เรื่องสู้กันด้วยกลืนยาพิษ

เมื่อข้าพเจ้าออกจากวิทยาลัยมาใหม่ ๆ ข้าพเจ้ามีเพื่อนฝูงหนุ่ม ๆ ที่เปนเพื่อนนักเรียนแลออกมาคราวเดียวกันบ้าง ที่รู้จักมักคุ้นกันมาแต่แรกบ้างมากด้วยกัน บางคนก็เข้าทำการงานต่าง ๆ ตามทางวิชชาที่ได้ศึกษามา บางคนก็เฉยเที่ยวเกร่เล่นหัวเกะกะอยู่ ไม่ต้องธุระร้อนรนถึงเรื่องนั้นด้วยเปนลูกเศรษฐีคหบดีมีแก้วสารพัดนึก (เงิน) อยู่ใต้คำสั่งถมไป จะใช้จะจ่ายจะเล่นจะหัวจะทำอะไรๆ นอกจากหยิบเดือนหยิบดาวแลของที่ไม่เปนไปได้ทั้งปวงแล้ว คงจะสำเร็จตามความปราถนาทั้งสิ้น ตัวข้าพเจ้าเองก็เกะกะอยู่กับพวกนี้เหมือนกัน

ที่ข้าพเจ้าพูดนี้ คือเวลาที่เข้าพเจ้ายังอยู่ประเทศอเมริกา ยังหาได้กลับมาบ้านเมืองไม่ ข้าพเจ้าเข้าสอบไล่ความรู้วิชาอะไรๆ ที่ต้องการได้สำเร็จทุกอย่างแล้ว มีคนชวนให้เข้าทำการงานที่ประเทศโน้นถมไป แต่ข้าพเจ้าไม่รับ เพราะได้ตั้งใจไว้ว่าจะเที่ยวเล่นเสียเล็กน้อย พอรู้ว่าความสุขแลความรื่นเริงที่แท้ของประเทศโน้น มันมีรสชาติหวานมันอย่างไรบ้าง แล้วจึงจะกลับบ้านเมืองเราเท่านั้นเอง การงานก็มาหาทำที่บ้านเกิดเมืองนอนดีกว่า.

ในเวลานั้น ข้าพเจ้าอยู่อย่างไร เที่ยวเกร่เล่นหัวแลทำให้เวลาเปลืองไปอย่างไรนั้น ข้าพเจ้าไม่เล่าหละ จะยืดยาวเลื้อยเจื้อยเกินกับที่ผู้อ่านจะต้องการฟังหรือเห็นสนุกด้วยไป ข้าพเจ้าขอบอกให้ท่านทราบแต่ว่า เพื่อนของข้าพเจ้าแต่ละคน ๆ นั้น ล้วนแต่เปนลูกหลานเศรษฐีผู้มีตระกูลอันมีชื่อเสียงแล้วทั้งสิ้น ย่อมจะเข้าสู่ที่ประชุมสูงแลฟุ่มเฟือยอย่างที่เขาเรียกว่า ใช้เงินทองอย่างฉิบหายเปนธรรมดา เพราะลูกเศรษฐีทั้งปวงนั้นท่านคงจะทราบโดยมากแล้ว ว่าเขาใช้เงินเปนอย่างไร เช่นมวนบุหรี่ซิกาเร็ตด้วยตั๋วแบงก์เปนต้น ข้าพเจ้าจะไม่พยายามเล่าเรื่องของคนพวกนี้แล้ว เพราะบางทีจะทำให้ท่านเห็นว่าข้าพเจ้ากล่าวเกินกับที่เปนจริงไป จะต้องขอยุติไว้ ส่วนตัวข้าพเจ้าเองนั้นอย่าคิดว่าข้าพเจ้าอวดอ้างหนา ที่ข้าพเจ้าเล่ามาดังนี้ ว่าที่จริงนั่นแหละที่อวดหน่อยหนึ่ง ที่ว่าเพื่อนฝูงล้วนแต่เปนลูกคนทั่งมีทั้งสิ้น แต่ถึงข้าพเจ้าคบเพื่อนฝูงชั้นสูง แลต้องประพฤติตัวฟุ่มเฟือยตามเขาดังนั้น ก็ไม่สู้จะกระไรนักหนา ด้วยข้าพเจ้าได้กะการเงินทองเสียแต่แรกว่าจะอยู่ต่อไปอิกเท่าใด ใช้เงินทองประมาณเท่าใด เสร็จแล้ว ข้าพเจ้าเห็นว่าอยู่น้อยเวลาพอจะประพฤติฟุ่มเฟือยตามเขาได้ จึงได้กล้าทำเห่อดังนั้น

เอ๊ะ ไม่ได้การเสียแล้วหละ นี่ข้าพเจ้าตั้งใจจะไปจับเล่าตรงเรื่องที่ข้าพเจ้าเข้าใจว่าสนุกทีเดียว ไม่เล่าถึงอ้ายเมื่อกระนั้น นี่ทำไมถึงไปตั้งท่าเล่าเข้าเล่า หรือเล่าเสียให้ตลอดว่าตั้งแต่ออกไปเปนอย่างไร แลได้เข้าร่ำเรียนในโรงเรียนไร ได้เปนคั่นๆ ขึ้นไปอย่างไร จะดีกระมัง อย่างไรขอรับ ? เล่าก็เห็นจะดี เผื่อบางท่านจะอยากทราบบ้าง แต่มาคิดอิกทีหนึ่งก็ไม่เล่าดีกว่า เสียเวลาแลเสียน่ากระดาษเปล่า ๆ ท่านหามาอยากฟังกับอีเรื่องเหลวไหลเช่นนี้ไม่ ท่านจะฟังเรื่องที่จ่าน่าไว้ไม่ดีกว่าหรือ เอาเถอะเปนตกลงไปจับเอาเรื่องทีเดียวไม่ยืดยาวเปนน้ำท่วมทุ่งไปหละ.

วันนั้น (วันใดเดือนใด ข้าพเจ้าจำไม่ได้) พวกเรา ๙ คน ๑๐ คนด้วยกัน ไปเที่ยวยิงนกกลับมาพักอยู่ที่บ้านมิสเตอร์ เน็ลซัน เศรษฐีใหญ่นอกเมือง ตั้งใจว่าจะค้างอยู่ที่นั่นสักคืนหนึ่ง เช้าขึ้นก็จะลาเจ้าของบ้านยกพหลพลโยธาไปเที่ยวทำลายล้างชีวิตนกแลสัตว์อื่น ๆ ต่อไป.

