เรื่องนางจินตลีลา

ในกาลก่อนมีคฤหบดีคนหนึ่ง เปนบดีแห่งคฤหะซึ่งไม่สู้จะมั่งคั่งนัก ความแร้นแค้นปรากฎในข้อที่ต้องใช้ลูกสาวทำครัวแลปฏิบัติการเปนบ่าวต่าง ๆ คฤหบดีนั้นปราศจากความเปนผู้มีทรัพย์มากแล้วมิหนำ ซ้ำปราศจากทารสันโดษด้วยข้อที่แกมีเมียคนเดียวนั้นจริง แต่ไม่ใช่ด้วยสันโดษในใจของแก เปนด้วยเมียที่มีคนเดียวนั้นเปนอธิราชินีในบ้าน เหมือนรัฐบาลปกครองแว่นแคว้นอย่างเฉียบขาด ออกกฎหมายเองไม่ต้องมีปาลิเม็นต์ เปนศาลพิจารณาพิพากษาคดีซึ่งตนเองเปนโจท แลเปนเจ้านาที่ลงโทษจำเลยตามคำสั่งศาล รวมความว่าเปน ปาลิเม็นต์ ออกกฎหมาย แลเปนเจ้าน่าที่รักษาการให้เปนไปตามกฎหมายเสร็จอยู่ในตัว ส่วนสามีซึ่งขึ้นชื่อเปนคฤหบดีนั้นเปนพลเมืองคนหนึ่งในรัฐแคบซึ่งมีใจของอธิราชินีเปนกฎหมาย แลเมื่อการเปนเช่นนั้น แกก็ต้องมีเมียคนเดียวอยู่เอง มิฉนั้นจะเกิดเหตุถูกรัฐบาลลงโทษฐานเลมิดกฎหมายหรือฐานขบถ แล้วแต่ใจรัฐบาลในขณะที่เกิดเหตุนั้น.

การที่คฤหบดีมีเมียคนเดียวนี้ ผู้ที่ไม่ทราบเหตุก็ชมว่ามีทารสันโดษ ผู้ที่ทราบเหตุก็ไม่ชม หรือกล่าวตรงกันข้ามกับชมด้วยการทำดีเพราะจำเปนต้องทำนั้นมีผู้สรรเสริญน้อย อนึ่งไม่มีใครคิดเลยว่าคฤหบดีคนนั้นอาจมีเมียเกินจำนวนหนึ่งไปได้เปนอันขาด ผู้ที่ไม่สู้จะไว้ใจแน่นอนก็มีคนเดียวแต่รัฐบาลนั้นเอง เพราะพลเมืองได้เคยมีเมียอิกคนหนึ่งในขณะที่รัฐบาลเผลอ จนถึงมีลูกหญิงกับเมียคนนั้น ครั้นรัฐบาลทราบก็เกิดเหตุเหมือนจะมีจลาจลในแว่นแคว้น ปาลิเม็นต์ต้องออกกฎหมายพิเศษทำนองอัยการศึก แลเจ้าน่าที่ฝ่ายปกครองก็ต้องปฏิบัติการลงโทษผู้ทำผิดทั้งสองคน รวมเปนสามทั้งลูกของนักโทษที่ไม่รู้ไม่ชี้นั้นด้วย คนทั้งสามได้รับทุกข์สาหัสจนนางที่เปนภริยาน้อยนั้นระกำใจตาย ลูกสาวเมื่อโตขึ้นพอใช้การได้ ก็ได้รับความข่มขี่อยู่ในครัว แลกระทำการอื่น ๆ เหมือนทาสี เพื่อเปนเยี่ยงอย่างมิให้ใครคิดร้ายต่อรัฐบาลต่อไป.

อธิราชินีของรัฐแคบนี้ มีคำกล่าวว่า ถ้าไม่มีลูกสาวสองคน ก็คงจะเปนผู้มีโทโสร้ายที่สุดในโลก ที่เปนเช่นนี้จะได้เปนด้วยโทโสของแกหย่อนลงไป เพราะมีลูกมาทำให้ใจดีก็หามิได้ ที่จริงเปนด้วยลูกสาวแต่ละคนมีโทโสร้ายเสมอแม่ คนทั้งสามมีใจฉุนเฉียวไม่ยิ่งหย่อนกว่ากัน แม่ไม่ชนะลูกของตนเองในการประชันโทโส จึงไม่ได้เกียรติเปนผู้มีโทโสร้ายกว่าใคร ๆ ในโลก.

ส่วนนางลูกเมียน้อยนั้น ถูกตั้งชื่อว่านางจินตลีลา ด้วยเหตุใดหามีใครทราบไม่ แลคนทั้งหลายย่อมเห็นว่าเปนชื่อที่หาความกันเปล่าๆ นางจินตลีลาเปนสาวน้อยงดงามทั้งทรวดทรงวงหน้า ความงามของนางวิเศษเสมอความขี้ริ้วของทั้งสองผู้เปนลูกเมียหลวง รูปสมบัติยิ่งผิดกัน สองนางยิ่งอิจฉาก็ยิ่งเกลียด นางจินตลีลาก็ได้รับทุกข์ยิ่งขึ้น คฤหบดีใจเปนยุติธรรมก็เกิดสงสาร แลเดือดร้อนในใจยิ่งขึ้น ๆ จนตายไปด้วยความเศร้า นางโทโสร้ายผู้แม่ซึ่งเปนประมุขในบ้านโดยความจริงมาแต่ใด ๆ แล้วนั้น ครั้นคฤหบดีตายแล้วก็ได้เปนประมุขโดยตำแหน่งอิกชั้นหนึ่ง นางโทโสร้ายทั้งสามก็ยิ่งข่มขี่นางจินตลีลายิ่งขึ้นอิก ใช้ก็ใช้ยิ่งทาส เงินค่าจ้างซึ่งถ้านางจินตลีลาเปนคนอื่น ก็จะต้องให้นั้นก็มิได้ให้ เก็บเงินไว้เพิ่มจำนวนที่จ่ายซื้อเครื่องแต่งกายนางสาวโทโสร้ายทั้งสองนาง เพราะนางทั้งสองนั้นต้องการความแต่งมากที่สุด ถ้าไม่แต่งให้เต็มที่ ใครเห็นเข้าก็แทบจะเปนลม.

