- เรื่องหางแมว
- เรื่องนางจินตลีลา
- เรื่องยาแก้โรครัก
- เรื่องจับผู้หญิงสองมือ
- เรื่องคนเดียวรอดตาย
- เรื่องตาเป็ดกับยายแมว
- เรื่องสู้กันด้วยกลืนยาพิษ
- เรื่องทหารพระเจ้าราชาธิราช
- เรื่องลายตามหน้า
- เรื่องถึง ๓๐ เปอร์เซ็นต์
- เรื่องสืบสรรพการ
- เรื่องอะไรแน่หนอ !
- เรื่องปลาหมอตายเพราะปาก
- เรื่องรอดตัวเพราะเผลอ
- เรื่องโมเตอร์คาร์ใหม่
- เรื่องความรักของนางพระยา
- เรื่องค้างค้าง
เรื่องตาเป็ดกับยายแมว
“ตาเป็ด” เปนผู้ซึ่งถ้าข้าพเจ้าสื่อให้รู้จักกับท่านได้ก็จะสื่อ แต่จะรู้สึกว่าเปนการทำบุญทำคุณแก่ท่าน เพราะทราบว่าท่านจะได้รับความรื่นเริงจากตาเป็ดเปนแน่ ตาเป็ดนั้นไม่ใช่เป็ด เปนมนุษย์มีอาการ ๓๒ เหมือนท่านแลข้าพเจ้า เว้นแต่ถ้าท่านมีอาการไม่ครบ ๓๒ ตาเป็ดจึงจะผิดกับท่าน แต่นั่นหาใช่ความผิดของตาเป็ดไม่
ตาเป็ด เปนคนยังไม่มีเมีย เปนลูกผู้มีบรรดาศักดิ์ เกิดในสกุลผู้ดีเก่า ใจคอเปนผู้ดี ได้เล่าเรียนอย่างผู้ดี เคยเปนนักเรียนมหาวิทยาลัยอังกฤษ, ซึ่งเปนคนพูดอังกฤษได้คล่องเหมือนท่านแลข้าพเจ้า เว้นแต่ถ้าท่านเรียนอังกฤษที่ดงพญาไฟหรือที่ไหนซึ่งไม่ใช่สำนักเรียนอันดี ก็ไม่ใช่ความผิดของตาเป็ดเหมือนกัน.
ผู้ใดจะกล่าวโฉมตาเป็ด ถ้าผู้นั้นเปนผู้มีใจยุติธรรมก็ต้องกล่าวว่าแกเปนชายหนุ่มรูปร่างสะสวย แต่งตัวอย่างวิจิตรบรรจงอยู่เปนนิตย์ เปนผู้มีกิริยาวาจาดีต่อผู้ที่แกเคารพ แต่ถ้าถึงเวลาสบถแกสบถก้อนโตเปนที่สุดทั้งนี้ ก็เพราะรู้ภาษาต่างประเทศมีอภิธานคำสบถมาก อนึ่งตาเป็ดมีเพื่อนก่ายกอง เพราะเปนคนใจคอกว้างขวาง มีเงินแลมีเวลาพอที่จะทำใจกว้างได้.
อันที่จริงตาเป็ดแกมีชื่อซึ่งเปนนามไพเราะ แต่พวกเพื่อนพากันเรียกตาเป็ดจนเคยปาก แทบจะไม่มีใครจำนามไพเราะนั้นได้ ครั้งหนึ่งนายนามไพเราะ กับเพื่อนหลายคนพากันไปหัวหิน ครั้นถึงเวลาอาบน้ำต่างคนก็ลงทเล นายนามไพเราะเปนคนว่ายน้ำทนก็ว่ายออกไปอยู่ห่างฝั่งช้านาน ครั้นกลับเข้ามา เพื่อนคนหนึ่งจึงกล่าวว่าถ้าทำอวดดีเช่นนั้นบ่อย ๆ จะจมน้ำตายสักวันหนึ่ง เขาตอบว่า ถ้าเห็นเป็ดจมน้ำเมื่อไร จึงให้ลงมือวิตกว่าเขาจะจมน้ำ ถ้าเป็ดไม่จมก็อย่ากลัวว่าเขาจะจมเปนอันขาด พวกเพื่อนที่ได้ฟังแลทราบความสามารถของเขาเมื่ออยู่ในน้ำ ก็ยินยอมพร้อมใจกันว่าเขาเปนเป็ดจริงๆ นายนามไพเราะจึงได้ชื่อว่าตาเป็ดแต่นั้นมา.
เมื่อปีกลายเมื่อกลับจากหัวหินแล้วไม่ช้าตาเป็ดย้ายบ้านไปเช่าอยู่ใหม่ในแถบสีลม กล่าวว่าเพราะประสงค์จะอยู่ใกล้อะไรอันหนึ่ง ซึ่งตาเป็ดเรียกว่าการหากิน แต่พวกเพื่อนบางคนเรียกว่าการทำให้เงินเปลืองไปเท่านั้น, เพราะไม่ปรากฎว่าตาเป็ดหาเงินได้พอกับที่ต้องเสียประจำเดือนเปนค่าบำรุงสโมสรต่าง ๆ แลค่าเลี้ยงเพื่อนเกรียวกราวในบ้านค่าเช่าเดือนละ ๒๐๐ บาท ซึ่งไปเช่าอยู่ใหม่นั้น ทั้งนี้ตาเป็ดทำได้ก็เพราะเปนผู้มีอันจะกิน
วันหนึ่งข้าพเจ้าไปที่บ้านตาเป็ด ลงจากรถเดินเข้าไปในบ้านพบยายแก่คนหนึ่งสวนทางลงมาจากบนเรือน ข้าพเจ้านึกว่าคงจะเปนแม่สื่อหรือคนชนิดนั้น ครั้นขึ้นไปบนเรือนพบตาเป็ดยืนเพ่งดูคั่นบันไดอยู่, ข้าพเจ้าจึงถามว่า ยืนพิจารณาคั่นบันไดทำไม.
ตาเป็ดตอบว่า “กำลังนึกว่าจะเอาน้ำล้าง”
ข้าพเจ้า “ล้างทำไม”
ตาเป็ด “เพราะยายคนนั้นแกไปแล้วก็อยากจะล้างหัวบันไดเสียให้สิ้นราคี”
ข้าพเจ้าถามว่ายายคนนั้นใคร คือคนที่สวนกับข้าพเจ้าที่เชิงบันไดหรือไม่ใช่ และแกทำผิดคิดร้ายอะไรจึงจะถูกล้างหัวบันไดไล่หลัง.
ตาเป็ดตอบว่า “แกชื่อยายแมว บ้านอยู่ปลายถนนข้างโน้น. ที่จริงแกชื่อยายทับทิม แต่ข้าไม่เห็นแกทับทิมที่ตรงไหน จึงเรียกแกว่ายายแมว, เพราะถ้าจะกล่าวเฉพาะตัวยายคนนี้ แมวเห็นจะใกล้ความจริงมากกว่าทับทิม.”
