เรื่องคนเดียวรอดตาย

เมื่อข้าพเจ้าได้พยายามจะ “จับผู้หญิงสองมือ” แลหลุดไปทั้งสองทาง ดังที่ได้กล่าวมาเปนอันเข้าคำภาษิตที่ว่า จับปลาสองมือดังนั้นแล้ว ข้าพเจ้าก็สิ้นความคิดในเรื่องผู้หญิงไปคราวหนึ่ง ไหนจะเสียหญิงที่ได้รักอย่างที่ฝรั่งเรียก “หัวเนื้อหู” ดังที่ได้กล่าวมาแล้ว ไหนจะเสียเงินค่าปรับเปนกายเปนกอง ไหนจะเสียชื่อ ไหนจะเสียความเชื่อของผู้อื่นในตัวข้าพเจ้า ดูเสียไปทุกอย่าง หาอะไรเหลือไม่มีเลย เว้นไว้แต่ความไม่ได้เรื่องทั้งหลายเท่านั้น ข้าพเจ้านึกโกรธตัวเองว่ารู้เท่าไม่ถึงการ โกรธเมเบ็ลคือแม่เจ้าประคุณคนที่หนึ่งว่า ไปฟ้องข้าพเจ้าเรื่องเสียสัญญา โกรธแคโรลีน คือแม่เจ้าประคุณคนที่สองว่าไม่รักข้าพเจ้าต่อไปอิก โกรธลุงเขยกับป้าว่ามาเลยขัดขวางในการที่จะยกแคโรลีนให้ข้าพเจ้าด้วยเช่นนี้ โกรธท่านบิดาว่าโกรธข้าพเจ้า โกรธมารดาว่าไม่พากเพียรที่จะทำให้ท่านบิดาหายโกรธข้าพเจ้า แลโกรธโลกทั่วไปว่าไม่มีความกรุณากับข้าพเจ้า ทำให้ข้าพเจ้าได้รับความคับอกแค้นใจถึงสาหัส ด้วยเหตุที่ข้าพเจ้าเขลาไปนิดเดียวเท่านี้.

เงินที่ศาลตัดสินให้ข้าพเจ้าเสียให้กับเมเบ็ล ในการที่ข้าพเจ้าเสียสัญญานั้น ไม่ต้องกล่าวท่านผู้อ่านก็คงทราบได้ว่าข้าพเจ้าไม่มีจะเสียเอง ท่านบิดาต้องออกให้ แต่เมื่อท่านต้องเสียเงินออกมากมายก่ายกอง ในการที่ข้าพเจ้าไปทำเหลวใหลเช่นนั้นแล้ว ก็ไม่ทำให้ความโกรธของท่านน้อยลงไปเลย.

เมื่อข้าพเจ้าถูกออกป่นปี้ดังกล่าวมานั้นแล้ว ก็เปนอันจะสู้หน้าชาวตำบลที่พวกเราอยู่ในเวลานั้นไปอิกไม่ได้ อย่างน้อยก็ต้องไปอยู่ที่อื่นเสียคราวหนึ่ง จนเขาคอยลืมความเหลวใหลของข้าพเจ้าลงบ้าง หรือแคโรลีนมีผัวไปอยู่ที่อื่นเสียแล้ว ข้าพเจ้าจึงจะกลับไปอยู่บ้านได้.

ข้าพเจ้ามีอาอยู่คนหนึ่ง เปนน้องตัวของท่านบิดา มีภริยาตั้งบ้านอยู่ที่เมืองชื่อ อีซต์บอน เปนเมืองชายทเลฝ่ายใต้ของเกาะอังกฤษ ซึ่งเปนที่สนุกสบายมีผู้คนไปมามาก ข้าพเจ้าได้เคยไปบ่อย ๆ แล้ว ท่านอาของข้าพเจ้าคนนี้เปนหมอมีชื่อเสียงวิเศษทำการหากินอยู่ในเมืองนั้น แต่หามีบุตรไม่ เรียกข้าพเจ้าว่าบุตรเลี้ยงชอบพอมาก ต่อไปถ้าข้าพเจ้าไม่ทำชั่วช้าถึงเหตุเสียแล้ว คอยจะรับมรดกก็แทบได้

ข้าพเจ้าต้องการอย่างเอก ที่จะไปเที่ยวอยู่เสียที่กล่าวมาแล้ว จึงได้เขียนจดหมายไปถึงอาสะใภ้ว่า ข้าพเจ้าจะขอลงไปพักอยู่ด้วยสักคราวหนึ่ง รุ่งขึ้นก็ได้รับตอบว่าอากับอาสะไภ้มีความยินดีมาก ที่ข้าพเจ้าจะลงไปพักอยู่ด้วย จะไปเมื่อไรก็ตาม แต่ให้มีโทรเลขบอกไปก่อนว่าจะไปถึงวันใดเวลาใดจะได้จัดห้องไว้ให้

ข้าพเจ้าบอกท่านบิดาแลบันจุเสื้อผ้าของที่ต้องการลงหีบเสร็จแล้ว ก็ส่งโทรเลขไปถึงอาสะใภ้ ว่าจะลงไปถึงเวลาค่ำวันนั้น เมื่อกินอาหารกลางวันแล้วก็ขึ้นรถไฟไปสี่ห้าชั่วโมงถึงอีซต์บอนตามเวลากำหนด อาแลอาสะใภ้แสดงความยินดีมากที่ได้ข้าพเจ้าลงไปอยู่ด้วย เพราะไม่ได้พบกันมานานแล้ว เลยด่าว่าถึงการที่ข้าพเจ้าทำไม่ดีมาแลสั่งสอนตามสมควร แล้วก็เปนอันเสร็จธุระในเรื่องความชั่วของข้าพเจ้านั้น.

ในเมืองอีซต์บอนนี้ ข้าพเจ้าได้เคยไปอยู่มาหลายครั้งแล้ว แต่เมื่อยังเด็ก ๆ อยู่รู้จักแฟมิลี่ที่ตั้งบ้านอยู่หลายพวก แลในพวกแฟมิลีเหล่านี้ มีพวกที่ข้าพเจ้าเคยชอบมากอยู่พวกหนึ่ง ด้วยมีบุตรหญิงที่เคยถูกใจข้าพเจ้า ในเวลาที่ข้าพเจ้าไปอยู่อีซต์บอนคราวก่อน ๆ นั้น ไม่น้อยกว่าเมเบ็ลหรือแคโรลีนเลย เมื่อข้าพเจ้าลงไปอีซต์บอนคราวนี้ก็เปนธรรมดาที่ข้าพเจ้าจะต้องระลึกถึงหญิงคนนี้ก่อนคนอื่น ๆ หมด แลเมื่อข้าพเจ้าถามอาสะใภ้ว่าแฟมิลีนั้นยังอยู่หรือได้รับตอบว่าคืนวันนั้นเองแฟมิลีนั้นทั้งพวกจะมาดินเนอร์ที่บ้านอาข้าพเจ้า แลคงจะมาถึงในอิกครึ่งชั่วโมงนั้น ถึงเวลาอากับข้าพเจ้าจะไปผลัดเครื่องแต่งตัวแล้ว

นี่แหละ การที่อาสะใภ้ได้เชิญพวกแฟมิลีนั้นมาดินเนอร์วันนั้น ก็หาได้ทราบว่าข้าพเจ้าจะมาพักอยู่ด้วยไม่ แลข้าพเจ้าก็ไม่ได้ฝันเลยว่าจะได้พบกับหญิงคนนั้น ในวันแรกที่ไปพักอยู่กับอาเช่นนี้ เพราะฉนั้นจะว่าเทพดาอุ้มสมหรือเปนด้วยได้อบรมกันมาแต่บรรพปางก่อนก็คงจะไม่ผิดมากนัก ถึงอย่างไรก็ดี เมื่อข้าพเจ้าได้ทราบว่า จะมีหญิงสาวมาดินเนอร์ดังนั้น ก็ทำให้ข้าพเจ้าประจงผูกผ้าผูกคอมากกว่าธรรมดา ลากเสื้ออิวนิงเดร็สตัวใหม่ออกมาจากหีบ แลแปรงผมอยู่ไม่ต่ำกว่า ๕ นาฑี ช้ากว่าธรรมดาไปถึงประมาณ ๔ นาฑี.

แฟมิลีที่กล่าวมานี้ชื่อเค็นเน็ล บิดาเปนหมอความมารดาเปนพวกมีตระกูล บุตรสาวอายุประมาณ ๒๐ ปี ชื่อเบ็ลลาแปลว่านางงาม เปนคนรูปร่างสันทัด คิ้วเหมือนก่งศร คอเหมือนคอเนื้อ แขนเหมือนงวงช้าง ฯลฯ ฯลฯ ฯลฯ ตามความคิดข้าพเจ้าแล้วงามไม่มีที่ติ เมื่อพบใหม่คราวนี้ดูเหมือนงามกว่าแคโรลีนแลเมเบ็ลหลายส่วน เห็นจะเปนด้วยข้าพเจ้ากำลังพื้นเสียผู้หญิงทั้งสองคนที่ทำให้ข้าพเจ้าอกตั้งออกใหญ่โตนั้นเปนแน่.