กล่าววิธีพูดจาปราไส นางทั้งสองจะได้ใช้ถ้อยคำที่ควรใช้กับลูกพ่อเดียวกันก็หามิได้ ในขณะที่นางจินตลีลากำลังทำการในครัว มีกายอันเปื้อนเปรอะ นางผู้เปนพี่สาวเรียกให้มาช่วยแต่งตัว นางผู้เปนน้องจะล้างหน้าแลมือไม่ทัน ก็มาทั้งที่ยังไม่ได้ล้าง ฉนี้นางพี่สาวก็ดุด่าว่า “อีก้นครัว เองมีหน้าเข้ามารับใช้อย่างนี้ก็ได้หรือ เองไปส่องกระจกดูสักทีว่าดินหม้อที่หน้ามีกี่มากน้อย ไปเร็ว ๆ” (ครั้นนางจินตลีลาหันหน้าจะไป พี่สาวก็กลับกล่าวว่า) อย่าไปส่องกระจกให้เสียเวลาเลย รีบไปล้างหน้าเสียเถิด.”

การสั่งเปลี่ยนเปนล้างหน้าแทนส่องกระจกน เปนด้วยพี่สาวกลัวว่า ถ้านางจินตลีลาส่องกระจกเห็นเงางามจะกำเริบว่าตัวสวย เปนเหตุให้ดูถูกพี่สาวในใจเปนอย่างน้อย ส่วนตัวพี่สาวนั้นได้ส่องกระจกวันยังค่ำ ๆ มาช้านาน เงาในกระจกก็ไม่งามขึ้นมาได้ แม้จะแต่งหน้าด้วยของงาม ความงามก็อยู่ที่ของเท่านั้น ความขี้ริ้วกับความงามเปนของที่มีปะปนกันในโลก แต่หาปะปนกันในหน้านางพี่สาวทั้งสองไม่ เพราะความขี้ริ้วได้ผูกขาดตีอาณาเขตรเต็มที่เสียแล้ว ความขี้ริ้วนี้บางทีก็เปนทุกข์แก่เจ้าของนักหนา แต่บางทีก็เลยไปเปนทุกข์แก่ผู้อื่นที่อยู่ใต้อานาจแห่งเจ้าของความขี้ริ้วนั้นด้วย.

ส่วนนางจินตลีลาเมื่อได้รับใช้ในการเรือนวันยังค่ำ ๆ แลได้รับคำดุด่าประจำวันแล้ว เวลากลางคืนมักได้ความสำราญในเวลาหลับ คือฝันรื่นรมย์ต่าง ๆ มักจะเห็นวังซึ่งประดับด้วยมณีอันงาม แลได้พบปะยุวราชาผู้เปนเจ้าของวังนั้น ครั้นตื่นขึ้นก็นึกถึงความในฝัน แลนึกผูกเรื่องติดต่อกันไป ตัวเองเปนนางเอกในเรื่อง ความฝันเมื่อหลับแลเมื่อตื่นเช่นนี้เปนเครื่องสำราญของนาง ทำให้ยิ้มแย้มได้ในเวลาที่ความคิดเฟื่อง บางวันถึงได้วิวาห์กับยุวราชา.

ในพระนครซึ่งนางจินตลีลากับนางโทโสร้ายทั้งสามมีเรือนเปนที่อยู่นั้น พระราชโอรสแห่งพระราชามีพระชนมพรรษา สมควรจะถือว่าเปนคนหนุ่ม พระราชบิดาจึงโปรดให้มีการฉลอง โปรดให้เชิญคนในแลนอกพระนครบรรดาที่เปนผู้มีหน้ามีตา แลทั้งที่มีลูกสาวสวย ๆ ด้วย ความมีหน้ามีตานั้น ถ้าประกอบกับความมีลูกสาวสวย ก็ย่อมเปนเครื่องเชิดชูยิ่งขึ้น ความข้อนี้สามารถอ้างพยานได้สูงที่สุดในโลก คือฤษีบรรพตนั้นมีเกียรติมากก็จริงอยู่ แต่ข้อที่มีลูกสาวสวยนั้นเปนเหตุให้ได้เปนพ่อตาพระอิศวร จึงทำให้มีเกียรติใหญ่ยิ่งขึ้น ผู้ไม่ทราบพึงทราบว่า ฤษีบรรพตนั้นคือเขาหิมาลัยเปนชนกของพระอุมา แลเมื่อเราจะอ้างพยานสูงมีเกียรติใหญ่ไซร้ ถ้าใครเห็นว่าเขาหิมาลัยยังไม่สูงแลใหญ่ก็จนใจ.

ส่วนในพระนครแห่งพระราชาผู้มีพระโอรสทรงชนมายุควรจะถือได้ว่าเปนหนุ่ม แลโปรดให้มีการฉลองนั้น ชนทั้งหลายช่วยกันปิดความลับกระซิบแซ่กันไปว่า พระยุพราชจะทรงเลือกชายาในหมู่นางสาวที่ไปในงานหลวง หญิงทั้งหลายที่รู้ตัวว่าไม่งามเพียรโดยประการต่าง ๆ จะทำตัวให้งามขึ้นมาให้จนได้ ที่คิดว่าตนงามอยู่แล้วก็เพียรจะให้งามขึ้นอีก บางพวกรู้ว่าความเห็นงามนั้น แล้วแต่ตาผู้ดู หญิงที่นายเขียวเห็นสวย นายแดงอาจไม่เห็นสวยเลยก็เปนได้ นางสีดาซึ่งกล่าวกันว่างามนักงามหนานั้น บางคนเห็นว่างามหนายิ่งกว่างามนัก งามหนาในที่นี้หมายความว่างามอวบ ๆ ไม่ใช่งามเอวเล็กเอวบาง นางสีดาจึงเลยถูกหาว่าตะโพกสุดเสียงสังข์ จะเรียกว่าเปนคำชมนั้นไม่ได้เปนอันขาด ส่วนนางมณโฑนั้นเล่า ก็กล่าวกันว่างามมิใช่เล่น แต่ใคร ๆ ก็ย่อมทราบว่านางมณโฑถันโตข้างเดียว ไม่ใช่ลักษณะงามเปนแน่ แต่ถึงกระนั้น เพราะคนแลรากษสเห็นงามต่างกัน ทศกัณฑ์ซึ่งคนทั้งหลายย่อมทราบว่าโอษฐ์เบี้ยวยังอุตส่าห์ไปเกี้ยวนางมณโฑได้.

หญิงในพระนครที่ทราบความจริงข้อนี้ ต่างคนก็นิ่งอมความรู้ไว้ ไม่บอกให้เพื่อนบ้านทราบ ต่างคนเที่ยววิ่งสืบว่าพระยุพราชโปรดความงามชนิดไหน บางพวกได้ยินจากกุลที่เคยหาบถ่านไปส่งครัวเครื่องต้นว่า ได้เคยทราบจากอธิบดีครัวว่า ได้เคยทราบจากพวกยกเครื่อง ซึ่งได้เคยฟังจากพวกล้างจานเครื่อง ฯลฯ ฯลฯ ทราบต่อ ๆ กันมาว่า พระยุพราชเคยรับสั่งประมาณ ๒ ปีมาแล้ว ว่านางสีดาคงจะงามนักหนา จึงขึ้นชื่อลือนามถึงเพียงนั้น เมื่อได้ยินดังนี้ นางสาวที่รูปอวบก็ยินดีซาบซ่านไปทั้งตัว แลถ้านึกว่าตัวยังไม่อวบพอ ก็รับกินเข้ากับเปลวหมูโดยเพียรจะให้ตะโพกสุดเสียงสังข์ตามลักษณะนางสีดาให้จนได้.

