เรื่องยาแก้โรครัก

ท่านเปรสิเดนต์แห่งประเทศรีปับลิกที่จะเล่านี้ กล่าวนามตามปรากฏในปุราณะว่า เยเรเมีย บี กูดแคต มีบุตรชายคนเดียวชื่อเมาเซยร์ เย กูดแคต เปนเด็กหนุ่ม ตาสั้น รูปร่างไม่สู้โอ่โถงนัก ที่แท้กระเดียดไปข้างเปนคนงุ่มง่าม ไม่สู้ชำนิชำนาญในวิธีก่อภัย ไม่ยังความก้าวร้าวให้บังเกิด ถ้าเปนสัตว์ก็เรียกว่าเชื่อง ถ้าเปนแมวก็เรียกว่าแมวดีสมชื่อสกุล แต่ไม่เปนแมวที่ชำนาญการจับหนูสมชื่อตน เมาเซอร์ กูดแคตนี้เปนคนยังไม่มีภริยา.

มิสเตอร์กูดแคตผู้บิดาเปนหัวหน้าบริษัทใหญ่ทำการบรรจุเนื้อหมูลงกระป๋อง ส่งไปขายต่างประเทศ แต่เนื้อหมูของบริษัทกูดแคตจะมาจากหมูเสมอไปก็หามิได้ ไส้กรอกที่ปิดฉลากว่าเนื้อหมูนั้น บางชนิดประกอบขึ้นได้ด้วยมิได้รบกวนหมูในทางใดเลย อย่างเดียวกับแกงหมูตะพาบน้ำของเรา แกงขึ้นได้โดยมิได้รบกวนตะพาบน้ำ ฉนั้น แปลกกันแต่เนื้อหมูของบริษัทกูดแคตอุกฤษฐ์กว่าเนื้อตะพาบน้ำในแกงหมูตะพาบน้ำมาก เมื่อมีวิธีแลวิชาในการนิรมิตรเนื้อหมูได้ฉนั้น บริษัทก็มั่งคั่งหาที่สุดมิได้ มิสเตอร์กูดแคตบิดาเลยได้นามฉายาว่า “กษัตริย์เนื้อหมู” แลเปนหัวหน้าในหมู่เศรษฐีของประเทศรีปับลิกนั้น.

ปีหนึ่งฤกษ์งามยามดี มิสเตอร์กูดแคตได้เลือกเปนเปรสิเด็นต์ แต่ในปีนั้นเงินทองส่วยสาอากรก็บริบูรณ์ การค้าขายก็จำเริญ ความยุ่งเหยิงในบ้านเมืองก็หามีไม่ ท่านเปรสิเด็นต์ใหม่ได้เข้านั่งที่อยู่แล้วหลายวัน ก็นั่งอยู่เปล่า ๆ เสมอกับวันอาทิตย์ติด ๆ กันไปประมาณครึ่งปักษ์ ท่านเปรสิเด็นต์เปนคนความคิดแล่น แลเคยประกอบการหากินมาแต่หนุ่มจนแก่ เปนคนอยู่ไม่สุข ครั้นเมื่อมาเปนเปรสิเปนต์ในเวลาที่กิจการบ้านเมืองสงบราบคาบไม่มีอะไรจะทำเช่นนี้ ก็เกิดราคาญใจตรึกตรองเห็นว่า ถ้าความยุ่งเหยิงในเมืองไม่มี จะหาความยุ่งเหยิงที่อื่นมาแทนก็ยังได้.

ท่านเปรสิเดนต์มารำพึงว่า พวกยุโรปก็เที่ยวมีอาณาเขตรในอาเซีย อเมริกา แลอาฟริกามากต่อมากแล้ว บัดนี้ถึงเวลาสมควรที่ประเทศของท่านจะมีอาณาเขตรในยุโรปบ้าง ท่านตรึกตรองตกลงในใจเช่นนี้ จึงเรียกแผนที่ยุโรปมาฉบับหนึ่ง แลเมื่อได้เรียกอาจารย์ในวิชาภูมิศาสตร์มาแนะนำจนดูแผ่นที่เปนแล้ว ท่านก็นั่งตรึกตรองอยู่หลายวัน ว่าที่ไหนจะควรเปนอาณาเขตรได้บ้าง.

ครั้นตรึกตรองตกลงในใจแล้ว ท่านเปรสิเด็นต์ก็เรียกเสนาบดีชื่อ ฟิบเบอร์ เข้ามา แล้วกล่าวความเห็นให้ฟังว่า “นี่แน่ ฟิบเบอร์ ฉันมาตรอง ๆ ดูเห็นว่าเราควรมีอาณาเขตรไว้ในยุโรปบ้าง.”

เสนาบดี “มีไว้ทำไมขอรับ.”

เปรสิเด็นต์ “ประโยชน์หลายอย่าง เปนต้นว่าแตงโมบางทีจะปลูกได้ ข้อนี้จะให้อาจารย์ภูมิศาสตร์ยื่นรายงานภายหลัง.”