พวกเราเจ้าของบ้านแต่งตัวเสร็จแล้ว ลงมาคอยอยู่ในห้องรับแขก ไม่สู้ช้านักพวกเคนเน็ลก็มาถึง คือบิดามารดาบุตรชายสองคน กับเบ็ลลาคือบุตรคนสุดท้อง.

บุตรชายคนใหญ่นั้น ชื่อยอนเปนนายทหารอยู่ในกองที่ตั้งอยู่ที่อีซต์บอนในเวลานั้น บุตรชายคนเล็กชื่อแฟรงก์เปนหมอความตามบิดา เวลานั้นไล่ได้เสร็จแล้วมาทำการกับบิดาอยู่ ยอนพี่ใหญ่กับข้าพเจ้าไม่ใคร่จะรู้จักกันมากเท่าไรนัก แต่แฟรงก์นั้นได้เคยอยู่มหาวิทยาลัยพร้อมกันมา พบกันบ่อย ๆ แลพอเข้าชุดกันได้ด้วย มาหมางกันเล็กน้อยครั้งหนึ่ง ด้วยเขาสงสัยว่าเหตุไรข้าพเจ้าจึงถามถึงเบ็ลลาน้องสาวเขาถี่นักเขาไม่พอใจที่จะยอมให้ข้าพเจ้าไปรักเบ็ลลา เพราะทราบเรื่องที่ข้าพเจ้าติดพันกับเมเบ็ลอยู่แล้ว แต่เรื่องที่หมางกันเล็กน้อยนี้ไม่ช้าก็หาย แลเมื่อไปพบกันใหม่ดังนั้นก็ยิ่งกลับชอบกันหนักเข้า.

ส่วนเบ็ลลาบุตรสาวนั้น ข้าพเจ้าไม่ได้เห็นมานาน ดูช่างสวยเสียแท้ ๆ เปนอย่างที่อังกฤษเรียกว่าสวยเหมือนความฝัน หรือจะชมโฉมอย่างในเรื่องประโลมโลกย์ว่า “งามทรงงามองค์อรชร งามดังอับษรในราษี งามคมงามขำงามที งามสิ้นไม่มีราคิน ฯลฯ ฯลฯ” ก็เกือบได้ ว่าที่แท้จะชมว่ากะไรให้มากกว่า “งามสิ้นไม่มีราคิน” ไปเห็นจะไม่ได้เปนแน่.

พวกเค็นเน็ลไม่ทราบว่าจะได้พบข้าพเจ้า แลแสดงความยินดียิ่งนักที่ข้าพเจ้ามาพักอยู่ใกล้ ๆ นั้น ใคร ๆ ก็ดีอยู่ แต่เบ็ลลานั้นดูชา ๆ ไป แต่ก่อนก็ชอบพอกับข้าพเจ้าดีอยู่ทำไมจึงมาปลาดไปดังนี้ ข้าพเจ้าได้ทราบทีหลังว่า เปนด้วยได้ทราบเรื่องของข้าพเจ้าเข้า เพราะแฟรงก์พี่ชายไปทราบมาแล้วอดเล่าไม่ได้ ถ้าข้าพเจ้าทราบแต่วันแรกพบนั้นว่าแฟรงก์ไปปากบอนดังนี้แล้ว ก็แทบจะอโหสิไม่วิสาสะกันอิกต่อไป.

ดินเนอร์วันนั้นไม่เปนของซู่ซ่าอะไร มีเพื่อนบ้านคนอื่นอิกคนสองคนเท่านั้น เหตุที่ทำให้ข้าพเจ้าจำดินเนอร์นั้นได้แน่นอน ก็เพราะคืนวันนั้น ข้าพเจ้ารู้สึกรักเบ็ลลาใหญ่โตเปนคราวแรก แต่ก่อนถึงจะชอบ ๆ กันก็เปนแต่ว่าชอบเท่านั้น.

ตั้งแต่วันนั้นมา ข้าพเจ้าก็หาโอกาศไปพบปะพูดจากับเบ็ลลาได้บ่อยๆ เพราะข้าพเจ้าชอบกับแฟรงก์พี่ชายดี แลที่จริงแฟรงก์ก็ช่วยข้าพเจ้าด้วย.

เมื่อแรกๆ เบ็ลลาทำชา ๆ กับข้าพเจ้าดังที่ได้กล่าวมาแล้ว แต่ธรรมเนียมหญิงกับชายที่นิสัยต้องกัน แลเคยชอบพอกันมาแต่เล็กน้อย ถึงจะมีเหตุทำให้ห่างชากันออกไปได้ก็จริง แต่เมื่อมาใกล้กันเข้าแล้วก็กลับไม่เกลียดกันได้ ที่เบ็ลลาทำห่างกับข้าพเจ้านั้น เปนด้วยเขาเปนคนฉลาด ทราบอยู่ว่าข้าพเจ้าได้ทำความชั่วมา ไม่ควรที่เขาจะวิสาสะด้วย แต่ถึงกระนั้นถ้าพูดจาสนิทชิดชมกันเข้าแล้ว เขาคงจะอดชอบข้าพเจ้าดังแต่เดิมไม่ได้ เพราะฉนั้น เขาจะตั้งตนลองทำท่าปึ่งไว้เสีย เผื่อถ้าข้าพเจ้าจะคร้าม (ด้วยรู้สึกเปนสัจอยู่ในใจ) ไม่กล้าเข้าใกล้เขาแล้ว เขาจะได้เปนอันไม่ต้องชอบพอกับข้าพเจ้าอย่างเดิม แต่ถ้าข้าพเจ้าไม่คร้ามความปึ่งของเขาแล้ว ก็คงจะต้องคอยดูทีหลังว่าจะทำท่าอย่างไรต่อไป ในใจคงนึกว่าจะไม่ชอบกับข้าพเจ้าไว้เสมอ ด้วยประเดี๋ยวรักขึ้นแล้วจะเสียที.

ถึงอย่างไรก็ดี ข้าพเจ้าจะได้คร้ามความปึ่งของเขานั้นหามิได้ ข้าพเจ้ามีแฟรงก์เปนโล่อยู่ แอบบังแฟรงก์เข้าไปคงได้พบพูดกับเบ็ลลาเสมอ จนลงท้ายชอบพอเปนเพื่อนกันอย่างเดิม ข้าพเจ้ายังไม่กล้ากล่าวกับเขาแต่ถึงความรักเท่านั้น ต่อเมื่อข้าพเจ้าทราบถึงผู้ชายคนอื่นเข้าแล้ว จึงรีบไปกราบไหว้วิงวอนแม่เจ้าประคุณให้ยอมแต่งงานกับข้าพเจ้าดังที่จะได้เล่าต่อไป.

ในเมืองอีซต์บอน มีชายหนุ่มอยู่คนหนึ่งชื่อ เกร็กกอรี เปนนายร้อยโทอยู่ในกองทหาร ที่ตั้งประจำอยู่ในอีซต์บอน เวลานั้นข้าพเจ้าได้ทราบจากแฟรงก์แล้ว ว่าเล็บเตอร์แนนต์เกร็กกอรีคนนี้ เปนเพื่อนของยอนพี่ชายใหญ่ แลบูชาเบ็ลลาเท่าพระผู้เปนเจ้าเหมือนกัน ตามความเห็นของแฟรงก์เอง ดูเหมือนเบ็ลลาจะไม่เกลียดเกร็กกอรีอยู่ด้วย แลยอนก็ข้อนข้างจะช่วยเกร็กกอรีจัดเต็มที่ ด้วยเขาเปนทหารอยู่ด้วยกัน แลเคยอยู่แซนด์เฮอ๊ซต์ คือโรงเรียนนายทหารบกมาพร้อมกันด้วย เปนอันชอบกันมาก.

เมื่อข้าพเจ้าได้ยินดังนี้ ก็เปนที่ไม่พอใจอย่างเอก เพราะถ้าฟังตามแฟรงก์ว่าแล้ว เกร็กกอรีก็มีทางที่จะชักชวนให้เบ็ลลารับเขาเปนผัวมากเหมือนกัน จะมากกว่าข้าพเจ้าเสียอิก เพราะข้าพเจ้าเคยทำเสียมาครั้งหนึ่ง แลเมื่อข้าพเจ้าพูดแสดงความรักกับเบ็ลลาขึ้นแล้ว ไหนเลยเขาจะลืมความเสีย ที่มีน้ำหนักคานความไม่เสียของข้าพเจ้าอยู่ ถึงอย่างไรก็ดีข้าพเจ้าต้องคอยดูทีก่อน เพราะแม้แต่ว่าข้าพเจ้าจะไม่พอใจในการที่เบ็ลลาอาจตกไปเปนภริยาผู้อื่นเสียได้ดังนั้นเท่าใดก็ดี การที่ข้าพเจ้าจะรีบร้อนแต่งงานนั้นยังจะเปนการเปนไปโดยสดวกไม่ได้ เพราะข้าพเจ้าก็พึ่งทำให้ท่านบิดาขัดเคืองมาใหม่ ๆ ที่ไหนจะยินยอมให้ข้าพเจ้าแต่งงานในเกือบทันทีดังนั้น เพราะท่านเองก็ไม่รู้จักเบ็ลลา แลพวกเก็นเน็ลนั้นเลย แลถึงอาข้าพเจ้าจะกล่าวความเพียงพอของพวกเขาไปให้เท่าใด ก็หาเหมือนท่านรู้จักเองไม่.

