เรื่องปลาหมอตายเพราะปาก

เรื่องปลาหมอนี้ไม่ใช่เรื่องปลาหมอ เปนเรื่องตาหมอ แลว่าที่แท้ตาหมอแกก็ไม่ได้ถึงกับล้มกับตาย เปนแต่ควรจะตายเท่านั้น การที่เอาปลาหมอมาเปนตาหมอ หรือเอาตาหมอมาเปนปลาหมอนี้ ข้าพเจ้าเกรงว่าฟังอยู่ข้างจะยุ่ง ๆ อยู่สักหน่อย แต่ความเดินไปของโลกเรานี้ นักปราชญ์ถือว่าเปนของยุ่งนักหนาทีเดียวไม่ใช่หรือ? เรื่องนี้ไม่ใช่เรื่องโลก (แลไม่ใช่เรื่องปลาหมอ) เปนแต่เรื่องตาหมอก็จริงอยู่ แต่ตาหมอแกก็เปนสัตว์อันหนึ่งในโลก (อย่างเดียวกับปลาหมอ) แลของน้อยซึ่งเปนส่วนของ ๆ ใหญ่นั้น ย่อมเดินตามความเปนไปของ ๆ ใหญ่ ถ้าของใหญ่ยุ่งแล้วของน้อยก็ต้องจำเปนยุ่งด้วย ก็เมื่อความเดินไปของโลก ยังเปนการยุ่งเหยิงที่มนุษย์ไม่สามารถจะอธิบายให้แจ่มแจ้งได้ดังนี้แล้ว จะไม่ให้เรื่องปลาหมอหรือตาหมอนี้ยุ่งบ้างอย่างไรได้.

ท่านผู้อ่านใครจำ “เรื่องสู้กันด้วยกลืนยาพิษ” ที่ได้ออกมาแต่เมื่อเราท่านยังหนุ่ม (หรือสาว) อยู่กว่าเดี๋ยวนี้ได้บ้าง ข้าพเจ้าเองจำได้ดีทีเดียว เพราะข้อหนึ่ง (นิ่งไว้) ข้อสองเรื่องนี้เปนเรื่องของตาหมอมุลเล็นซ์ คือหมอตลกตัวสำคัญที่ทำให้ เมเยอร์โมลินซัน กลืนขนมปังที่คิดว่าเปนก้อนยาพิษเข้าไป จนดิ้นรนถึงกับจะตายเอาจริง ๆ.

ข้าพเจ้าจะลงมือเล่าเรื่องปลาหมอนี้ทีเดียวว่า ในเมืองซึ่งกองทหารหมอมุลเล็นซ์ตั้งอยู่นั้น มีนางเทพธิดาองค์หนึ่ง เปนหญิงสวยสอาดปราศจากราคินเช่นเดียวกับนางเทพธิดาทั้งปวง ดูเหมือนเปนหลานสาวเยนเนอราลที่อยู่ในเมืองนั้น หรือไม่ได้เปนหลานสาวเยนเนอราลที่อยู่ในเมืองนั้นอะไรอย่างหนึ่งก็จำไม่ใคร่ถนัด แต่ถ้าไม่ได้เปนหลานสาวเยนเนอราล แล้วคงเปนหลานสาวใครสักคนหนึ่งเปนแน่.

นางเทพธิดาองค์นี้ทรงนามว่า นอรา (ไม่ใช่คนเดียวกับนางโนรา หรือนางมโนห์รา ในเรื่องพระสุธน) แลถ้าพูดกันตรง ๆ โดยไม่มีเปรียบเทียบแล้ว นอราก็ไม่ใช่นางเทพธิดาจริง เปนคน ๆ มีเลือดมีเนื้ออย่างเดียวกับข้าพเจ้านี้เอง ผิดกันแต่ข้าพเจ้ามีเลือดมีเนื้อมากกว่า (เพราะตัวข้าพเจ้าหนักกว่านับด้วยสิบชั่ง) กับเขาเปนผู้หญิง ข้าพเจ้าไม่ใช่ผู้หญิงเท่านั้น นอกจากนี้ นอรายังมีผิดกับข้าพเจ้าแลคนอื่นๆ อิกอย่างหนึ่ง คือหมอมุลเล็นซ์เห็นนอราสวยเหมือนนางสวรรค์ (หมอมุลเล็นซ์ไม่ได้กล่าวว่าไปเห็นนางสวรรค์มาแต่ไหน) แลหาเห็นคนอื่น ๆ งามเช่นนั้นไม่.

เพราะฉนั้น การที่ข้าพเจ้าเรียก นอรา ว่านางเทพธิดานั้น ก็เปนแต่เรียกตามความเห็นของหมอมุลเล็นซ์เท่านั้น ซึ่งนอราจะได้มาจากโลกอื่น ซึ่งอยู่เหนือโลกเราขึ้นไปนั้นหามิได้ ดูเหมือนจะเกิดต่ำกว่าคนที่ข้าพเจ้ารู้จักคนหนึ่งเสียอิก เพราะคนนั้นเขาบอกเปนแน่นอนว่าเขาเกิดในบาลูนห่างพื้นดินขึ้นไปหลายสิบเส้น แต่ข้าพเจ้าจะอ้างให้ท่านผู้อ่านไปสอบถามไม่ได้ เพราะเดี๋ยวนี้เขาป่วยอยู่โรงพยาบาลทางคลองสารเสียแล้ว.