เสนาบดีฟิบเบอร์ เปนคนที่ท่านเปรสิเดนต์ให้อภัย อาจโต้เถียงขัดคอได้ จึงกล่าวว่า “ผมเห็นประโยชน์ยังไม่พอ แตงโมนั้นเมืองเราก็มีมาก ถ้าปลูกขึ้นอิก กินไม่ทันก็จะเน่า แลใต้เท้าย่อมทราบว่าแตงโมเน่านั้น ถ้าเอาปนกับแตงโมดีก็พาแตงโมดีเน่าไปด้วย ความข้อนี้หากจะยังสงสัย จะเรียกให้อาจารย์ในทางวิชาวไนษธิวรรค ยื่นรายงานมาจากมหาวิทยาลัยก็ได้ ผมเห็นว่าประโยชน์ยังไม่พอ.”

เปรสิเด็นต์ “ประโยชน์ไม่พอก็หาประโยชน์อย่างอื่นเพิ่มขึ้นอิกก็แล้วกัน ข้อสำคัญคือต้องหาอาณาเขตรเสียก่อน เมื่อได้มาแล้วจะต้องการประโยชน์เท่าไร ก็หาเพิ่มเติมขึ้นให้พอจนได้ เปรียบการอัดเนื้อหมูลงกระป๋อง ข้อต้นต้องมีกระป๋องแลฉลากปิดว่าเนื้อหมู เมื่อได้ของสองอย่างมาแล้ว การหาเนื้อหมูนั้นไม่สำคัญ ถึงหาไม่ได้ก็คิดจัดการแก้ไขจนสำเร็จ ข้อที่ว่าเนื้อหมูหรืออไรนั้นมันแจ้งอยู่ที่ฉลากไม่ใช่หรือ.”

เสนาบดี “ข้อนั้นก็ถูกแล้ว แต่ผมเห็นว่าการอัดเนื้อหมูลงกระป๋อง กับการบ้านการเมืองจะเปรียบเสมอกันยังไม่ได้.”

เปรสิเดนต์ “ตรงนั้นแหละที่ท่านเข้าใจผิด ฉันเวลานี้นิยมกันว่าชำนาญการบ้านการเมืองเพราะอะไร เพราะชำนาญการในบริษัทอัดเนื้อหมูหรือมิใช่ ความข้อนี้จะป่วยกล่าวไปไย ฉันแลท่านก็อยู่ในตำแหน่งบัญชาการบ้านเมืองแล้ว เรามาช่วยกันคิดหาอาณาเขตรในยุโรป ตามอุบายของบ้านเมืองซึ่งมีฉันเปนบ่อเกิดอยู่นั้นเถิด ส่วนประโยชน์ที่จะใช้อาณาเขตรใหม่นั้นมีหลายทาง เช่น สำหรับไว้ถ่านแลสอนศาสนาเปนต้น.”

เลขานุการ “ใต้เท้าอยากได้ยุโรปทิศไหนขอรับ จะยกทัพเรือไปตีอังกฤษ หรือยกทัพบกไปที่เยอรมัน.”

เปรสิเดนต์ “ไม่ใช่ ไม่ใช่ ประเทศเรามีกำลังพอจะทำการอย่างที่ท่านว่า จะยกทัพเรือไปที่อังกฤษก็ยกได้ จะยกทัพบกไปตีใคร ๆ ก็ยกได้ แต่ประเทศเหล่านั้นก็เปนประเทศใหญ่ ถ้าทำสงครามก็ต้องมีเวลามาก ๆ จึงจะทำได้ ถึงจะสำเร็จ ก็คงไม่สำเร็จในกำหนดเวลาที่ฉันเปนเปรสิเดนต์ ทำให้แล้วในเร็ว ๆ ไม่ได้ คราวหน้าใครจะเปนเปรสิเด็นต์ก็ทราบไม่ได้ ถ้าเราทำการให้ค้าง ๆ เกิน ๆ ไว้ก็อาจเสียการ เพราะเปรสิเดนต์คนหน้าเขาอาจไม่เห็นพ้องกับเราจริงไหมล่ะ.”

เสนาบดี “ถูกแล้วขอรับ ใต้เท้าคิดว่าประเทศไหนควรเปนของเราเล่าขอรับ.”

ท่านเปรสิเดนต์ลุกขึ้นตุบตับไปหยิบแผนที่มาวางไว้บนโต๊ะ แล้วกางออกชี้ให้เสนาบดีดู แลว่า “นี่แน่ เกาะแคนดี.”

เสนาบดีควักแว่นตาออกใส่มองดูแล้วว่า “อ้อ ประเทศรุสเซีย.”

เปรสิเดนต์ “ใครว่า ไม่ใช่ดอก.”

เสนาบดี “ไครเมีย อย่างไรละขอรับ อยู่รุสเซีย”

เปรสิเด็นต์ ใครว่าไครเมียเล่า ฉันว่าเกาะแคนดีต่างหาก”

เสนาบดี “ไครเมีย ขอรับ.”

ท่านเปรสิเด็นต์ควักแว่นตาออกใส่มองดูแล้วว่า “อ้อไม่ใช่ ชี้ผิดไป นี่แน่ แคนดี เปนเกาะชนิดที่มีน้ำรอบ เวลานี้เปนของตุรไก แต่ไม่ควรจะเปนของตุรไกยิ่งกว่าเปนของเรา.”