ความรู้สึกที่ว่าข้าพเจ้ายังไม่มีโอกาศดีเท่านี้ ก็ทำให้ข้าพเจ้าไม่สบายใจเสียมากแล้ว แลความรู้ที่ว่าถ้าข้าพเจ้าไม่หาโอกาศรีบร้อนให้เปนการตกลงเสียแล้ว เบ็ลลาก็อาจเปนของผู้อื่นไปเสียได้นั้น ทำให้ข้าพเจ้าเดือดร้อนในใจมากขึ้น.

บ่ายวันหนึ่ง ข้าพเจ้าเดินไปที่บ้านพวกเค็นเน็ล ต้องการจะพบกับเบ็ลลา แต่เลี่ยงว่าจะไปหาแฟรงก์ก็พะเอินแฟรงก์ไม่อยู่บ้าน บ่าวบอกว่ามีธุระขึ้นไปลอนดอนจะกลับต่อกลางคืน ข้าพเจ้าจึงถามถึงเบ็ลลาต่อไปว่าอยู่หรือไม่ ก็ได้ความว่าออกไปเดินเล่นกับยอนพี่ชายใหญ่ที่ริมทเล ข้าพเจ้าจึงรีบตามไปพบเบ็ลลานั่งพูดอยู่กับผู้ชายหนุ่มคนหนึ่งที่ข้าพเจ้ายังไม่เคยรู้จัก แลยอนยืนพูดอยู่กับผู้ชายหนุ่มอิกคนหนึ่งที่ข้าพเจ้ายังไมเคยเห็นเหมือนกัน.

ผู้ชายที่นั่งพูดอยู่กับเบ็ลลานั้น ข้าพเจ้ามาทราบทีหลังว่า คือเล็บเตอร์แนนต์เกร็กกอรี แลคนที่ยืนพูดอยู่กับยอนนั้น เปนนายทหารชื่อกัปตันมอริซลงมาถึงอีซต์บอนวันนั้นเอง แลพักอยู่ที่บ้านพวกเค็นเน็ล ด้วยบิดามารดาของเบ็ลลาชอบใจว่าเปนคนมีตระกูลแลมีทรัพย์สมบัติ ต้องการจะยกลูกสาวให้ แลกัปตันมอริซก็ต้องการเบ็ลลาไม่ใช่น้อยเหมือนกัน.

เวลาที่ยอนกับกัปตันมอริซยืนพูดกันอยู่นั้น ข้าพเจ้าสังเกตดูเห็นกัปตันมอริซแลชำเลืองไปดูเบ็ลลา กับเล็บเตอร์แนนต์เกร็กกอรี ที่นั่งพูดกันอยู่นั้นไม่ได้หยุด ดูท่าจะหึงมิใช่น้อย แต่ครั้นจะทิ้งยอนเสียเข้าไปขวางขัดคอเกร็กกอรีก็ดูอย่างไรอยู่.

ส่วนเกร็กกอรีนั้น เมื่อทราบว่ามอริซอยู่บ้านเดียวกับเบ็ลลา แลมอริซเปนคนที่บิดามารดาเบ็ลลาต้องการสำหรับบุตรสาวดังนั้น ก็เกิดร้อนอกขึ้น พอได้ท่าวันนั้นก็เลยพาเบ็ลลาไปนั่งพูดกะซุบกะซิบต่อหน้ามอริซอยู่นาน รวมใจความคือเกร็กกอรีบอกเบ้ลลาว่า เขารักเบ็ลลามากกว่ามนุษย์อื่นในโลกนี้ ที่แท้เขายังไม่เคยรักผู้หญิงอื่นมาเลย แต่เขารู้สึกแน่ในใจว่า เขาจะรักอยู่คนเดียวแต่เบ็ลลาเท่านั้นไปตราบเท่าวันตาย ความรักของเขาในตัวเบ็ลลานี้ จะได้พึ่งกำเนิดแต่ในเร็ว ๆ นั้นหามิได้ เขารักเบ็ลลามาแต่บุรมบุราณแล้ว แลขอให้เบ็ลลาคิดดูเถิดว่าการที่เขาต้องนิ่งเก็บความรักไว้ในอกมาเปนนานสองนานเช่นนี้ เขาจะต้องทนทุกขเวทนาเท่าไร การที่เขาไม่ได้แสดงความรักของเขาก่อนวันนั้น ๆ เปนด้วยเขารู้สึกอยู่ว่า เขารักเบ็ลลาข้างเดียวเบ็ลลาจะได้รักเขาตอบนั้นหามิได้ แต่เดี๋ยวนี้เขาทราบแน่แล้วว่าเบ็ลลาไม่เกลียดเขา แต่ถึงแม้แต่เบ็ลลาจะไม่รักเขาในเวลานั้นก็ดี ต่อไปเขาจะพยายามโดยตรงใจที่สุดที่จะให้เบ็ลลารักเขาจนได้ เขาหวังใจว่าความรักอันใหญ่หลวงของเขาในตัวเบ็ลลานั้นคงจะได้รับรางวัล คือได้รับความตอบจากเบ็ลลาคราวหนึ่งเปนแน่ เพราะเมื่อเขาได้รักเบ็ลลาทั้งจิตต์แลวิญญาณ (ตามสำนวนอังกฤษ) ดังนี้ ก็ยังไม่ได้รับรางวัลดังที่กล่าวมาแล้ว โปรวีเด็นซ์ก็ไม่มีความกรุณากับเขาเลย (โปรวีเด็นซ์ แปลตามดิกชันนารีอังกฤษเปนไทยว่า ‘กิริยาที่คิดเห็นก่อน’!!) เพราะฉนั้น ขอเบ็ลลาได้เห็นกับความรักอันสุจริตของเขา ตกลงหมั้นกับเขาเถิด.

เบ็ลลาตอบว่า การที่เกร็กกอรีมาชักชวนเขาเปนภริยาดังนั้น เขารู้สึกเปนเกียรติยศอย่างยิ่ง ข้อที่เกร็กกอรีกล่าวว่าเขาไม่เกลียดเกร็กกอรีนั้น เขารับว่าเปนการจริง แต่การที่เขาไม่เกลียดเกร็กกอรีนั้น ไม่จำเปนที่จะนำให้เขาต้องแต่งงานกับเกร็กกอรี แลเขาเกรงว่าเขาจะรับเกียรติยศที่เกร็กกอรีมายกให้ครั้งนี้ไม่ได้ แต่เขาขอขอบใจเกร็กกอรีเปนอันมากในการที่มายกยอเขาเช่นนั้น.

เกร็กกอรีกลับถามว่า การที่เบ็ลลาไม่รับเขาครั้งนี้จะให้เขาเปนอันสิ้นหวังว่า จะได้มีความสุขในชาตินี้แล้วหรือ เบ็ลลายังไม่ทันตอบว่ากระไร ก็พอยอนกับมอริซเดินเข้ามาขวางคอเสีย เปนอันเบ็ลลากับเกร็กกอรีต้องหยุด เลยพูดกับยอนแลมอริซเรื่องอื่น ๆ ไป.

การที่ยอนกับมอริซมาขวางเสีย ไม่ให้เบ็ลลาตอบคำถามคำสุดท้ายของเกร็กกอรีนั้น ทำให้เกร็กกอรีไม่สิ้นหวังในตัวเบ็ลลา เพราะถึงเบ็ลลาจะไม่รับเขาก็จริง แต่เสียงที่พูดก็ยังไม่ตัดรอนลงไปทีเดียว แลถ้าเบ็ลลาไปตรึกตรองเรื่องที่เขาชักชวนดังนั้นแล้ว บางทีจะกลับเห็นดีได้กระมัง.