ที่บ้านมิสเตอร์เน็ลซันในเวลานั้นมีแขกอื่น ๆ มาอยู่หลายคน ผู้ใหญ่ก็มีเด็กก็มี ล้วนแต่มานอนค้างอ้างแรมอยู่ทั้งนั้น กับพวกเราที่ไปรู้จักกันอยู่แล้วก็มี พึ่งไปรู้จักกันก็มีเปนอันมาก ในพวกแขกนี้มีเมเยอโมลินซันคนหนึ่งเปนผู้ใหญ่ อายุเห็นจะประมาณ ๗๐ ปี หรือสูงกว่านั้น พวกเรารู้จักแล้วดีทีเดียวกับเมเยอคนนี้ แกเล่าเรื่องราวต่าง ๆ สนุกสนานมากมายนัก เรื่องไปทัพจับศึกอะไรต่ออะไรมีพร้อม เปนเรื่องจริงทั้งนั้นด้วย เรามาพบแกเข้าโดยโชคคราวนี้เปนที่ยินดีมาก ด้วยพวกเราไม่ได้พบปะกับแกมาหลายเดือนแล้ว ช่างเคราะห์ดีจริง ๆ !

เวลาเลี้ยงอาหารเย็นแล้วสักครู่หนึ่ง พวกเราก็พากันเข้าห้องสูบบุหรี่สนทนากันถึงเรื่องยิงนกยิงสัตว์ เรื่องแล่นใบ คริกเก๊ต ฟุตบอล แลเรื่องอื่น ๆ ต่าง ๆ สรรพเรื่องสนุกทั้งปวงที่จะค้นมาได้พูดไปพูดมา เลยเรื่อยไปถึงเรื่องผู้หญิงยิงเรืออะไรต่ออะไรพรรณนั้นเข้า.

นี่แหละเรื่องอะไร ๆ ของเมเยอโมลินซัน เราก็เคยฟังแล้วทั้งนั้น แต่เรื่องจะมีเมียเรื่องรักผู้หญิงแลเรื่องอื่น ๆ ชนิดนี้เราไม่เคยฟังเล่าเลย ดูก็น่าปลาด คนอย่างเมเยอโมลินซันทำไมถึงไม่มีเมียได้ จะว่าข้างทรัพย์สมบัติก็บริบูรณ์ถมไป จะว่าข้างรูปร่างก็ไม่มีใครสู้ แต่ชั้นอายุล่วง ๗๐ เข้าไปแล้ว ยังโอ่โถงไม่มีเสียกริยาเลย พวกเราหนุ่ม ๆ สู้แกไม่ได้เสียอีก คงจะมีเรื่องอะไรสักอย่างหนึ่งเปนแน่ ที่ทำไม่ให้เมเยอโมลินซันมีเมียนี้ ความปลาดใจมากระทบพวกเราเข้าดังนี้ เพื่อนข้าพเจ้าคนหนึ่งจึงพูดขึ้นว่า:–

“เออ เรื่องนี้เรายังไม่เคยฟังท่านเมเยอโมลินซันเล่าอะไรถึงสักครั้งเดียว อย่างไรขอรับท่าน ผมนึกปลาดใจมานานแล้ว ว่าทำไมท่านถึงไม่มีภริยาจนแล้วจนรอด คงมีเรื่องอะไรสักอย่างหนึ่งกระมัง ที่ทำไม่ให้ท่านรู้สึกเดือดร้อนถึงเรื่องจะมีเมีย แต่เมื่อยังหนุ่มอยู่.”

“มีซีพ่อคุณ” เมเยอตอบ “มีใหญ่โตเหมือนกันแหละ.”

“แม้ ถ้าอย่างนั้นคงสนุกใหญ่ทีเดียว ท่านเล่าให้พวกเราฟังได้ไหมขอรับ หรือเรื่องนั้นจะเปนเรื่องอับอายของท่านกระมัง ท่านจึงยังไม่ได้เล่าให้พวกเราฟังเลย.”

“จริง พ่อคุณ จริง เรื่องนี้แต่ก่อนเปนเรื่องอับอายของฉันจริง แต่เดี๋ยวนี้มันหายไปหมดแล้ว ไม่มีอับอายอะไรเลย ได้ซี อยากฟังก็ได้ จะเล่าให้ฟัง เปนไรไปฟังแล้วก็ต้องหัวเราะกันเท่านั้นเอง ไม่มีอื่น.”

“เค้าเรื่องมันเปนอย่างไรกันน่ะ ขอรับ.”

“เค้าเรื่องนะหรือ เค้าเรื่องก็คือฉันรักกับผู้หญิงคนหนึ่ง แล้วไปวิวาทกับผู้ชายอิกคนหนึ่งด้วยเรื่องผู้หญิงคนนั้น จนถึงผู้ชายคนนั้นกับฉันสู้กันด้วยกลืนยาพิษ เรื่องนี้ภายหลังมาฉันก็เรียกของฉันเองว่า ‘เรื่องสู้กันด้วยกลืนยาพิษ’ เหมือนกัน”

“แม้สนุกใหญ่แน่หละ ผู้ชายคนนั้นเห็นจะมารักผู้หญิงร่วมคนกันเข้ากับท่านกระมัง ขอรับ.”

“เปล่า เขาไม่ได้รักด้วยดอก แต่ฉันคลั่งเกินเหตุไป จึงถึงกับเปนดังนั้นเข้า.”

“ท่านฆ่าผู้ชายนั้นตายกระมัง ขอรับ สู้กันด้วยกินยาพิษอย่างไร ผมก็ยังไม่เข้าใจตลอดดี.”

“ประเดี๋ยวซี จะเล่าให้ฟัง อ้ายฆ่านั้นไม่ได้ฆ่าดอก ฉันแพ้เขาแลทำตัวเองเปนคนโง่แลคนขี้ขลาดเสียเหลือกำลังทีเดียว จนที่สุดเสียผู้หญิงที่รัก โดยถ้าจะว่าก็ไม่มีอะไรแท้ ๆ.”

“ท่าน โปรดเล่าทีเดียวเถิด ขอรับ พวกผมกระหายเต็มทีแล้วหละ.”

เมื่อพวกเราขยั้นขะยอเข้าดังนี้แล้ว เมเยอโมลินซัน ก็เล่าเรื่องอันน่าพิศวง แลน่าหัวเราะ ดังต่อไปนี้ :–

เรื่องของฉันเรื่องนี้ เปนเรื่องแต่ฉันยังหนุ่ม อายุ ๒๑ ปีเศษ เปนนายร้อยตรีอยู่ในกองทหารกองหนึ่ง เวลานั้นบิดาฉัน (เยเนราล โมลินซัน) ยังอยู่ ตัวฉันถึงจะมีการทำสำหรับตัวแล้วก็จริง แต่จะกลับเรียกว่าไม่ได้ทำอะไรก็ได้ เพราะไม่มีธุระปะปัง หรือการงานอะไรที่ต้องหนักอกหนักใจเลย ชีวิตของฉันในเวลานั้นเบาอย่างเดียวกันกับชีวิตผีเสื้อ ซึ่งมีแต่เที่ยวบินร่อนสนุกสนานไปเท่านั้น ฉันเชื่อว่ามี เลดี ไม่ว่าชั้นต่ำชั้นสูง หรือชั้นไหน ๆ โดยมาก ที่ต้องการจะแลดูตาหรืออยากจะยิ้มย่องกับฉันอยู่ แต่ฉันก็ไม่ธุระกับใคร ทำเฉยเรื่อย ไม่เหลียวหาถึงเรื่องที่จะคิดแต่งงานหรือเรื่องที่รักใคร่กับเลดีคนไหนเลย.