เสนาบดี “ควรเปนของตุรไกมากกว่าเราอยู่หน่อย ที่อยู่ในประเทศตุรไกใกล้ข้างโน้นยิ่งกว่าใกล้ข้างเราเปนอันมาก”

เปรสิเด็นต์ “ฟิบเบอร์ เอ๋ย ระยะทางในเวลานี้มันไม่ใช่ของสำคัญเสียแล้ว เพราะเครื่องกลแลเครื่องไฟฟ้าทำให้ทางใกล้กันหมด เกาะแคนดีจะเปนประโยชน์แก่เรามาก เสมอกับเปนลูกกุญแจของคลองซูเอ๊ช ใคร ๆ จะเดินเรือไป ๆ มา ๆ ในทเลเมดิเตอเรเนียน แลหลบซ่อนมิให้เกาะแคดีรู้นั้นไม่ได้ ในชั้นต้นเราจะส่งพวกสอนศาสนาไปด้วยกันกับถ่าน แล้วจึงค่อยส่งทหารไปทีละเล็กละน้อย เรือรบก็ส่งไปไว้ลำเดียวก่อน ภายหลังจึงส่งไปไว้หลาย ๆ ลำตามควรแก่การ.”

เสนาบดี “ใต้เท้าจะให้ผมเขียนจดหมายไปถวายสุลตาน ขอประทานทราบราคาเกาะแคนดีหรือขอรับ”

เปรสิเด็นต์ “ไม่ใช่ ไม่ใช่การซื้อขาย จะต้องเดินทางความคิด จะมีหนังสือไปให้ข้างโน้นยึดไว้เปนหลักฐานนั้นยังไม่ได้ ฉันจะส่งเมาเซอร์ (บุตรชาย) ไปพูดจาทาบทามดูก่อน เมื่อจะต้องมีหนังสือเปนหลักฐานเมื่อใด จึงจะบอกให้ท่านทราบ ในเวลานี้ท่านจงมีหนังสือไปถึงทูตของเราที่โน่นว่า เมาเซอร์จะไป เมื่อไปถึงให้แนะนำให้รู้จักคนชั้นสูงรอบข้าง.”

ครั้นท่านเสนาบดีลาไปแล้ว ท่านเปรสิเด็นต์ ก็เรียก เมาเซอร์ บุตรชายเข้าไปเล่าความประสงค์ให้ฟัง แล้วบอกว่าถ้าทำการเรื่องนี้สำเร็จ ก็นับได้ว่าเปนคนมีชื่อเสียงต่อไปภายหน้า ช่องทางเช่นนี้บางทีจะไม่มีอีกในชั่วอายุนี้ เมาเซอร์ต้องพากเพียรทาให้สำเร็จจนได้ การคราวนี้ประกอบด้วยความลำบากก็จริง แต่ท่านเปรสิเด็นต์ทราบแน่ว่า เมาเซอร์คงพยายามจนสำเร็จ.

ท่านเปรสิเด็นต์ลงท้ายว่า “เขาคงจะพยายามล่อลวงเจ้าด้วยอุบายต่าง ๆ แต่ถ้าข้าไม่มีหนทางจะรักษาหัวใจเจ้าให้มั่นคงอยู่ได้ ข้าก็คงไม่คิดใช้เจ้าไป เพราะข้าคงไม่คิดการให้เจ้ามีช่องถูกล่อลวงได้เปนอันขาด.

ท่านเปรสิเด็นต์ลุกไปไขตู้เหล็กหยิบขวดยาขวดหนึ่ง มียาน้ำสีเขียว ๆ ประมาณครึ่งขวด เอาขวดนั้นวางลงบนโต๊ะแล้วกล่าวว่า “ยาขวดนี้เปนของสำคัญที่อาจรักษาน้ำใจของเจ้าไม่ให้ลุ่มหลงงงงวยไปในทางที่ผิด เปนของวิเศษ ซึ่งทวดของเจ้าได้มาจากพวกแขกชั้นเก่า ถ้าเมื่อไรเจ้ามีอาการจะเกิดโรครักผู้หญิงขึ้นแล้ว จงกินยานี้ไว้วันละหยด ๆ ผู้หญิงจะเลิศลักษณปานใด ก็ไม่อาจทำให้เจ้าลุ่มหลงได้ ถ้ามันสมองของเจ้าสอนว่า ผู้หญิงเปนคนที่เจ้าควรจะแต่งงานด้วยแล้ว เจ้าก็หยุดกินยาเสีย ยอมให้หัวใจงวยงงไปตามประสงค์ของมัน การก็เปนไปตามเรื่อง เมื่อไรเจ้ารักผู้หญิงที่มันสมองคัดค้านว่า ไม่ควรรักก็ดี หรือที่มันสมองทัดทานว่า เปนกระต่ายหมายจันทร์หรือจะรักไม่สำเร็จด้วยประการใด ๆ ก็ดี เจ้ากินยานี้ไว้ตามคำสั่งในฉลากปิดขวดก็อาจขจัดความลุ่มหลงเสียได้ ยาขนานนี้มีคำกล่าวต่อ ๆ มาว่า นักปราชญ์แขกโบราณรู้จักได้ด้วยวิธีทดลองเลือดกระต่ายเทียบกับสัตว์ดิรัจฉานชนิดอื่น ๆ ได้ความว่า เลือดสัตว์ดิรัจฉานทั้งปวง มีธรรมชาติยาชนิดนี้ปนอยู่ทั้งนั้น เว้นอย่างเดียวแต่เลือดกระต่ายเท่านั้น เหตุฉนี้กระต่ายจึงเปนสัตว์ดิรัจฉานชนิดเดียวที่หมายจันทร์ สัตว์อื่น ๆ ไม่หมายเลย ส่วนตัวข้าเองเมื่อยังหนุ่ม ๆ ก็ต้องใช้ยานี้เสียเกือบครึ่งขวด ต่อพบแม่เจ้าจึงหยุดกินยา.”