ข้าพเจ้าขอเล่าซ้ำ “เรื่องสู้กันด้วยกลืนยาพิษ” อิกครั้งหนึ่งว่า หมอมุลเล็นซ์เปนหมออยู่ในกองทหารกองหนึ่ง มีวิชาขลังไม่มีใครสู้ได้ ในการตลกคนองแลเรื่องล้อหลอกต่าง ๆ แลอาจเล่าเรื่องขัน ๆ ที่ทำให้คนฟังหัวเราะท้องจะแข็งตายได้โดยไม่มียิ้มย่องอันใดเลย ถ้าถึงคราวหมอมุลเล็นซ์จะล้อใครขึ้นมาแล้ว ผู้ที่ถูกล้อก็ต้องนิ่งยอมแพ้ เพราะถ้าไปสู้แกเข้าแล้ว ก็เท่าเอาฝอยไปใส่ไฟ แกเล่นเอาใหญ่สู้แกไม่ได้ แลแกยิ่งเล่นใหญ่ ผู้ถูกล้อก็ยิ่งไม่ได้การเข้าทุกที การที่หมอมุลเล็นซ์เปนคนล้อเก่งเช่นนั้น เปนเครื่องสนุกสำหรับกองทหารก็จริง แต่คนที่ถูกล้อนั้นก็มนุษย์เรา ๆ นี้เอง หาใช่ผู้สิ้นแล้วซึ่ง ความโกรธแลความอาฆาตไม่ เพราะฉนั้น บางคนถูกล้อพื้นเสียถึงกับคอยผูกพยาบาท ตกลงนานเข้าจึงยิ่งมีคนคอยแก้แค้นหมอมุลเลนซ์มากเข้าทุกที ถ้าตะแกเสียท่าเมื่อไรคงจะถูกสักคราวหนึ่งเปนแน่.

ในหมู่คนที่คอยแก้เผ็ดหมอมุลเล็นซ์อยู่นี้ มีนายทหารคนหนึ่งชื่อ กัปตัน นอตัน เปนคนที่เคยถูกหมอมุลเล็นซ์ทำมาเจ็บแสบมากกว่าคนอื่น ไม่ใช่เท่านั้นยังมีสาเหตุสำคัญอิกอย่างหนึ่ง คือ กัปตัน นอตัน รักนอรามากเสียที่สุด แลเขาทราบอยู่ว่าหมอมุลเล็นซ์เห็นนอราเปนนางเทพธิดาดังที่กล่าวมาแล้ว เราบ้างก็ลองดู ถ้าทราบว่าผู้ชายที่ไหนมารักผู้หญิงที่เรารักอยู่เองแล้ว ถึงเราไม่อยากจะเกลียดผู้ชายคนนั้น เราก็ต้องขืนใจเกลียดอยู่เอง ถ้ายิ่งเราทราบว่าเขามีช่องที่จะทำให้ผู้หญิงรักเขาด้วยแล้ว ความเกลียดของเราก็ยิ่งเพิ่มขึ้นเปนทวีคูณ

ตามธรรมเนียมพวกผู้ชายเราในพื้นพิภพนี้ ไม่ว่านักปราชญ์หรือตลกหรืออะไรก็ดี เมื่อสบสมัยเข้าแล้วคงต้องรักผู้หญิงคราวหนึ่งเปนแน่ หมอมุลเล็นซ์นั้นแต่แรกคิดกันว่าคงเปนคนสุดท้ายในโลกนี้ที่จะรู้จักรักผู้หญิงได้ แต่การที่คิดเช่นนี้นั้น ถ้าข้าพเจ้าจะไปแทง “โข่งทั้งห้า” (ตามนิทานเรื่องโข่ง) ในวันนี้ก็คงยังมีช่องถูกมากกว่าหลายเท่า เพราะเมื่อถูกแม่เจ้าประคุณนอราเข้าแล้ว หมอมุลเล็นซ์ก็รักอย่างที่เรียกหัวหายทีเดียว อะไรจะทำให้พวกนายทหารประหลาดใจมากกว่าหมอมุลเล็นซ์รักผู้หญิงเห็นจะไม่มีเสียแล้ว แต่เมื่อลองล้อแกเข้าหน่อย ๆ แกก็กลับขนาบเอาเจ๊งแกไปหมดทุกคน.

ว่าที่แท้นอราเปนคนสวยจริง เปนที่เขาเรียก “เบ็ลล์” (นางงาม) อยู่ในเมืองนั้น พวกนายทหารเห็นจะรักนอรากว่าครึ่ง แต่ไม่มีใครออกตัวว่ารักลงไปจริง ๆ เว้นแต่หมอมุลเล็นซ์คนหนึ่ง กัปตันนอตันคนหนึ่ง นอกจากคนในกองทหารสองคนนี้ยังมีผู้ชายอื่น ๆ อิกสองสามคน แต่หมอมุลเล็นซ์เข้าใจว่าไม่มีใครมีช่องสู้แกไม่ได้หมด เห็นจะเปนด้วยแกพูดตลกดี ให้นอราชอบใจแกกระมัง.

ส่วนนอรานั้นเปนหญิงแสนงอนไม่มีใครสู้ได้ แลเปนคนชอบการที่อังกฤษเรียกว่า “เฟลิต” (จะแปลว่ากระไรดี?) อย่างเอกด้วย หมอมุลเล็นซ์ก็ได้ประจ๋อประแจ๋ทำให้ถูกอกถูกใจมามากแล้ว แต่นอราก็ไม่กั้นตัดความเอาใจใส่ของหมอมุลเล็นซ์ในตัวเขาเลย ดูเหมือนจะออกกิริยาว่าชอบอยู่หน่อย ๆ ด้วย.

แต่การที่นอราทำดังนั้น ก็เกิดจากความชอบในการที่จะให้ผู้ชายมาพากเพียรประจบประแจงตัวเขาเท่านั้น จะได้เกิดจากความรักนั้นหามิได้ เพราะถ้าความพอใจของเขาในการที่ให้หมอมุลเล็นซ์ไปพูดจาประจบประแจงนั้นเกิดจากความรักแล้ว ไหนเลยเขาจะยอมให้ผู้อื่นไปติดเขาเช่นหมอมุลเล็นซ์ได้ จำเปนจะต้องเอาความรักของผู้ชายอื่น ๆ โยนน้ำให้หมดอยู่เอง เพราะฉนั้นการที่นอรายอมให้หมอมุลเล็นซ์ไปกินน้ำชาด้วยบ่อย ๆ แลบางทียอมไปขี่จักรยานด้วย หรือไปขับรถด้วยนั้น คงเกิดจากธรรมชาติของเขาที่ชอบให้ผู้ชายติดนั้นเองโดยแท้.