ข้าพเจ้า “แกจะชื่อแมวก็ตาม หรือชื่อทับทิมก็ตาม แก้ทาบาปอะไรจึงจะถูกล้างหัวบันไดไล่หลัง”
ตาเป็ด “แกทำบาปหลายอย่าง. บาปสำคัญอยู่ที่ความพูดมากแลความเปนเจ้ากี้เจ้าการของแก. ชอบมาเทศน์บ้า ๆ แลทัดทานโง่ ๆ ร่ำไป เปนต้นว่าเมื่อมาพบข้านั่งเก้าอี้ มีถ้วยเบียวางอยู่บนโต๊ะข้างตัวเมื่อตะกี้นี้ ก็พูดยืดยาวถึงโทษแห่งการกินเหล้าวันนี้ซึ่งเปนวันพระ ปรากฎว่าบาปมากกว่ากินเมื่อวานนี้แลพรุ่งนี้หลายเท่า. อันที่จริงถ้าข้าไม่ได้เอาถ้วยเบียวางไว้บนโต๊ะเมื่อตะกี้นี้ ก็คงจะยังไม่รู้ว่าวันนี้เปนวันพระ”
ข้าพเจ้า “แล้วอะไรอีก”
ตาเป็ด “เมื่อวานนี้แกมาพบไพ่วางอยู่บนโตี แกก็ว่าไพ่เปนเครื่องมือของเจ้าผู้ครองนรก ใช้สำหรับกวาดคนไปลงขุมที่ ๙ หรืออะไรคล้าย ๆ อย่างนั้น. ข้าเห็นจะทนไม่ได้นาน.”
ข้าพเจ้า “ก็ยายนั่นแกเปนอะไรจึงมาเปนเจ้ากี้เจ้าการถึงเพียงนั้น แกได้อำนาจมาจากไหน”
ตาเป็ด “แกกล่าวว่าแกใช้อำนาจของผู้มีประสงค์ให้ชายหนุ่มหลีกเลี่ยงการประกอบกรรมเปนบาป. อันที่จริงเปนด้วยแกเพียรจะเปนแม่ยายข้าเท่านั้นเอง”
ข้าพเจ้า “ก็ฝ่ายเราอยากได้แกเปนแม่ยายหรือไม่เล่า”
ตาเป็ด “จะไปอยากได้แกมาทำให้เราเปนบ้าธุระอะไร”
ข้าพเจ้า “ถ้าเช่นนั้นทำไมไม่ไล่ให้แกไปเปนแม่กี้แม่การกับคนอื่นที่อยากได้ลูกสาวแก”
ตาเป็ด “ข้อนั้นมันชอบกลอยู่ เพราะข้าเองนี่แหละอยากได้ลูกสาวยายแมว แต่ไม่อยากได้ยายแมวเปนแม่ยาย เหตุฉนั้นมันจึงยาก.”
ข้าพเจ้า “ถ้าอย่างนั้นข้าก็พลอยเห็นยากด้วย แต่ว่า–นี่แน่–เจ้าจะคิดแต่งงานกับลูกสาวยายนั่นเจียวหรือ.”
ตาเป็ด “ก็ไม่เชิง จะแต่งงานด้วยก็เห็นจะแก่มืออยู่สักหน่อย เอามาเปนเฮาสกีปเปอรจะได้กระมัง เฮาสกีปเปอร์สาวของชายไม่มีเมีย เขาว่ากันว่าเปนอะไร.”
ข้าพเจ้า “ข้านึกว่าเอามาเปนกีปเปอรของเจ้าเมื่อเจ้าเปนบ้าแล้วเห็นจะดีกว่า ใน ๕ นาฑีที่แล้วมานี้ข้าเห็นเจ้าใกล้จะต้องมีกีปเปอร์มากขึ้นทุกที.”
ตาเป็ด “ก็คงจะจริง แต่เมื่อข้ามีทุกข์ร้อนถึงเพียงนี้ เจ้าจะไม่ช่วยคิดแก้ไขบ้างหรือ.”
ข้าพเจ้า “ก็เมื่อความประสงค์ของเจ้าเถียงกันเองหมด จะให้ข้าช่วยคิดแก้อย่างไรได้ เจ้าอยากได้ลูกสาวยายแมวมาเปนเมีย แต่ไม่อยากได้ยายแมวเปนแม่ยาย เหมือนต้องการเว่าปักเป้าแต่รังเกียจหาง ก็เว่าปักเป้าไม่ผูกหางจะลอยลมอย่างไรได้. ความเปนเมียของลูกสาวยายแมว และความเปนแม่ยายของยายแมวนั้น เปนของติดกันไปแยกไม่ออก ที่สุดจะเศกให้ยายแมวเปนแมวไปเสียจริงๆ แกก็ยังเปนแม่ยายอยู่นั่นเอง.”
ตาเป็ด “ถ้าเศกให้ยายแมวเปนแมวได้จะเปนประโยชน์แก่โลกหนักหนา และคงเปนประโยชน์ แก่ข้าด้วย ส่วนตัวเจ้านั้นก็พูดจวนจะเช่นยายแมวอยู่แล้ว.”
ข้าพเจ้า “ถ้าไม่ชอบพูดก็ไปลอนเต็นนิชกันเถิด แร๊กเก็ตและเสื้อกางเกงของข้าคอยอยู่ในรถแล้ว เจ้าต้องรีบแต่งตัวจึงจะไปแย่งค๊อตที่คลับได้.”
* * * * * *
ต่อนั้นมาอิกหลายวัน ข้าพเจ้าไม่ได้พบกับตาเป็ด ครั้นวันอาทิตย์ข้าพเจ้าคิดจะเล่นลอนเต็นนิชแลได้นัดคนอื่นไว้สองคนแล้ว ยังขาดอยู่อีกคนหนึ่ง จึงเขียนหนังสือให้เด็กไปบอกตาเป็ดให้ไปรวมให้ครบสำหรับ ไม่ช้าเด็กกลับมาบอกว่าตาเป็ดไปไม่ได้ แล้วส่งหนังสือที่ตาเป็ดให้เด็กถือกลับมา ข้าพเจ้าฉีกออกอ่านได้ความว่า
“เกิดความใหญ่ ข้าสิ้นสติแล้ว เจ้าได้รับหนังสือนี้ต้องรีบมาทันที ถ้าเจ้าไม่ช่วยข้าคงจะเอาตัวไม่รอดเปนแน่”
ข้าพเจ้าทราบดังนั้นก็สั่งให้เรียกรถแล้วรีบแต่งตัว แต่เมื่อนึกเดาหาเรื่องที่ทำให้ตาเป็ดเดือดร้อนถึงเพียงนั้นก็เดาไม่ถูก นึกว่าน่าจะเกี่ยวข้องกับยายแมว หรือลูกสาวยายแมวแต่คาดไม่ถูกว่าเรื่องจะเปนอย่างไร จึงทำให้ตาเป็ดซึ่งไม่ใช่คนสิ้นสติง่ายสิ้นสติ
ครั้นไปถึงบ้านตาเป็ด พอดีเห็นหน้าก็รู้ได้ว่าเกิดเหตุใหญ่ เพราะหน้าตาเป็ดเหมือนคนรับใช้ของข้าพเจ้าที่ทำขวดแก้วจารไนแตกบาดมือต่อหน้าข้าพเจ้า สีหน้าซีดเพราะเจ็บมือนั้นก็อย่างหนึ่งยังเพราะกลัวข้าพเจ้าจะตบหน้าอิกเล่า.