“ในตุรไก ข้าทราบว่าชายหนุ่มมักจะเสียคนด้วยเรื่องผู้หญิงนั้นมาก เจ้าต้องระวังตัวให้ดี เห็นอาการโรคจะบังเกิดเมื่อไร จงอุสาหกินยานี้ไว้ มิฉนั้นจะเสียการ.

“เรื่องเสื้อผ้านั้นต้องเอาเครื่องแต่งตัวเวลาเย็นไปด้วย สำหรับกินเลี้ยงเวลาเย็นใช้สำรับเก่าก็ได้ ตัดใหม่ป่วยการ เพราะห้างแบดสันสโมสรบริษัทคิดราคาแพงนัก ส่วนเสื้อที่จะแต่งเข้าเฝ้านั้น ใช้เสื้อทหารกองอาสาสำรับเก่าของข้าก็ได้ จะแก้เสียก่อนก็ตามใจ หรือถ้าไม่แก้จะซื้อเสื้อชั้นในอย่างหนา ๆ ก็เห็นจะได้ กระบี่ต้องใช้กระดาษทรายขัดเสียก่อน เพราะถ้าให้แขกเห็นสนิมฝรั่งก็เสียเกียรติยศ อนึ่งเจ้าต้องจำใจว่า กระบี่นั่นขัดข้างซ้าย ถ้าขัดผิดข้างก็เสียเกียรติยศของบ้านเมืองเหมือนกัน เว้นแต่เขาจะคิดว่าทหารเมืองเราหัดถือดาบมือซ้ายนั่นแหละจึงค่อยยังชั่ว ส่วนรองเท้านั้นต้องใช้รองเท้ายุนิฟอมทหารคู่เก่า ของข้ามีอยู่คู่หนึ่ง เจ้าเอาไปใช้เถิด ถ้าหลวมก็ซื้อถุงเท้าหนา ๆ ไปด้วยคู่หนึ่ง เวลาสวมจึงจะพอดี อนึ่งรองเท้านั้นต้องติดสะเปอร์ ซึ่งอาละวาดได้ราวสัตว์มีชีวิต เจ้าจึงฝึกซ้อมให้คุ้นเคยกันเสียก่อนจึงออกแขก.”

ท่านเปรสิเด็นต์สั่งสอนบุตรชายหลายอย่างหลายสี รวมความว่าให้ระมัดระวังตัวอย่าประกอบด้วยความประมาท แลการรักษาเกียรติยศ ให้ทำด้วยความประหยัดทรัพย์ แต่อย่าให้การประหยัดทรัพย์เปนการประหยัดเกียรติยศได้ วิธีขายหน้าเอาผ้ารอดก็ใช้ไม่ได้ วิธีชายผ้าเอาหน้ารอดก็ใช้ไม่ได้ ต้องเอาหน้ารอดด้วย เอาผ้ารอดด้วย นักปราชญ์จึงจะสรรเสริญ บุตรชายของท่านเปรสิเด็นต์คนนั้น เปนคนทรงคุณธรรมโดยวิธีประติเษธ กล่าวคือ ไม่สูบฝิ่นกินเหล้า ไม่เล่นเบี้ย ถ้าสูบบุหรี่เข้าสักครึ่งตัวก็เมา เต้นรำก็ไม่เปน สบถก็ไม่เปน ถ้ากินหนวดเต่าเขากระต่ายก็ท้องขึ้นดังนี้เปนต้น เมื่อบุตรชายเปนคนดีหาที่ติมิได้ แลยังซ้ำมียาวิเศษติดตัวไปด้วยเช่นนั้น ท่านเปรสิเด็นต์ก็ย่อมวางใจอยู่เอง.

ดังนี้ มิสเตอร์ เมาเซอร์ กูดแคต บุตรชายท่านเปรสิเด็นต์ก็ไปประเทศตุรไก แต่เมื่อไปถึงก็เขียนรายงานส่งบิดาทุก ๆ เที่ยวเมล์ ชี้แจงการโดยละเอียดว่าได้ทำอะไรบ้าง แลคิดจะทำอะไรต่อไป เปนที่พอใจท่านเปรสิเด็นต์ยิ่งนัก.