ส่วนตัวหมอมุลเล็นซ์เองนั้น อะไร ๆ ก็ดูฉลาดหมด แต่เมื่อถึงเรื่องผู้หญิงเข้าแล้วดูกระไรช่างโง่เสียนักหนา ในกองทหารทั้งกองดูเหมือนไม่มีใครมีความไหวพริบเท่าหมอมุลเล็นซ์ เพราะฉนั้น ดูเปนการประหลาดอย่างยิ่งที่หมอมุลเล็นซ์แลดูน้ำใจนอราให้โปร่งตลอดไปไม่ได้คิดว่าเขารักตัวจริง ใคร ๆ ก็พอเห็นได้อยู่ว่านอรามิได้รักหมอมุลเล็นซ์มากกว่ารักแมว ซึ่งเปนสัตว์เลี้ยงของกองทหารนั้นเลย การที่หมอมุลเล็นซ์หัวตันไปดังนี้ ก็เปนด้วยความหลงเข้าภาษิตอังกฤษว่า “ความรักเปนของตาบอด” นั้นเอง.

ผู้ชายอื่นที่รักนอราอยู่ด้วยกันสี่ห้าคนนั้น ถ้าดูตามที่พวกนายทหารเห็นได้แล้ว ก็ดูเหมือนนอราจะให้โอกาศให้เอาใจใส่ แลแสดงกิริยาว่ารักเขาเท่า ๆ กันทุกคน จะน้อยหน่อยก็แต่กัปตันนอตันเท่านั้น เพราะถึงนอราจะไม่ทำกิริยาตัดกัปตันนอตัน ไม่ให้ไปทำอาการออกช่องให้เห็นได้ว่ารักเขาก็จริง แต่หาได้ยอมไปขับรถ หรือเดินเล่นกับกัปตันนอตันอย่างคนอื่นไม่ เพราะฉนั้น ความเห็นหมอมุลเล็นซ์จึงตกลงเปนอันแน่นอนว่า กัปตันนอตันรักนอราข้างเดียว จะมีโอกาศที่จะได้นอราเปนภริยาสักเท่าเส้นตอกก็หามิได้ แลการที่นอราไม่ค่อยแสดงกิริยาว่าไม่ชอบให้กัปตันนอตันมาประจบประแจงนั้น ก็เปนด้วยความอ่อนหวานของนอราเท่านั้นเอง.

เมื่อมีความเข้าใจชัดดังนี้แล้ว ความเห็นของหมอมุลเล็นซ์ก็คือจะตัดให้กัปตันนอตันสิ้นหวังในตัวนอราเสีย เพราะหมอมุลเล็นซ์เข้าใจซึมดีว่า ยิ่งมีผู้ชายติดนอราน้อยคนลงไป โอกาศของตัวหมอมุลเล็นซ์เองก็ย่อมมากขึ้น เพราะถึงนอราจะรักหมอมุลเล็นซ์ (ตามความเห็นเขาเอง) มากเท่าใดก็ดี แต่ความพอใจของนอราในการที่ให้ผู้ชายติดนั้นยังเปนการถ่วงตาเต็งอยู่ เพราะเมื่อนอราเห็นมีผู้ชายติดอยู่หลายคนแล้ว ก็คงไม่ต้องการเร่งร้อนอันใด ที่จะรีบตกลงหมั้นแต่งงานกับใคร ต่อเมื่อไม่มีผู้ชายติดเปนกลุ่มๆ แล้ว นอราจึงจะคิดถึงการแต่งงานมากขึ้น เพราะฉนั้น หมอมุลเล็นซ์จะต้องพยายามให้มีคนติดนอราให้น้อยตัวที่สุดที่จะมีได้ แลการที่จะทำให้กัปตันนอตันสิ้นหวังเสียนั้น ก็เปรียบเหมือนขึ้นกระไดไปคั่นหนึ่ง.

การที่หมอมุลเล็นซ์มีความคิดจะเดินทางตามที่กล่าวมาแล้วนี้ ดูก็เข้าท่าถูกต้องทุกอย่าง แต่ความคิดของหมอมุลเลนซ์ ซึ่งนับได้ว่าเปนผลนั้น หาสมกับความชอบหรือความเกลียดของนอราในตัวกัปตันนอตัน ซึ่งนับได้ว่าเปนเหตุนั้นไม่.

แลการที่ผลไม่สมเหตุนี้ ก็เปนด้วยความเข้าใจผิดของมหาชน รวมทั้งหมอมุลเล็นซ์ด้วย ที่แท้ถึงนอราจะทำชอบกัปตันนอตันน้อยกว่าผู้ชายอื่น ๆ ที่มารักเขาอยู่นั้นก็จริง แต่ความในจะได้เปนอย่างนั้นหามิได้ เพราะถ้าจะทิ้งเอาการภายนอกไปกล่าวเอาหัวใจจริงกันแล้ว นอรารักกัปตันนอตันคนเดียว ที่ทำกิริยาเฉย ๆ ก็เพื่อจะหลอกผู้อื่นชั่วคราว โดยเหตุสำคัญดังต่อไปนี้.

นอราเปนบุตรผู้เดียวของท่านพ่อค้าใหญ่ผู้หนึ่ง เปนคนมั่งมีเงินทองนับด้วยล้าน แต่เดิมท่านพ่อค้าผู้นี้ก็ไม่มั่งคั่งเท่าใด เปนแต่คนมีโชคดี จะทำอะไรก็ล้วนแต่เปนทางให้เงินทองไหลมาโกยมา จนลงท้ายเมื่อมารดานอราถึงแก่กรรมนั้น ท่านพ่อค้าผู้บิดาก็หยุดการค้าขายเสีย มีแต่นั่งกินนอนกินไป จนอายุนอราได้ ๑๕ ปีท่านเสรษฐีก็ถึงแก่กรรม.