ส่วนข้าพเจ้าเองนั้น เมื่อมาถึงได้สองสามนาฑียอนกับมอริซก็เดินเข้าไปขัดคอเกร็กกอรีกับเบ็ลลาดังที่กล่าวมาแล้ว ข้าพเจ้าก็เลยเดินเข้าไป ได้รับแนะนำกับมอริซแลเกร็กกอรี แล้วยืนพูดกันอยู่สักครู่หนึ่งเกร็กกอรีลากลับบ้าน เบ็ลลา, ยอน, มอริซกับข้าพเจ้าก็กลับเหมือนกัน ข้าพเจ้าเดินตามไปส่งพวกทั้งสามคนนั้นที่ประตูบ้าน เพื่อจะหาโอกาศพูดกับเบ็ลลาก็ไม่สำเร็จทำให้ข้าพเจ้าใจร้อนมาก.

คืนวันนั้นเมื่อกินอาหารแล้ว ข้าพเจ้าออกไปนั่งอยู่ในสวนคนเดียวตรึกตรองถึงเรื่องเบ็ลลา ด้วยข้าพเจ้าทราบแน่ว่าเวลาที่เกร็กกอรีไปนั่งพูดซุบซิบอยู่ด้วยนั้น คงแสดงความรักแลเชิญให้เบ็ลลายินยอมแต่งงานกับเขาเปนแน่ แต่การที่เบ็ลลาจะตกลงด้วยนั้น เปนการเปนไปได้โดยแท้ ที่จริงน่าจะเปนอย่างนั้นด้วย ข้าพเจ้ามานึกถึงตัวว่าถ้าเปนอย่างนั้นแล้ว ข้าพเจ้าจะทำอย่างไรต่อไป ก็ตอบตัวเองไม่ได้ ทราบแน่อยู่แต่ว่าถ้าเบ็ลลาไปเปนของคนอื่นเสียแล้ว ข้าพเจ้าจะรู้สึกอิกไม่ได้ในชาตินี้ว่าความสุขนั้นเปนอย่างไร เพราะการที่ผู้ชายจะสิ้นความสุขตลอดอายุด้วยเหตุที่ไม่ได้ผู้หญิงที่รักสมใจนั้น จะได้ผิดธรรมชาติไปหามิได้.

อิกทางหนึ่ง แม้แต่ว่าเบ็ลลาจะไม่รับเชิญของเกร็กกอรีดังที่กล่าวมาแล้วก็ดี ที่เกร็กกอรีจะสิ้นความเพียรนั้นคงไม่เปน เพราะเบ็ลลาเปนหญิงซึ่งไม่ควรชายจะเบื่อหน่ายในการพากเพียรที่จะเอาเปนของ ๆ ตน โดยแท้ แลเมื่อเกร็กกอรีพากเพียรหนักเข้าแล้วบางทีจะทำให้เบ็ลลากลับใจได้.

นอกจากเกร็กกอรียังมีมอริซอยู่อีกคนหนึ่ง ดูท่าไม่ใช่คนเลว แลมาพักอยู่ในบ้านของบิดามารดาเบ็ลลาเอง มีโอกาศที่จะพูดจาอ้อนวอนเบ็ลลามาก ไม่ใช่เท่านั้นการที่มอริซมาพักอยู่ในบ้านนั้น เปนเครื่องหมายว่า บิดามารดาเบ็ลลาคงจะไม่รังเกียจในการที่จะยกบุตรสาวให้มอริซแล้ว เพราะฉนั้น ถึงต่างว่าเบ็ลลาจะไม่รับเกร็กกอรี แลตัดขาดไม่เสียทีเดียว ก็ยังมีมอริซอยู่อีกรายหนึ่ง แลการที่เบ็ลลาจะตัดมอริซเสียอีก เมื่อได้ตัดเกร็กกอรีมาแล้วดังที่ข้าพเจ้ารำพึงว่าจะเปนได้นั้น เบ็ลลาจะต้องมีเหตุสำหรับแสดงกับบิดามารดาให้เปนการพอเพียง หาไม่จะเกิดโกรธขึ้งกันใหญ่โตได้ ส่วนตัวข้าพเจ้าเองนั้นถึงแม้แต่เบ็ลลาจะชอบ ก็คงไม่รักจับอกจับใจดังข้าพเจ้ารักเขา เพราะฉนั้น ข้าพเจ้าไม่มีเหตุพอที่จะเชื่อได้ว่า เบ็ลลาจะตัดคนทั้งสองนั้นด้วยตัวข้าพเจ้า เพราะข้าพเจ้าไม่ได้ทำการเสียหายมาในเร็ว ๆ นั้นหรือ?

เพราะเหตุเหล่านี้ น่าที่ของข้าพเจ้ามีอยู่อย่างเดียวแต่ว่าจะต้องไปฟังความดูให้เปนการแน่นอนว่า เบ็ลลาได้รับเกร็กกอรีลงไปเสียแล้วหรือ แลถ้ามีโอกาศจะได้พยายามชักชวนเบ็ลลาให้มาเปนภริยาข้าพเจ้าเอง.

การที่ข้าพเจ้าจะตรึกตรองถึงเหตุทั้งหลาย ที่ข้าพเจ้าเคยเห็นยังเปนการขัดข้องอยู่แต่ก่อน ในเวลาที่ข้าพเจ้ามีหัวเต็มไปด้วยความรักแลความร้อนใจเช่นนี้ เปนการเปนไปไม่ได้ แต่ในเวลานั้นถ้าจะแต่งงานกับเบ็ลลาได้แล้ว ถึงจะถูกจักรพระนารายน์มาตัดคอก็คงแต่งอยู่นั่นเอง ไม่เว้นเปนแน่

เมื่อได้ตกลงในใจว่าจะต้องไปสืบสวนให้แน่ดังที่กล่าวมาแล้ว ข้าพเจ้าชักนาฬิกาออกดูเห็นเปนเวลาดึกเสียแล้ว จะรีบไปบ้านพวกเค็นเน็นในเวลานั้นก็เปนการไม่ควร แต่ครั้นจะไปนอนก็ทราบแน่ว่านอนไม่หลับ เพราะใจข้าพเจ้าอยู่ไม่นิ่งจะสกดตัวไว้ที่ไหนได้ ข้าพเจ้าก็ขึ้นไปหยิบหมวกแลเสื้อคลุมชั้นนอกมาใส่ แล้วออกเดินไปทางบ้านพวกเห็นเค็นเน็นไฟยังสว่าง เข้าใจเอาได้ว่าคงมีดินเนอร์ หรืออะไรอย่างหนึ่งจะทลึ่งเข้าไปก็ไม่ชอบ ข้าพเจ้าเดินผ่านประตูน่าบ้านไป เห็นแฟรงก์ออกมายืมสูบบุหรี่อยู่คนเดียว ข้าพเจ้าก็หยุดพูดด้วย ถามถึงว่ามีอะไรกันหรูหรา ได้รับตอบว่ามีดินเนอร์เก้าสิบคน ในเรือนร้อนเต็มที แฟรงก์จึงออกมายืนตากลมเสียสักครู่หนึ่งจะกลับเข้าไป ข้าพเจ้าต้องการจะทราบเรื่องเบ็ลลาจึงถามเปนทางอ้อมค้อมต่อไปว่า ใครมาบ้าง

แฟรงก์ตอบจะระไนชื่อว่าคนนั้น ๆ ประมาณสิบคน.

ข้าพเจ้า “ใครจูงใครเข้าห้องกินเข้าล่ะ”

แฟรงก์ “เขารู้เท่าดอกน่า ตัวมันโกงจัดนัก? จะถามถึงตัวเจ้าหล่อนเองก็ถามตรง ๆ ไม่ได้หรือ ทำไมจึงต้องอ้อมค้อมไปอย่างนั้นด้วยเล่า”

ข้าพเจ้า “ก็ใครจะกล้าถามพี่ชายได้ตรงๆ ล่ะว่าใครจูงน้องสาวเข้าไปกินเข้า แต่ท่าทางเปนอย่างไรกันบ้าง แต่ก็เมื่อจังออกมาดังนี้แล้วก็เลยเล่าต่อไปด้วยทีเดียวสิ”

แฟรงก์ “เล่าอะไร ไม่มีอะไรจะเล่าดอก นอกจากว่ามอริซเปนผู้จูงเบ็ลลา แลเวลานี้เขานั่งพูดกันอยู่ในห้องรับแขก คนอื่น ๆ ปานนี้คงออกมาอยู่ในสวนหลังบ้านหมดแล้ว นี่แน่ะจะบอกให้ เกาวะนากับเมเตอร์ (แปลว่าบิดามารดา) ต้องการมอริซเปนลูกเขยมากอยู่ แลเบ็ลลาก็เปนเด็กตามใจพ่อแม่ มอริซเขาก็รู้ตัวว่าอยากได้เขา แลรักเบ็ลลาจัดอยู่ด้วย ปานนี้มิโปรโปซกันอยู่แล้วดอกกระมัง”

ข้าพเจ้าเกือบเสียสติแต่ไม่รู้จะว่ากระไรหรือทำอย่างไร ยืนขึ้นอยู่สักครู่หนึ่งจึงพูดต่อไปว่า “อ้ายกันมิลอยไปกระมัง อะไรไม่ช่วยกันบ้าง เสียแรงเปนเพื่อนกันทั้งที”

