เรื่องความรักของนางพระยา

นางพระยาประเทศซอนเดอร์เบิคว็อลซ์ไตน์ ขบพระทนต์ทำพระพักตร์บึ้งพระเนตรเขียว แลดูที่ประชุมองค์มนตรีประหนึ่งว่าจะเอาปลายกฤชมาจ่ออกข้าราชการเหล่านั้นแล้วตรัสว่า

“นี่แน่ะ ท่านองคมนตรีทั้งหลาย นี่ท่านประชุมกันโดยไม่ได้บอกให้เราทราบหรือ? เราเชื่อว่าท่านคงไม่ลืมเปนแน่ว่า วันนี้อายุเราครบกำหนดแล้ว มีอำนาจปกครองบ้านเมืองของเราได้โดยตนเอง.”

วันนั้น เปนวันที่ชนมายุของนางพระยาครบกำหนดที่จะว่าราชการบ้านเมืองได้จริง แลท่านองค์มนตรีทั้งหลายได้ประชุมกันโดยลำพังตนเอง หาได้ทูลเชิญเสด็จนางพระยามาประทับเปนประธานตามที่ควรจะเปนไปนั้นไม่ เมื่อนางพระยามาพบแลแสดงความกริ้วดังนั้น ท่านพวกที่ประชุมอยู่ก็หน้าเสียลงไปทันที เพราะทราบพระโทษะของนางพระยาสาวองค์นั้นอยู่.

ข้าพเจ้าไม่ต้องกล่าวก็ได้ ว่าประเทศซอนเดอร์เบิควอลซ์ไตน์อยู่ที่ไหน ใครไม่ทราบดูแผนที่เอาก็แล้วกัน แต่นางพระยานั้นเห็นจะได้เสวยดินถนันหรืออะไรอย่างหนึ่ง จึงเปนหญิงสวยวิเศษนักหนา ถ้าใครไม่เชื่อไปหารูปมาดูเอาเองก็ได้ ข้าพเจ้าเสียใจที่จะนำรูปมาพิมพ์ในที่นี้ไม่ได้ ถ้าไม่อย่างนั้นท่านผู้อ่านคงเห็นกับข้าพเจ้าทุกคนว่า นางพระยาเปนคนสวยจริง.

ฝ่ายท่านชานเซ็ลเลอร์คือหัวหน้าที่ประชุมนั้น เมื่อได้ฟังนางพระยากริ้วถึงพระเนตรเขียวดังนั้น ก็ยิ้มอย่างที่ผู้ใหญ่ยิ้ม ในขณะที่จะเอาใจเด็กแล้ว ทูลตอบว่า “ที่ข้าพเจ้าทั้งหลายประชุมกันคราวนี้ ก็เพราะเหตุที่พระองค์ทรงชนมายุครบนั้นเอง แลได้ประชุมกันโดยไม่ได้ทูลให้พระองค์ทราบก็โดยเหตุเดียวกันเหมือนกัน.”

พระเนตรนางพระยายังคงสีเดิมอยู่ แต่ยังหาตรัสประการใดไม่ เปนแต่ทรงเดินไปนั่งเก้าอี้ที่ตั้งไว้หัวโต๊ะสำหรับนางพระยาประทับเอง ส่วนนาง ฟ็อนดีนิซ คือนางพนักงานตามเสด็จนั้นก็นั่งลงบนเก้าอี้ที่ มอเรลลี คือเลขานุการอิตาเลียนคนใหม่ของท่านชานเซ็ลเลอร์ ยกมาตั้งให้นั้น.

เมื่อนางพระยาประทับลงบนเก้าอี้ดังนั้นแล้ว ก็ตรัสต่อไปกับท่านชานเซ็ลเลอร์ว่า “เราต้องขอให้ท่านโปรดอธิบายให้จะแจ้งว่า คำที่ท่านกล่าวเมื่อตะกี้ว่าประชุมกันแต่ไม่บอกเราให้ทราบ เพราะอายุเราครบกำหนดนั้น ท่านหมายความอย่างไร.”