เมื่อจะเกิดรู้สึกเดือดร้อนเรื่องนี้ขึ้นนั้นคือ เมื่ออายุฉันได้ ๒๑ ปีดังกล่าวมาแล้ว ที่ไหน ! พอถูก ตาเข้าเท่านั้นมันก็ฉุนเฉียวไปท่าเดียว จะรั้งด้วยเชือกหนังก็ไม่อยู่เสียแล้ว อ๋อ ใจคนหนุ่มนี่มันอย่างนี้เจียวหนอ ใครจะมาสั่งสอนว่ากล่าวถึงเรื่องว่าอย่าเพ่อมีเมียเลย ก็เห็นจะเหมือนที่เขาว่า ตักน้ำรดหัวตอเรานี่เอง ทำอย่างไรก็ไม่ไหวเสียแล้ว เลดีที่ฉันติดอกติดใจเสียเหลือกำลังนี้ชื่อ มิสมาเดลีนเดกิง เปนลูกสาวคนเดียวของมิสเตอร์ยอนเดกิง พ่อค้าใหญ่ผู้หนึ่ง อยู่ในประเทศโน้น มิสมาเดลีน คนนี้เปนหญิงสาวสวยที่สุดที่พวกเรารู้จักในเวลานั้น จะว่าข้างรูปก็งาม จะว่าข้างนามก็เพราะ จะว่าข้างทรัพย์สมบัติก็หาตัวเปรียบไม่ ได้มีชายหนุ่มตามรอยอยู่ไม่น้อย แต่เจ้าหล่อนก็เฉยทำเปนทองไม่รู้ร้อนเสีย ไปเที่ยวเต้นรำตามบอล์ต่าง ๆ ก็ไป ไปไหน ๆ ก็ไป แต่ก็ไม่เห็นใครเข้าใกล้แท้ ๆ ได้.

เมื่อจะรู้จักกัน มิสมาเดลีนกับฉันไปพบกันที่บอล์แห่งหนึ่ง มีคนแนะนำให้ แลเราได้เต้นรำกันหลายเพลง ดูเหมือนฉันไม่ได้เต้นกับคนอื่นในเวลานั้น เกาะอยู่กับเลดีคนใหม่ของฉัน จนเลิกบอล์ทีเดียว ตั้งแต่นั้นมาฉันก็รู้สึกชัดโดยไม่ต้องเปิดดิกชันนารีว่า คำที่ว่า “รัก” นั้นแปลว่ากระไร.

ภายหลังจากการเต้นรำนั้นมา ถ้าใครพบมิสมาเดลีนที่ไหนคงพบฉันด้วย พูดสั้น ๆ ก็คือเราต่างคนต่างรู้สึก แลแสดงความรักต่อกันเข้าคราวละน้อย ๆ จนภายหลังเจ้าหล่อนก็รับเอาแหวนมั่นของฉันไปใส่แตเอยู่ตามธรรมเนียม.

ฉันยังไม่ได้เล่าให้ท่านฟังถึงหมอมุลเล็นซ์ ตัวสำคัญคนหนึ่ง ที่เปนหมออยู่ในกองทหารกองเดียวกันกับที่ฉันอยู่ ตาหมอคนนี้เปนคนมีวิชาฉมังไม่มีใครรู้ ในกระบวนตลกคะนองล้อหลอกต่าง ๆ แกเล่าเรื่องขัน ๆ ที่เราหัวเราะท้องจะแข็งตายได้โดยไม่มียิ้มย่องอะไรเลย ทำสีหน้าเฉยเปนปรกติเหมือนไม่ได้เล่าถึงอะไรเหมือนกัน ที่แกไพล่มาเปนหมอนี้ ผิดกับทางของแกไปไกลทีเดียว ถ้าแกเปนตลกลครแล้วสมตัวไม่มีอะไรสู้ ถึงคราวแกจะล้อเลียนพวกเราคนหนึ่งคนใดขึ้นมาแล้ว คนที่ถูกล้อนั้นก็ต้องนิ่งยอมแพ้แก หรือเลยหัวเราะเฮฮาไปด้วยเท่านั้นเอง เพราะถ้าขืนไปต่อสู้แก ๆ จะเล่นเอาใหญ่ สู้แกไม่ได้ เมื่อมิสมาเดลีนกับฉันมั่นจะแต่งงานคราวนี้ ฉันรู้ได้ดีทีเดียวว่า ตาหมอตลกเจ้ากรรมคนนี้แกคงล้อฉันแย่เปนแน่ ต้องเตรียมตัวตั้งสติให้ดี อย่าให้แกโกรธขึ้นมาได้ ประเดี๋ยวจะใหญ่โตไป.

ช๊ะ ช่างได้อย่างหมายทีเดียว ! วันนั้นพวกนายทหารกองเดียวกัน นั่งโต๊ะกินเข้าอยู่พร้อม ประเดี๋ยวตาหมอทำหัวเราะขึ้นเฉยๆ ไม่พูดว่ากระ ไร ใครถามว่าหัวเราะทำไมก็ไม่บอก ฉันรู้ตัวทันทีว่าเอาแล้ว ตานี่ลงมือล้อเราแล้ว ออกรู้สึกไม่สบายใจเต็มที่ทีเดียว.

“พุโท่ พุโท่” ตาหมอบ่นขึ้นลอย ๆ ทำหน้าเฉย “แต่งงาน แต่งงาน อ้อ มิสมาเดลีน เดกิง แต่งงานละซีคราวนี้ ช๊ะ ผัวหนุ่มเมียสาวสมกันเจียวหนอ” พูดพลางตาหมอแกทำท่าชอบกล จนพวกที่นั่งอยู่ด้วยกันฮาขึ้นพร้อมกัน ฉันรู้สึกเดือดร้อนเต็มทีแล้ว ไม่รู้จะทำอย่างไร ด้วยเคยกลัวฝีปากตาหมอคนนี้อยู่ ฉันก็พลอยหัวเราะเฮฮาไปด้วย.

สักครู่หนึ่งตาหมอขยายขึ้นอีก ว่า “อ้อ มาเดลีน มาเดลีน ปานนี้อายุเห็นจะได้ ๒๐ ปีดอกกระมัง เมื่อยังเล็ก ๆ กระบวนซนเปนนำเบอร์วันทีเดียว ว่าข้างขาปีนต้นไม้แหละเปนหนึ่งไม่มีใครสู้ได้” พวกที่อยู่ด้วยก็ฮาซ้ำขึ้น.

ฉันออกพื้นเสียหน่อย ๆ แล้ว ด้วยเจ้าพวกสุราเมรัย เข้าไปเปนทัพหนุนอยู่ข้างในมากเข้า แต่ถึงอย่างนั้นก็ยังใจดี ไม่ถึงกับฉุนเฉียวขึ้นมา ตอบตาหมอแต่ว่า “เอ๊ะ หมอเล่นอย่างนี้ไม่ได้การน่า อะไรมาล้อกันกลางโต๊ะ ไม่ใช่เวลาเลยนี่.”