นางสาวบางคนได้ข่าวว่า พระยุพราชเคยตรัสว่านางมณโฑคงจะงามไม่น้อย ลิงเขียวตัวอ้าปากผู้เปนพ่อลิงเขียวตัวหุบปาก จึงลงทุนประกอบกรรมเปนบาป คือแย่งนางจากรากษสสิบหัวผู้เปนเจ้าของ ถ้านางมณโฑไม่สวยจับใจลิง ๆ ก็คงไม่ทำเช่นนั้น เพราะถึงจะเปนลิงก็ลิงอย่างวิเศษ ประกาศตัวว่าเปนลูกพระอินทร์ด้วยซ้ำ คำที่พระยุพราชเคยตรัสเช่นนี้ อาจเปนเหตุให้นางสาวบางคนทำอะไรแปลก ๆ โดยประสงค์จะมีลักษณะอย่างนางมณโฑบ้างกระมัง แต่จะได้ทำอะไรแลทำอย่างไรนั้น ไม่มีใครได้จดจำไว้ จะนึกเอาเดี๋ยวนี้ก็นึกไม่ออกเปนอันจนปัญญาจริงๆ.

หญิงบางพวกได้ยินข่าวว่า พระยุพราชโปรดนางผิวเนื้อเหลือง นางที่เปนโรคดีพิการก็ยินดีโลดโผนจนโรคกำเริบตายลงไปกับที่ บางนางโรคไม่มาก หรือจะเปนด้วยเหตุอะไรก็แล้วแต่แพทย์จะช่วนอธิบาย ครั้นได้ทราบข่าวที่เกิดขึ้นรมย์ในใจจนหายโรค แต่เมื่อโรคหมดไปแล้ว ความมีผิวเหลืองก็หมดไปด้วย ความสิ้นโรคกลับเปนเครื่องให้ทุกข์ใหญ่ กล่าวกันว่าบางคนตายเพราะหายโรคก็มี.

ฝ่ายลูกสาวโทโสร้าย ๒ คนของคฤหปัตนีโทโสร้ายนั้น รู้ตัวว่าอยู่ในเกณฑ์ที่จะได้รับเชิญ ต่างคนยิ้มย่องในใจ พูดกันโหลละ ๑๓ คำด้วยเรื่องเครื่องแต่งที่จะประดับกายไปในงาน เวียนแต่ส่องกระจกวันยังค่ำ ๆ หน้าก็ไม่งามขึ้นได้สมใจอยาก ครั้นได้ข่าวว่า พระยุพราชโปรดนางสีดาก็บำเพ็ญพรตกินเข้ากับเปลวหมู ภายหลังได้ยินว่าเปลี่ยนไปโปรดนางมณโฑ ก็ตรึกตรองจะเปลี่ยนไปบำเพ็ญพรตอีกทางหนึ่ง แต่จะได้ตกลงทำอย่างไรเหลือที่จะเดาได้.

ส่วนการตระเตรียมที่พึงสำเร็จได้ แลหญิงทั้งหลายย่อมทำแม้ในสมัยนี้ คือจัดเตรียมเครื่องแต่งกายไว้แต่เนิ่นเปนต้นนั้น นางทั้งสองได้ทำเต็มที่ แลนางจินตลีลาถูกใช้เหน็ดเหนื่อยเจียนจะสิ้นชีวิต ไม่ใคร่มีเวลาฝันถึงวังแก้วแลเจ้าชายหนุ่มผู้ทรงรูปงาม ไม่มีเวลาฝันถึงตัวเองเปนนางเอกในเรื่องซึ่งยังไม่เกิดตามปราถนา.

ครั้นถึงวันงาน นางโทโสร้ายทั้งสองก็เร่งร้อนเตรียมการตั้งแต่เช้าจนค่ำ ผัดหน้าเร็วเกินไปจนต้องผัดใหม่แล้วผัดอีกเล่า เกล้าผมเร็วเกินไปจนกลับยุ่ง ต้องเกล้าใหม่แล้วยังยุ่งเล่า เท้านำเบอร์ ๕ ก็ยัดลงไปในเกือกนำเบอร์ 4 และเพราะกลัวจะเกิดเดือดร้อนด้วยเกือกกับเท้าขาดความคุ้นเคยกัน จึงรีบสวมเกือกเสียแต่ตอนกลางวัน โดยหวังให้เกิดไมตรีระหว่างเท้ากับเกือก แต่ความส้องเสพย์แต่เนิ่นกลับให้ความทุกข์เนิ่น เพราะเท้าที่ไม่จำเปนต้องเจ็บก่อนค่ำนั้น ก็ลงมือเจ็บเสียแต่ตอนกลางวัน เปนเหตุให้โทโสของนางทั้งสองเปลี่ยนขนาดเปนโทโส นางจินตลีลาผู้รับใช้ก็ได้รับความเกรี้ยวกราดยิ่งขึ้น.

การแต่งตัวของนางทั้งสองนั้น แม้จะมีอาการไม่รู้แล้ว ในที่สุดก็ต้องแล้ว เพราะถ้าไม่แล้วก็จะไม่ได้ไปงานหลวง ครั้นถึงเวลาอันควร นางทั้งสองกับมารดาก็พากันออกจากเรือนไป นางจินตลีลาเหน็ดเหนื่อยเหลือกำลัง ทั้งได้รับคำดุด่าเกรี้ยวกราดยิ่งไปกว่าปรกติ ครั้นเขาไปกันหมดแล้ว เหลืออยู่แต่ตัวคนเดียว เกิดความแค้นเคืองเหลือจะอดกลั้นได้ นางก็ซบหน้าลงร้องไห้เหมือนอกจะหักอยู่กับที่.