ท่านชานเซ็ลเลอร์กัดริมฝีปากด้วยความไม่พอใจ ที่จะต้องอธิบายดังนั้น เพราะชานเซ็ลเลอร์เปนคนดูแลการแผ่นดินมาหลายปี หาเคยถูกใครมาบังคับให้อธิบายอันใดไม่ แต่คำที่นางพระยาทรงกล่าวนั้นก็เปนการถูกต้องทุกอย่าง เพราะฉนั้น ท่านชานเซ็ลเลอร์จึงจำเปนทูลว่า “การที่จะอธิบายนั้นไม่เปนการยากมิได้ คือเดี๋ยวนี้พระองค์ก็ทรงชนมายุครบแล้ว แต่ยังหามีผู้สืบเชื้อวงศ์ต่อไปไม่ ประชาชนของพระองค์ก็อยากจะให้พระองค์มีราชสามี เพราะฉนั้น พวกข้าพเจ้าทั้งหลายจึงประชุมกัน เพื่อจะเลือกดูว่ามีเจ้าชายองค์ใด ที่สมควรจะเปนราชสามีของพระองค์บ้าง แลการที่จะคิดอ่านเลือกสันเช่นนี้ ก็เปนการที่จะทำได้โดยสดวก ในเวลาที่พระองค์ไม่ได้ประทับอยู่ด้วย.”

นางพระยาทำพระเนตรขวาง แสดงว่าไม่พอพระไทยในการที่ท่านองคมนตรีทั้งหลายมาประชุมจะเลือกคู่ถวายดังนั้น แล้วตรัสตอบว่า :—

“เราขอบใจท่านทั้งหลายเปนอันมาก ที่มาประชุมเลือกสันกันเอาเอง เพื่อจะให้ของเล็กน้อยเช่นนั้นสิ้นหนักจากเราไป นางพระยาผู้ครองเมืองคงจะเปนผู้หญิงที่ไม่ว่า ๆ จะได้สามีชนิดไรเปนแน่.”

ท่านพวกองคมนตรีทั้งหลายกลับรู้สึกหนาวขึ้นมาอิก เพราะคำแดกดันที่นางพระยาทรงกล่าวนั้น แสดงว่าไม่โปรดการที่องคมนตรีประชุมกันครั้งนั้นยิ่งนัก.

นางพระยาทรงกล่าวต่อไปว่า “เราต้องขอให้ท่านชานเซ็ลเลอร์ ให้เลขานุการอ่านบาญชีเจ้าชาย ที่เสนาบดีผู้ไวปัญญาของเราได้เลือกว่า พอจะเปนสามีเราได้นั้นให้เราฟังดูว่ามีใครบ้าง.”

ชานเซ็ลเลอร์ตอบว่า “ข้าพเจ้าจะได้รับใส่เกล้าทำตามความประสงค์ของพระองค์ในข้อนั้น คือจะได้เรียงรายนามเจ้าชายทั้งหลาย ที่เลือกเห็นพอจะสมควรได้รับเกียรติยศนั้น มาถวายพระองค์ทอดพระเนตรในคราวประชุมน่านี้.”

นางพระยา “เราไม่ตั้งใจจะคอยจนถึงคราวประชุมครั้งน่า ที่จริงเราจะไม่คอยเลย นี่แน่ะ ซินยอ มอเร็ลลี ขอให้ท่านอ่านบาญชีไปเดี๋ยวนี้.”

มอเร็ลลี (เลขานุการ) “รายนามเจ้าชายทั้งหลายนั้นยังหาได้กะลงเรียบร้อยแล้วไม่ แต่มีอยู่แล้วบางองค์เช่นเจ้า ฟ—เมืองเอ็กซ์ เปนต้น.”

นางพระยา “อ้อเจ้า ฟ—อ้วนหัวล้านไม่มีมันสมองนั้นหรือ.”

ชานเซ็ลเลอร์ (พื้นเสีย) “การที่ทรงกล่าวดูถูกราชบุตรของพระเจ้าแผ่นดินดังนั้น ไม่สมควรเปนอย่างยิ่ง.”

นางพระยา “แลการที่ท่านพูดกับเราผู้ครองแผ่นดินเช่นนี้ เปนการสมควรแล้วหรือ ?”