ในชั้นต้นเมื่อเมาเซอร์ไปถึงกรุงตุรไก ก็ตั้งใจจะสวมเสื้อทหารกองอาสาตัวเก่าของบิดา ขัดกระบี่ข้างซ้าย สวมถุงเท้าหนา และสอดรองเท้าทหารซึ่งหลวมอยู่หน่อย แต่พอดีเพราะถุงหนาติดสะเปอร์ อันได้ซักซ้อมแน่นอนแล้วว่าไม่อาละวาด แล้วตรงเข้าไปเฝ้าสุลตานพูดเรื่องเกาะแคนดีทีเดียว แต่มิสเตอร์คลัซผู้เปนทูตอยู่ที่ตุรไกแนะนำว่า ให้พูดกับท่านชิฟตีปาชาเสียก่อน เพราะท่านปาชาเปนผู้มีอำนาจในราชการ แลถ้าจะติดสินบลบ้างก็รับ คงทำให้การสำเร็จง่ายเข้า

ดังนี้ เมาเซอร์ ก็ได้รับแนำนำให้รู้จักกับท่านปาชา แลเมื่อเมาเซอร์ไปบ้านท่านปาชาครั้งไร ก็มีธนาบัตร์ใบละ ๑๐ เหรียญ ไปทิ้งไว้ให้ทุกครั้ง ลืมไว้ในถ้วยกาแฟบ้าง หลังหีบบุหรี่บ้าง แต่ถึงอย่างนั้นก็ไม่เปนที่พอใจท่านปาชา เพราะท่านเคยได้รับกำนันมาก ๆ กว่านั้น การประหยัดทรัพย์นั้น ถ้าทรัพย์เปนของท่านปาชาก็ควรที่สุดที่จะประหยัด แต่ถ้าทรัพย์เปนของคนอื่นที่จะสละให้แก่ท่านแล้ว ท่านปาชาเห็นว่าการประหยัดทรัพย์เปนอุบายของคนชั่วบางจำพวกที่ประกอบด้วยอกุศลเจตนา เปนเหตุให้มนุษย์ชาติต้องวนเวียนอยู่ในบาปโลก.

ส่วนอาการภายนอกนั้นท่านปาชาก็ดีทุกอย่าง การรับรองก็แขงแรง อัธยาศัยก็เรียบร้อย เชิญ เมาเซอร์ไปเลี้ยงอาหารบ่อย ๆ สุดแต่จะเอื้อเฟื้อได้อย่างใดในทางบรรเทิงใจ ก็คงจะเอื้อเฟื้อทุกทาง แต่ในส่วนราชการนั้นจะให้โอกาศให้เมาเซอร์กล่าวเรื่องเกาะแคนดีสักคำเดียวก็หามิได้.

การเปนดังนั้นประมาณเดือนหนึ่ง เมาเซอร์ก็เกิดเร่งร้อนขึ้นมา จะพูดเรื่องเกาะแคนดีให้ได้ ท่านปาชาเห็นท่าทางเมาเซอร์ว่าจะเอาไว้ไม่อยู่ จึงขยายอุบายอย่างสูงออกมา คือวันหนึ่งเชิญเมาเซอร์ไปกินเลี้ยง แล้วพานางซิลลาบุตรสาวคนเล็กออกมารับแขกด้วย นางซิลลาคนนี้เปนหญิงสวยวิเศษ เหมือนหญิงสาวอื่น ๆ ที่เปนนางเอกในเรื่องลคร เปนต้นนางบุษบา นางอุษา นางสุวรรณมาลีเหล่านี้ ต่างคนต่างสวยยิ่งกว่านางฟ้า อันเปนนางจำพวกที่มีไว้สำหรับเปรียบว่าสวยสู้นางมนุษย์ไม่ได้เท่านั้น นางบุษบา นางอุษา นางสุวรรณมาลี ฯลฯ นั้นต่างคนต่างสวยที่สุดที่ใครจะสามารถแลอุส่าห์สวยได้ เพราะฉนั้นสวยเท่ากันทุกคน นางซิลลาก็สวยเท่านั้น ในเวลาออกมารับแขก ถึงจะคลุมหน้าจนเหลือแต่ตาแจ๋วแหววอยู่นิดเดียวก็จริง แต่ตานั้นแจ๋วแหววยิ่งนัก แจ๋วแหววอย่างอุกฤษฐ์ ส่วนเมาเซอร์นั้นจะได้ชมนางท่าไรก็หามิได้ นอกจากที่จะเห็นเปนเค้าๆ ว่ารูปเล็กเอวบาง แต่เราท่านทั้งหลายจะต้องเข้าใจว่าหญิงที่รูปเล็กเอวบางนั้น เค้าหน้าจะเปนอียักขมูขีก็ยังได้ ที่กล่าวนี้เพื่อแสดงว่าแม้แต่ความแจ๋วแหววอย่างเลิศลอยเท่านั้น ก็อาจทำให้เมาเซอร์ใจลอยได้ เมื่อกลับถึงที่พักในวันนั้นก็ต้องลงมือกินยาวิเศษทันที.