ตาเป็ด “เจ้าได้รับจดหมายของข้าหรือเปล่า.”
ข้าพเจ้าตอบว่า ได้รับแล้ว แลที่ไปนั้นก็ไปตามคำอ้อนวอนในจดหมายนั้นเอง เพราะข้าพเจ้านึกไม่ออกว่าเกิดเหตุอะไรใหญ่โตจนถึงตาเป็ดจะเอาตัวไม่รอด.
เวลาที่ข้าพเจ้าพูดนั้นตาเป็ดนิ่งจ้องหน้าข้าพเจ้าอย่างร้อนใจ ยกมือลูบคางไปมา แล้วย่องไปมองดูที่ประตูราวกับสงสัยว่ามีคนแอบฟัง เมื่อเห็นไม่มีใครก็ค่อย ๆ ปิดประตูประหนึ่งเกรงใครจะได้ยิน แล้วกลับมายืนจ้องหน้าข้าพเจ้าอยู่สักครู่หนึ่งจึงถามว่า “เจ้าทราบข่าวแล้วหรือยัง.”
ข้าพเจ้า “เจ้าหมายความว่าข่าวรายไหน ข่าวที่แซ่กันอยู่เวลานี้ ก็ได้ยินแต่ข่าวศพที่ยัดหีบกระป๋องถ่วงในแม่น้ำ ข้าหวังใจว่าเจ้าไม่ได้เกี่ยวข้องกับข่าวอันนั้นประการใดเปนอันขาด.”
ตาเป็ดถอนใจใหญ่ นิ่งจ้องดูหน้าข้าพเจ้าอยู่อิกครู่หนึ่งจึงกล่าวว่า “ถ้าอย่างนั้นเจ้าก็คงจะยังไม่รู้ ข้านึกว่าเจ้ารู้ เพราะคนคงจะรู้กันมาก แลคงจะมีข่าวในหนังสือพิมพ์แล้ว แต่ข้าไม่กล้าอ่าน กองตำรวจพระนครบาลก็คงรู้ แต่ข้านึกว่า เขาคงจะสกดรอยดูกิริยาอาการจะจับตัวข้าอยู่ จะบอกไปถึงเจ้าทางโทรศัพท์ก็ไม่กล้าบอกเพราะกลัวคนอื่นได้ยิน เวลานี้ข้าสิ้นสติไม่รู้จะทำอย่างไรจริง ๆ”
ข้าพเจ้า “เจ้ายังไม่ได้บอกข้าว่าเรื่องของเจ้าเกี่ยวข้องกับศพที่มีผู้เอาลงถ่วงแม่น้ำในหีบกระป๋องบ้างหรือเปล่า และถ้าไม่เกี่ยวเหตุใดจึงเปนการใหญ่ถึงเพียงนี้.”
ตาเป็ด “เปล่า ไม่เกี่ยวกันดอก แต่ก็ออกจะคล้าย ๆ กัน เวลานี้ยังไม่ร้ายถึงปานนั้น เจ้าช่วยข้าบ้างได้ไหม.”
ข้าพเจ้า “เป็ดบ้าเอ๋ย ขายังไม่รู้ต้นสายปลายเหตุเลย เจ้าถามราวกับว่าข้ารู้เรื่องตลอด.”
ตาเป็ด “ใคร ๆ ก็รู้กันหมดแล้ว เจ้าต้องหาทางข่วยแก้ให้ได้ ถ้าไม่อย่างนั้นข้าคงจะลงนรกดิ่งทีเดียว.”
ข้าพเจ้า “ถ้าเจ้าไม่บอกว่าเรื่องราวเปนอย่างไร มัวแต่พูดซ้ำ ๆ ซาก ๆ อย่างคนบ้าอยู่อย่างนี้ ก็คงจะดิ่งไปลงนรกเปนแน่ และข้าขอให้พรให้เจ้าเปนเช่นนั้น.”
ตาเป็ด “อย่าพูดเปนเล่นไปน่า เจ้ายังไม่รู้จริง ๆ หรือว่าเดี๋ยวนี้ยายแมวหายไป.”
ข้าพเจ้า ก็ดีแล้วนี่. จะไปมัวเสียดายแกทำไม. ข้าก็ได้บอกแล้วว่า ถ้ายิ่งเศกยายแมวให้เปนแมวไปเสียได้จะเปนการดี.”
ตาเป็ดตกใจจนสดุ้ง “ข้านึกมาแต่แรกว่าเจ้าคงจะรู้แล้ว”
ข้าพเจ้า “รู้ว่ากระไร. ข้าเห็นว่าถ้ายายแมวหายไปเอง ๆ ไม่ต้องเศกให้เปนแมวให้ลำบากลำบนก็เปนการดียิ่งขึ้น.”
ตาเป็ด “อย่าพูดอย่างนั้นน่า ไม่ดี. ขอเสียทีเถอะ.”
ข้าพเจ้า “ถ้าเจ้าเสียตายยายแมวที่หายไป ข้าก็ยิ่งไม่เข้าใจยิ่งขึ้น เพราะข้าเคยนึกว่าเจ้าอยากให้ไม่มียายแมวเปนสตรีเถ้าที่มาทำความรำคาญให้เจ้าในเรื่องกินเบียวันพระ แลเรื่องไพ่เปนเครื่องมือของเจ้าผู้ครองนรกอิก ทั้งเปนเครื่องให้รังเกียจลูกสาวของแกด้วย.”
ตาเป็ด “อย่าน่า ขอทีเถอะ เจ้าไม่เข้าใจ ข้าเชิญเจ้ามานึกเพราะจะอธิบายให้เข้าใจ เจ้ายังไม่รู้เรื่องดอกหรือ.”
ข้าพเจ้า “ก็ข้าบอกเปนแสนครั้งแล้วว่า ไม่รู้ ทำไมเจ้ามาถามให้ต้องตอบเปนแสนกับหนึ่งครั้งเล่า.”
ตาเป็ดนั่งทอดตัวลงบนเก้าอี้ ชักผ้าเช็ดหน้าออกซับเหื่อจนเกอบจะบิดได้แล้วเล่าว่า “วันนี้เปนวันอาทิตย์ เมื่อวันพุธก่อนข้าอยู่บ้านคนเดียว เพราะว่าวคนหนึ่งมันว่าก๋งมันตาย อิกคนหนึ่งเตี่ยตาย อีกคนหนึ่งใครตายจำไม่ได้ ข้าก็ปล่อยมันไปหมด ครั้นเวลากลางวันยายแมวมา ตอนค่ำลูกสาวแกตามมาถามว่า ยายแมวอยู่นี่หรือเปล่า อธิบายว่า ยายแมวบอกว่า จะมาที่บ้านนี้สักครู่หนึ่งประเดี๋ยวจะกลับ พะเอินเสด็จในวังรับสั่งให้หา คนที่มาตามมานั่งคอยอยู่ช้านาน ยายแมวก็ไม่กลับ คอยหนัก ๆ เข้าก็ออกช่วยกันตามหา เพราะแกไม่เคยไปไหนนานเท่านี้ (ตาเป็ดพูดพลางลุกไปรินบรั่นดีครึ่งถ้วยแก้วโซดา ข้าพเจ้าลุกตามไปยึดมือไว้ แกก็ยอมวางถ้วยแก้วโดยดี แล้วเล่าต่อไปว่า) “ลูกสาวยายแมวกับพวกพี่น้อง เขาพากันเที่ยวตามที่ไหน ๆ ก็ไม่พบ เขาจึงมาถามข้าว่า เห็นไหม ข้าก็ตอบว่า (เสียงสั่น) ไม่เห็น.”