ท่านชานเซ็ลเลอร์เสียท่า ไม่ทราบจะตอบอย่างไรก็นั่งนิ่งอยู่ แลรายนามเจ้าชายที่มอเร็ลลีอ่านทีละองค์ ๆ นั้น ก็ถูกนางพระยาติเตียนป่นปี้แทบทุกองค์ แล้วนางพระยาก็ตรัสว่า :—

“ท่านได้ทำรายชื่อเจ้าชายมาเกือบหมดโลก เราขอสรรเสริญท่านที่ได้รายชื่อมาเปนอันมากดัง นี้ แต่เราเห็นประหลาดอยู่อย่างหนึ่ง ที่ท่านหาได้ลงนามเจ้าชายในอิตรูเรียมาแต่สักองค์เดียวไม่ แลการที่เรานึกถึง อิตรูเรีย ได้นี้ ก็เพราะเหตุได้รับจดหมายจากเจ้าชายเมืองนั้นฉบับหนึ่งขอแต่งงานกับเรา การที่เจ้าชายองค์นั้นมีจดหมายมาดังนี้ เปนการไม่เปนไปตามขนบธรรมเนียมก็จริงอยู่ แต่ถึงกระนั้นก็ดี เราก็เห็นหาเปนการขัดขวางอันใดไม่ ที่จะลงนามเจ้าชายองค์นั้นในรายนามฉบับนี้ ซิลยอมอเร็ลลี ทำไมท่านพวกองคมนตรีของเราจึงหาลงนามเจ้าเมืองอิตรูเรียแต่สักองค์หนึ่งไม่ ?”

มอเร็ลลี “ถ้าพระองค์ทรงถามท่านชานเซ็ลเลอร์ เห็นจะดีกว่าทรงถามข้าพเจ้า.”

ชานเซ็ลเลอร์ “การที่ทรงถามดังนั้นข้าพเจ้าก็ตอบได้ง่ายๆ คือเมืองอิตรูเรียเปนเมืองจน แลทางดำเนินของเมืองอิตรูเรียก็หาต้องกับทางดำเนินของข้าพเจ้าไม่.”

นางพระยา “ต่อนี้ไปขอให้ท่านเรียกทางราชการเมืองนี้ว่าทางดำเนินของเรา ไม่ใช่ความดำเนินของท่าน แลความต้องการของเราเวลานี้ ก็คือให้ท่านจดรายนามเจ้าชายเมืองอิตรูเรียลงด้วย.”

เมื่อนางพระยามีดำรัสแสดงความประสงค์ดังนั้น มอเร็ลลีผู้เปนเลขานุการของชานเซ็ลเลอร์ก็จดรายนามเจ้าชายในเมืองอิตรูเรียลงหลายองค์ แล้วทูลนางพระยาว่า “ข้าพเจ้าเปนอิตาเลียนรู้จักเจ้าชายเหล่านี้โดยมากตามรายนามดังนี้” ว่าดังนั้นแล้ว มอเร็ลลีก็ส่งรายนามนั้นให้นางพระยา ฟ็อนดีนิซรับส่งถวายนางพระยา นางพระยาทรงอ่านสองครั้งแล้วก็ส่งคนไปให้เติมลงในรายที่ท่านองคมนตรีเรียบเรียงไว้นั้น แล้วรับสั่งว่า:—

“ท่านองคมนตรีทั้งหลาย เราขอขอบใจท่านอิกครั้งหนึ่ง ที่ได้เอาใจใส่จะเลือกคู่ให้เรานี้ เราจะพารายนามนี้กลับไปตรึกตรองดู แล้วจะบอกให้ท่านทั้งหลายทราบว่าเราต้องการอย่างไร.”

ชานเซ็ลเลอร์ “ถ้าอย่างนั้นข้าพเจ้าขอตามเสด็จไปช่วยแนะนำพระองค์ด้วย.”

นางพระยา “ไม่ต้องกวนท่านก็ได้ เลขานุการของท่านก็พอ ซินยอมอเร็ลลีตามเรามาทางนี้.”

ว่าเท่านั้นแล้วนางพระยาก็เกาะแขนนางฟ็อนดีนิซออกจากห้องประชุมไป มอเร็ลลีตามเสด็จไปด้วย.”

เมื่อเข้าไปถึงห้องนั่งเล่นของนางพระยา ๆ ก็ทรงนั่งลงบนเก้าอี้ยาว เลือกดูรูปเจ้าต่างๆ ที่ท่านชานเซ็ลเลอร์ได้หามานั้น ไม่เปนที่พอพระไทยก็โยนเสียสิ้น แล้วตรัสกับนางฟ็อนดีนิซว่า “เอาไปเสียทีเถอะ รูปอะไรมิรู้.”

มอเร็ลลี “แต่ควรจะทรงคิดดูก่อนว่ารูปนี้เปนรูปเจ้าโตๆ ทั้งนั้น.”