ตั้งแต่วันนั้นไป ถ้าเมาเซอร์ไปหาท่านปาชาเวลาไร นางซิลลาก็ออกมารับรองพร้อมกับบิดา แต่ถึงนางคนนั้นจะสวยที่สุด ที่หญิงใดจะอุสาห์สวยได้ เมาเซอร์ก็มิได้หลงใหลใฝ่ฝันเพราะยาวิเศษคุ้มครองไว้ เหมือนหนึ่งเกราะป้องกันอาวุธศัตรู นางซิลลาได้รับคำสั่งจากท่านปาชา ให้พยายามทำให้เมาเซอร์รักให้จนได้ แต่นางซิลลาจะทำประการใด แม้ที่สุดจะเล่นตาให้ความแจ๋วแหววหลุดออกมาจากกระบอกตา ก็หาชนะยาวิเศษได้ไม่ ท่านปาชาก็ยิ่งหนักอกขึ้นทุกวัน ในที่สุดพาลูกสาวออกมาทั้งคณะ เมาเซอร์ถูกตีกระหนาบรอบข้างก็มิได้หวั่นไหว เปรียบเหมือนป้อมถูกระดมแทงด้วยหอก จะต้องทุกข์ต้องร้อนอะไร.

วันหนึ่งเมาเซอร์เห็นได้ทีก็บอกท่านปาชาว่าจะไปเฝ้าสุลตาน ขอให้ปาชานำเฝ้า ถ้าไม่นำจะนำตัวเอง ถ้าเกิดความปาชาจะกล่าวว่าไม่รู้ไม่เห็นไม่ได้ เพราะได้บอกให้ทราบแล้ว เมื่อเมาเซอร์เดินวิธีนี้ ปาชาก็ไม่มีทางจะขัดขืนอย่างไร เปนแต่คัดค้านโต้เถียงกันเล็กน้อยแล้วท่านปาชาก็ยอมตกลงจะพาเข้าเฝ้า แลนัดว่าในวันรุ่งขึ้นจะให้รถไปรับเมาเซอร์ถึงที่พัก

เมื่อเมาเซอร์ลากลับออกไปพ้นห้องแล้ว ได้ยินเสียงเควี้ยวคว้าวแลหวีดหวาดเหมือนอย่างผู้หญิงถูกเฆี่ยน เมาเซอร์นึกกระหยิ่มในใจ แล้วกลับไปกินยาวิเศษเสียอิกหยดหนึ่ง.

วันรุ่งขึ้นท่าน ปาชา ก็ให้รถไปรับตามนัดเมาเซอร์สวมเสื้อกางเกงทหารกองอาสาสอดถุงเท้าหนา ฯลฯ ฯลฯ ดังที่ได้กล่าวมาแล้ว ขึ้นรถเข้าไปเฝ้าพร้อมกับท่านปาชา สุลตานทรงพระกรุณามีพระราชปฏิสันถารหลายนัด ทรงแสดงความหวังในพระราชหฤทัยว่าฉายาของท่านเปรสิเด็นต์ จะไม่ลดหย่อนลงไป แลเมาเซอร์จะไม่กลับจากตุรไกเร็วนัก เมาเซอร์เห็นได้ทีก็ทูลว่า มีอาณาเขตรของตุรไกอยู่แห่งหนึ่ง ซึ่งเปนที่พอใจเมาเซอร์นัก ถ้ายังไม่ได้อาณาเขตรนั้นตามประสงค์ก็ยังไม่ถวายบังคมลาก่อน สุลตานทรงได้ยินดังนั้นก็มิได้รับสั่งประการใด เปนแต่แย้มพระโอษฐ์ แล้วรับสั่งเรียกนางระบำเข้าไปฟ้อนถึงสามคู่ เมาเซอร์ก็ไม่มีช่องที่จะกล่าวเรื่องเกาะแคนดีอิกได้.

เมื่อเมาเซอร์ ถวายบังคมลากลับที่พักนั้น สุลตานรับสั่งว่า เมื่อไรไม่มีสิ่งอื่นจะทำจะเข้าเฝ้าบ่อย ๆ ก็ประทานอนุญาต เมาเซอร์ก็เข้าไปเฝ้าเอาจริง ๆ แทบทุกวัน แต่ในเวลานั้นพะเอินท่านปาชาป่วยลง เมาเซอร์ได้ท่าก็ทูลเรื่องเกาะแคนดี ตกลงกันว่าสุลตานทรงยินดีที่จะได้ประเทศรีปับลิกเปนเพื่อน จะทำสัญญาให้เช่าเกาะแคนดี ๑๐ ปี ค่าเช่าบถะล้านเหรียญ ต่อ ๑๐ ปีนั้นไป ถ้าฝ่ายใดจะเลิกสัญญาจะต้องบอกล่วงหน้า ๖ เดือน.

เมาเซอร์ก็รายงานไปยังท่านเปรสิเด็นต์โดยทางโทรเลข ท่านเปรติเปนต์ตอบว่าเรื่องเช่านั้นไม่ให้พูดถึงอิกต่อไป ถ้าจะเอาเปล่าไม่ได้ก็จะต้องให้เปนซื้อขาดขายขาดกันทีเดียว ท่านเปรสิเด็นต์ต่อท้ายโทรเลขเปนคำโค๊ด ว่า “อ้ายตุ๊กตุ๋ย” เองคิดว่าเช่านั้นจะพอแล้วหรือ.