สักครู่หนึ่งมีลมพัดเย็นมาถูกตัว เหมือนหนึ่งในฤดูหนาวมีผู้เปิดประตูให้ลมเย็นเข้ามาในห้องที่มีเตาไฟอบอุ่น นางจินตลีลาเงยหน้าขึ้นดู เพราะคิดว่าใครเปิดประตู แต่ประตูที่ปิดอยู่อย่างเก่า ในทันใดนั้นมีหมอกสีนิลลอยเปนกลุ่มอยู่ใกล้ตัวนาง หมอกนั้นสีแก่ขึ้นแล้วมีรัศมีส่องออกรอบ อิกประเดี๋ยวกลายเปนนางทิพย์ปรากฎแก่ตานางมนุษย์ นางนั้นแต่งตัวด้วยเครื่องแก้วซึ่งวับวามไปทั้งตัว จะหาที่ด้านในกายนางแม้นิ้วจตุรัศร์เดียวก็หามิได้ ในหัตถ์นางทิพย์มีไม้เท้าประดับด้วยมณี ในเนตร์มีความกรุณาซึ่งเปนสิ่งประเสริฐยิ่งแก้ว นางจินตลีลานั่งดูเพลิน จนนางทิพย์ยิ้มแล้วกล่าวว่า “เจ้าจงกลั้นความเศร้าแลเล่าความทุกข์ให้แม่ฟังเถิด.”

นางจินตลีลากลืนความสอื้นยินยอมเปนลูกนางทิพย์ในทันที กล่าวว่า “ลูกอยากจะไป–––” แต่พูดไม่ขาดคำก็กลับร้องไห้ไปอิก.

นางทิพย์กล่าวว่า “เจ้าอยากเพราะแม่ต้องการให้อยาก แลที่แม่มานี้ก็เพราะจะให้ความอยากของเจ้าสำเร็จ หมายใจของเจ้าอยากไปในงานหลวง แต่เจ้าไม่รู้ใจของเจ้าเอง แม่จึงต้องมาบอกให้ แลจะให้เจ้าได้ไปตามประสงค์ แม่เปนวิทยาธรี แลเจ้าเปนลูกบุญธรรมของแม่ มารดาของเจ้าเปนสหายของแม่ในเมืองวิทยาธร วานให้แม่มาจัดการให้เจ้าได้ความสุข มารดาของเจ้างามนัก แลเจ้าก็งามไม่ผิดมารดา เจ้าจงหยุดร้องไห้เสียเถิด เราจะช่วยกันเตรียมการให้เจ้าได้ไปในงานหลวง.”

ครั้นนางจินตลีลากลั้นสอื้นเช็ดน้ำตาแห้งแล้ว นางวิทยาธรก็ถามว่า “ในส่วนข้างเรือนนี้มีฟักทองบ้างหรือไม่.”

นางจินตลีลาปลาดใจที่ถามถึงฟักทอง เกี่ยวอะไรกับการที่จะได้ไปงานหลวง แต่เมื่อของปลาดเกิดขึ้นจนถึงมีนางวิทยาทรเข้ามาอยู่ในห้องเช่นนั้นแล้ว ความปลาดอื่น ๆ ก็อาจเกิดได้ทั้งนั้น นางจึงตอบว่า ฟักทองมีอยู่ในสวนผักเปนอันมาก แล้วออกจากเรือนพานางวิทยาธรไปเลือกเก็บตามต้องการ.

นางวิทยาธรชี้ฟักทองผลหนึ่งด้วยไม้เท้าแล้วกล่าวว่า “ผลนั้นใหญ่กว่าผลอื่น ทั้งมีรูปงามราวกับบุษบก เจ้าจงเก็บมาเถิด.”

ครั้นนางจินตลีลาเก็บฟักทองผลใหญ่ได้แล้ว นางวิทยาธรก็เดินนำกลับไปที่ประตูน่าเรือน รับฟักทองจากนางจินตลีลา หยิบมีดออกมาฝานแลแกะฟักทองเหมือนรูปรถ ครั้นเสร็จแล้วก็วางรถแกะฟักทองลงกับดิน แล้วเอาไม้เท้าเขี่ย ทันใดนั้นรถฟักทองก็กลายเปนรถใหญ่ล้วนแล้วด้วยชมพูนุท ปรากฎความงามแลความมีค่าประหนึ่งบุษบกของท้าวกุเวร.

นางจินตลีลาปลาดใจตกตลึง เกิดความยินดีซาบซ่านไปทั้งตัว มิรู้จะว่ากระไรก็นิ่งอยู่.

นางวิทยาธรกล่าวว่า “ได้รถสำเร็จแล้ว ทีนี้จะต้องหาม้าที่งามสมกับรถ เจ้าได้วางกรงดักหนูไว้ในเรือนบ้างหรือไม่.”

นางจินตลีลาตอบว่า “ลูกได้วางกรงดักหนูไว้ในเรือนเมื่อตอนเย็นนี้เอง เคยจับได้หลาย ๆ ตัว บางวันจับหนูได้ทั้งสกุล.”

นางวิทยาธรกล่าวว่า “ถ้าเช่นนั้นเจ้าจงไปยกกรงมาเถิด เราต้องการหนูผีอย่างน้อยหกตัว.

นางจินตลีลาได้ฟังดังนั้นก็วิ่งเข้าไปในเรือนยกกรงดักหนูออกมาให้นางวิทยาธร ในกรงนั้นมีหนูผีหกตัว คือพ่อตัวหนึ่ง แม่ตัวหนึ่ง บ้าซึ่งยังเปนนางสาวตัวหนึ่ง กับลูกหนูซนสามตัวซึ่งเปนเหตุให้เข้าไปติดกรงด้วยกันทั้งครอบครัวหนู.

นางวิทยาธรกล่าวว่า “พอแล้ว ได้หนูผีตามจำนวนที่ต้องการ แต่เราจัดการเร็วเกินไปสักหน่อย ในกรงนี้มีม้างามถึงหกตัว แม้ดูยังไม่เหมือนม้าเจ้าก็จงเชื่อเถิดว่าม้า แต่เมื่อมีม้าแล้วก็จะต้องมีสารถี เจ้ามีอะไรที่จะเปนสารถีได้บ้าง.”

นางจินตลีลา “หนูท้องขาวได้หรือไม่ได้ ลูกได้วางกรงดักไว้ในครัวอิกกรงหนึ่ง เปนกรงชนิดที่จับหนูได้เปน ๆ เพราะถูกคิดว่าหนูชอบถูกจับเปนยิ่งกว่าถูกจับตาย แม้จะถูกเอากรงแช่น้ำภายหลังก็ตายเย็นปราศจากความเจ็บปวด.”

นางวิทยาธร “เจ้าจงไปยกกรงมาเถิด เพราะเราจะต้องมีสารถีเสียก่อนจึงควรมีม้า.”

นางจินตลีลาวิ่งไปยกกรงดักหนูมาจากในครัว ในกรงนั้นมีหนูท้องขาวสามตัว นางทั้งสองก็ก้มดูหนู แล้วนางจินตลีลากล่าวว่า “ตัวอ้วนนี้ดีกว่าตัวอื่น เพราะมีเคราที่แก้มเปนพวงงามทั้งสองข้าง คงจะเปนสารที่มีสง่ามาก.”

นางวิทยาธร “เจ้าว่าถูก แม่กำลังคิดเช่นเดียวกัน เพราะดูเหมือนมันจะเปนผู้รู้จักเอาใจม้าอยู่ด้วย.”