ข้าพเจ้านึกว่า ตาเป็ดเห็นจะเปนบ้าจริงเสียแล้วแต่ไม่ได้กล่าวอะไร ตาเป็ดก็เล่าต่อไปว่า “ครั้นเวลาประมาณเที่ยงคืน เขากลับมาบอกอิกครั้งหนึ่งว่า ยายแมวยังไม่กลับมา เที่ยวสืบตามเพื่อนบ้านหมดก็ไม่ได้ความว่าไปไหน ที่จริงมียายเมี่ยงคนหนึ่งอยู่ที่ร้านเข้าเม่าทอด ตรงประตูบ้านนี้ข้าม แกเห็นยายแมวเข้ามาในบ้านนี้ แลไม่ได้กลับออกประตูไปเลยจนลูกสาวมาตาม ครั้งแรก แลเมื่อสิ้นเวลาขายเข้าเม่าทอดของแกแล้ว แกยังทำตัวเปนเจ้ากี้เจ้าการนั่งเฝ้าคอยตรวจคนเข้าออกในบ้านนี้อยู่อิกจนดึก แกยืนยันว่ายายแมวไม่ได้กลับออกไปเลย ตลอดเวลาที่แกคอยดู แต่ยายแมวก็ยังหายไปได้.
ข้าพเจ้า “ก็ความจริงมันอย่างไรล่ะ.”
ตาเป็ด “เจ้าไม่เห็นหรือว่าตามความจริงนั้น อาการของข้ามันหนักมาก.”
ข้าพเจ้า “หนักอย่างไร เจ้าจะถูกสงสัยว่าฆ่ายายแมวตายเจียวหรือ หรือกลัวจะมีคนสงสัยว่าเจ้าเศกยายแมวเปนแมวไปจริง ๆ ส่วนตัวข้านั้น ถ้าเจ้าเศกยายแมวเปนแมวไปได้ ข้าก็อนุโมทนาด้วย.”
ตาเป็ด “อย่าพูดอย่างนั้นน่า ขอเสียทีเถอะ เพราะมันเปนเรื่องสำคัญอยู่ ที่แท้เขาก็คงยังไม่สงสัยว่าข้าฆ่ายายแมวตาย แต่คงจะสงสัยอะไรสักอย่างหนึ่ง เพราะตำรวจพระนครบาลก็คอย จ้องดูข้าอยู่.”
ข้าพเจ้า “เขาคงจะคอยดูว่าถ้าเจ้าเปนบ้าจริงจะได้จับตัวไปส่งคลองสาร นอกจากนั้นไม่มีอะไร.”
ตาเป็ด “แต่ว่ามันมี คือเมื่อลูกสาวยายแมวถามข้าว่า เห็นยายแมวไหม ข้าก็บอกว่าไม่เห็น ครั้นถามอีกทีหนึ่งข้าก็บอกว่าไม่เห็น.”
ข้าพเจ้า “ก็ถูกแล้ว.”
ตาเป็ด “แต่มันไม่ถูก เพราะยายเมี่ยงแกยืนยันอยู่ทั้งคน ใช่แต่เท่านั้น มีแขกขายผ้า ๒ คนซุ่มซ่ามเข้ามาขายผ้าซึ่งข้าไม่ต้องการซื้อ แลพะเอินมันรู้จักกับยายแมว พูดจาทักทายกันหนวกหูจะตาย.”
ข้าพเจ้า “ถ้าอย่างนั้นยายแมวแกก็ได้มาที่นี่จริง ๆ”
ตาเป็ด “ก็อย่างนั้นน่าซี คำที่ยายเมี่ยงพูดกับคำที่แขกขายผ้าพูดนั้นพะเอินมันจริงทุกประการ ในเวลานี้ยายแมวก็อยู่ในห้องนี้เอง.”
ข้าพเจ้านึกว่าตาเป็ดเปนบ้าแน่เสียแล้ว เมื่อเหลียวดูรอบห้องก็ไม่เห็นยายแมว หรือที่กำบังที่จะซ่อนยายแมวไว้ได้ นอกจากตู้เล็กตู้หนึ่งซึ่งถ้าเอาคนเข้าไปมักซ่อนไว้ ก็คงจะตายใน ๑๐ นาที
ตาเป็ด เดารู้ในใจว่า ข้าพเจ้าคิดว่าแกเปนบ้า แกจึงเพียรจะอธิบายให้ข้าพเจ้าเชื่อแลกล่าวว่า “เจ้าคงนึกว่าข้าบ้า แต่ที่จริงข้าไม่ได้บ้า เหตุปลาดที่ไม่น่าเชื่อ มันเกิดขึ้นแล้วจริง ๆ ตั้งแต่วันนั้นมาจนวันนี้ ยายแมวยังไม่ได้ออกจากห้องนี้ไปแลยแม้วินาทีเดียว ตำรวจก็เที่ยวหา พี่น้องของแกก็เทียวหา เปนก็ไม่พบ ตายก็ไม่พบ แต่แกก็อยู่ในห้องนี้เอง.”
ข้าพเจ้ายิ่งหนักใจยิ่งขึ้น เพราะฟังตาเป็ดพูดยังไม่ได้ความว่ากระไรจนบัดนี้ นอกจากจะได้ความว่าแกเปนบ้าเสียแล้ว.
ตาเป็ด “ข้าจะชี้พยานแลอธิบายให้เจ้าฟัง ยายแมวแกอยู่ในตู้นี้ มาดูเองเถอะ.”
ตาเป็ดพูดเท่านั้นแล้วก็ลุกขึ้นเดิรขาสั่นไปไขกุญแจตู้ ตู้นั้นเปนตู้ซึ่งลมเข้าได้ แต่ดูข้างนอกไม่เห็นว่าอะไรอยู่ในนั้นบ้าง ข้าพเจ้าพิศวงเต็มที ว่าตู้นิดเดียว ยายแมวจะเข้าไปอยู่อย่างไรได้ นี่ข้าพเจ้าจะได้ดูพยานแห่งความเปนบ้าของตาเป็ด หรือพยานแห่งความอาญาอย่างร้ายแรงซึ่งตาเป็ดได้ทำเวลาที่เสียสติหรือ.
ข้าพเจ้ากำลังจะชี้แจงให้ตาเป็ดทราบว่า ถ้าแกให้ข้าพเจ้าดูอะไร ก็ต้องให้เปนที่เข้าใจกันว่าให้ดูสำหรับเปนพยานโทษของแกเอง เพราะถึงแม้ว่าตาเป็ดกับข้าพเจ้าจะเปนเพื่อนกันอย่างสนิทมาช้านานก็จริง แต่ข้าพเจ้าจะต้องยกเอากฎหมายเปนใหญ่ตามน่าที่ของพลเมือง.