แฟรงก์ “ก็จะให้ช่วยอย่างไรเล่า ตัวเองน่ะไม่ทำอะไร จะให้เขาไปเปนแม่สื่อให้ได้เมื่อไร”

ข้าพเจ้า “ถ้าไม่ช่วยมากก็เพียงไปสืบดูว่ามอริซกับเกร็กกอรีโปรโปซแล้วหรือยัง แลเบ็ลลาได้รับเขาเสียแล้วหรือเปล่า”

แฟรงก์ “ได้ดอก แต่เมื่อรู้แล้วจะทำอะไรต่อไป”

ข้าพเจ้า “อ้ายข้อนั้นต้องคอยดูทีหลัง”

แฟรงก์ “เกาวะนากับเมเตอร์ไม่ชอบ อ้ายเรื่องตัวถูกฟ้องว่าเสียสัญญาแลวุ่นกันคราวนั้นอยู่ แลคงจะไม่ยินยอมง่าย ๆ นับประสาแต่ใคร แต่ตัวกันเองยังออกพื้นไม่ดีเหมือนกัน”

ข้าพเจ้า “ใครจะพื้นดีไม่ดีก็ช่างเปนไร ตัวเบ็ลลาเปนใหญ่ พรุ่งนี้ส่งจดหมายสั้น ๆ ไปบอกเรื่องนี้หน่อยหนึ่งได้ไหมล่ะ”

แฟรงก์ “ก็ถ้าคืนวันนี้ไม่มีเวลาถามเขา พรุ่งนี้เช้าจะให้บอกอย่างไรได้ แต่เอาเถอะ ถ้าได้จะบอกไป แล้วอย่ามากวนกันไม่หยุดไม่หย่อนก็แล้วกัน”

พูดกันเท่านั้นแล้ว ข้าพเจ้าก็กลับบ้านแฟรงก์ชวนให้ข้าพเจ้าเลยเข้าไปในบ้านเขา แต่ข้าพเจ้าไม่ยอม ด้วยเห็นว่าดึกแล้วถึงเข้าไปก็ไม่มีประโยชน์ วันรุ่งขึ้นนั้นข้าพเจ้าตั้งใจว่าจะไป เว้นแต่ถ้าแฟรงก์บอกมาว่า เบ็ลลาตกลงกับคนอื่นเสียแล้ว.

คืนวันนั้นข้าพเจ้ามานอนใจร้อนผ่าว ๆ นึก “บนบวงสวงรุกขเทวดา ขอให้สมปราถนาของเรียมเอย” กล่าวคือขออย่าให้เบ็ลลารับกับเกร็กกอรีหรือมอริซเสียแล้ว และขอให้เทพดาดลใจให้รับข้าพเจ้า การที่เกร็กกอรีกับมอริซมาอ้อนวอนชักชวนเบ็ลลาแล้วหรือไม่นั้น ข้าพเจ้าก็ไม่ทราบแน่ เปนแต่เข้าใจเอาเอง แลเข้าใจถูกด้วย.

ในเวลาที่ข้าพเจ้ากับแฟรงก์ยืนพูดกันอยู่น่าประตูนอกบ้าน แลเบ็ลลากับมอริซนั่งพูดกันอยู่ในห้องรับแขกนั้น ข้าพเจ้ามาทราบทีหลังว่ามอริซได้แสดงความรักกับเบ็ลลาตามที่ข้าพเจ้าหมายนั้นจริง ว่าการที่เขาลงมาอีซต์บอนคราวนั้นเขามีความมุ่งหมายอยู่อย่างเดียว แต่จะมาแสดงกับเบ็ลลาว่าเขารักเบ็ลลาเท่าไร แลเขาได้รักมานานแล้วเท่าไร ขอให้เบ็ลลาได้นับถือความรักของเขาอย่างสูง แลยินยอมที่จะแต่งงานกับเขาเถิด ส่วนตัวเขานั้นเบ็ลลาก็รู้อยู่แล้วว่าเขามีชาติตระกูลอย่างไร แลมีเงินทองพอที่จะให้ความสุขกับเบ็ลลาตามที่เคยมาเปนแน่

เบ็ลลาตอบว่า ที่ว่าอย่างนั้นก็ขอบใจแล้ว แต่เขายังไม่มีความพอใจ ที่จะรับแต่งงานกับมอริซ.

มอริซ “ถ้าอย่างนั้น จะให้ฉันคอยไปจนกว่าหล่อนจะตกลงในใจหรือ?”

เบ็ลลา “เรื่องที่ท่านจะคอยหรือไม่คอยนั้น ฉันบังคับท่านไม่ได้ ท่านจะคอยก็ตามไม่คอยก็ตาม แต่ถ้าจะคอยแล้วฉันต้องขอบอกเสียก่อนว่า ฉันไม่สัญญาที่จะตกลงเปนภริยาท่าน เพราะเหตุที่ท่านคอยนั้น”

มอริซ “ฉันมีเหตุพอที่จะเชื่อได้แล้วว่าบิดามารดาของหล่อน ก็ไม่รังเกียจที่จะให้หล่อนแต่งงานกับฉัน แต่การที่บิดามารดาของหล่อนไม่รังเกียจดังนี้ จะไม่นำให้หล่อนรับรองเปนภริยาฉันหรือ”

เบ็ลลา “ตรงนั้นท่านเข้าใจผิดแท้ทีเดียว การที่บิดามารดาฉันจะรังเกียจหรือไม่นั้น ไม่เปนข้อสำคัญอันใด แต่ถึงแม้ว่าบิดามารดาฉันจะไม่รังเกียจจริงก็ดี ตัวของฉันเปนใหญ่ไม่ใช่หรือ?”

มอริซ “ถ้าอย่างนั้นหล่อนไม่ชอบฉันหรือ ?”

เบ็ลลา “ฉันไม่ได้ว่าไม่ชอบ”

มอริซ “อย่างนั้นก็ต้องเข้าใจว่าหล่อนชอบฉัน แลก็เมื่อหล่อนชอบฉันแล้วอย่างไรจึงไม่รับแต่งงานกับฉันเล่า ?”

เบ็ลลา “คำว่าชอบกับคำว่ารักนั้นไม่ใช่คำเดียวกัน”

มอริซ “ถ้าหล่อนไม่รักฉันในเวลานี้ ฉันต้องขอหวังใจว่าต่อไปหล่อนจะรักฉันได้”

เบ็ลลา “ฉันต้องตอบอย่างเก่า ท่านจะหวังหรือไม่หวังฉันก็บังคับไม่ได้ แต่ถ้าท่านหวังแล้ว ฉันก็ไม่สัญญาว่าจะเปนภริยาท่าน ด้วยเหตุที่ท่านหวังใจนั้นเหมือนกัน”

มอริซ (พื้นเสียหน่อย ๆ) “การที่หล่อนไม่รับฉันดังนี้ เปนด้วยหลอนรักเกร็กกอรีหรือ?”

เบ็ลลา “นั่นเปนการส่วนเล็บเตอร์แนนต์เกร็กกอรีกับตัวฉัน หาควรที่ท่านจะมาไล่เลียงไม่”

มอริซ “ฉันเห็นหล่อนไปนั่งพูดซุบซิบกับเกร็กกอรีอยู่นาน เมื่อหล่อนไม่รักตัวฉัน แลพูดดังนี้ ฉันก็ต้องเข้าใจว่าหล่อนรักเกร็กกอรี ขออำนวยพรด้วย”

เบ็ลลา “อำนวยพรเรื่องอะไร”

มอริซ “เรื่องที่หล่อนหมั้นกับเกร็กกอรี”

เบ็ลลา “ฉันไม่ได้บอกกับท่านว่าฉันหมั้นกับเล็บเตอร์แนนตเกร็กกอรี”

มอริซ (พื้นกลับดี) “เรามาทำท่าจะทะเลาะกันมานานแล้ว ลงท้ายมาเลิกทุ่มเถียงกันเสียจะดีกว่า ขอหล่อนได้กรุณากับความรู้สึกของฉันที่ได้รักแลเดือดร้อนมา รับหมั้นกับฉันเสียเถิด”

เบ็ลลา “ฉันยังรับไม่ได้”

มอริซ “เปนด้วยเหตุไร”

เบ็ลลา “ฉันยังไม่บอก นอกจากว่ายังไม่รักท่านพอ”

ตามที่เบ็ลลากับมอริซพูดกันมานี้ เปนที่เห็นได้ว่าถึงเบ็ลลาจะไม่รับหมั้นกับมอริซเวลานั้น ก็ยังไม่ตัดลงไปจริง ยังให้ทางให้มอริซพยายามอยู่ แต่ถ้าจะกลับไปฟังที่พูดกับเกร็กกอรีแล้วก็อย่างเดียวกันเหมือนกัน จะตัดลงไปก็ไม่ว่า จะรับก็ไม่รับ เปนตามเยี่ยงคนแสนงอนแท้ ถ้าจะคิดให้ถูกแล้วก็ต้องว่าเบ็ลลาชอบใจทั้งเกร็กกอรีทั้งมอริซ เพราะถ้าจะว่าเปนแต่ล่อให้ติดเล่นทั้งสองคนก็เห็นจะไม่เปน ในระหว่างคนทั้งสองนั้น เบ็ลลาคงชอบเกร็กกอรีมากกว่า เพราะถ้าชอบมอริซกับเกร็กกอรีเท่า ๆ กันแล้ว น้ำหนักข้างบิดามารดาคงถ่วงไปลงข้างมอริซในทันใดนั้นเอง การที่เบ็ลลาไม่แน่ใจลงไปดังนี้ ความเห็นมอริซก็ว่าเปนด้วยเกรกอรี ความเห็นเกร็กกอรีกว่าเปนด้วยมยริซ ไม่มีใครมาเอาข้าพเจ้าเปนอารมณ์เลย.