นอราเปนบุตรผู้เดียวดังได้กล่าวมาแล้ว แลเมื่อบิดามารดาสิ้นชีวิตก็เปนผู้รับมรดกทั้งสิ้น แต่เมื่อก่อนถึงแก่กรรมนั้น ท่านเศรษฐีบิดาได้ทำพินัยกรรมมอบมรดกไว้กับผู้ไว้ใจผู้หนึ่งชื่อ มิสเตอร์โยนซ์ ต่อนอรามีอายุถึง ๒๑ ปีแล้วจึงให้รับมรดกเปนสิทธิ์ขาด แต่ก่อนที่อายุนอราได้ ๒๑ ปีนั้น ถ้านอราไปทำการอันใดที่มิสเตอร์โยนซ์เห็นไม่สมควร กล่าวคือแต่งงานหรือตกลงจะแต่งงาน กับชายที่มิสเตอร์โยนซ์ไม่เห็นด้วยเปนต้นแล้ว ให้มิสเตอร์โยนซ์ยกทรัพย์สมบัติทั้งหลายนั้นให้เปนทานแก่โรงพยาบาลแห่งหนึ่งเสีย.

ในเวลาที่เรื่องนี้เกิดขึ้นนั้น อายุนอราได้ ๒๐ ปีเท่านั้น เปนอันจะทำอวดดีเที่ยวรักใคร่ตกลงกับผู้ชายที่มิสเตอร์โยนซ์ไม่พอใจนั้นไม่ได้ เพราะฉนั้น ถึงนอรากับกัปตันนอตันจะรักใคร่ชอบพอกันเท่าใด ก็ไม่เปนการตกลงกันได้ก่อนนอราอายุได้ ๒๑ ปี เพราะมิสเตอร์โยนซ์ผู้มีอำนาจสิทธิ์ขาดนั้นไม่พอใจในพวกทหาร ถึงกับกล่าวว่า ถ้ามีลูกเต้าไปเปนนายทหารหรือเปนเมียนายทหารแล้ว จะต้องเลิกเปนพ่อลูกกันตราบเท่าวันตาย.

การที่มิสเตอร์โยนซ์ไม่พอใจที่จะให้บุตรชายเปนทหารหรือบุตริ์หญิงเปนภริยาทหารนั้น จะเปนด้วยเหตุประการใดข้าพเจ้าก็จำไม่ได้ถนัด แต่ถึงอย่างไรก็ดี ความจริงเปนอย่างนั้น แลความไม่พอใจของมิสเตอร์โยนซ์ในพวกทหารนั้น ว่าสั้น ๆ ก็คือความไม่พอใจที่จะให้นอราแต่งงานกับกัปตันนอตัน แลถ้าผู้หญิงสาวชายหนุ่มคู่นั้นกล้าขืนความพอใจของมิสเตอร์โยนซ์ ก่อนที่อายุนอราได้ ๒๑ ปีแล้วโรงพยาบาลก็คงมั่งมีขึ้น.

เพราะเหตุฉนี้ ถึงนอรากับกัปตันนอตันจะรักใคร่กันจับอกจับใจเท่าใดก็ดี การที่จะตกลงกันลงไป หรือที่สุดเพียงออกกิริยาว่ารักกันเท่านั้น ก็เปนทางส่อความโง่ของคนทั้งสองนั้นเสียพอแล้ว แลอาการของนอราที่ทำเฉยๆ กับกัปตันนอตันนั้น ต้องนับว่าเปนทางดีที่สุดที่จะประพฤติได้อยู่แล้ว.

ส่วนหมอมุลเล็นซ์นั้นถึงอยู่ในกองทหารก็จริง แต่อยู่ด้วยเปนหมอเท่านั้น จะว่าเปนนายทหารเพราะเหตุที่รักการทหารส่วนเดียวไม่ได้ เพราะฉนั้น ถึงต่างว่านอราจะตกลงหมั้นกับหมอมุลเล็นซ์เข้าแล้ว ก็คงไม่เปนการขัดความพอใจของมิสเตอร์โยนซ์เลย เรื่องมรดกบิดานอราแลเรื่องมิสเตอร์โยนซ์นี้ หมอมุลเล็นซ์ก็ทราบเต็มใจอยู่ เพราะฉนั้น จึงเชื่อแน่ว่ากัปตันนอตันควรสิ้นหวังในตัวนอราเปนอันทำให้หมอมุลเล็นซ์กล้าขึ้นอยู่เอง.

วันหนึ่งเวลาบ่ายนอราขี่จักรยานไปตามถนน พบหมอมุลเล็นซ์ขี่จักรยานสวนมา ว่าจะไปหานอราที่บ้านผะเอิญเคราะห์ดีมาพบตามทาง ขอไปเที่ยวด้วยเถิด นอราตกลงยินยอมเลยหันจักรยานไปทางถนนนอกเมืองห่างออกไปหน่อย หมอมุลเล็นซ์ชวนนอราหยุดพักแล้วพูดว่า “ฉันมีอะไรจะบอกหล่อนอยู่นานแล้วแต่ยังไม่ได้บอก มาวันนี้เปนโชคดีฉันจะขอบอกได้หรือไม่ได้.”

นอรา “ถ้าท่านจะบอกของที่ควรบอกก็บอกได้ แต่ท่านต้องแน่ใจเสียก่อนว่าของที่ท่านจะบอกฉันนั้นเปนของควรบอกจริง.”

หมอมุลเล็นซ์ “หล่อนต้องทราบว่าฉันตรองถึงเรื่องนี้มานานต่อนานแล้ว เพราะฉนั้น คงต้องแน่ใจเปนแน่ว่าควรบอกแลต้องบอก.”

นอรา “ถ้าอย่างนั้นจะบอกอะไรก็บอกไป.”

