะ แม้บุญเทียว (แล้วกลับเฉลียวใจถามว่า) ไหนไม่ต้องใช้ยานะยังไงย่ะ.”

นายร้อยตำรวจ “ไม่ทันเสียแล้วหละยาย พอหามไปได้หน่อยก็ขาดใจ.”

อำแดงอ้นร้องไห้โฮ (แลแม่คนไหนบ้างจะไม่ร้องไห้) หมอแสงนั่งตลึงน้ำตาหยดเผาะ ๆ นิ่งอึ้งอยู่ ครั้นภริยาเปนลมแน่ไป ความเปนหมอของแกก็มาเข้าประจำการ รีบกุลีกุจอแก้ภริยาจนค่อยฟื้นขึ้น นายร้อยตำรวจเปนคนใจดีก็อยู่เปนเพื่อนจนอำแดงอ้นได้สติ จึงลุกขึ้นจะลาไป แลบอกหมอแสงว่า “เจ้าของรถที่ทับนั้นท่านจะต้องเสียค่าเผาผี แต่ท่านก็ตกลงแล้วว่าจะให้มากกว่าที่จำเปนต้องให้ เพราะท่านเดือดร้อนในใจอยากจะให้เงินมากเปนเครื่องแก้ความกระวนกระวายใจไปบ้าง..........”

หมอแสงนึกถึงหางแมวขึ้นมาได้ ถามว่า “เท่าไหร่พ่อ.”

นายร้อยตำรวจ “๒๐๐ บาทย่ะ.”

หมอแสงกับภริยาต่างคนแลดูตากัน ต่างคิดว่าที่ขอเงิน ๒๐๐ ต่อหางแมวนั้น บัดนี้ก็ได้อย่างขอ แต่เสียลูกชายไปทั้งคน อาจารย์เขียวท่านว่าไว้แล้วทีเดียว เพราะไม่เชื่อไปขืนขอเข้าจึงเกิดเหตุถึงเพียงนี้.”

เราท่านพึงรำลึกว่า ที่เจ้าเซ่งไปถูกรถทับก็เพราะพ่อใช้ไปซื้อเครื่องยา ที่ต้องไปซื้อเครื่องยาก็เพราะถูกกับหุบเอา ที่ถูกกับหุบเอาก็เพราะถูกใช้ไปหยิบกะปิ ที่ต้องไปหยิบกะปิก็เพราะหมอแสงจะขอเงิน ๒๐๐ บาทต่อหางแมว เพราะฉนั้น การถูกรถยนต์ทับกับการขอเงินต่อหางแมวนั้นก็พอติดต่อกันได้.

หางแมวนั้นหมอแสงแกเก็บเข้าไว้ที่ชั้นไหว้พระ ไม่กล้าขออะไรอิก บัดนี้จะสูญหายไปไหนไม่มี เปนแต่นึกกันว่ามันคงจะกลับไปอยู่ที่เขานิลคีรี.

พฤศจิกายน ๒๔๖๑

 

แชร์ชวนกันอ่าน

แจ้งคำสะกดผิดและข้อผิดพลาด หรือคำแนะนำต่างๆ ได้ ที่นี่ค่ะ