ตาหมอตอบว่า “ล้ออะไร พ่อคุณเอ๋ย พูดจริง ๆ ก็ว่าล้อด้วย ไม่ชอบฟังพูดตามจริงหรืออย่างไรเล่า พ่อคุณ หรือจะให้ว่าแม่สาวคนนี้ เมื่อเด็ก ๆ ไม่ซุกซน ปีนต้นไม้ไม่เปนก็ว่ามาซี.”

ฮาใหญ่อีก ! ฉันออกเคืองหนักเข้า !

“นี่แนะหมอ เล่นอย่างนี้ไม่ได้การดอก จะล้อก็ล้อกันแต่ตัวซีน่า ไปเอาเลดีที่เขาไม่ได้อยู่ที่นี่มาล้อด้วยธุระอะไร ถ้าเขารู้ไปเขาก็จะว่าฉันได้ หมอเห็นว่าเขาไม่รู้จักหมอ ๆ ถึงได้กล้าเล่นดังนี้ ดูไม่งามเลยนี่.”

“ไม่รู้จัก ? เออ ไม่รู้จัก ! ไม่รู้จัก !! นี่แน่ะโมลินซัน เพื่อนเอ๋ย จะบอกให้ มาเดลีน เดกิงคนนี้ กันรู้จักมาแต่เด็ก ๆ ทีเดียว จะเล่าให้ฟัง เมื่อยังเล็ก ๆ หน้าตาจิ้มลิ้มดีนัก ปากกับแก้มแลงามไม่มีใครสู้ กันได้จูบหลายครั้ง.”

ฮาครืน ๆ ๆ ! หัวฉันพล่านราวกับจะทลึ่งขึ้น.

“เอ๊ะ หมอ ฉันจะไม่อดนิ่งฟังการละเล่นอันหยาบคายของหมอไปได้แล้ว ถ้าหมออยากจะเล่นตลกตามภาษาของหมอก็หาอื่นเล่นเถิด อย่ามาเที่ยวเอาเขามาเล่นอย่างนี้ไม่ได้ดอก.”

“เล่นตลกหรือ ? อะไรว่าตลก พูดจริง ๆ กลับว่าเล่นตลก ปากกับแก้มของเจ้าสาวงามจริง ๆ ทำไมเจ้าบ่าวถึงไม่รู้ น่าปลาดใจจริง ๆ เออ หรือปานนี้จะไม่งามเสียแล้วกระมังหนา เคราะห์ของเจ้าบ่าวจะไม่ได้จูบของงาม น่าสงสาร ! น่าสงสาร !!”

พวกที่อยู่นั่นก็ฮาใหญ่กันขึ้นอิก ตาหมอทำหน้าเฉยเหมือนไม่ได้พูดอะไร หรือไม่ได้ยินอะไรเหมือนกัน ฉันเองนั่งหน้าแดงก่ำเนื้อตัวสั่น คิดว่ากินเนื้อหมอมุลเล็นซ์ได้จะกินเสียเดี๋ยวนี้ “นี่เราจะเปนลูกผู้ชาย” ฉันถามตัวฉันเอง “ที่จะให้เขาเอาลงเหยียบล้อเล่า แลดูถูกหญิงที่รักของเราดังนี้ ?” มันสมองของฉันกับสุราที่เข้าไปเปนทัพหนุนอยู่ ลงชื่อพร้อมกันตอบว่า “ไม่ได้เปนอันขาด.”

“นี่แน่ หมอมุลเล็นซ์” ฉันยืนตบโต๊ะจ้องหน้าพูด.

“ฉันต้องขอให้ท่านคืนคำหยาบคาย ที่ท่านกล่าวเมื่อตะกี้เสียเดี๋ยวนี้.”

หมอมุลเล็นซ์กลับว่า “อะไร เขาชมคู่มั่นว่าปากกับแก้มงาม ก็ไม่ชอบด้วยหรือ ฮา ๆ ๆ !”

ฉันยิ่งโกรธหนักขึ้น ดูเหมือนลืมทีเดียวว่า หมอมุลเล็นซ์นี้คือใคร แลเคยยอมแพ้แกมาอย่างไร.

“แน่ะ แฮ๊ะ” ฉันพูดต่อไป “ต้องนิ่งเท่านั้นทีนะ กันจะไม่ยอมให้แกพูดอิก แกต้องให้คืนคำเสียเดี๋ยวนี้ด้วย”

“อ๊ะ โมลินซัน อย่าทำบ้าไปน่า” เมเยอวินเนอร์ซึ่งเปนผู้ใหญ่อยู่ที่โต๊ะนั้นร้องมาจากหัวโต๊ะ “อะไรเล่นกันเล็ก ๆ น้อย ๆ เท่านี้ก็ต้องทำงุ่นง่านไปด้วย ไม่เคยเล่นกันก็ตามที.”

ฉันตอบว่า “ฉันเชื่อว่านี่เปนส่วนธุระของฉันคนเดียว ไม่ใช่ของใครในที่นี้ด้วย หมอมุลเล็นซ์ แกต้องคืนคำแลขอโทษที่แกกล่าวคำหยาบเมื่อตะกี้เดี๋ยวนี้.”

พวกนายทหารหนุ่ม ๆ ด้วยกันต่างคนก็ต่างหัวเราะเยาะ แล้วยุว่า “ถูกหละ โมลินซัน ถูกหละ เอาให้ขอโทษให้ได้” ที่เขาหัวเราะแลแกล้งยุนั้น ฉันไม่รู้สึกเลย กลับเห็นเปนเขาเข้าด้วยไป.

“นั่งลงเถอะ เพื่อนเอ๋ย” หมอมุลเล็นซ์พูดกับฉัน ดูทำหน้าซีดชอบกล ประหนึ่งจะยอมแพ้แล้ว “เอาเถอะ จะยอมคืนคำให้เลิกกันเสียที อ้ายเรามันคู่ทุกข์คู่ยากอยู่กองเดียวกัน จะมาโกรธขึ้งอะไรกันเดี๋ยวนี้.”

ฉันนั่งลง ตาหมอตลกก็ยืนขึ้น “ท่านทั้งหลาย ข้าพเจ้ามีความเสียใจที่จะกล่าวว่า ปากแลแก้มของมิสมาเดลีนเดกิงนั้นไม่งามเลยสักนิดเดียว แต่ต้องขอโทษมิสเตอร์โมลินซันที่ข้าพเจ้าได้กล่าวว่างามด้วย.”