ข้าพเจายังไม่ทันจะอธิบาย ตาเป็ดก็เปิดตู้ออกแล้วบอกข้าพเจ้าว่า “ดูซี” ข้าพเจ้าดูก็ไม่เห็นอะไรแปลกปลาด นอกจากขวดเหล้าซึ่งมักจะวางเกะกะอยู่ในตู้นั้น ไปเบียดกันอยู่ข้างหนึ่ง อิกข้างหนึ่งมีแมวใหญ่ตัวหนึ่งนอนหลับอยู่บนเสื้อยืดสองสามตัวซึ่งปูรองเปนที่นอน.
ตาเป็ด “นั่นแหละยายแมว.”
ข้าพเจ้า “เจ้าพูดถึงยายแมวข้าก็หลงคิดว่ายายแมวคน คือยายแก่ที่เรียกตัวเองว่ายายทับทิม แต่เจ้าเรียกว่ายายแมวเพราะไม่เห็นแกทับทิมที่ตรงไหน ข้าไม่ทันรู้ว่าเจ้าพูดถึงแมวจริง ๆ หาใช่พูดถึงยายแมวที่เปนคนไม่ ต่อไปข้างน่าถ้าเจ้าฉุดขาข้าอย่างนี้อีก ขาที่เจ้าฉุดนั้นมันจะเตะเอาเจ้า.”
ตาเป็ด “ข้าไม่ได้หลอกเจ้าเลยนั่นแหละ ยายแมวที่คนอื่น ๆ เรียกว่ายายทับทิม.”
ข้าพเจ้า “นั่นแมวต่างหาก ไม่ใช่ยายแมวเลย.”
ตาเป็ด “แมวนั่นแหละยายแมว.”
จบมัน ยายแมวหรือยายทับทิมที่ข้าพเจ้าได้พบเดิรส่วนกันในบ้านตาเป็ดเมื่อสองสามวันมานั้นเปนคน และเปนผู้ใหญ่อายุราว ๖๐ ปี คนแท้ ๆ จะกลายเปนแมวไปอย่างไรได้เล่า แต่แรกถึงข้าพเจ้าจะสงสัยว่าตาเป็ดเปนบ้าเปนแต่เพียงสงสัย มาบัดนี้รู้แน่เสียแล้ว ข้าพเจ้าเสียใจยิ่งนักที่เพื่อนเก่ามาเปนดังนี้ไปเสียคนหนึ่ง ให้คิดสงสารเปนกำลัง.
ตาเป็ด “เจ้าคงคิดว่าข้าเปนบ้า บางทีข้าเองก็คิดอย่างนั้นเหมือนกัน แต่เมื่อมาตรึกตรองดูก็เห็นหาเปนอย่างนั้นไม่ เพราะมีพยานอเนกประการที่แสดงว่าข้าไม่ได้เปนบ้า ที่จริงข้าก็คิดอยากจะเปนบ้าเสียให้รู้แล้วรู้รอดไป.”
ข้าพเจ้าเห็นไม่ได้การเปนแน่ เพราะคนบ้าย่อมจะบอกว่าตัวไม่บ้าเสมอ. ข้าพเจ้านึกในใจว่าลำพังตัวคนเดียวจะจัดการอะไรก็คงไม่สำเร็จ จำต้องไปหารือญาติพี่น้องหาหมอมาตรวจและจัดการต่อไป ข้าพเจ้านึกในใจดังนี้จึงกล่าวว่า “ขอโทษเถอะ ข้ามีธุระจะต้องรีบไป................”
ตาเป็ดเดาความในใจข้าพเจ้าถูกก็โดดไปยืนขวางประตูไว้แล้วอ้อนวอนว่า “เจ้าคิดว่าข้าเปนบ้า เจ้าก็จะคิดอ่านหนีไปหาหมอมาตรวจ แต่ถ้าเจ้าไปเสียข้าก็หมดที่พึ่งเจ้าต้องอยู่ช่วยข้า เพราะตั้งแต่สร้างโลกมา ยังไม่เคยมีใครต้องการความช่วยจากเพื่อนเหมือนที่ข้าต้องการจากเจ้าคราวนี้ เจ้าต้องฟังข้าอธิบายให้เปนที่เข้าใจกันก่อน.
“เมื่อวานซืนขาเดิรเที่ยวไปตามถนน ผ่านน่าโรงจำนำแห่งหนึ่ง ตากวาดดูเข้าไปในโรงพะเอินเห็นสมุดเล่มหนึ่ง ซึ่งคนรักหนังสือย่อมจะอยากมีไว้เปนสง่าในตู้ ข้าแวะเข้าไปดูสมุดเล่มนั้นและซื้อได้แล้ว ก็หยิบดูสมุดอื่น ๆ ที่มีเปนสวะอิกสามเล่ม พบสมุดคร่ำคร่าเล่มหนึ่งหน้าตาสกปรก ข้างในมีหนังสือเขียนด้วยดินสอ ฝีมือเขียนห่างไกลกับเสมียนกรมพระอาลักษณ์มาก สมุดนั้นเขียนไว้น่าปกว่า ‘ตำราอาถรรพ์’ กล่าวว่าเปนมนต์บางมนต์ในอถร๎วเวท ข้าถามเจ๊กเจ้าของร้านว่าราคาเท่าไร เจ๊กตอบว่า ๗๕ สตางค์ ข้าต่อ ๕๐ สตางค์ ตกลงกันข้าก็ซื้อมา.
“ครั้นมาถึงบ้านข้าเปิดสมุดสกปรกนั้นดูเห็นเปนตำราขัน ๆ ผู้เขียนบอกไว้ว่าฉมังนัก แต่ก็ไม่มีอะไรที่น่าเชื่อ ล้วนเปนตำราที่น่าเห็นว่าหลอกกันเล่นทั้งนั้น เช่นวิธีเศกยายแก่ให้เปนแมวเปนต้น.”
ข้าพเจ้านึกขันก็เหลียวไปดูแมวตาเป็ดก็เหลียวไปดูด้วย แล้วทำกิริยาตกใจ ราวกับกลัวแมวจะได้ยิน.
ข้าพเจ้า “แล้วอย่างไรต่อไปล่ะ”
ตาเป็ด “ข้ากำลังอ่านวิธีเศกยายแก่เปนแมวอยู่ พอยายแมวเข้ามากล่าวโทษข้าถึงเรื่องอะไรลืมไปเสียแล้ว ลงท้ายว่าข้าเปนคนใจคอไม่ยั่งยืน ไปดูหนังกับผู้หญิงที่ยายแมวเห็นว่าเปนคนเสเพลใช้ไม่ได้ ข้าได้ฟังก็เกิดฉุน เพราะแม่สาวที่ไปดูหนังด้วยกันนั้น เขาไม่ได้เปนคนเสเพลอย่างว่า และทั้งแม่ของเขาก็ไปด้วย อนึ่งในเวลานั้นยายแมวแกหยาบทั้งกิริยาและวาจา จึงทำให้ข้าโกรธไม่ทันนึกน่านึกหลัง ตำราบอกวิธีทำยายแก่ให้เปนแมวก็ถืออยู่ในมือแล้ว ข้าจึงอ่านโองการเศกตามที่ตำราสอน พอลงมือว่าคาถายายแมวก็หยุดพูด ข้ามัวก้มหน้าอ่านคาถาจากสมุด พอหมดคาถาข้าเงยหน้าขึ้นดูเห็นยายแมวหายไป มีแมวใหญ่ตัวนี้ยืนนิ่งจ้องดูข้าอยู่น่าเก้าอี้ที่ข้านั่งอยู่.”