นางวิทยาธรกล่าวดังนั้นแล้ว ก็บอกให้นาง จินตลีลาปล่อยหนูตัวใหญ่ออกมาจากกรง แล้วเอาปลายไม้เท้าเขี่ยตัวหนู ทันใดนั้นก็เกิดเปนสารถีอ้วนมีเคราเปนพวงที่แก้ม ยืนตัวตรงยกมือขึ้นทำวันทยหัตถ์ราวกับทหารที่หัดมาหลายปี.

นางวิทยาธรกล่าวว่า “เจ้าจงเปิดประตูกรงปล่อยหนูผีออกมาทีละตัว ๆ” ครั้นนางจินตลีลาทำตาม แลหนูหลุดออกมาจากกรง นางวิทยาธรก็เอาไม้เท้าเขี่ย หนูฝึกกลายเปนม้างามที่สุดผูกเครื่องงามสมกับรถ สารถีก็จูงม้าไปเทียมรถทั้งหกตัว เปนรถแลม้าวิจิตร์ยิ่งพาหนะแห่งพระราชกุมาร

นางวิทยาธรกล่าวว่า “ยังไม่พร้อมเสร็จ ยังขาดของสำคัญคือเสวก เจ้าจงรีบไปที่มุมสวนข้างโน้น หาดูที่ข้างหม้อน้ำแตกคงจะพบรังมีกิ้งก่าหกตัว เจ้าจงจับกิ้งก่าเหล่านั้นมา.”

นางจินตลีลาก็วิ่งไปทำตามสั่ง อิกประเดี๋ยวจับกิ้งก่ามาได้ นางวิทยาธรก็เอาไม้เท้าเขี่ยที่ตัวกิ้งก่า ๆ ก็กลายเปนเสวก แต่งเครื่องสีม่วงอ่อน กับทองงามเหมือนเสวกในพระราชวัง ต่างคนก็เตรียมคอยอยู่ตามที่.

นางจินตลีลาพิศดูรถม้าแลคนเห็นงามเหลือจะพรรณนาได้ ครั้นดูตัวเองเห็นเสื้อผ้าขาดรุ่งริ่งก็หน้าสลด กล่าวว่า “ลูกจะแต่งตัวเช่นนี้ขี่รถงามไปในงานหลวงอย่างไรได้ คนทั้งหลายเห็นเข้าก็จะหัวเราะเย้ยหยัน.”

นางวิทยาธรหัวเราะกล่าวว่า แม้ได้เห็นถึงเพียงนั้นแล้วยังไม่เชื่อสนิทอิกหรือ พูดพลางนางเอาไม้เท้าเคาะบนบ่านางจินตลีลา ทันใดนั้นนางก็เปลี่ยนจากเด็กหญิงเปื้อนซึ่งแต่งกายด้วยเสื้อผ้า โสมม เปนนางสวยสอาดแต่งกายด้วยเครื่องทิพย์ ตั้งแต่ผมซึ่งเกล้าเปนมวยงาม ประดับด้วยดอกไม้เพ็ชร์จนถึงเท้าซึ่งสวมถุงแพรอย่างวิเศษ.

นางจินตลีลาพิศดูเครื่องแต่งตัวด้วยเนตร ซึ่งลืมกว้างด้วยความปลาดใจ ครั้นเห็นยังขาดอยู่อย่างหนึ่ง จึงกล่าวว่า “ลูกได้แต่งกายพร้อมแล้วด้วยเครื่องอันงามทุกประการ ตลอดถึงเท้าซึ่งสวมถุงแพรอย่างเอก แต่เกือกนั้นอยู่ไหนเล่า.”

นางวิทยาธรกล่าวว่า “นั่นแหละของสำคัญ (นางพูดพลางหยิบเกือกออกมาคู่หนึ่ง แล้วกล่าวต่อไปว่า) เกือกแก้วทำด้วยแก้วก็จริงอยู่ แต่เปนของใช้ได้ เกือกแก้วคู่นี้คนในแสนคนก็ไม่ใช้ได้คนหนึ่ง เว้นแต่จะใช้เปนภาชนะสำหรับเขี่ยบุหรี่หรือเพื่อประโยชน์เช่นกัน การที่จะใช้เกือกแก้วเปนเครื่องรองเท้านั้น เท้ากับเกือกต้องเหมาะกันอย่างที่สุด แลแม่ไม่เชื่อว่ามีใครอื่นในโลกนี้ที่จะใช้เกือกนี้ได้นอกจากเจ้าเอง.”

นางจินตลีลารับเกือกมาลองค่อย ๆ สวมเข้าที่เท้า ไม่กล้าทำผลุนผลัน เพราะเกือกที่ทำด้วยแก้วนั้นจะต้องวัดเท้าให้พอดีจริง ๆ จึงจะสวมได้ แต่เกือกกับเท้านั้นพอดีกันยิ่งกว่าที่ช่างทำเกือกคนใดจะอาจวัดให้เหมาะได้ ดูประหนึ่งเท้าทำสำหรับเกือก หรือจะว่าเกือกทำสำหรับเท้าก็ตามที.

นางจินตลีลาแต่งกายพร้อมแล้วดังนี้ ก็พร้อมที่จะไป รถก็พร้อมจะรับนางขึ้นนั่ง ม้าก็พร้อมที่จะออกวิ่ง สารถีก็ขึ้นนั่งที่แลพร้อมที่จะขับม้า เสวกก็พร้อมอยู่ตามตำแหน่ง.

นางวิทยาธรกล่าวว่า “มีข้อสำคัญข้อหนึ่ง ซึ่งเจ้าต้องจำให้แม่น อย่าลืมแลอย่าเผลอเปนอันขาด ของแปลก ๆ ที่เกิดแล้วในบัดนี้ จะเปนไปได้เพียงเวลาเที่ยงคืนเท่านั้น เมื่อนาฬิกาตีเที่ยงคืนสิ้นเสียงแล้ว ของเหล่านี้จะกลับกลายไปหมด เจ้าต้องกลับจากงานก่อนเวลาเที่ยงคืน มิฉนั้นเจ้าจะได้รับความเดือดร้อนสาหัส เพราะเมื่อนาฬิกาตี ๑๒ สิ้นเสียงแล้วรถจะกลายเปนฟักทอง สารถีจะกลับเปนหนูท้องขาว ม้าจะเปนหนูผี เสวกจะเปนกิ้งก่า แลเครื่องแต่งของเจ้าจะกลับเปนเสื้อผ้าสกปรกอย่างเก่า เจ้าจะกลายเปนทาสที่เขาใช้อยู่ในครัว แต่เข้าไปยืนอยู่ในท่ามกลางสมาคมในพระราชวัง เปนเครื่องให้เขาเย้ยหยัน เพราะฉนั้น เจ้าต้องอย่าลืมเปนอันขาด ว่าของเหล่านี้จะเปนไปได้แต่เพียงเที่ยงคืนเท่านั้น”

นางจินตลีลากล่าวว่า “แม่อย่าวิตกเลยลูกจะไม่ลืมเปนอันขาด.”