นางพระยา “โตหรือไม่โตช่างเปนไร เจ้างาม ๆ เดี๋ยวนี้ไม่มีเสียแล้ว.”

มอเรลลี “ก็พระองค์เอง—”

มอเร็ลลีพูดยังไม่ทันขาดคำ นางพระยาก็โบกพระหัตถ์ให้นิ่ง แล้วรับสั่งว่า “ท่านจะว่าเราสวย เอาเถอะเราสวยจริง แต่เราก็ไม่สวยอย่างนางบุษบา (นางพระยาคงเคยอ่านอิเหนา) แลในเรื่องนี้นั้น ชานเซ็ลเลอร์จะชอบหรือไม่ชอบก็ดี เราคงจะไม่ยอมรับคนที่เราไม่รักมาเปนคู่เปนแน่.”

นางฟ็อนดีนิซ “เจ้าคาโลเมืองอิตรูเรียนั้น รูปร่างจะเปนอย่างไรบ้าง.”

มอเร็ลลี “เจ้าคาโลรูปร่างอยู่ข้างจะดี.”

นางพระยา “ทำไมเราจะได้ดูรูปเจ้าองค์นี้สักครั้งหนึ่ง.”

เจ้าคาโลเมืองอัตรูเรียนั้น คือเจ้าชายที่เขียนหนังสือมาชวนนางพระยาแต่งงาน ตามที่นางพระยาได้ทรงกล่าวแล้วนั้นเอง.

มอเร็ลลีทูลว่า “ข้าพเจ้ามีรูปเจ้าคาโลอยู่รูปหนึ่ง เพราะได้อยู่กองทหารเดียวกันมา ถ้าพระองค์จะทอดพระเนตรก็ได้.”

นางพระยา “ถ้าอย่างนั้นก็ดีทีเดียว ท่านโปรดให้ใครไปหยิบมาให้เราดูเดี๋ยวนี้เถิด.”

มอเร็ลลีทูลว่า “ข้าพเจ้าขอประทานไปหยิบเอง” เท่านั้นแล้วก็คำนับถอยหลังออกจากห้องไป

นางพระยา “คนๆนี้รูปร่างดีพอใช้ได้.”

นางฟ็อนดีนิซ “ใครรูปร่างดี ก็ยังไม่ทอดพระเนตรเห็นทำไมถึงทรงทราบ.”

นางพระยา “อะไรช่างเขลาเสียจริงๆ เราไม่ได้ว่าเจ้าคาโล เราว่าเลขานุการของชานเซ็ลเลอร์ต่างหาก.”

นางฟ็อนดีนิซ “รูปร่างเขาดีจริง แต่ก็ดีเสียเปล่า”

นางพระยาทรงถอนพระไทยใหญ่ แล้วรับสั่งว่า “ถ้าชื่อชายคนนี้อยู่ในบาญชีของชานเซ็ลเลอร์ด้วยแล้ว เราคงจะไม่ต้องเลือกให้ลำบากมากนัก แต่เปนไปไม่ได้.”

นางพระยาตรัสกับนางฟ็อนดีนิซคนสนิทเท่านั้นแล้ว ก็เอนพระเศียรไปพิงเก้าอี้ แล้วทอดพระ เนตรดูเพดาลอยู่สักครู่หนึ่ง มอเร็ลลีก็กลับมาส่งหนังสือถวายนางพระยาฉบับหนึ่ง แล้วทูลว่า “การที่ข้าพเจ้าได้รับ ๆ สั่งให้ตามเสด็จมาในห้องนี้นั้น เห็นจะไม่เปนที่ชอบแห่งท่านชานเซ็ลเลอร์ เพราะข้าพเจ้าได้รับจดหมายฉบับนี้ ไล่ให้ออกจากตำแหน่งที่รับอยู่นี้เสียแล้ว.”

นางพระยาทอดพระเนตรหนังสือฉบับนั้นสักครู่หนึ่งก็ฉีกเสีย แล้วรับสั่งว่า “ถ้าอย่างนี้ก็ไม่ไหว เราจะต้องให้ชานเซ็ลเลอร์ลุกะโทษให้ได้ จะลาออกกันหมดก็ดี เราจะได้เปลี่ยนใหม่ให้หมด ซินยอมอเร็ลลี เราจะให้ท่านเปนชานเซ็ลเลอร์.”