คราวนี้ฮา ๆ ๆ ๆ กันใหญ่ เสียงออกก้องไปทั้งที่ ฉันน่ะหัวปั่นไม่รู้จะไปทางไหน เห็นเขาฮาหนักเข้า ฉันก็รินสุราออกถ้วยหนึ่ง พอหมอมุลเล็นซ์พูดขึ้นอิกว่า “อ้อ ลืมไป ปีนต้นไม้ไม่เปน ไม่ได้ว่าด้วย” ฉันก็เอาสุราในถ้วยสาดหน้าแกเข้า แล้วพูดว่า “นี่แน่ะ ถ้าแกเปนคนไม่ขี้ขลาด แกก็จงมาหาทางเอาความพอใจของแกกับกัน ในการที่กันทำกับแกดังนั้นเถิด.”

พวกเมเยอ กัปตัน นายทหารผู้ใหญ่ มีวินเนอร์เปนต้น ก็ว่ากล่าวห้ามปรามไม่ให้เกิดมวยกันขึ้นในเวลานั้น ฉันก็เดินออกจากห้องกินเข้า แล้วเหลี่ยวหน้าไปบอกหมอมุลเล็นซ์ว่า “นี่แน่ะ หมอมุลเล็นซ์ แกจะให้ใครจัดการแทนก็ว่ามาเถิด มิสเตอร์กอลีที่นั่งอยู่นั้นเขาจะจัดการแทนกัน” ว่าเท่านั้นแล้วก็ออกจากห้องไป.

ที่ฉันว่ากับหมอถึงผู้จัดการแทนนั้น ท่านเข้าใจหรือไม่ ธรรมเนียมวิวาทกันอย่างนี้ ผู้วิวาททั้งสองฝ่ายจะไปพูดจาตกลงกันเอง ถึงเรื่องที่ว่าจะทำอะไรไม่ได้ เพราะต่างคนก็ต่างโทโษเข้าหากัน จะไปพูดอะไรหรือทำอะไรให้เรียบร้อยได้นั้นเปนเหลือวิสัยที่จะเปนไปได้ ถ้าต่างคนต่างมีผู้จัดการเปนทูตต่อทูตไปเจรจากันดังนั้น ถ้าจะควรสถานใดก็จัดแจงเสร็จ เราเปรียบเหมือนตัวหนัง เขาไปจัดแจงอย่างไร จะเชิดไปทางไหน เราก็ไปทางนั้น มิสเตอร์กอลีที่ออกชื่อเมื่อตะกี้นั้นเปนเพื่อนสนิทของฉัน แต่เปนพวกที่ยุฉันให้วิวาทกับหมอมุลเล็นซ์ดังเล่ามาด้วยเหมือนกัน.

ฉันออกจากห้องกินเข้าแล้วก็ไปห้องที่พักของฉันเอง คอยกอลีอยู่สักครึ่งชั่วโมงก็ยังไม่เห็นมา ฉันก็ส่งจดหมายถึงหมอมุลเล็นซ์ ดังนี้:–

“ถ้าหมอมุลเล็นซ์ไม่รู้สึกเปนผู้ดีขึ้น แลมาษมาโทษเราในการที่หมอมุลเล็นซ์ได้กล่าวคำล้อเลียน อันเปนคำหยาบอย่างสถุลกับเราแล้ว เราขอบอกหมอมุลเล็นซ์ให้ทราบว่า เราจะตีหมอมุลเล็นซ์ด้วยแซ่ม้าในคราวแรกที่เราจะพบตัวหมอมุลเล็นซ์ได้.”

ฉันส่งจดหมายไปแล้ว ก็คอยอยู่จนสองยามเศษ กอลีจึงมาแล้วบอกกับฉันว่า “จัดแจงเสร็จแล้วหละ วินเนอร์เปนคนจัดการข้างโน้น เอ้ เต็มที อ้ายกันยากจะหลีกออกเสีย เล่นกันอย่างนี้ไม่สนุก” พูดพลางกอลีทำหน้าตาคอตกเหมือนจะร้องไห้

ฉันถามว่า “ก็ว่ากระไรกันล่ะ”

กอลีตอบ “กันกลัวจะสู้เขาไม่ได้นะเพื่อนเอ๋ย เขามันรู้ดีกว่าเรา เขามีทางดีกว่า.”

ฉัน “เขารู้อะไรดีกว่า ? เราสู้เขาไม่ได้?”

กอลี “สู้หมอมุลเล็นซ์นะซี เราเปนคนเอาเหล้าสาดหน้าเขา แลเขียนหนังสือไปพูดหยาบ ๆ กับเขา ๆ ก็เปนคนเจ็บแสบมากกว่าเรา เข้าใจไหมล่ะ ?”

ฉัน “เออน่า ก็อย่างไรต่อไปล่ะ”

กอลี “เขาก็เปนคนจะได้เลือกอาวุธน่ะซี.”

ฉัน (เลือดวิ่งตลอดสมอง ใจเต้นหน้าซีดลงทันที) “เอ๊ะ จะสู้กันตัวต่อตัวหรือนี่ ?”

กอลี “ก็ต้องอย่างนั้นน่ะซีเพื่อน ถ้าไม่อย่างนั้นก็มีอิกอย่างหนึ่ง คือเราต้องไปขอษมาเขา กันว่าษมาเขาแหละดีกว่าจริงๆ นะ ถ้าลงขันสู้กันตัวต่อตัวดังนั้น ไม่ใครก็ใครคงต้องตายคนหนึ่งไม่ต้องสงสัยเลย คนอยู่ด้วยกันเปนเพื่อนกัดก้อนเกลือในเวลายากด้วยกัน จะมาฆ่ามาแกงกันเองธุระอะไร ถึงแพ้ชนะก็แพ้ใครชนะใคร แพ้กันเองชนะกันเองทั้งสิ้น ยอมเขาเสียเถิด เพื่อน.”

ฉันนั่งนิ่งตรองใจเต้นไม่พูดว่ากระไร.

กอลีพูดต่อไปว่า “กะผู้หญิงคนหนึ่ง–”

กอลีพูดยังไม่ทันขาดคำ ฉันได้ยินออกชื่อว่า “ผู้หญิง” นึกถึงมิสเดกิงกลับฉุนโกรธขึ้นมา ตอบกอลีว่า “ไม่ได้ ไม่ได้ ยอมไม่ได้เปนอันขาด เล่นกันแต่ตัว ๆ ก็ตามที นี่ไปเที่ยวเอาเขามาเล่นด้วยเหลือเกินนัก ถ้าเขาไม่รู้ไปก็ดีอยู่ ถ้าเขารู้ไปเราจะเอาหน้าไปไว้ที่ไหน เขาจะต่อว่าๆ ทำไม ให้คนไม่รู้จักมักจี่ดูถูกเขา ทำไมเราไม่ป้องกัน เขาจะว่าการที่เขาถูกดูถูกทั้งนี้ ก็เพราะเขามั่นจะแต่งงานกับเรา ผู้ไม่มีอะไรพอที่จะรักษาชื่อเสียงเขาได้ดังนี้ เราจะเอาอะไรที่ไหนมาพูดเล่า ยอมไม่ได้เปนอันขาด ถึงที่สุดเพียงไรก็ตาม ถ้าบุญช่วยคงได้แก้แค้น ไม่ช่วยก็กรรมของเรา จะทำอย่างไรได้.”