รุ่งขึ้นเช้าเวลากินอาหารแล้ว แฟรงก์ไปจับตัวเบ็ลลามาพูดได้สองต่อสอง ถามเรื่องที่ไปพูดกับเกร็กกอรีแลมอริซในวันที่แล้วมานั้น ก็ได้ความว่า เกร็กกอรีกับมอริซได้ชวนเบ็ลลาแต่งงานแล้วทั้งสองคน แต่เบ็ลลายังไม่รับใครเข้า แฟรงก์จึงเขียนจดหมายสั้น ๆ ให้คนมาให้ข้าพเจ้าตามสัญญา ทำให้ข้าพเจ้ายินดีโลดโผนมาก เพราะข้าพเจ้าเข้าใจเอาเปนแนว่า การที่เบ็ลลาไม่รับเกร็กกอรีกับมอริซนั้น เปนด้วยจะรับข้าพเจ้าเปนแน่ เพราะเขารู้ตัวอยู่แล้วว่าข้าพเจ้าต้องการเขาอย่างเอกเหมือนกัน.

ในจดหมายที่แฟรงก์มีมานั้นบอกมาด้วยว่า บ่ายวันนั้นจะมีคนมาเล่นลอนเต็นนิซสองสามคน ถ้าข้าพเจ้าไม่มีอะไรจะทำแล้วให้ไปด้วย มีหญิงกับชายคู่หมั้นจะมาเล่นคู่หนึ่ง เขาว่าไม่มีใครสู้ได้ (เว้นแต่ผู้ชายสองคน) แต่เบ็ลลาเปนคนเก่ง แฟรงก์เข้าใจว่าถ้า เบ็ลลากับข้าพเจ้าแล้วคงสู้หญิงกับชายคู่นั้นได้

เวลาบ่ายประมาณ ๔ โมง ข้าพเจ้าก็ผลัดผ้าใส่เสื้อกังเกงสักหลาดอ่อนแล้ว เดินไปถึงบ้านพวกเก็นเน็ล พบเจ้าของบ้านลงมาอยู่ในสวน ข้าพเจ้าไปจับมือ “เฮาดูยูดู” ได้สักครู่หนึ่ง หญิงชายคู่เก่งก็มาถึง แนะนำกันเสร็จแล้วมิศเตอร์เก็นเน็ลบิดาเบ็ลลาบอกว่า “ฉันทราบว่าท่านเปนคู่ที่ไม่มีตัวจับทั้งอีซต์บอน แต่บุตรสาวฉันกับเพื่อนของเราคนนี้จะขันสู้เปนการใหญ่ แลถ้าจะให้สนุกแล้วต้องมีรางวัล เพราะฉนั้น ฉันจะรับสัญญาว่า ถ้าข้างไหนชนะจะให้หนังสือชื่อ ‘เฮาตูบีแฮพพีโดแมเร็ด’ (How to be happy though married) เปนรางวัลเล่มหนึ่งให้สมความเก่งแลถูกกับเวลาด้วย

พวกที่ยืนอยู่ด้วยกันนั้นก็หัวเราะขึ้นพร้อมกัน ข้าพเจ้ายิ้มแล้วแลดูตาเบ็ลลาเห็นท่าพื้น แต่ไม่ว่ากระไร ข้าพเจ้าก็เลยนิ่ง.

หนังสือ “เฮาตูบีแฮพพีโดแมเร็ด” นั้นเปนหนังสือสั่งสอนภริยาสาวที่ไม่เคยการเย้าเรือนในทางจัดการบ้านช่อง แลครอบครองบริวารทั้งหลาย เขาสำหรับให้คนที่จะแต่งงานกัน การที่มิศเตอร์เก็นเน็ลจะให้หนังสือเล่มนี้เปนรางวัลนั้น ก็เปนด้วยหญิงกับชายที่จะเล่นข้างโน้น จะแต่งงานกันในเร็ว ๆ นั้น แลมิศเตอร์เก็นเนลเห็นว่าเขาเปนคนเก่งที่ไหนเบ็ลลากับข้าพเจ้าจะสู้ได้ แลถ้าเขาได้รางวัลแล้ว เขาคงชอบหนังสือเล่มนั้นมากกว่าอื่นหมด เปนการล้อไปในตัวด้วย

แต่การที่มิศเตอร์เก็นเน็ล สัญญาจะให้หนังสือเล่มนี้เปนรางวัลแก่ข้างที่ชนะนั้น หาได้คิดดูไม่ว่า ถ้าข้างโน้นชนะก็ดีอยู่ แต่ถ้าข้างเบ็ลลากับข้าพเจ้าชนะจะเปนอย่างไรบ้าง ถ้าข้างเราชนะแลมิศเตอร์เก็นเน็ลให้หนังสือเล่มนั้นเปนรางวัลแล้วก็เท่ากับยกเบ็ลลาให้ข้าพเจ้า หรืออย่างน้อยก็เปนทางส่อเหตุคล้าย ๆ กับว่า การที่เราทั้งสองตกลงจะแต่งงานกันนั้น มิสเตอร์เก็นเน็ลเห็นชอบแล้ว.

ข้าพเจ้ากับเบ็ลลาก็ยังไม่ได้พูดกันถึงเรื่องนี้สักคำหนึ่ง แต่การที่มิศเตอร์เก็นเน็ลมาสัญญาจะให้รางวัล โดยไม่หมายว่าเราจะชนะนั้นทำให้ข้าพเจ้าเห็นขันที่สุด เพราะข้าพเจ้าก็ไม่เคยแพ้ใครมามากนัก แลเบ็ลลาก็เล่นไม่เลวกว่าหญิงข้างโน้นเลย.

เวลาเดินออกไปจะเล่นนั้น ข้าพเจ้าถามเบ็ลลาว่าอยากได้รางวัลนั้น ก็ได้รับตอบอย่างสบัดสบิ้งว่าไม่อยาก เขาเห็นจะต้องยอมแพ้เสีย.

เบ็ลลาจะยอมหรือไม่ยอมก็ตามใจ ข้าพเจ้าเองนั้นไม่ยอมเปนอันขาด ตั้งใจจะเอาชนะให้ได้ แรก ๆ เล่นเบ็ลลาแกล้งตีเข้าตาข่ายเสียหลายลูก ข้าพเจ้าคอยแก้ให้คะแนนไล่ ๆ กันอยู่เห็นจะไม่ไหว จึงแย่งตีเสียเองเกือบหมด ขึ้นไปยืนอยู่น่าตาข่าย ลูกไหนมาถึงก็แย่งตียัดไปทางผู้หญิงหมด เบ็ลลาจะได้ตีก็แต่ลูกที่หลุดข้าพเจ้าไป แลแกล้งตีเข้าตาข่ายเสียด้วย ทั้งผู้หญิงผู้ชายข้างโน้นสู้ข้าพเจ้าไม่ได้โดยไม่ต้องมีข้อสงสัยเลย เพราะตีหนีข้าพเจ้าไม่ใคร่พ้น ข้าพเจ้าตีตบเอา ๆ ไม่ช้านักก็ชนะ ๖–๔ ทำให้มิศเตอร์เก็นเน็ลเสียใจที่เลือกของรางวัลผิด แลทำให้มอริซที่นั่งดูอยู่พื้นเสียออกหึงถึงขนาด เพราะถ้าจะดูตามรางวัลที่มิศเตอร์เก็นเน็ลสัญญาแล้ว ก็ต้องเข้าใจว่ามิศเตอร์เก็นเน็ลจะยกเบ็ลลาให้ข้าพเจ้า แลการที่เบลล่าไม่รับรองเขานั้น น่าจะเปนด้วยข้าพเจ้านี้เอง.