ตาเป็ดเล่ามาเพียงนี้ ก็หยุดพูดชักผ้าเช็ดหน้าออกซับหน้าซึ่งเหื่อไหลราวกับน้ำ หน้าก็ซีดจนน่าสงสาร ข้าพเจ้าเลยต้องบอกให้กินบรั่นดีเสียหน่อยหนึ่ง ตาเป็ดจึงเล่าเรื่องต่อไปว่า “เจ้าก็ทราบอยู่แล้วว่าข้าเกลียดแมวเปนที่สุด และเมื่อยายแมวมากลายเปนแมวไปจริง ๆ ดังนี้ ข้าก็รู้สึกขนพองสยองเกล้าทั้งเกลียดทั้งกลัวเหลือที่จะเปรียบได้ สักครู่หนึ่งได้ยินฝีเท้าคนเดิรขึ้นมาบนเรือน ข้าตกใจก็เตะแมวเข้าไปในตู้แล้วลั่นกุญแจเสีย เมื่อลูกสาวยายแมวมาถามว่า เห็นยายแม่หรือเปล่า ข้าก็บอกว่าไม่เห็น.”
ข้าพเจ้าจ้องดูตาตาเป็ดดังที่ตาเป็ดจ้องดูตาข้าพเจ้า นึกแน่ในใจว่าเพื่อนของเราคนนี้บ้าเสียแน่แล้ว ตาเป็ดเดาใจข้าพเจ้าถูกกล่าวว่า “เจ้านึกว่าข้าเปนบ้า ที่จริงข้าเล่าตามเรื่องที่มีมาแท้ๆ ไม่ใช่บ้าเลย คำที่ข้าพูดนี้จริงทุกคำ.”
ข้าพเจ้า “ถ้าเจ้าไม่ได้เปนบ้า และเจ้าหวังให้คนเชื่อเรื่องเช่นนั้นในสมัยนี้ เจ้าก็หวังเกินไปสักหน่อย เจ้าต้องอย่าลืมว่าเวลานี้ พ.ศ. ๒๔๖๑ แผ่นดินพระรามาธิบดีพระองค์ที่ ๖ อันเปนเวลาที่คนได้รับความเล่าเรียนมาก ไม่มีใครเชื่อเรื่องอรรถาพ์เสียแล้ว เมื่อแผ่นดินพระนารายน์มีพวกไทยไปทำปาฏิหารต่าง ๆ ที่เมืองฝรั่งเศสเฉพาะพระพักตร์พระเจ้าแผ่นดิน แต่เจ้าไม่ควรเพียรให้ไทยปัจจุบันเชื่อของเหล่านั้น เพราะคนในแผ่นดินพระรามาธิบดีพระองค์ที่ ๖ ได้รับความศึกษาผิดกับคนในแผ่นดินพระนารายน์.
ตาเป็ด “ข้าไม่ได้เพียรจะให้เจ้าเชื่ออะไรที่ไม่ใช่ความจริงเลย.”
ข้าพเจ้า “ถ้าอย่างนั้นก็เอาเปนจริงทั้งหมด แต่ตราไม่บอกวิธีแก้ไว้หรือ.”
ตาเป็ดสั่นหัว.
ข้าพเจ้า “ก็สมุดสวรรค์ของเจ้าเล่มนั้นอยู่ไหนล่ะ.”
ตาเป็ด “เผาไฟเสียเกือบหมดแล้ว เวลาที่ข้ากำลังงุ่นง่าน ข้าฉีกสมุดเผาเสียได้ ๑๑ ส่วน ยังอิกส่วนเดียวจะหมด พอเห็นมีอะไรชอบกลข้าก็ชงักไว้ ยังไม่ได้เผา.”
ข้าพเจ้า “เจ้าไม่ฉลาดเลย เจ้าจึงเผาตำรานั้นเสีย แต่ว่าส่วนที่ยังเหลืออยู่นั้นว่ากระไร.”
ตาเป็ดหยิบหนังสือสกปรกแลขาดรุ่งริ่งมาส่งให้ข้าพเจ้า แล้วกล่าวว่า “ดูเอาเองเถอะ บางทีก็จะเปนวิธีเศกแมวให้กลับเปนคนได้ บางทีก็จะเปล่าทั้งเรื่อง ข้าก็ไม่กล้าจะเชื่อข้างไหนแน่ ถ้าทำตามนั้นก็น่ากลัวอันตรายเต็มที ถ้าเจ้าเห็นควรทำก็ทำเถิด.”
ข้าพเจ้ารับสมุดมาดู เห็นเปนหนังสือที่ขุดมาจากก้นคลองหรือจากไหนที่ไม่น่าจะมีสมุดมาเปน อันขาด ในสมุดนั้นที่ปกหลังมีคนเขียนหนังสือด้วยลายมือคนเขียนไม่เปนว่า: –
“จะให้แมวเปนยายแก่ต้องเชือดคอ”
ข้าพเจ้า “เชือดคอใคร เชือดคอยายแก่หรือเชือดคอแมว.”
ตาเป็ด “เห็นจะคอแมวกระมัง เจ้าเห็นหรือไม่ว่าถ้าเชือดคอแมวก็อาจเกิดความเปนสองซ้ำขึ้น.”
ข้าพเจ้า “ถ้าเชือดคอแมว ๆ ก็คงจะตาย.”
ตาเป็ด “นั่นน่ะซี ถ้าเชือดคอแมวตายยายแมวก็คงจะตายด้วย”
ข้าพเจ้า “ข้าดูมันไม่มีอะไรที่เข้าทีเลย ถ้าเชือดคอแมวๆ กลายเปนยายแก่จริงอย่างว่า เด็กซนทั้งหลายที่รู้วิชานี้ไป ก็จะพากันเชือดคอแมวเปนยายแก่ไปหมด จะได้อะไรไว้กำหราบหนูเล่า บ้านเมืองก็จะเดือดร้อน เพราะจำนวนแมวกับจำนวนยายแก่จะผิดส่วนไปหมด ส่วนแมวตัวนี้เมื่อเชือดคอเข้าก็คงจะกลายเปนยายแมว หรือมิฉนั้นตายทั้งแมวทั้งยายแมว.”
ตาเป็ด “เจ้าพูดเล่นยังไม่แล้ว เจ้าคิดว่าเจ้าจะพูดยวนใจคนบ้าให้เพลิน แต่เจ้าเข้าใจผิด เพราะข้าไม่ใช่บ้าเลย บัดนี้ข้าจะขอตั้งปัญหาว่า ถ้ายายแมวตายเพราะเราเชือดคอแมว จะเรียกว่าเราฆ่าคนได้หรือ เราไม่ได้เชือดคอคน เราเชือดคอแมวต่างหาก.”