กอลี “ไม่ยอมก็ตามใจเพื่อน กันไม่มีอำนาจอันชอบธรรมอะไรที่จะมาขัดขวางหัวใจได้ วินเนอร์กับกันได้จัดเรื่องจะสู้กันเสร็จแล้วเหมือนกัน ตกลงสู้ก็พรุ่งนี้เช้ามืดทีเดียว.”

ฉัน “อ้ายหมอนั่นมันเลือกอาวุธอะไรล่ะ”

กอลี “อาวุธของเขาน่ะ มันปลาดหละซี กันเกิดมายังไม่เคยได้ยินว่าใครสู้กันตัวต่อตัวด้วยอาวุธอย่างนี้เลย.”

ฉัน “ก็อะไรล่ะ ไม่ใช่ปืนโกดอกหรือ ?”

กอลี “ไม่ใช่ปืนดาบหมดแหละ ยาพิษ.”

ฉัน “ยาพิษ ทำอย่างไรล่ะ.”

กอลี “ตาหมอแกจะทำยาสองก้อน รูปพรรณสัณฐานสีสันไม่ผิดกันเลย แต่ว่าก้อนหนึ่งพอกินล่วงลำคอเข้าไปก็ตาย อิกก้อนหนึ่งกินไม่เปนอะไร–”

ฉัน “แล้วกลืนกันคนละก่อน ?”

กอลี “อย่างนั้นซี.”

ตายจริง! มันช่างน่ากลัว ๆ นี้จะทำอย่างไรดี เรามันชั่วเอง ไม่ใช่คนอื่นคนไกลเลย ตัวของเราเองแท้ ๆ ไปเอาเหล้าสาดหน้าเขาแล้วยังไปพูดหยาบคายกับเขาอิกเล่า! ฉันออกกลัวขนลุกซ่าไปทั้งตัว นึกว่านี่เราต้องจบเขาเปนแน่แล้ว จะกลับขอโทษก็ไม่ได้ ช่างมัน ตามบุญตามกรรม เผื่อเราจะเคราะห์ดีผีคุ้มไปถูกยาก้อนดีเข้า ตาหมอต้องเคราะห์ร้ายตายขุมบ้างกระมัง ถ้าเราไม่ถูกก้อนดีก็ต้องไปเกิดเอาใหม่ จะทำอย่างไรได้ มันได้เกินมาเสียมากจนกลับตัวไม่ได้แล้ว (ถอนใจใหญ่) เลยตามเลย ไม่เขาก็เรา พรุ่งนี้เช้าก็คงรู้ได้ฉันนั่งนิ่งคิดอะไรๆ พรรณนี้ไม่พูดกับกอลีต่อไปว่ากระไร จนเขาพูดว่า :–

“มีอะไรจะทำก็เสีย ถ้าไม่มีก็นอนเสียเถิด เพื่อน พรุ่งนี้เช้ามืดจะมาปลุกลุกขึ้น” ว่าเท่านั้นแล้วกอลีก็ออกจากห้องไป.

ครั้นกอลีไปแล้ว ฉันก็เขียนจดหมายถึงมิสเดกิงฉบับหนึ่ง สั่งคนใช้ไว้ว่า ถ้าฉันไม่ตายก็แล้วไป ถ้าฉันตายแล้วให้คนใช้ส่งจดหมายนั้นไปให้จงได้ อย่าลืมหรือให้ใครดูเปนอันขาด จดหมายฉันเขียนดังนี้

“ถึงมาเดลีนยอดที่รัก

ด้วยกรรมมาถึงเข้าแล้ว ฉันจึงต้องลาละโลกนี้แลละตัวหล่อนไป ด้วยเหตุที่ต้องจำเปนต่อสู้กับ ศัตรูของชื่อเสียง แลเกียรติยศของตัวหล่อนเองจริงแท้ ฉันเข้าใจว่า ถ้ามีชายผู้หนึ่งผู้ใดมาว่ากล่าวดูถูกปรามาสหลอนให้ฉันได้ยินแล้ว ต้องเปนน่าที่ของฉันแท้ที่จะต้องทำโทษเขาเต็มมือที่ฉันจะทำได้ให้สมโทษของเขา แลเพื่อให้เขาเข็ดหลาบ ไม่คะนองวาจาหรือตั้งใจจะสบประมาทหล่อนอีกได้ เหตุนี้เองทำให้ฉันต้องต่อสู้กับชายผู้หนึ่งที่ได้กล่าวคำชั่วเช่นนั้น แลที่ได้ถูกฉันทำโทษแล้ว ฉันจะไม่เล่าให้หล่อนฟังแล้วว่าเขาได้ว่ากระไรบ้าง เพราะจะทำให้หล่อนเสียใจขึ้นอิก กับที่ตัวฉันต้องตายนี้ ถ้าฉันไม่สู้กับคน ๆ นี้เมื่อเขามาท้าฉัน ด้วยเหตุที่ฉันกลัวเขา แลด้วยเหตุที่ฉันไม่เต็มใจจะรักษาชื่อเสียง แลกำจัดความอายของหล่อนแล้ว ตัวหล่อนแลโลกจะติเตียนฉันภายหลังว่าขี้ขลาด ไม่ใช่ลูกผู้ชายแลอะไร ๆ ต่าง ๆ สักเพียงไร ฉันก็ไม่สามารถจะคะเนได้เปนแท้ ถึงหล่อนจะเสียใจในเวลาที่ทราบข่าวว่าฉันตายมากมายสักเท่าใดก็ดี เมื่อหล่อนได้ทราบเหตุวิวาทตลอดแล้ว หล่อนจะต้องเห็นว่าที่ฉันสู้สละชีวิตนั้นเปนการสมควรแล้ว.

ฉันต้องขอหยุดตรงนี้เท่านี้ อะไร ๆ หล่อนคงจะทราบหมดภายหลัง.

ฉันจะมาลาหล่อนด้วยตัวเองก็ไม่มีเวลา แลไม่ได้เสียแล้ว จึงต้องขอลาด้วยจดหมายฉบับนี้ทีเดียวเปนไม่มีอิกแล้ว.

แต่ที่รักผู้ต้องจากไปเสียแล้ว

(เซ็น) โรเบิต โมลินซัน”

พอเขียนจดหมายฉบับนี้เสร็จแล้ว ฉันก็ไปนอน แล้วลุกขึ้นเที่ยวเดินไปเดินมา แล้วไปนอนอิก แต่ผุดลุกผุดนั่งพล่านอยู่คนเดียวอย่างนี้ จนเวลาตี ๑๑ กอลีมาเคาะประตูร้องถามเข้ามาว่า “ตื่นหรือยังล่ะ เขามาคอยกันอยู่ในห้องกินเข้าพร้อมแล้ว เปิดประตูรับด้วยซี.”