หมอมุลเล็นซ์ “ฉันรักหล่อน.”

นอรา “ฉันก็ทราบแล้ว.”

หมอมุลเล็นซ์ “ไมดาร์ลิง––”

นอรา (ทำตาเขียว) “ท่านอวดดีอย่างไรถึงมาเรียกฉันอย่างนั้น ใครบอกว่าฉันเปน ‘ดาร์ลิง’ (ยอดที่รัก) ของท่าน.”

หมอมุลเล็นซ์ “พุโท่ หล่อนจะไม่กรุณาฉันจริงเจียวหรือ.”

นอรา “ท่านรู้หรือไม่ว่าท่านมีกรรมสิทธิ์อันใดที่จะมาใช้คำเช่นที่ท่านใช้นั้นกับฉัน.”

หมอมุลเล็นซ์ “ถ้าฉันลุแก่โทษว่าได้ใช้คำผิดไปแล้วหล่อนจะหายโกรธหรือไม่.”

นอรา “ถ้าฉันหายโกรธ ท่านจะว่ากระไรต่อไป.”

หมอมุลเล็นซ์ “ถ้าหล่อนหายโกรธ ฉันจะบอกซ้ำอิกครั้งหนึ่ง ว่าฉันรักหล่อนเหลือที่จะนิ่งไว้ได้แล้ว.”

นอรา “แล้วอย่างไรต่อไป.”

หมอมุลเล็นซ์ “แล้วฉันจะขอให้หล่อนแต่งงานกับฉัน.”

นอรา “แล้วอย่างไรอิก.”

หมอมุลเล็นซ์ “แล้วหล่อนกับฉันก็แต่งงานกัน.”

นอรา “ใครบอกว่าฉันจะแต่งงานกับท่าน ถ้าท่านขอให้ฉันแต่งงานกับท่านแล้ว ท่านคิดว่าฉัน จะต้องจำเปนแต่งหรือ.”

หมอมุลเล็นซ์ “ฉันไม่ได้คิดอย่างนั้น แต่เมื่อฉันอ้อนวอนแสดงความรักของฉันกับหล่อนแล้วหล่อนจะไม่สงสารฉันบ้างเลยหรือ.”

นอรา “ถึงฉันจะสงสารก็คงไม่พอที่จะนำให้แต่งงานกับท่าน เพราะฉนั้น เรื่องนี้เปนอันหยุดพูดได้ ฉันเสียใจที่ฉันไม่รักท่านพอ แต่หวังใจว่าเราจะไม่หมางใจกันด้วยเหตุเรื่องนี้.”

เมื่อนอราพูดดังนั้นแล้ว สักครู่หนึ่งก็ขี่จักรยานกลับเข้าเมือง หมอมุลเล็นซ์ตามไปส่งนอราที่ประตูบ้าน แล้วก็ขี่จักรยานรำพึงไปว่า การที่นอราไม่รับหมอมุลเล็นซ์เปนผัวนั่นมีเหตุอยู่ด้วยสองอย่าง คือนอรารักคนอื่นเสียอย่างหนึ่ง ไม่รักใครเลยอย่างหนึ่ง การที่นอราจะรักใครนั้นก็แลไม่เห็นตัว ถ้าจะว่ายังไม่รักใครจะค่อยถูกมากกว่า ต่างว่านอรายังไม่รักใครแล้ว ตัวหมอมุลเล็นซ์มีช่องมากเท่าใครๆเหมือนกัน คงประจบประแจงจงได้ ส่วนผู้ชายที่รักนอราอยู่นั้นมีหลายคนด้วยกัน หมอมุลเล็นซ์ควรจะทำอย่างไรให้เหลือน้อยที่สุดที่จะเปนได้.”

คืนวันนั้นเมื่อพวกนายทหารกินเข้าเย็นเสร็จแล้วนั่งสูบบุหรี่อยู่ด้วยกันหลายคน หมอมุลเล็นซ์ จึงพูดขึ้นว่า––

“นี่แน่ะ พวกเราที่เคยชวนผู้หญิงแต่งงานสำเร็จมาแล้วนั้น ใครจะบอกได้บ้างว่าถ้าผู้หญิงยังไม่แน่ใจจะทำอย่างไรดี.”

นายทหารคนหนึ่ง ชื่อเมเยอวินเนอร์ กลับถามว่า “นั่นจะต้องการเรียนไปสำหรับแม่เจ้าประคุณนอราหรือไม่ใช่.”

หมอมุลเล็นซ์ “นอราหรือไม่ใช่นอราก็ช่างเขาเถอะ.”

กัปตันนอตันนั่งอยู่ที่นั่นด้วย ได้ยินดังนั้นก็หันหน้าไปดูหมอมุลเล็นซ์ทำตาเขียว ดูเหมือนว่า ถ้าจับหมอมุลเล็นซ์โยนน่าต่างได้ก็คงโยนเปนแน่.

หมอมุลเล็นซ์พูดต่อไปว่า “เพื่อนเรามีอยู่ที่นี่คนหนึ่ง ถ้าออกชื่อนอราเข้าแล้วก็ดูเหมือนข้อนข้างจะพื้นไม่ดี.”

กัปตันนอตันไม่ตอบว่ากระไร.

หมอมุลเล็นซ์ “แต่ฉันเชื่อว่าเพื่อนของเราคนนี้จะได้มีช่องที่จะได้นอรายิ่งกว่าแมวมีช่องที่จะอมดวงพระจันทร์นั้นหามิได้.”

เมื่อหมอมุลเล็นซ์พูดดังนี้ กัปตันนอตันก็สิ้นความเพียรจะอดโทษะได้.

กัปตันนอตัน “นี่แน่ะ หมอมุลเล็นซ์ ที่ท่านว่าดังนั้นน่ะ ท่านเข้าใจว่าฉันไม่รู้เท่าแล้วหรือ.”