มอเร็ลลี “ข้าพเจ้าต้องทูลขอพระองค์อย่าให้กริ้วถึงอย่างนั้น การที่ท่านชานเซ็ลเลอร์ให้ข้าพเจ้าออกนี้ ก็เปนตามความต้องการของข้าพเจ้าเอง แล้วด้วยข้าพเจ้าได้ตั้งใจจะทูลลาออกจากเมืองนี้ไม่ในไม่สู้ช้านัก.”

นางพระยา “ทำไม ท่านไม่ชอบเมืองนี้เสียแล้วหรือ.”

มอเร็ลลี “ข้อนั้นเปนการตรงกันข้ามทีเดียว เพราะข้าพเจ้าจะเรียกว่าติดเมืองนี้ก็ว่าได้ แต่ถ้าพระองค์จะโปรดให้ข้าพเจ้าทูลความจริงแล้ว ข้าพเจ้าก็ต้องทูลว่า ข้าพเจ้ามีเรื่องที่เกี่ยวด้วยหัวใจอยู่ แต่เห็นไม่มีที่หวังได้อย่างไรเลย.”

นางพระยา “ถ้าอย่างนั้นท่านมิรักนางพนักงานตามเสด็จของเราคนหนึ่งคนใดหรือ.”

มอเร็ลลี “ไม่ใช่อย่างนั้นมิได้ นางพนักงานตามเสด็จของพระองค์นั้นน่ารักใคร่จริง แต่ข้าพเจ้าแลสูงกว่านั้น.”

มอเร็ลลีทูลดังนั้นแล้ว ก็แลดูพระเนตรนางพระยาจนทนไม่ได้ต้องหันพระพักตร์หนี จนนางฟ็อนดีนิซไอขึ้นจึงกลับได้สติ.

มอเร็ลลีหยิบรูป ๆ หนึ่งออกส่งถวายนางพระยาแล้วทูลว่า “รูปเจ้าคาโลเมืองอิตรูเรีย.”

นางพระยารับรูปไปทอดพระเนตร ทำพระพักตร์ตื่น แล้วรับสั่งว่า “นี่ท่านหยิบผิดไปแล้วกระมัง นี่รูปตัวท่านเอง.”

มอเร็ลลียิ้มแล้วตอบว่า “ไม่ผิดมิได้ เพราะข้าพเจ้าก็คือเจ้าคาโลเมืองอิตรูเรียเอง.”

นางพระยา “ก็อย่างนั้นทำไมท่านจึงมาเที่ยวปลอมอยู่ดังนี้เล่า.”

เจ้าคาโล “เพราะไม่มีทางอื่นที่จะมาเฝ้าได้ ท่านชานเซ็ลเลอร์ไม่ชอบเมืองอิตรูเรียเพียงไรก็ทรงทราบอยู่กับพระไทยแล้ว.”

เรื่องต่อไปนี้ไม่ต้องนำมาพรรณนาให้ยืดยาว เพราะความประสงค์ของนางพระยาที่รับสั่งกับนางฟ็อนดีนิซนั้นก็ได้กล่าวมาข้างต้นชัดอยู่ แลเมื่อการเปนดังที่ได้เล่ามานี้แล้ว ความพอพระไทยของนางพระยาในมอเร็ลลี (ซึ่งกลายเปนเจ้าคาโลปลอมมา) ที่พาให้เปนความอยากให้มอเร็ลลีเปนเจ้า เพื่อจะได้เลือกหรือถ้าพูดอย่างลูกสาวท้าวสามล ก็คือทิ้งพวงมาไลยไปสรวมข้อมือนั้น ก็ไม่เปนการขอข้องอันใด แลการที่เจ้าคาโลกล่าวว่า “แลดูสูง” คือพูดตรง ๆ ก็คือรักนางพระยานั้นก็เปนการสำเร็จเหมือนกัน.

การอภิเษกของนางพระยาประเทศซอนเดอร์เบิควอลซ์ไตน์กับเจ้าคาโลเมืองอิตรูเรีย ซึ่งได้ทำในไม่สู้ช้านักนั้น ก็เอะอะหรูหราตามเกียรติยศ ใครไม่เชื่อค้นหนังสือพิมพ์ดูก็ได้ ถ้าค้นไม่พบอย่ากลับมาถามข้าพเจ้าก็แล้วกัน.

 

แชร์ชวนกันอ่าน

แจ้งคำสะกดผิดและข้อผิดพลาด หรือคำแนะนำต่างๆ ได้ ที่นี่ค่ะ