ฉันก็เปิดประตูรับ กอลี เข้ามา ช๊ะ เวลานั้นมันช่างหนาวเสียจริง ๆ หนอ ฉันตัวสั่นขนลุกเกรียวไปทั้งนั้น เอ๊อย เต็มที อ้ายยานั่นมันจะอย่างไรก็ไม่รู้ ไปถูกเข้าแหละตายหละ คราวนี้ถ้ากอลีมาอธิบายชวนให้ไปอ้อนวอนสมัคษมาลาโทษเขาแล้ว เห็นจะต้องยอมเปนแน่ อะไร ๆ จนที่สุดแม่มาเดลีนก็ลืมหมดแล้ว มันไปนึกอยู่แต่ถึงยาสองก้อนนั้นเอง ไม่ต้องการจริง ๆ !

เอ๊ย กอลีว่า “ยังไม่ได้แต่งตัวอิกหรือนี่.”

ฉันตอบว่า “ประเดี๋ยวก็แล้วดอก–ดอก– ๆ น่า อะไรเล่น –ๆ – กันแต่ยังไม่สว่าง จะ–จะ–เอียว–เจียวหรือ.”

ฉันตั้งแต่เกิดมาจะเคยแต่งตัวช้าเหมือนวันนั้นเห็นจะไม่มีเลย ลูกกระดุมก็ใส่ไม่ถูกรัง ดูมือไม้มันสั่นไปหมด หากว่ากอลีช่วย ไม่อย่างนั้นเห็นจะแต่งตัวไม่แล้วอยู่นั่นเอง.

เสร็จแล้วกอลีก็พาฉันไปห้องกินเข้า เมเยอวินเนอร์ หมอมุลเล็นซ์กับนายทหารอีกหลายคน อยู่ด้วยกันแล้วในห้องนั้น พอเราเข้าไปถึงก็นั่งเก้าอี้ลงที่โต๊ะกินเข้า พวกนั้นนั่งล้อมรอบโต๊ะ หมอมุลเล็นซ์ ก้มศีร์ษะคำนับกับฉันแล้วนั่งลงตรงกัน.

เมเยอ วินเนอร์ หยิบหิบที่ใส่ยาสองก้อน รูปร่างสีสันไม่ผิดกันเลย มาวางลงบนโต๊ะตรงหน้าฉัน แล้วว่า :–

“นี่แน่ โมลินซัน ยาสองก้อนนี่แหละกินตายก้อนหนึ่ง กินไม่ตายก้อนหนึ่ง แกเลือกเอาไว้ก่อนก้อนหนึ่ง ก้อนที่เหลือเปนของหมอมุลเล็นซ์ เอ้า หยิบเอาไว้ซี.”

ฉันก็เอื้อมมือไปหยิบเอามาก้อนหนึ่ง เวลาเอื้อมนั้นจะทำอย่างไร ไม่ให้มือสั่งก็ไม่ได้ ดูมันช่างหนาวเสียแท้ ๆ เอ๊ะ ดูเหมือนถูกก้อนยาพิษเข้าแล้วกระมัง ดูมันกัดนิ้วมือซิบ ๆ อย่างไรอยู่ ไม่ได้การแน่แล้ว จะเปลี่ยนก็ไม่ทัน หมอมุลเล็นซ์ฉวยเอาอิกก้อนหนึ่งไปเสียแล้ว ฉันถือยามือสั่น ตัวสั่น จะตกเก้าอี้ลงไปเสียให้ได้ ดูมันรู้สึกวิงเวียนคลื่นเหียนไปพร้อม เห็นจะเปนด้วยพิษยามันแซกวิ่งเข้าไปตามนิ้วเปนแน่ ไม่ได้การหละซีเรา!

“เมเยอ วินเนอร์ ให้สัญญาว่า “เอ้ากลืน/ *276*/ซี” ฉันก็กลืนลงไป.

“กลืนแล้วหรือนั่น” เมเยอวินเนอร์กลับถาม “สบถได้หรือว่ากลืนแล้ว ?”

“กลืนแล้ว ให้พับผ่าซิ เอ้า” ฉันร้องตอบเต็มเสียงทีเดียว.

เอาแล้ว ได้การแล้ว ยาอะไรเช่นนี้ มันเผาคอฉันเปนทางลงไปทีเดียว พวกที่อยู่ด้วยกันก็รินบรั่นดี ส่งให้หมอมุลเล็นซ์กับฉันคนละถ้วย พอดื่มบรั่นดีตามลงไปแล้ว หมอมุลเล็นซ์ก็ลุกขึ้นยืนหันหน้ามาพูดกับฉันว่า :–

“โมลินซัน เพื่อนเอ๋ย กันเสียใจจริง ๆ ที่ยาก้อนผสมยาพิษไปข้างแกเสียแล้ว กันรู้สึกว่ายาก้อนที่กันกลืนเข้าไปนั้นไม่เปนยาพิษ ไม่มีอันตรายเลย กันอยากจะขอษมาโทษแกเสียแต่ยังมีเวลาอยู่ เรามาจับมือกันเถิด แกต้องให้อภัยกันในการอะไร ๆ ที่ล่วงแล้วมา” ว่าเท่านั้นแล้วหมอมุลเล็นซ์ก็ยื่นมือมา.

แต่ฉันจับมือไม่ได้เสียแล้ว ด้วยเจ้ายาพิษเขาลงไปอาละวาดใหญ่ เผาตั้งแต่คอลงไปอย่างเดียวกับกลืนไฟ หรือยิ่งกว่ากลืนไฟเสียอิก ในท้องมันปวดหรือมันเจ็บก็ไม่รู้ แต่มันเปนอะไรอย่างหนึ่งเหลือกำลังที่จะทนทีเดียว ยาพิษมันวิ่งตามเส้นเลือดไปทั่วตัวแล้ว มันขมองฉันเดือดลุกขึ้นอย่างไฟไหม้แล้ว เหลือกำลังแล้ว จะตายเดี๋ยวนี้แล้ว ฉันก็ตกลงจากเก้าอี้ ดินเสือกตัวไปเสือกตัวมา ร้องว่า “ช่วยด้วย ๆ ๆ ตายแล้ว ๆ ๆ !”

พวกที่อยู่ด้วยกันเวลานั้น ก็ลุกขึ้นจากเก้าอี้มายืนล้อมดูฉันนอนดิ้นจะชักใจตายอยู่รอบ แต่ฉันจำหน้าไม่ได้ว่าใครเลย.

ประเดี๋ยวมีเสียงใครพูดขึ้นว่า “เอ๊ะมุลเล็นซ์ นี่ผิดไปกระมัง ดูมันอย่างไรอยู่นี่.”

หมอมุลเล็นซ์ตอบว่า “ไม่ผิดดอกหนา อย่ากลัวไปเลยก็เปนอย่างที่บอกอย่างไรล่ะ.”

ว่าเท่านั้นแล้วหมอมุลเล็นซ์ก็คุกเข่าลงข้าง ๆ ตัวฉัน ถามว่า “เพื่อนยากเอ๋ย มันจะฆ่าเสียทันทีจริง ๆ ทีเดียวหรือ.”