อิกสองสามวันท่าน เปรสิเด็นต์ได้รับโทรเลขจากบุตรชายว่า ตุรไกจะยอมขายเกาะแคนดีให้เปนราคา ๑๐ ล้านเหรียญ ท่านเปรสิเด็นต์ยินดีจนไม่ทราบว่าจะฟ้อนจะรำอย่างไร จึงจะแสดงความยินดีให้ปรากฏเต็มที่ได้ แต่ที่ประชุมเสนาบดีซึ่งท่านเปรสิเด็นต์เรียกประชุมปฤกษาเรื่องนี้นั้น ตกลงให้ต่อแต่เพียง ๔ ล้านเหรียญก่อน เชื่อกันว่าคงสำเร็จตามต้องการ ท่านเปรสิเด็นต์เห็นด้วยก็สั่งไปยังลูกชายตามนั้น

อยู่มาอีกสองวันท่านเปรสิเดนต์ได้รับโทรเลขจากลูกชายอีกฉบับหนึ่ง ซึ่งท่านเปรสิเด็นต์เข้าใจแต่แรกว่า คงเปนรายงานว่าเปนหนังสือสัญญาซื้อเกาะแคนดีกันเสร็จแล้ว ท่านเปรสิเด็นต์ถือโทรเลขซึ่งยังไม่ได้เปิดผนึกนั่งนึกกระหยิ่มในใจว่า ท่านเปนเปรสิเด็นต์คนแรกที่แผ่อาณาเขตรไปถึงยุโรป เลยนึกไปถึงเรือรบแลคนที่จะส่งไปรักษาการอยู่ที่เกาะแคนดี ตกลงในใจตลอดแล้วจึงเปิดโทรเลขออกอ่าน ได้ความว่า

“ขวดยาหาย ส่งใหม่เร็ว ช้าจะเสียการ”

ท่านเปรสิเดนต์ตกใจเจียนจะสลบ โทรเลขหลุดจากมือ นั่งตลึงจ้องดูฝาผนังซึ่งจะมีอันใดเปนที่พึงชมก็หาไม่ มีคำกล่าวกันว่าท่านเปรสิเด็นต์วันนั้นถึงกับทุบภรรยา แต่การก็ไม่คืนดี ยาวิเศษก็หมดเสียแล้ว แลยานั้นจะผสมด้วยอะไรก็ไม่ทราบ จนถึงเรียกนักปราชญ์มาให้เอาเลือดกระต่ายแยกธาตุเทียบกับเดือดสัตว์อื่น ๆ ก็ไม่ได้ความว่าเลือดกระต่ายผิดกับเลือดสัตว์อื่นอย่างไร กระต่ายจึงหมายจันทร์แต่ผู้เดียว ท่านเปรสิเด็นต์ไม่ทราบจะแก้ไขประการใดก็ถึงแก่สิ้นสติ แต่ได้เคยได้ยินแว่ว ๆ อยู่จากบิดาว่า ยานั้นผสมเต่าร้าง จึงรีบโทรเลขถึงบุตรชายว่า.

โทรเลขฉบับนี้ เมาเซอร์ไม่ตอบ จะเปนด้วยเต่าร้างในตุรไกหายาก หรือจะเปนด้วยไม่เปนยาชนิดที่ต้องการก็ไม่ปรากฎ ครั้นเมล์หน้าท่านเปรสิเด็นต์ได้รับหนังสือจากบุตรชาย (เขียนวันที่ตีโทรเลข) ใจความว่าขวดยาวิเศษนั้นถูกขะโมย สงสัยว่าจะถูกกลเสียแล้ว ยาที่หายไปนั้นเข้าใจว่าผู้ที่ลักไป คงจะเอาให้สัตว์กินเปนการทดลอง เพราะเห็นกระต่ายสองสามตัวเที่ยววิ่งหลบซ่อนแสงพระจันทร์ในเวลาเดือนหงาย แลเห็นสุนัขสองสามตัวเที่ยวไล่กัดตัวเมียยุ่งอยู่ ชรอยมันจะกินยาเข้าไปตั้งช้อนกาแฟ จึงเปนไปเช่นนั้น ส่วนตัวเมาเซอร์เองรู้สึกปั่นป่วนในใจเปนอันมาก ขอให้ท่านเปรสิเด็นต์ รีบส่งยาเพิ่มเติมไปให้โดยเร็ว เพราะซิลลาน่ารักนัก ถ้าช้าไปจะเสียที.

เมื่อท่านเปรสิเด็นต์ได้ทราบข่าวศาสน์ดังนี้ ไม่ทราบจะทำอย่างไร ก็เก็บเต่าร้างทั้ง ๕ บรรทุกเรือรบอย่างเร็วส่งไปให้บุตรชาย แต่เต่าร้างคงจะเปนยาแก้โรครักไม่ได้เปนแน่ เพราะการมิได้คืนดีเลย เมาเซอร์มีแต่ลุ่มหลงไปถ่ายเดียว การเข้าเฝ้าก็เลิก เรื่องเกาะแคนดีก็เลิก มัวแต่ไปที่บ้านปาชา จนเขาไล่เมื่อไรจึงกลับ แต่เมื่อกลับแล้วใครอย่าคิดว่ากลับจริง ๆ กลับแต่เพียงมาผลัดเสื้อผ้าปลอมเปนแขก แล้วไปเดินสีซอวนเวียนอยู่ข้างสวนปาชา จนชาวบ้านร้านตลาดเขาหนวกหูเอาอิฐปาเมื่อไร เมาเซอร์ทนฤทธิ์อิฐไม่ได้ก็ต้องกลับที่พัก.