ครั้นนางขึ้นนั่งบนรถแล้ว สารถีก็ฟาดปลายแซ่ ม้าก็ออกวิ่งพารถไปสู่พระราชวัง นางวิทยาธรยืนดูรถจนพ้นไปแล้วก็อันตรธานไป.

* * * * * *

คืนนั้นสว่างด้วยแสงเดือน พระจันทร์องค์ที่ส่องฟักทองอยู่ที่สวนผักนั้น ก็ส่องพระราชวังแลพระราชอุทยานด้วย ภายในพระราชวังอันเปนที่สมาคมนั้น เทียน ๕,๐๐๐ ดวงส่องแสงฉายถูกพื้นซึ่งมันเปนเงา เสียงน้ำพุตกอยู่ตามมุมเปนเครื่องเย็นแก่ผู้ร้อน กลิ่นดอกไม้หอมกระหลบทำให้เกิดเบิกบานทั่ว เสียงดลตรีไพเราะเปนจังหวะให้หญิงกับชายเปนคู่ ๆ ย่างเท้าหันเวียนรอบไปในห้องกว้าง เรียกว่า “เต้นรำ” แต่จะได้มีใครเต้นหรือมีใครรำนั้นหามิได้ หญิงชายเปนคู่ ๆ ซึ่งมิได้เต้นเลมิได้รำ แต่กำลังเต้นรำอยู่นั้น ต่างก็แต่งกายโอ่อ่าเปนเครื่องชูเกียรติ ความงามแห่งเครื่องแต่งกายสมกับความงามแห่งคน แลสมกับความงามแห่งห้อง ซึ่งประดับด้วยเครื่องแต่งอย่างวิเศษ อันผู้ไม่เคยเห็นย่อมเห็นเปนที่พิศวง.

ส่วนพระราชอุทยานในบริเวณพระราชวังตามซุ้มแลพุ่มไม้ซึ่งมีระยะอันงาม ก็แต่งด้วยโคมสีเหลือจะนับจำนวน คู่หญิงชายที่เต้นรำเหนื่อยแล้วก็ดี ที่หลีกการเต้นรำออกไปแสวงระโหฐานก็ดี ต่างพากันเดินไปมาแลนั่งในที่กำบัง สนทนากันด้วยสำเนียงกระซิบ หรือพูดกันด้วยตาซึ่งพูดคล่องแลแจ่มแจ้งยิ่งกว่าปาก พระจันทร์ทรงกรุณานางสาว ๆ ก็เสด็จหลบหลังเมฆในขณะที่ความกระดากของนางทำให้เลือดขึ้นหน้า แล้วเสด็จออกจากความบังแห่งเมฆเพื่อส่งให้เห็นความงามในขณะที่นางยิ้ม หนุ่มแลสาวต่างได้รับความสำราญอันเกิดในวัยรุ่น พวกที่เปนผู้ใหญ่ก็สำราญ ด้วยเห็นความสำราญของหนุ่มสาว เว้นแต่พ่อแม่ชนิดที่เห็นว่าความรักระหว่างหญิงกับชายเปนกาลกิณีแก่โลก จำเปนต้องป้องกันมิให้ความเสนหาเปนเครื่องนำวิวาห์ แลคอยเกียดกันมิให้หญิงกับชายรักกันได้ นอกจากนี้ชนทั้งหลายที่ได้รับเชิญมาในงานหลวงต่างก็มีใจรื่นเริงทั่วกัน หรือถ้าจะมีเว้นอิกพวกหนึ่ง ก็คือพวกที่รุ่มร้อนในใจเกรงพระยุพราชจะไม่เลือกตน หรือลูกหลานของตนเปนพระชายา.

ครั้นเวลาประมาณ ๙ นาฬิกา คนทั้งหลายที่อยู่ในสมาคม ต่างรู้สึกว่ามีอะไรมาแปลก อิกครู่หนึ่งเห็นเจ้าพนักงานผู้ใหญ่ในพระราชวัง เที่ยวเดิรแหวกคนมองหาพระยุพราช ครั้นเห็นพระองค์ก็ตรงเข้าไปทูลว่า.

“ข้าแต่พระยุพราช บัดนี้มีพระราชกุมารีหนึ่งเสด็จมาถึงน่าพระราชวัง แลแสดงประสงค์จะเสด็จเข้ามาช่วยงาน เธอทรงพระนามอะไรเธอไม่ตรัสบอก แต่ข้าพเจ้าจะทูลได้ว่า เธอเปนนางมีเกียรติซึ่งจะห้ามไม่ให้เข้ามานั้นไม่ได้เปนอันขาด ราชกุมารีองค์นี้งามเหมือนเทพธิดา มีสง่าเหมือนพระราชินี เครื่องประดับพระองค์ราวกับเครื่องทิพย์ แม้มณีซึ่งประดับเกศาเท่านั้นก็มีค่ายิ่งกว่าดินแดน ๑,๐๐๐ โกรศจตุรัศร์ พระองค์จงเชื่อข้าพเจ้าว่านางองค์นี้เปนราชกุมารีทรงเกียรติอย่างสูงสุด เชิญเสด็จพระองค์ออกไปรับนางเถิด.”

พระราชกุมารได้ทรงฟังดังนั้นก็เสด็จออกไปยังประตูวังพบนางนั่งคอยอยู่ในรถ พระยุพราชตลึงไปด้วยความงามแห่งนาง นึกไม่ออกว่าจะตรัสประการใด จึงยื่นพระหัตถ์ไปรับนางลงจากรถ กางพระกรให้เกาะพาดำเนิรเข้ามาตามทางในสวน หญิงชายซึ่งอยู่ในที่นั้นเห็นคนงามยิ่งความนึก ต่างก็หยุดหายใจหรือสดุ้งขึ้นด้วยความเห็นปลาด ครั้นพระราชกุมารพานางเข้าไปถึงห้องเต้นรำ การเต้นรำก็หยุดไปเอง สำเนียงดนตรีก็หย่อนลงไปจนเกือบหยุด คนทั้งหลายหยุดยืนตลึงแลดูนางซึ่งพระราชกุมารทรงจูงเดิร เสียงกระซิบกันว่า “นางนี้ช่างงามจริง” แล “เราเกิดมายังไม่เคยเห็นอะไรงามเช่นนี้.”