ข้าพเจ้าไม่รู้จะตอบว่ากระไรก็นิ่งอยู่ ตาเป็ดลุกขึ้นเดิรไปเดิรมา อย่างคนที่ร้อนใจจนนั่งไม่อยู่กับที่ สักครู่หนึ่งก็อธิบายให้ข้าพเจ้าฟังต่อไปว่า “เมื่อการเปนดังนี้ (เจ้าก็ย่อมจะเห็นได้ว่าอาการของข้าหนักเพียงไหน แต่อาจจะมีความร้ายบ้ายมาถึงข้าทางใดบ้าง คิดดูเถอะ ยายแมวอยู่ดี ๆ ก็หายไป ลูกสาวแลญาติของแกก็ร้อนใจเต็มประดาที่จะสืบข่าวให้ได้ เจ้าหนี้ของแกก็สงสัยว่าจะเปนกลมายาอะไรอย่างหนึ่งซึ่งข้าคงจะรู้เห็นด้วย พวกเพื่อบ้านก็ช่วยกันสืบเสาะด้วยเหตุอยากทราบ ตำรวจก็พยายามเต็มกำลังที่จะหายายแมวให้พบหรือสืบข่าวให้ได้ แลคนทั้งหลายชี้มือใส่เอาข้าทั้งนั้น เวลาข้าออกนอกบ้านก็มีคนสกดรอยตาม เพื่อจะหาอะไรเปนพยานว่ามีเรื่องจริงตามความสงสัยของเขา แลที่การเปนเช่นนี้ก็สมควรแล้ว เพราะยายแมวอยู่ในตู้นี้เอง.”
ตาเป็ดชักผ้าเช็ดหน้าออกซับเหื่ออิกครั้งหนึ่ง แล้วกล่าวต่อไปว่า “แต่ยังมีข้อร้อนใจอิกอย่างหนึ่ง คือเดี๋ยวนี้ข้าเชื่อว่ายายแมวแกป่วย จะเปนด้วยแกกินได้ข้าวคลุกปลาย่างแลนมงัว ขาดอาหารบางอย่างซึ่งคนจำเปนต้องกิน แต่ยายแมวในรูปแมวกินไม่ได้ หรือจะเปนด้วยเหตุใดที่จะอธิบายได้ด้วยวิชาแพทย์ ข้าก็หาทราบไม่ บางทีจะเปนด้วยอากาศในตู้ไม่ใคร่จะดี หรือจะเปนด้วยอะไรก็ตาม เวลานี้ให้อะไรแกกินแกก็ไม่ใคร่กิน ข้าจะปล่อยให้แกออกนอกตู้ก็ไม่กล้า ถ้าแกตายไปเองจะทำอย่างไร ข้านึกว่าจะร้ายยิ่งกว่าตายเพราะเชือดคอเสียอีก ถ้าคิดโดยทำนองนี้ก็ควรต้องรีบเชือดคอเสียเดี๋ยวนี้ แต่ข้าก็ยังลังเลในใจอยู่ เจ้าเห็นหรือยังว่าข้าต้องการความแนะนำของเจ้าเหมือนลูกนกต้องการให้แม่ป้อนอาหาร เจ้าต้องกรุณาข้า เจ้าต้องช่วยข้า.”
ข้าพเจ้านั่งนิ่งอยู่สักครู่หนึ่งจึงพูดว่า “นี่แนะ เจ้าเป็ด ข้าไม่ทราบว่าเจ้าเปนบ้าหรือไม่เปน ไม่ทราบว่าเจ้าเพียรหลอกข้าหรือไม่ใช่ ไม่ทราบว่าเจ้ากล่าวความจริงหรือความเท็จ แลกล่าวเพราะเหตุใด ข้าจะบอกเจ้าได้แต่เพียงว่า ข้าก็ไม่รู้จะทำอย่างไรได้ เพราะข้าไม่ใช่นักปราชญ์ในคดีแมว ไม่รู้จักแก้ปัญหาที่ยุ่งยาก เจ้าเห็นจะต้องหารือผู้อื่นที่มีปัญญาดีกว่าข้า.”
ตาเป็ด “เจ้าพูดอย่างนั้นก็คือเจ้าทิ้งเพื่อนในเวลาตกทุกข์ เจ้าไม่ใช่คนชนิดที่ทำอย่างนั้น เจ้าต้องช่วยข้าให้จนได้.”
ข้าพเจ้า “ถ้าอย่างนั้นเจ้าจงไปอาบน้ำกินเข้าเสียก่อนที่เจ้าสลบเพราะหมดแรง ถ้าเจ้าไม่ทำตามคำข้า ๆ จะไม่ปริปากพูดเรื่องนี้อีกจนคำเดียว.”
ตาเป็ดถูกขู่ดังนั้นก็ตกลงง่าย ๆ ครั้นแกออกจากห้องไปไม่ทันไร ก็มีชายคนหนึ่งขึ้นมาบนเรือน เปนผู้ใหญ่โดยอายุ แต่ไม่ใช่ผู้ดีสวมถุงเท้าซึ่งเคยขาวครั้งหนึ่งในอดีตกาล แต่เดี๋ยวนี้ลืมขาวเสียแล้ว ส่วนเสื้อผ้าอื่น ๆ ก็ปรากฏว่าไม่ได้วิสาสะกับซาบู่มาช้านาน
ชายผู้นั้นไม่รู้จักตาเป็ด ครั้นเข้ามาเห็นข้าพเจ้านั่งอยู่คนเดียว ก็ยื่นก๊าดชื่อที่ลืมขาวเสียแล้วเหมือนกัน กาดนั้นจารึกปฤษณาว่า
นาย ม. อ. ศุกจาร
ไปรเวต ดีเต๊กตีบ นายน่า แลทนายความ
ข้าพเจ้าอ่านปฤษณาแล้วไม่เข้าใจว่ากระไรจึงต้องถามว่า “แกเปนอะไรแน่ แลเปนทำไม.”
นายศุกจารตอบว่า “ผมเปนไปรเวตดีเต๊กตีบ ภาษาฝรั่งแปลว่านักสืบไปรเวต ดีเต๊กตีบคือนักสืบ ไปรเวตก็ไปรเวต.”
ข้าพเจ้า “ที่แปลไปรเวตว่าไปรเวตนั้นคงจะแปลถูกเปนแน่ ส่วนดีเต๊กตีบนั้นฉันยังไม่เข้าใจ ว่าดีเต๊กอย่างไรจึงตีบ แลตีบไปรเวตได้หรือไม่.”
นายศุกจารยิ้มเยาะแลกล่าวว่า “คุณไม่รู้ภาษาฝรั่ง ดีเต๊กตีบนั้นเปนคำ ๆ เดียว ไม่ใช่ ตีบภาษาไทย”
ข้าพเจ้า “อ้อ งั้นรึ นึกว่าตีบเราไทย ๆ นี่เอง ก็นี่มาทำไมล่ะ.”
นายศุกจาร “ผมมาหาคุณเพื่อจะซักความสองสามข้อในเรื่องที่แม่ทับทิมพี่น้องของผมหายไป.”
ข้าพเจ้า “แกมีอำนาจอะไรที่จะมาซักฉันได้ในเรื่องนั้นหรือเรื่องไหนๆหมด.”
นายศุกจาร “เรื่องอำนาจคุณไม่ควรพูดถึง เพราะคุณเปนคนมีพิรุธ.”