หมอมุลเล็นซ์ “เปล่า ฉันไม่ได้ดูถูกว่าท่านไม่มีมันสมองถึงอย่างนั้นเลย ฉันจะว่ากระไรท่านคงรู้เท่าทั้งนั้น.”

กัปตันนอตัน “นี่ท่านต้องการจะสู้ตัวต่อตัวกับฉันหรือ.”

หมอมุลเล็นซ์ “ถ้าท่านอยากสู้ตัวต่อตัวฉันก็ไม่ขัด ฉันทราบอยู่แล้วว่าท่านเปนคนฟันดาบดีเปนคนยิงแม่น แลการที่จะสู้กับฉันตัวต่อตัวนั้นคงให้ความสนุกแก่ท่านเปนแน่ เพราะฉนั้น ฉันจึงเต็มใจจะสู้กับท่าน ด้วยเหตุว่าการให้ความสนุกแก่เพื่อนมนุษย์นั้นเปนกุศลอย่างสูง แต่นี่แน่ะท่านเชื่อแน่แล้วหรือว่าการที่ท่านต้องการจะสู้กับฉันนี้ท่านมีเหตุพอ เพราะฉนั้น เชื่อว่าท่านโกรธฉันด้วยเรื่องมิสนอราเว็นซัน."

กัปตันนอตัน “ถ้าเรื่องนั้นไม่เปนเหตุพอแล้วอะไรจะเปนเล่า ฉันหวังใจว่าท่านไม่ใช่คนขี้ขลาด.”

หมอมุลเล็นซ์ “ฉันก็หวังใจว่าอย่างนั้นเหมือนกัน แต่การที่ท่านต้องการจะสู้กับฉันด้วยเรื่องผู้หญิงที่ไม่รักท่านนั้น ท่านเห็นว่าควรแน่แล้วหรือ.”

กัปตันนอตัน “ทำไมท่านทราบว่ามิสเวนซัน (นอรา) ไม่รักฉัน ท่านเชื่ออย่างไร.”

หมอมุลเล็นซ์ “ใคร ๆ ก็เห็นได้ว่าท่านไม่ได้มีช่องที่จะได้มิสเวนซันยิ่งกว่าแมวมีช่องที่จะอมพระจันทร์เลย.”

เมื่อหมอมุลเล็นซ์พูดซ้ำดังนี้ กัปตันนอตันก็อดไม่ได้ เดินตรงเข้าไปเอามือตบหน้าหมอมุลเล็นซ์ ๆ ชกกัปตันนอตันปิดแล้วกลับชกหมอมุลเล็นซ์อยู่ข้างจะสู้ไม่ได้ พอพวกนายทหารเข้าห้ามเสียทัน ต่างคนต่างห่างกันออกไป.

กัปตันนอตัน “ฉันก็ตบหน้าท่านแล้ว ท่านจะพอใจหรือยัง”

หมอมุลเล็นซ์ “อย่าพูดมากไปเลย สู้กันตัวต่อตัวพรุ่งนี้เถิด.”

กัปตันนอตัน “ถ้าอย่างนั้นมาเลือกอาวุธเสียทีเดียว ท่านจะเลือกอะไร.”

หมอมุลเล็นซ์ “ปืนโก.”

กัปตันนอตัน “ตกลง.”

หมอมุลเล็นซ์ “ฉันต้องขออย่างหนึ่งว่า ท่านทั้งฉันต้องไปเอาปืนมาประจุในห้องนี้เดี๋ยวนี้.”

เมื่อตกลงกันดังนั้นแลประจุปืนโกเสร็จแล้ว หมอมุลเล็นซ์กัปตันนอตันต่างคนต่างก็ตั้งผู้แทนตัว คือผู้เลือกที่เลือกเวลาเสร็จแล้ว กัปตันนอตันก็กลับไปห้อง แต่หมอมุลเล็นซ์กับนายทหารอิกคนหนึ่ง ฯลฯ คือผู้แทนหมอมุลเล็นซ์ เลยพูดกันอยู่ต่อไปในห้องนั้น.

ผู้แทน “นั่นรีบประจุปืนทำไมแต่ปานนี้.”

หมอมุลเล็นซ์ “เพราะจะล้อเขาเล่น.”

ผู้แทน “ก็จะยิงกันจะไปล้ออย่างไรได้.”

หมอมุลเล็นซ์ “จะล้อต่างหาก จะยิงจริงเมื่อไร รู้ไหมว่าเขาเปนคนยิงแม่นที่สุดในกองทหาร ถ้าสู้กันเราก็สู้เขาไม่ได้ ตายเมื่อกำลังรักผู้หญิงอยู่นั้นไม่ใช่ของสนุก ใครจะไปสู้กับเขาให้ตายเล่นทำไม.”

ผู้แทน “ก็อย่างนั้นจะทำอย่างไร.”

หมอมุลเล็นซ์ “ที่ให้เขาประจุปืนเสียเดี๋ยวนี้ ก็เพื่อจะไม่ให้เขาประจุพรุ่งนี้เช้า เพราะเขาคิดว่าประจุเสร็จแล้ว คืนวันนี้เราจะเอายานอนหลับแอบไปให้กินเข้าไป แล้วลอบถอดกระสุนปืนที่ประจุไว้นั้นออกเสีย เหลือไว้แต่ปัสตันเปล่าไม่มีตะกั่ว ถึงยิงเราก็จะทำไมเราได้ พรุ่งนี้เวลาจะสู้กันนั้น พอให้สัญญาเขาก็คงยิงฉันทันที ฉันจะทำล้มเหมือนถูกที่สำคัญร่อแร่จะตาย ต่อเขาเข้ามาจับมือกับฉันแล้วฉันจึงจะลุกขึ้น เดินไปประหนึ่งว่าไม่รู้ไม่เห็น เขาจะประหลาดใจมิใช่น้อย ต่อเมื่อถูกหัวเราะเข้าแล้วจึงจะรู้ตัวว่าถูกหลอก.”

ผู้แทน “ดูท่าจะสนุก แต่ต้องรีบจัดการ.”