ฝ่ายพระราชาก็ตกตลึงอย่างเดียวกับคนอื่น ๆ แลทรงกระซิบตรัสแก่พระราชินีว่า “นางนี้ช่างงามจริง นางทำให้ข้านึกถึงเธอเมื่อครั้งกระโน้น” พระราชินีทรงได้ยินพระราชาตรัส ก็ทรงเข้าใจว่า นางซึ่งเปนแขกมานั้นคงจะต้องงามจริง พระราชาจึงตรัสเปรียบกับองค์พระราชินีเมื่ออยู่ในวัยสาว ทรงคิดดังนี้จึงทูลตอบพระราชสามีว่านางนั้นงามจริง.

ฝ่ายพระยุพราชเมื่อพานางเข้าไปถึงที่ประทับ ก็ทรงนำเฝ้าพระราชบิดามารดา แล้วทรงพานางออกมาเต้นรำ ดลตรีซึ่งเบาลงไปเมื่อนางเสด็จถึงก็กลับบรรเลงดังขึ้น คู่หญิงแลชายทั้งหลายก็กลับลงมือเต้นรำกันใหม่ แต่ไม่ช้าต่างคู่ก็ต่างหยุดยืนชมพระราชกุมาร แลนางเต้นรำอยู่คู่เดียว นับประสาแต่ใคร แม้นางโทโสร้ายทั้งสองก็เว้นชมไม่ได้ แต่ไม่รู้ว่านางที่อยู่กับพระยุพราชนั้น คือน้องสาวของตัว ซึ่งใช้เปนทาสีอยู่เมื่อตอนหัวค่ำนั้นเอง.

นางจินตลีลาได้รับความสำราญเสมอฝัน เวลาก็ล่วงไปเร็วเกินสังเกต ครั้นถึงเวลาเลี้ยงนาง ด้รับเลี้ยงเสร็จแล้ว พระยุพราชทรงยื่นพระกรจะพานางไปเต้นรำอิก พะเอินนางเหลือบไปเห็นนาฬิกาอิกสองนาทีจะถึงเวลาเที่ยงคืน นึกได้ถึงคำที่นางวิทยาธรสั่งไว้ก็ตกใจเปนกำลัง ทั้งรู้สึกทุกข์ขึ้นมาในทันที เพราะนางรักยุพราชดังซึ่งพระยุพราชทรงรักนาง แต่ไม่มีเวลาที่จะรั้งรอได้ มิฉนั้นจะกลับกลายเปนเด็กหญิงเปื้อนปกคลุมกายด้วยเสื้อผ้าสกปรก รถก็จะกลายเปนฟักทอง สารถีแลม้าก็จะกลายเปนหนู เสวกก็จะเปนกิ้งก่า คนทั้งหลายก็จะเย้ยหยันได้ นางนึกดังนี้ก็หลีกจากยุพราชรีบเดิรฝ่าหมู่คนไป ครั้นพ้นห้องเต้นรำก็ออกวิ่งราวกับเนื้อวิ่งหนีเสือ ครั้นถึงบันไดได้ยินเสียงนาฬิกาตี นางก็รีบโจนลงบันไดก้าวละ ๓ คั่น พะเอินเกือกแก้วหลุดไปข้างหนึ่ง จะหยุดเก็บก็ไม่กล้าหยุด รีบวิ่งต่อไปจน เห็นรถแลม้าเตรียมคอยอยู่ แต่ครั้นนางวิ่งไปถึงรถก็พอสิ้นเสียงนาฬิกาที่ ๑๒ รถก็กลายเปนฟักทอง มีหนูผี ๖ ตัว กับหนูท้องขาวตัว ๑ ช่วยกันกัดกินรถ กิ้งก่าต่างก็ออกวิ่งหนีไป ส่วนเครื่องแต่ตัวนางนั้น ก็กลายเปนเสื้อผ้าทาสีอย่างเก่า.

นางจินตลีลาเห็นดังนี้ ก็ตกใจรีบวิ่งกลับบ้าน ครั้นถึงก็ตรงเข้าไปในครัวอันเปนที่สำนัก นั่งลงในที่อันเคยแล้วจึงรู้สึกว่า แม้รถแลม้า สารถีแลเสวก ทั้งเสื้อผ้าทิพย์ทั้งปวง ได้เปลี่ยนแปลงไปหมดแล้วก็จริง แต่เกือกแก้วยังอยู่ข้างหนึ่ง.

นางจินตลีลานั่งนึกถึงเกือกแก้วแลการที่เปนไปแล้วในคืนนั้น ไม่ทันรู้ว่านางวิทยาธรมายืนอยู่ข้าง ๆ จนได้ยินเสียงว่า “อย่างไรบ้างเล่าเจ้า ถึงเจ้าจะลืมเวลา จนสิ่งอื่นกลับกลายไปหมด เกือกแก้วก็คงจะยังอยู่ เพราะเปนของจริงซึ่งแม่ได้พามาด้วย แต่เพราะเหตุใดเกือกนั้นจึงเหลือข้างเดียว.”

นางจินตลีลาตอบว่า “ลูกกำลังวิ่งรีบกลับเกือกหลุดตกอยู่ที่บันไดวังข้างหนึ่ง” เท่านั้นแล้วก็นั่งร้องไห้.

นางวิทยาธรกล่าวว่า “เกือกหลุดไปเสียแล้วก็ช่างเถิด คงจะมีผู้เก็บไว้ได้ เจ้ามีความประมาทมาก แต่โชคของเจ้าก็คงจะไม่เลวนัก จงคอยดูเถิด” นางจินตลีลากำลังก้มหน้าร้องไห้ ได้ยินนางวิทยาธรกล่าวดังนั้นก็เงยหน้าขึ้นดู แต่นางวิทยาธรหายไปเสียแล้ว

ในทันใดนั้น พี่สาวโทโสร้ายทั้งสองคนกลับมาถึง เปนเวลารื่นรมย์เพราะปลื้มใจที่ได้ไปในงานหลวง มิได้กล่าวเกรี้ยวกราดต่อนางผู้เปนน้อง กลับเล่าถึงความรื่นเริงในงาน กล่าวว่ามีพระราชกุมารีองค์หนึ่งไปในงานนั้น เปนนางงามยิ่งมนุษย์ ทรงอัธยาศัยอ่อนโยนดีที่สุด จนถึงนางโทโสร้ายทั้งสองได้เฝ้าเพ็ดทูลถึงพระองค์ รู้สึกเหมือนกระจกซึ่งพลอยมีรัศมี เพราะได้ฉายแสงพระอาทิตย์ พระราชกุมารนั้นเสด็จจากพระราชวังโดยด่วนเมื่อเวลาเที่ยงคืน พระยุพราชทรงเร่าร้อนพระหฤทัยเจียนจะคลั่ง นางเสด็จไปแล้วจะติดตามก็ไม่พบ ไม่มีอะไรทิ้งอยู่เปนที่รลึก นอกจากเกือกแก้วข้างหนึ่งซึ่งพระยุพราชทรงเก็บได้บนบันไดวัง ส่วนความสนุกอย่างอื่น ๆ นั้นก็มากมายเหลือที่จะนำมาเล่าได้หมด แต่ถึงแม้นางทั้งสองกล่าวว่าเล่าไม่หมด ก็เก็บมาเล่าได้มาก มีอาการเหมือนหนึ่งจะไม่หลับไม่นอนในคืนวันนั้น ใครแต่งตัวอย่างไรก็เก็บมาเล่า ใครพลาดพลั้งตรงไหนก็เก็บมานินทา เปนอันว่านางพี่สาวทั้งสองไม่สงสัยเลย ว่านางจินตลีลามีเกือกแก้วซ่อนอยู่ในตัวข้างหนึ่ง.