เมื่อชนะเสร็จแล้ว เวลาเดินกลับมาเข้าหมู่ ข้าพเจ้าไม่กล้าจะกล่าวกับเบ็ลลาถึงเรื่องหนังสือรางวัล เพราะถ้าทำให้พื้นเสียจะเกิดความใหญ่ ข้าพเจ้าถามแต่ว่า จะขอพูดด้วยสักสองสามคำจะได้หรือไม่ ก็ไม่ตอบปฏิเสธ ข้าพเจ้าดีใจถึงที่แน่ใจว่าจะได้เปนสุขใหญ่กันคราวนี้เอง.

พวกที่ดูอยู่นั้น เมื่อเราสี่คนมาเข้าหมู่ก็ยอว่าเล่นดีทั้งสองข้าง ดูสนุกแลอะไร ๆ ต่าง ๆ ที่ข้าพเจ้าไม่ใคร่ได้ฟัง เอาใจใส่อยู่แต่ที่จะไปรินแคลเร๊ตคับมาให้เบ็ลลา แลปฏิบัติต่าง ๆ ดูท่านมอริซหึงจนเกินน่าดู.

เมื่อเล่นลอนเต็นนิซกันจนสิ้นเวลาในบ่ายวันนั้นแล้ว ข้าพเจ้าชวนเบ็ลลาเดินหลีกไปทางหลังสวน เพื่อจะขอพูดด้วยตามที่ได้บอกไว้นั้น แล้วถามว่า เขาจะใช้หนังสือรางวัลที่เราได้นั้นให้เปนประโยชน์อย่างไรบ้าง.

เบ็ลลาตอบว่า “ท่านจะรับเอารางวัลนั้นก็ตามใจ แต่ฉันไม่รับ”

ข้าพเจ้า “บิดาหล่อนให้สำหรับเราด้วยกันสองคน หล่อนจะไม่รับอย่างไรได้ มิเปนขัดขืนบิดาไปหรือ”

เบ็ลลา “ก็ฉันไม่อยากได้ของที่ให้นั้นจะว่าเปนความผิดอย่างไร”

ข้าพเจ้า “ฉันก็บอกไม่ได้ว่าเปนความผิดจะต้องควรฐานไหน แต่การที่ฉันอยากพูดกับหล่อนคราวนี้หล่อนคงทราบเปนแน่ว่าเรื่องไร หล่อนทราบเต็มอกหล่อนอยู่แล้วไม่ใช่หรือ ว่าฉันรักหล่อน”

เบ็ลลา “ฉันจะไปทราบความรู้สึกของท่านอย่างไรได้”

ข้าพเจ้า “ถ้าหล่อนไม่ทราบมาแต่ก่อนจริง ก็จงทราบเดี๋ยวนี้เถิดว่าฉันรักหล่อนเต็มที่ ๆ ชายจะรักหญิงได้ แลข้อที่ฉันต้องการจะพูดกับหล่อนนี้ ก็คือจะชวนหล่อนให้มาเปนภริยาฉัน”

เบ็ลลานั่งนิ่งยังไม่ตอบว่ากระไร ข้าพเจ้าจึงพูดต่อไปว่า “เราก็รู้จักกันมานานแล้ว แลอะไรจะดีกว่าความรู้จักกันมานาน กับความรักผสมกันนั้นคงไม่มีเปนแน่”

เบ็ลลา “ที่ว่ารู้จักกันมานานนั้นก็จริงอยู่ แต่ที่ว่าผสมกับความรักด้วยนั้น แปลว่าท่านถือเอาว่าฉันรักท่านแล้ว แลการที่ท่านมาเข้าใจเอาดังนั้น ท่านมีเหตุสมควรแล้วหรือ”

ข้าพเจ้าอยู่ข้างจะเสียท่าจึงเลยถามเอาดื้อ ๆ ว่า “ก็หล่อนรักฉันหรือเปล่าล่ะ ?”

เบ็ลลา “ถ้าท่านจะให้ฉันบอกตรง ๆ แล้ว ฉันก็จะบอกได้แต่ว่า “ชอบ” คำว่ารักนั้นเปนคำแรงเกินที่จะใช้ในเวลานี้ไป”

ข้าพเจ้า “การที่หล่อนว่าชอบฉันนั้น ฉันต้องถือเอาเปนทางให้ฉันหวังใจว่า ถ้าฉันไม่ไปทำชั่วช้าอะไรเสียแล้ว––”

เบ็ลลา “ท่านเข้าใจว่าท่านยังไม่เคยทำชั่วช้ามาหรือ”

ข้าพเจ้า “ฉันรับว่าฉันได้ทำชั่วมาจริง แต่ธรรมเนียมคนหนุ่ม ถ้ามีหญิงสาวที่ดีมาช่วยทำให้สติยั่งยืนแลเดินทางได้ตรง ๆ แล้ว ถึงจะเคยทำชั่วมาก็กลับดีได้ ถ้าหล่อนทราบว่าการที่มาพบปะกับหล่อนคราวนี้ ทำให้ฉันเปนคนดีขึ้นเท่าไรแล้ว หล่อนคงจะกรุณาฉันมากขึ้นกว่านี้เปนแน่”

การที่ข้าพเจ้าพูดดังนั้น ดูท่าถูกใจเบ็ลลามาก บางทีเขาจะต้องการโปรดข้าพเจ้าผู้เปนสัตว์บาปบ้างกระมัง !

ถึงอย่างไรก็ดี การที่ข้าพเจ้าพยายามจะให้เบ็ลลารับรองมาเปนภริยาข้าพเจ้านั้น เปนการไม่สำเร็จ แต่เมื่อข้าพเจ้าพูดอ้อมค้อมไล่เลียงถามถึงว่า เขารักเกร็กกอรีหรือมอริซหรือ ก็ไม่ได้ความว่ากระไร ลงท้ายข้าพเจ้าอ้อนวอนจัดจนได้รับตอบแน่นอนว่าให้ข้าพเจ้าคอยก่อนเถิด เขาไม่กล้าจะตกลงในใจลงไปได้ เพราะความต้องการของบิดาเปนใหญ่อยู่.

เมื่อเปนอย่างนี้ ข้าพเจ้าก็พอเข้าใจเอาได้ว่า เบ็ลลารักข้าพเจ้าหรือเกร็กกอรีมากกว่ามอริซ แต่ถ้าเขาจะรับเกร็กกอรีหรือข้าพเจ้าลงไป ก็จะเกิดไฟขึ้นกับบิดาเปนของไม่ใช่เล่น ถ้าเขาจะรับมอริซลงไป ก็แปลว่าแต่งงานกับคนที่ไม่ถูกใจ แลคงจะเสียดายเกร็กกอรีหรือข้าพเจ้าอยู่ ส่วนตัวข้าพเจ้ากับเกร็กกอรีนั้น ข้าพเจ้ายังบอกไม่ได้ว่าเบ็ลลาชอบคนไหนมากกว่า เพราะถึงข้าพเจ้าเปนเพื่อนเก่าแก่มาแต่เปนลูกเล็ก ๆ อยู่ด้วยกัน แลมีนิสัยต้องกันเกือบทุกอย่างก็จริง แต่ข้าพเจ้าได้ทำการเลวทรามมาเปนน้ำหนักถ่วงอยู่

เพราะเหตุดังนี้ การที่เบ็ลลาไม่รับข้าพเจ้าหรือเกร็กกอรีหรือมอริซลงไปนั้น คงเปนด้วยไม่แน่ใจว่าจะควรแต่งงานกับคนไหนแน่ แต่การที่เปนอย่างนั้นก็อธิบายได้อย่างเดียว แต่ว่าเขายังไม่รักใครลงไปจริง ๆ แลต้องการจะแต่งงานด้วยเห็นว่าเปนของควรทำเท่านั้น.

เวลาที่ข้าพเจ้า, เกร็กกอรี, แลมอริซ, ต่างคนต่างตั้งหน้าพยายามจะชักชวนให้เบ็ลลารับแต่งงานกับคนเปนสามก๊กอยู่ดังนี้ เปนเวลาที่ชาติอังกฤษ กับชาติโบเออร์ในทวีปแอฟริกาฝ่ายใต้กำลังวิวาทจะทำสงครามกันอยู่ ครั้นวันที่ ๑๑ ตุลาคม ร.ศ. ๑๑๘ เวลาบ่าย ๔ โมงสิ้นกำหนดในอัลติเมตัม ที่ชาติโบเออร์ยื่นต่อชาติอังกฤษ เปนอันเกิดการสงครามขึ้น.

เหตุแลผลของการสงครามคราวนี้ ไม่ได้เกี่ยวข้องกับเรื่องนี้ด้วย เว้นแต่ว่าเมื่อเกิดสงครามขึ้นแล้ว มอริซก็ถูกเรียกกลับไปลอนดอน แลอิกไม่สู้ช้านักกองทหารที่มอริซอยู่ กับกองทหารที่ยอนเก็นเนลกับเกร็กกอรีอยู่ก็ได้รับคำสั่งให้ออกไปรบด้วย.