เวลานั้นเปนเวลาประมาณ ๒ ทุ่มครึ่ง พอกัปตันนอตันเรียกกาแฟ หมอมุลเล็นซ์ก็จัดการเอายานอนหลับใส่ส่งเข้าไปให้กิน เมื่อกัปตันนอตันนอนหลับ หมอมุลเล็นซ์เข้าไปแกะตะกั่วออกเสร็จแล้ว ก็เอาปัสตันเปล่าที่มีแต่แก๊ปกับดินปืนนั้นยัดเข้าตามเดิม.

เมื่อจัดแจงการสำหรับสนุกในวันรุ่งขึ้นดังนี้เสร็จแล้ว หมอมุลเล็นซ์ก็ออกจากโรงทหารไปเที่ยวจนดึกประมาณ ๕ ทุ่มจึงกลับมานอน.

ส่วนกัปตันนอตันนั้น เมื่อวิวาทกับหมอมุลเล็นซ์มาใหม่ ๆ นั้น พอถึงห้องก็เขียนจดหมายให้คนไปให้นอราฉบับหนึ่งดังนี้.

บาแร็ก...

วันที่.........

ถึง นอราที่รัก

ด้วยวันนี้เกิดเหตุสนุกใหญ่ แต่ฉันจะมาเล่าให้หล่อนฟังเองก็ไม่ได้ เพราะเปนเวลากลางคืน ถ้ารู้ไปถึงมิสเตอร์โยนซ์เข้าก็อาจเกิดเหตุได้ ฉันออกไม่สบายใจเต็มทีแล้ว ที่หล่อนกับฉันต้องซ่อนความรักซึ่งกันแลกันไว้ดังนี้ ถ้าฉันไม่ได้เปนทหารปานนี้ก็คงมานั่งเปนสุขอยู่กับหล่อนแล้ว.

เรื่องที่เกิดวันนี้นั้น คือฉันวิวาทใหญ่กับหมอมุลเล็นซ์ ถึงกับจะยิงกันตัวต่อตัวพรุ่งนี้เช้า หล่อน ไม่ต้องวิตกอันใด เพราะหล่อนก็ทราบอยู่ว่าฉันเปนคนไวแลยิงแม่นที่สุดในกองทหาร หมอมุลเล็นซ์เองก็รู้ดีอยู่ ส่วนตัวเขาเองนั้นอย่าว่าแต่ยิงฉันเลย ให้ยิงช้างก็ไม่ถูก แลกว่าจะยกมือได้ก็คงลงไปนอนดิ้นอยู่แล้ว ฉันก็ไม่ตั้งใจจะยิงให้ถูกสลักสำคัญถึงกับล้มกับตาย อย่างมากเพียงขาหัก หรืออะไรให้เสียโฉมอย่างหนึ่ง ฉันเชื่อว่าตั้งแต่พรุ่งนี้ต่อไป หมอมุลเล็นซ์คงไม่เข้าหน้าหล่อนอิกเปนแน่.

เหตุข้อวิวาทนั้นก็คือตัวหล่อนเอง ! หมอมุลเล็นซ์ทราบว่าฉันรักหล่อน แต่เข้าใจ (ตามความต้องการของเรา) ว่าหล่อนไม่รักฉัน เมื่อคืนนี้เขาล้อดูถูกฉันเหลือที่จะอดกลั้น จึงเกิดเปนเหตุวิวาทกันขึ้น แลปานนี้เขาก็คงจะเสียใจอยู่แล้ว ที่มาวิวาทถึงกับจะยิงกับฉัน แลพรุ่งนี้เมื่อลูกตะกั่วเข้าไปแซกอยู่ในตัวเขาแล้ว เขาคงเสียใจมากขึ้น.

พรุ่งนี้เวลาบ่าย ถ้าหล่อนขี่จักรยานออกไปพบกับฉันตามถนนนอกเมือง (ที่เราเคยพบกัน) ได้แล้ว ฉันจะเล่าเรื่องให้หล่อนฟังโดยละเอียด ฉันแน่ใจว่าหมอมุลเล็นซ์จะยิงฉันไม่ได้ เพราะฉนั้น หล่อนจงอย่าร้อนใจเลย.

แต่ “หวานใจ” ของหล่อน

แย๊ก

เมื่อเขียนจดหมายฉบับนั้นไปแล้ว กัปตันนอตันก็เรียกกาแฟมากิน เลยนอนหลับไปจนรุ่งสว่างสิ้นฤทธิ์ยาจึงตื่น นึกประหลาดใจว่ากระไร ช่างนอนเอาเสียจริง ๆ จัง ๆ.

เวลาที่กัปตันนอตันกำลังจะลุกขึ้นนั้น กัปตันบิลลิงคือผู้แทนกัปตันนอตัน เข้ามาในห้องบอกว่า ได้จัดแจงจะให้กัปตันนอตันกับหมอมุลเล็นซ์ยิงกันในที่เปลี่ยวแห่งหนึ่งเวลาโมงเช้า เพราะฉนั้น ให้กัปตันนอตันเตรียมตัวให้เสร็จเวลาโมงครึ่ง กัปตันบิลลิงจะมารับ ว่าเท่านั้นแล้วก็ออกจากห้องไป.

สักครู่หนึ่งมีคนถือหนังสือมาให้กัปตันนอตันฉบับหนึ่ง กัปตันนอตันฉีกอ่านแล้วก็เอาใส่กระเป๋าเสื้อไว้เดินยิ้มไปยิ้มมา.

ครั้นถึงกำหนดเวลากัปตันบิลลิงก็มาพากัปตันนอตันไปที่สนามรบ พบหมอมุลเล็นซ์กับนายทหารอยู่ที่นั่นแล้วหลายคน.

หมอมุลเล็นซ์ “ฉันต้องขอลุแก่โทษต่อท่านทั้งสองที่ได้เชิญท่านออฟฟิเซอร์เหล่านี้มาอยู่ที่นี่ เพราะถ้าฉันไม่ตายก็ดีอยู่ แต่ถ้าตายแล้วฉันอยากจะให้มีคนดูหลาย ๆ คน เกิดมาก็ตายครั้งเดียว.”