รุ่งขึ้นเช้าการในพระนคร ก็เปนไปอย่างรวดเร็ว ในตอนเช้ามประกาศพระราชโองการว่า นางองค์หนึ่งทิ้งเกือกแก้วไว้ที่บันไดพระราชวัง พระราชามีพระราชประสงค์จะคืนเกือกให้แก่นางผู้เปนเจ้าของ ถ้าใครเปนเจ้าของให้เข้าไปรับที่ตำหนักพระยุพราชระหว่าง ๑๐ กับ ๔ นาฬิกา ครั้นตอนกลางวันมีข่าวบอกกล่าวกันว่า พระราชาโปรดให้เจ้าพนักงานนำเกือกแก้ว ไปเที่ยวลองสวมบาทเจ้าหญิงทุกองค์ แล้วลองสวมเท้านาง พระยา นางพระ นางหลวง นางชุน ทั้งสัญญาบัตร์ แลประทวน เกือกนั้นก็ไม่เหมาะกับเท้าใคร ครั้นตอนบ่ายมีคำบอกกล่าวกันทั่วไปว่า นางใดมีลักษณะที่ส่อว่าเกิดในสกุลดี โปรดเกล้า ฯ ให้เชิญนางนั้นไปที่พระราชวังเพื่อให้ลองสวมเกือกแก้ว มีคนไปลองมาก แต่มีผลเหมือนหนึ่งเพียรเอาเต่าตนุ ลงบรรจุในฝ่าหอยจุ๊บแจง เสียเวลาเปล่าทั้งนั้น.

ครั้นเวลาล่วงไปแล้วหลายวัน มหาอำมาตย์ ผู้เปนประธานในมนตรีสภาได้รับ ๆ สั่งให้เชิญเกือกแก้ววางบนเบาะกำมะหยี่รองพานไปเที่ยวหาเท้าที่เหมาะกับเกือก การที่ต้องทำดังนี้ เพราะพระยุพราชมีอาการเร่าร้อนราวกับจะประชวรพระโรคมันสมอง ทรงขู่เขี้ยวเกรี้ยวกราดว่าจะประกอบกรรมที่เปนอันตรายต่าง ๆ จนกว่าจะได้เท้าที่ยังหาไม่พบ พร้อมกับภาคอื่น ๆ ในกายสัตรีที่ติดอยู่กับเท้านั้นด้วย.

มหาอำมาตย์เชิญเกือกแก้วเที่ยวไปตามเรือนในพระนครจนถึงเรือนที่นางจินตลีลาอยู่ นางโทโสร้ายผู้พี่สาวทั้งสองคน ก็เชิญให้มหาอำมาตย์หยุดเพื่อตัวจะได้ลองสวมเกือกแก้วนั้นดู แต่ถ้าบุทคลเอาเต่าทเล ลงบรรจุในหอยจุ๊บแจงไม่ได้ นางทั้งสองก็บรรจุเท้าลงในเกือกไม่ได้ นางจินตลีลานั่งหัวเราะในใจพลางดูพี่สาวเพียรจะยัดเท้ายักษ์ลงในเกือกเด็กมนุษย์ ครั้นเพียรไม่สำเร็จ แลสิ้นพยายามทั้งสองนางแล้ว นางจินตลีลาก็กล่าวว่า “ขอให้ข้าพเจ้าลองดูบ้าง.”

พี่สาวทั้งสองนางได้ยินดังนั้นก็หัวเราะเย้ย ว่าทาสีรับใช้อยู่ในครัวหรือจะลองสวมเกือกแก้ว กับเขาด้วย แต่มหาอำมาตย์เห็นนางเปนหญิงงามก็กล่าวยืนยันว่า ต้องให้ลองทุกคนจึงจะถูกต้องตามพระราชโองการ.

นางจินตลีลาได้ยินดังนั้น ก็ยื่นเท้าออกไป มหาอำมาตย์ก็หยิบเกือกแก้วลองสวมเข้า เกือกกับเท้าก็เหมาะกันราวกับน้ำเหมาะกับถ้วย คนทั้งหลายได้เห็นก็ปลาดใจ แลเมื่อนางจินตลีลาหยิบเกือกแก้วออกมาสวมเข้าอิกข้างหนึ่ง ก็ยิ่งทำให้ปลาดหนักขึ้น ขณะนั้นนางวิทยาธรก็มาปรากฏแก่ตาคนทั้งหลาย แล้วเอาไม้เท้าเคาะที่บ่านางจินตลีลา เครื่องแต่งกายอันเปนของทิพย์ทั้งหลายก็มีมาเหมือนหนึ่งเมื่อไปในงานหลวง.

ฝ่ายนางพี่สาวทั้งสอง เห็นนางจินตลีลากลับกลายไปดังนั้น ก็รู้สึกว่านางคือกุมารีที่ไปในงานหลวงนั้นเอง สองนางก็คุกเข่าลงอ้อนวอนขอโทษ นางจินตลีลาก็จับมือให้ลุกขึ้นแล้วกล่าวว่าจะรักพี่สาวเสมอไป.

ในทันใดนั้น นางวิทยาธรก็หายไปกับตา แต่มิได้ละเลยนางจินตลีลา ให้อยู่ไปตามฐานานุรูป แม้พระยุพราชได้เสด็จมารับนางไปทำการอภิเษกวิวาหะแล้ว นางวิทยาธรยังได้เอื้อเฟื้อดูแลให้นางจินตลีลามีความสุขต่อมาชั่วกาลนาน แลทั้งเปนความสุขแก่เด็กหญิงชายทั้งหลายที่ได้อ่านเรื่องของนางในเวลาที่อยู่ในวัย ซึ่งยินดีในเรื่องวิทยาธรนั้นด้วย.

 

แชร์ชวนกันอ่าน

แจ้งคำสะกดผิดและข้อผิดพลาด หรือคำแนะนำต่างๆ ได้ ที่นี่ค่ะ