ฝ่ายท่านปาชาเมื่อเห็นเมาเซอร์หมดฤทธิ์จะเปนภัยต่อไปไม่ได้แน่แล้ว ก็สั่งนายประตูไม่ให้เมาเซอร์เข้าบ้าน แต่เมาเซอร์ยังมีเงินทองก็จ้างแม่สื่อเข้าไปชักโยง ลงท้ายคืนวันหนึ่งเวลาประมาณ ๑๐ ทุ่มเมาเซอร์ก็พานางซิลลาหนีลงเรือกันเชียงไป ไม่ช้าท่านปาชาทราบก็เรียกบ่าวไพร่ถืออาวุธลงเรือไฟแล่นตาม ประเดี๋ยวเดียวก็กัน เพราะเมื่อพูดในทางตีกันเชียง มือของเมาเซอร์เปนมือซ้ายทั้ง ๒ มือ มัวแต่ตะกุกตะกักอยู่ก็ไปไม่ได้ถึงไหน ครั้นได้เห็นเรือไฟแล่นมาแต่ไกลก็ตกใจเปนกำลัง ปฤกษากันว่าจะทำอย่างไรดี นางซิลลาเปนคนไวปัญญาก็ลงหมอบอยู่ท้ายเรือ เมาเซอร์เอาผ้าคลุมไว้มิดชิด.

ปาชา “เฮ้ย เมาเซอร์ ลูกสาวกูอยู่ไหน.”

เมาเซอร์ “ผมจะทราบอย่างไรได้เล่าเจ้าคุณ.”

ปาชา “ก็นั่นเจ้าเอาผ้าคลุมอะไรไว้ล่ะ.”

เมาเซอร์ “แตงโมขอรับ.”

ปาชา “กูไม่เชื่อ แตงโมอะไรโตนักล่ะ.”

เมาเซอร์ “แตงโมเสฉวนขอรับ พรุ่งนี้ผมผ่าแล้วจะส่งไปให้เจ้าคุณชิม.”

ปาชา “ข้าไม่คอยละ จะผ่าดูเดี๋ยวนี้” (เงื้อดาบ.)

เมาเซอร์ตกใจ “ช้าก่อนเจ้าคุณ ช้าก่อน คนขอรับ คน.”

ป่าชา “คนทำไมเองว่าแตงโมละ”

เมาเซอร์ “ลืมไปขอรับ.”

ปาชา “เปิดผ้าขึ้น.”

เมาเซอร์ก็เปิดผ้าขึ้นตามคำสั่ง เพราะเห็นดาบปาชาขาวนัก ยังหอกที่อ้ายคนหัวเรือมันถืออยู่อิกทั้งเล่ม ส่วนนางซิลลานั้นนอนสลบอยู่.

ปาชา “นี่แน่เจ้า เมาเชอร์ ข้าให้เวลาเจ้า ๒ นาทีให้เลือกดูว่าเจ้าจะยอมเข้ารีดแลแต่งงานกับลูกสาวข้าคนนี้เปนการเลยตามเลย หรือจะให้เอาหินก้อนใหญ่นี้ผูกคอเจ้าทิ้งลงในแม่น้ำทั้งหินทั้งคน.”

เมาเซอร์เปนคนไม่ชอบหินมาแต่ไร ๆ น้ำในแม่น้ำก็ไม่ใคร่ชอบ เมื่อหินกับแม่น้ำจะรวมกันดังนั้นก็ไม่เลือกอยู่เอง ส่วนนางซิลลานั้นเมาเซอร์ชอบมาตั้งแต่ขวดยาหาย ถึงจะเข้ารีดก็ยังดีกว่าหินกับแม่น้ำ เปนอันไม่มีปัญหาว่าเมาเซอร์เลือกอะไร.

ดังนี้เรื่องเกาะแคนดีก็ไม่สำเร็จ เปรสิเดนต์กูดแคตเมื่อได้ข่าวก็เจียนจะถึงวิสัญญี ท่านปาชาก็ถูกถอดว่าคบคนต่างด้าวท้าวต่างแดน อะไรๆ ก็เสียหมด เพราะเหตุนิดเดียวที่เมาเซอร์รักษายาขวดนั้นไว้ไม่ได้.

ส่วนเปรสิเด็นต์กูดแคตนั้นมีข่าวมาว่า ได้เอาเต่าร้างทั้ง ๕ ต้มกรอกกระต่ายเปนการทดลอง แต่จะมีผลอย่างไรหาแจ้งไม่.

 

แชร์ชวนกันอ่าน

แจ้งคำสะกดผิดและข้อผิดพลาด หรือคำแนะนำต่างๆ ได้ ที่นี่ค่ะ