ส่วนตัวข้าพเจ้าเองนั้น เมื่ออยู่มหาวิทยาลัยได้เคยเปนพลภักดีอาสา รู้จักการทหารไม่ใช่น้อย แต่เมื่อเกิดสงครามใหม่ ๆ ข้าพเจ้าก็ไม่ได้ตั้งใจจะไปรบ เพราะมีธุระที่กำลังติดเบ็ลลาจัดอยู่ แลข้าพเจ้าเข้าใจว่าเวลาที่เกร็กกอรีกับมอริซต้องไปทำการสงครามเสียนั้น ข้าพเจ้าคงมีโอกาศมากที่จะได้เบ็ลลาเปนภริยา เพราะคนไม่อยู่ที่ไหนจะทำให้ผู้หญิงรักเช่นคนอยู่ได้.

แต่การที่ข้าพเจ้าเข้าใจเช่นนี้ ถ้าจะไปคิดว่าเมษายนมี ๓๑ วันก็ไม่ผิดมากกว่า เพราะถึงข้าพเจ้าจะไปอ้อนวอนเบ็ลลา เมื่อมอริซกับเกร็กกอรีได้ออกไปแอฟริกาแล้วสักเท่าใด ๆ ก็หาสมประสงค์ไม่ ดูท่าเขากลับจะทิ้งข้าพเจ้าเสีย ไปเลือกเอาในระหว่างมอริซกับเกร็กกอรีเสียอิก เพราะเขามีความเห็นว่า การสงครามเปนช่องที่จะให้คนหาชื่อเสียงได้ดีกว่าอะไรหมด แลบางคนถ้าสบช่องแล้วจะทำชื่อเสียงในการรบครั้งเดียวได้ดีกว่าที่จะทำตามธรรมดาตลอดอายุ.

เมื่อเบ็ลลามีความเห็นดังนี้ ก็มีอยู่อย่างเดียวแต่ว่าข้าพเจ้าจะต้องไปรบบ้าง เพราะตามความเห็นของเขาเช่นนั้น ต้องแปลว่าเกร็กกอรีกับมอริซเปนคนดี ข้าพเจ้าเปนคนขี้เกียจขลาดดีแต่หดหัวอยู่ในบ้านเมืองของตน แลการที่เบ็ลลาจะเลือกผัวในตัวข้าพเจ้า, มอริซ, เกร็กกอรีนั้น ข้าพเจ้าเปนอันต้องตัดออก ถ้ามอริซไปทำดีกว่าเกร็กกอรีมาก็คงได้เขาเปนภริยา หรือถ้าเกร็กกอรีทำดีกว่ามอริซก็คงได้รับรางวัลวิเศษเช่นนั้นเหมือนกัน

เพราะฉนี้ถ้าข้าพเจ้าไม่ไปรบบ้างแล้ว ก็คงจะสิ้นโอกาศที่จะมีความสุขได้ในชาตินี้เปนแน่ ถ้าข้าพเจ้าไปรบ บางทีข้าพเจ้าจะทำการสำเร็จได้ใหญ่โต เช่นจับเปรซิเด็นต์ครูเกอร์มาได้เปนต้น ถ้าข้าพเจ้าได้โชคใหญ่ถึงอย่างนั้น ก็คงได้รางวัลสมใจ คือเบ็ลลาคงยอมเปนภริยาข้าพเจ้าเปนแน่ รางวัลอันนี้ข้าพเจ้าต้องการมากกว่าได้ช้างเอราวัณ หรือแก้วสารพัดนึกเสียอิก.

การที่ข้าพเจ้าจะออกไปสู่การสงครามนั้นไม่ใช่ของยากนัก เพราะข้าพเจ้าก็ได้รับยุทธศึกษามาบ้างแล้ว พอจะเข้าอยู่ในกองพลภักดีอาสากองใดกองหนึ่งได้ เมื่อตกลงในใจดังนี้แลได้รับอนุญาตจากท่านบิดาแล้ว ข้าพเจ้าก็จัดการเข้าอยู่ในพลภักดีอาสากองหนึ่ง ลาเบ็ลลาแลญาติพี่น้องเพื่อนฝูงลงเรือไปแอฟริกาในสองสามวันนั้นเอง.

กองพลภักดีอาสาที่ข้าพเจ้าออกไปด้วยนั้น อยู่ใต้บังคับเย็นเนราลแค๊ตเอเคอร์ด้วยกันกับกองทหารราบ ที่ยอนเก็นเน็ลกับเกร็กกอรีอยู่ แต่กองที่มอริซอยู่นั้นอยู่ใต้บังคับหลอดเม็ตทวน ซึ่งเปนเย็นเนราลอยู่อิกทางหนึ่ง.

วันที่ ๑๘ พฤศจิกายน หลอดเม็ตทวนได้รบกับกองทัพโบเออร์ที่แม่น้ำมอดเดอร์อยู่ตลอดวัน พวกโบเออร์มีด้วยกันถึง ๑๑,๐๐๐ คนเปนศึกใหญ่ ลงท้ายพวกโบเออร์ทิ้งตำแหน่งที่ได้ตั้งอยู่นั้นเสีย เปนอันอังกฤษชนะ แต่มีทหารแลนายทหารตายหลายคนรวมทั้งกัปตันมอริซด้วย ดังที่แจ้งอยู่ในรายชื่อนายทหารที่ตายคราวนั้นในหนังสือพิมพ์ต่าง ๆ รูปกัปตันมอริซก็เข้าใจว่ามีด้วย.

วันที่ ๑๐ ธันวาคม เย็นเนราลแค็ตเอเคอร์ พยายามที่จะตีปล้นพวกโบเออร์ที่เมืองสะตอมเบิกเวลากลางคืน แต่พวกโบเออร์รู้ตัวเสียแล้ว เย็นเนราลแค็ตเอเคอร์ต้องถอยกลับ เสียทหารแลนายทหารหลายคนรวมทั้งเล็บเต่แนนต์ ยอน เก็นเน็น แลเล็บเตอแนนต์เกร็กกอรีด้วย.

ส่วนตัวข้าพเจ้าเองนั้น เมื่อถอยกลับถูกลูกปืนพวกโบเออร์เฉียดแขนขวาไปลูกหนึ่ง ไม่ทำให้เจ็บมากมายถึงกับเสียชีวิต แต่ถึงกระนั้นก็ต้องอยู่ในพวกถูกอาวุธกลางศึก ที่ไม่ได้รบต่อไปอิก.

เพราะฉนี้ในหมู่พวกเราสี่คน คือ ยอนเก็ลเน็น พี่ชายเบ็ลลา กับ มอริซ เกร็กกอรี แลตัวข้าพเจ้า ที่ได้เคยแวดล้อมประจบประแจงเบ็ลลามานั้น รอดตายมาแต่ข้าพเจ้าคนเดียว แลคนทั้งสามที่เบ็ลลา ไม่แน่ใจว่าจะเลือกคนไหนแน่นั้น เดี๋ยวนี้ งเหลือคนเดียวเท่านั้น เปนอันไม่ต้องให้เขาพะวักพะวนในใจอิก.

เมื่อข้าพเจ้าจะรบต่อไปไม่ได้อิกแล้ว จะอยู่ต่อไปก็ไม่มีประโยชน์ ข้าพเจ้าจึงกลับบ้านแลได้รับรางวัลสมหมาย คือได้หมั้นกับเบ็ลลาในไม่ช้านักนั้นเอง เดี๋ยวนี้เราได้แต่งงานเปนผัวเมียกันแล้ว ข้าพเจ้าแน่ใจว่าทั้งโลกนี้ไม่มีผู้ชายคนไหนจะมีความสุขมากกว่าข้าพเจ้า แลเบ็ลลาก็บอกว่าเขามีความสุขมากกว่าผู้หญิงอื่นในโลกนี้เหมือนกัน เขาบอกไม่ได้แท้ว่าทำไมเขาจึงไม่ยอมแต่งงานกับข้าพเจ้าเสียแต่แรก เพราะเขาก็รักข้าพเจ้ามากกว่าคนอื่น ๆ อยู่แล้ว.

ข้าพเจ้าต้องขอลุกโทษต่อท่านผู้อ่าน ที่ได้ตั้งชื่อเรื่องนี้ว่า “คนเดียวรอดตาย” เพราะถ้าจะว่าให้ชัดแล้วต้องว่า “รอดตายคนเดียว” จึงจะถูก ข้าพเจ้าเกรงว่าเรื่องนี้หาใคร่ต้องกับคำภาษิตที่กล่าวว่า “คนเดียวหัวหายสองคนเพื่อนตาย ฯลฯ” นักไม่ เห็นจะเปนด้วยคำภาษิตนั้นไม่ได้กล่าวไว้สำหรับการสงครามกระมัง.

 

แชร์ชวนกันอ่าน

แจ้งคำสะกดผิดและข้อผิดพลาด หรือคำแนะนำต่างๆ ได้ ที่นี่ค่ะ