“จะตายเดี๋ยวนี้” ฉันร้องตอบ ฟาดตัวไปมา “ตายเดี๋ยวนี้ โอย ตาย ตาย ๆ ๆ”

หมอมุลเล็นซ์จับตัวฉันให้นอนนิ่ง แล้วตรวจชีพจรดูสักครู่หนึ่งก็ลุกขึ้น ไปเที่ยวกระซิบอะไรกับพวกที่อยู่ด้วยกันเปนหลายคน แล้วดูเหมือนพวกนั้นกระซิบต่อไป.

ประเดี๋ยวเสียงหัวเราะกันกิ๊กกั๊กไปทั้งห้อง.

ถึงฉันจะตายอยู่ในเวลานั้นแล้วก็ดี เมื่อฉันได้ยินเสียงหัวเราะซึ่งฉันรู้แน่ว่าเยาะฉัน โดยเหตุที่ฉันถูกยาพิษนั้น ฉันก็ยังอดไม่ได้ที่จะโงศีร์ษะขึ้นดูพวกใจยักษ์ใจมาร ที่หัวเราะเยาะเพื่อนกันเมื่อกำลังจะตายดังนั้นได้

เมื่อฉันยกศีร์ษะขึ้นนั้น พวกอสูรทั้งหลายก็ยิ่งหัวเราะหนักเข้า เสียงออก ฮา ฮา ฮา ๆ ๆ ๆ ไปทั้งห้อง.

สักครู่หนึ่งพ่อกอลีตัวดี ตรงเข้ามาฉุดมือฉันแล้วบอกว่า “ลุกขึ้นทีเถิดน่า กะยาพิษขนมปัง เขาหลอกให้ก็จะตายเอาจริง ๆ เทียวหรือ ก็อ้ายยาสองก้อนนั้นเขาทำด้วยขนมปังเปล่า ๆ เรานี่เองนี่นา ทำไมถึงเปนอย่างนั้นไปได้.”

“ถึงขนมบังเองก็เกือบได้การไป” หมอมุลเล็นซ์ว่า “จะฆ่าตัวเองเสียแล้ว พ่อคุณเอ๋ย.”

พวกนั้นก็ฮากันใหญ่เสียงออกสนั่นไป.

ตรงนี้แหละ ถ้าตานั้นเปนปืนโกทั้งสองข้าง ฉันคงยิงคนที่ยืนหัวเราะ ฮา ๆ อยู่เหล่านั้นตายหมดเปนแน่ นี่ไม่รู้จะทำอย่างไรแท้ ๆ ฉันรู้สึกตัวก็ลุกขึ้นเดิรหนีพวกนั้นออกจากห้องไป หายทันที.

ในเช้าวันนั้นฉันกลับบ้าน ตอนบ่ายก็ขึ้นรถไปหามิสเดกิง แต่หาพบไม่ ครั้นรุ่งขึ้นอีกสองวันฉันไปอีก คราวนี้พบ แต่เขาไม่แลดูหน้าฉันทีเดียว ช่างไปรู้เรื่องมาแต่ไหนรวดเร็วแท้ ๆ.

ตั้งแต่นั้นมา ฉันมีสติตริตรองดีเข้า มิได้คิดถึงเรื่องจะมีเมียอิกเลย เมื่อเพื่อนฝูงเขาตักเตือนเมื่อเห็นฉันเศร้าโศกนักว่า “เขาไม่ชอบเราก็แล้วไป ผู้หญิงอื่นมีถมไป มิใช่โลกจะหมดคนงามเมื่อไร” ฉันยังได้ตอบว่า “เพื่อนเอ๋ย กันรู้ดอกว่าโลกยังมีผู้หญิงอยู่อิกมากมายนัก แต่นั่นแหละทำให้กันไม่สบายใจ เพราะยังมีคนงามอิกมาก จะไปรู้ได้หรือว่าคนไหนเขาจะมาถูกใจเรา ทำให้เราเปนบ้าไปดังนี้อิก กันไม่สบายใจที่ไม่ไว้ใจตัวว่า จะไม่เปนบ้าเรื่องผู้หญิงอิกดอก มิใช่จะไม่สบายใจด้วยเขาไม่รักกันเมื่อไร”

นี่แหละ ตั้งแต่นั้นมาก็ไม่มีผู้หญิงบนพื้นดินหรือนางฟ้าในสวรรค์ที่ไหน มามีอำนาจชักเหนี่ยวความลุ่มหลงของฉันไปอีก ฉันก็เปนคนเคราะห์ดี อยู่สบายไม่มีกวนใจเรื่องนี้ต่อมา.

เมื่อเมเยอโมลินซันเล่าเรื่องปลาดจบแล้วดังนี้ พวกเราก็ถามว่า “ก็เมื่อยานั่นก็ขนมปังเปล่า ๆ ดี ๆ ดังนั้น อะไรเล่าขอรับ ที่ทำให้ท่านเจ็บปวดโวยวายไปถึงกับจะตายเอาจริง ๆ ?”

เมเยอตอบว่า “ไม่อะไรดอก พ่อคุณ นอกจากความเชื่อมั่นของฉัน ใคร ๆ ก็ลองดูเถิด เปนได้ทั้งนั้น คนอยู่ดี ๆ สองให้หมอที่มีชื่อเสียงดีโด่งดัง มาตรวจดูแล้วบอกว่าเจ็บเปนโรคลึกอย่างนั้น ๆ มากเสียแล้วรักษาไม่ได้ เท่านี้ ถ้าไม่เจ็บจริง สัญญาเอาอะไรกันก็เอา บางทีเล่นเอาพักใหญ่ทีเดียว นี่ฉันก็เหมือนกัน เพราะเชื่อแน่ว่ายาพิษเท่านั้นจึงเปนไปได้ถึงดังนั้น.”

พวกเราถามว่า “ถ้าอย่างนั้น ถ้าเขาไม่มีวิธีแก้ท่านทัน ท่านมิตายจริง ๆ หรือ ขอรับ ?”

เมเยอร์ตอบว่า “จริง ๆ น่ะซี หมอมุลเล็นซ์แกก็ว่าดังนั้นเหมือนกัน.

เรื่องที่ข้าพเจ้าเล่ามานี้ เนื้อเรื่องเปนของจริงแท้ ข้าพเจ้าประดิษฐ์ประดอยแต่พลความ กับชื่อต่าง ๆ เท่านั้น ชื่อคนที่เรียกมาในนี้หาใช่ชื่อแท้ของคนพวกนั้นไม่ ข้าพเจ้าเปลี่ยนแปลงเสียใหม่ เพราะเข้าใจว่า ถ้าเราจะเอาชื่อจริง ๆ ของเขามา เรื่องนี้จะสนุกขึ้นไปอีกก็หามิได้.

ในที่สุดนี้ ข้าพเจ้าขอโอกาศแสดงความยินดี แลขอบใจท่านทั้งหลายผู้ได้อ่านเรื่องนี้มาจนตลอดด้วย.

 

แชร์ชวนกันอ่าน

แจ้งคำสะกดผิดและข้อผิดพลาด หรือคำแนะนำต่างๆ ได้ ที่นี่ค่ะ