ที่แท้หมอมุลเล็นซ์ชวนพวกออฟฟิเซอร์เหล่านั้นมาก็เพื่อจะคอยหัวเราะเท่านั้น.

เมื่อกระทำพิธีเล็กน้อยกันตามธรรมเนียมเสร็จแล้ว หมอมุลเล็นซ์ กัปตันนอตัน ต่างคนต่างก็ชักปืนที่ประจุไว้แต่กลางคืนนั้นออกคอยทีอยู่ พอได้สัญญาปืนกัปตันนอตันก็ลั่น “ปัง ! ปัง !!”

หมอมุลเล็นซ์ล้มลงกับที่ แล้วดิ้นร้องครางอย่างถูกปืนจริง ๆ พวกออฟฟิเซอร์นึกชมว่าช่างทำเหมือนจริงแท้ ๆ กัปตันนอตันคงเชื่อเปนแน่ต่างคนต่างเตรียมจะฮาใหญ่.

แต่เมื่อกัปตันนอตันเข้าไปจับมือหมอมุลเล็นซ์สั่นแล้ว หมอมุลเล็นซ์ก็หาลุกขึ้นเดิน ทำไม่รู้ไม่เห็นอย่างที่กะกันไว้ไม่ ยังนอนดิ้นร้องอยู่นั่นเอง พวกที่อยู่นั่นเห็นประหลาดเข้าไปตรวจดูก็เห็นหมอมุลเล็นซ์ถูกปืนจริงถึงสองลูก.

ตั้งแต่นั้นมาหมอมุลเล็นซ์ก็ขาเสียข้างหนึ่งแขนเสียข้างหนึ่ง เปนอันสิ้นโอกาศที่จะบูชานางเทพธิดานอราต่อไป.

เรื่องที่หมอมุลเล็นซ์ไม่ได้ล้อกัปตันนอตันสมปราถนาถึงกับเสียโฉมไปเองนี้ ก็เปนด้วยปากหมอมุลเล็นซ์อยู่ไม่นิ่ง คือเมื่อคืนวันที่วิวาทกับกัปตันนอตันเสร็จแล้วนั้น หมอมุลเล็นซ์ไปหานอราเลยเล่าเรื่องวิวาทแลความคิดที่จะล้อกัปตันนอตันให้ฟังถี่ถ้วน ด้วยหาสงสัยไม่ว่า นอรากับกัปตันนอตันรักกันเงียบ ๆ อยู่ คิดว่าตัวเองมีช่องที่จะได้นอราเปนภริยามากกว่าใคร ๆ ทั้งสิ้น.

เมื่อหมอมุลเล็นซ์กลับแล้ว นอราจึงเขียนจดหมายถึงกัปตันนอตัน ตอบจดหมายที่กัปตันนอตันมีไป แลเล่าถึงความคิดที่หมอมุลเล็นซ์จะล้อนั้นด้วย จดหมายฉบับนี้กัปตันนอตันได้รับเมื่อตื่นขึ้นเวลาเช้า ไปถอดปัสตันในปืนโกดูเห็นไม่มีตะกั่ว จึงเปลี่ยนปัสตันเสียใหม่ เลยยิงเอาหมอมุลเล็นซ์เข้าจริง ๆ ดังที่กล่าวมาแล้ว.

การที่หมอมุลเล็นซ์ถูกเจ็บปวดถึงสาหัสดังนี้ ก็เปนด้วยปากไม่นิ่งได้ สมคำภาษิตที่ว่า “ปลาหมอตายเพราะปาก” ผิดกันอยู่แต่หมอมุลเล็นซ์ไม่ใช่ปลาหมอ แลไม่ถึงกับตายจริงดังที่กล่าวมาแล้ว.

ภาษิตที่ว่า “ปลาหมอตายเพราะปาก” นั้น หมายความอย่างไรก็ไม่แน่ แต่คงว่าปลาหมอตายเพราะอดกินเบ็ดไม่ได้ ข้าพเจ้าเคยได้ยินชายหนุ่มคนหนึ่งออกความเห็นว่า เคราะห์ดีที่โลกนี้มีเบ็ดอยู่หาไม่สัตว์อื่น (รวมทั้งหมอมุลเล็นซ์) จะไม่มีที่อยู่ โลกจะเต็มไปด้วยปลาหมอทั้งนั้น.

เขาว่าก็คล้ายตำรานักปราชญ์ เพราะถ้าปลาหมอจะตายได้ก็เพราะเบ็ดอย่างเดียวแล้ว ก็จะต้องมีปลาหมอเพิ่มขึ้นปีละอสงไขยอยู่เอง แต่ที่จริงคำภาษิตนั้นเขาไม่ได้หมายความว่า ปลาหมอจะตายได้แต่ด้วยเบ็ดอย่างเดียว เปนแต่ความเปรียบเทียบเท่านั้น เพราะฉนี้ ข้าพเจ้าขอชี้ว่าการที่ข้าพเจ้าเอาตาหมอกับปลาหมอมายุ่งกันข้างต้นนั้น ก็เปนแต่ความเปรียบเช่นคำภาษิตที่กล่าวมานี้เหมือนกัน ถ้าท่านผู้ใดว่าเปรียบไม่ถูกต้องข้าพเจ้าก็ยอมแพ้ท่านผู้นั้น.

ส่วนนอรากับกัปตันนอตันนั้น เดี๋ยวนี้เขามีสุขสมบูรณ์เสียแล้ว นอราก็ได้มรดกบิดา กัปตันนอตันก็ได้นอราเปนภริยา.

 

แชร์ชวนกันอ่าน

แจ้งคำสะกดผิดและข้อผิดพลาด หรือคำแนะนำต่างๆ ได้ ที่นี่ค่ะ