ข้าพเจ้า “แกรู้หรือเปล่าว่าศักดินาของฉันเท่าไร.”
ขณะนั้นตาเป็ดเข้ามาในห้อง ครั้นเห็นมีคนแปลกมาคนหนึ่ง แกก็นิ่งตลึงดู ข้าพเจ้าจึงบอกว่า “คน ๆ นี้ชื่อนายสุขาจาร.....”
ตาคนนั้น “ศุกจาร, คุณ. ไม่ใช่สุขาจาร”
ข้าพเจ้า “งั้นรึ ขอโทษ (อ่านก๊าด) นาย ม. อ. ศุกจาร, ไปรเวตดีเต๊กตีบ......”
ตาเป็ด “Private Detective ! Didn’t know there was one.”
ข้าพเจ้า “There isn't. But this man describes himself as a private tect among other things, and has virtually expressed a desire to be kicked out of the house.”
ตาเป็ด “Doesn't know English ?”
ข้าพเจ้า “Not a blessed word. If he thought you did not know the language, he would have tried to impress you with the idea that he did. But he won't do it
now; so just get the interview over and kick the blighter out.”
ที่พูดอังกฤษกันสองสามคำมีผลดีแก่ตาเป็ดมาก แลมีผลตรงกันข้ามแก่ตาสุขาจาร. ตาเป็ดหายสทกสท้าน ตาสุขาจารกลับหย่อนความเชื่อตัว เพราะรู้สึกว่าแกอ่อนความรู้กว่าเราสองคน เสียเปรียบเสียแต่ต้นมือแล้ว. อนึ่งเมื่อตาเป็ดโผล่เข้ามาอิกคนหนึ่ง ก็ทำให้แกเคว้งคว้าง แลนึกรู้ว่าแกพลาดท่าอย่างใหญ่ในการที่นึกว่าข้าพเจ้าเปนตาเป็ด.
ตาเป็ด “มาทำไม.”
ตาสุขาจาร “ผมจะมาเรียนถามคุณเรื่องที่แม่ทับทิมหายไป”
ตาเป็ด “จะถามอะไรก็รีบถาม เวลานี้ไม่ใช่เวลาที่ฉันรับแขก.”
ตาสุขาจาร “ผมกับแม่ทับทิมเปนลูกพี่ลูกน้องกัน แลถึงแม้ความเห็นของแม่ทับทิมจะไม่ตรงกับความเห็นของ ๙ ข้อใน ๑๐ ข้อก็จริง แต่ผมจะนิ่งให้ใครทำร้ายญาติของผมไม่ได้เปนอันขาด. ในเรื่องที่แม่ทับทิมหายไปครั้งนี้ มีคนเห็นอย่างเดียวกับผมมากด้วยกัน ว่าคุณคงจะรู้เรื่องมากกว่าที่พูดให้คนฟัง.”
ตาเป็ดกลับสทกสท้านหน่อย ๆ ลุกขึ้นตรงไปหาตู้เหล้าอันเปนที่แมวอยู่ แล้วหันมาถามตาสุขาจารว่าจะดื่มเหล้าชนิดไหน
ตาสุราจารทำตาไสตอบว่าวิซกี้ ตาเป็ดรีบกระปรี้กระเปร่าไปเปิดตู้ มีอาการเหมือนลืมแมวที่อยู่ในนั้น แต่เมื่อเปิดตู้เห็นแมวเข้าก็ชงักไม่กล้าหยิบขวดเหล้าได้.
ตาสุขาจาร “คุณคงจะชอบแมวมาก จึงทำที่นอนให้ในตู้เก็บเครื่องดื่ม”
เวลานั้นแมวตื่นขึ้นยืนบิดขี้เกียจ โก่งหลังยกหาง แล้วยืนแลดูตาเป็ด ตาเป็ดก็ยืนดูแมวสิ้นสติไม่อาจทำอะไรได้.
ตาสุขาจาร “แมวตัวนั้นงามมาก แต่เมื่อตะกี้ดูเหมือนคุณพูดถึงวิซกี้”
เมื่อตาสุขาจารเตือนขึ้นตรง ๆ ดังนี้ ตาเป็ดก็เอื้อมมือไปจะหยิบขวดวิซกี้. ครั้นมือเข้าไปใกล้ตัวแมว ๆ ก็แคว๊วเอา ตาเป็ดตกใจโดดหนีห่างออกมายืนจ้องดูแมว. แมวก็จ้องดูตาเป็ดอย่างปฏิปักษ์. แล้วมันก็ออกมาจากตู้ เดิรเข้าไปใกล้ตาเป็ด ๆ ถอยหลังหนีไปจนติดฝาแล้วร้องให้ข้าพเจ้าช่วย ตาสุขาจารกระซิบว่าแก่ข้าพเจ้าว่า “เพื่อนคุณเมากระมัง.”
ข้าพเจ้าตอบเสียงเขียวว่า “แกพูดอะไร. เพื่อนคนนี้ของข้ากินเหล้าแทบจะไม่เปน.”
ตาสุขาจาร “ถึงจะอย่างไร ๆ ก็ดูท่าทางเหมือนจะไม่ชอบแมว” (พูดกับแมว) “เหมียว ๆๆๆ”
แมงได้ยินเสียงเรียกก็วิ่งเข้าไปหาตาสุขาจารโดดขึ้นนั่งบนตัก. ตาสุขาจารนั่งลูบหัวแมวอยู่ครู่หนึ่งจึงพูดว่า “แมวตัวนี้ก็ไม่สู้จะดุร้ายอะไรนักเลย. แต่บางทีคุณจะได้เคยฟังเรื่อง ๆ หนึ่ง เรียกว่าเรื่องแมวดำ เปนเรื่องผู้ชายฆ่าเมียตาย แลเวลาที่ฆ่านั้นมีแมวเปนสักขีพยานตัวเดียว. ภายหลังชายคนนั้นกลัวแมว จนเจ้าพนักงานจับตัวได้ ชำระได้ความจริงถูกประหารชีวิต”
ตาเป็ดมีสีหน้าซีด ตาเที่ยวแลวนเวียนไปมา เหมือนจะหาช่องหนี แล้วยืนนิ่งนึกเหมือนจะหาคำแก้ตัว หรือไม่มีเสียงจะพูดออกมาได้.
ตาสุขาจาร “เรื่องดื่มก็เปนอันระงับไปแล้ว. ผมต้องขอกลับพูดถึงแม่ทับทิมใหม่ แลจะขอถามอะไรคุณสักสองสามข้อ”
ตาเป็ดพูดออกมาได้ว่า “ขอโทษ. วิซกี้อยู่นี่ถมไป” แล้วหยิบวิซกี้ขวดใหม่มาเปิดส่งให้ตาสุขาจารทั้งขวด. ตัวตาเป็ดเองรินบรั่นดีเกือบครึ่งถ้วยโซดาดื่มรวดเดียวหมด. ตาสุขาจารเห็นดังนั้นก็หันมาแลดูตาข้าพเจ้าประหนึ่งกล่าวว่า “นี่หรือที่ว่ากินเหล้าแทบจะไม่เปน.”
เมื่อตาสุขาจารดื่มวิซกี้จนคอชุ่มแล้วจึงกล่าวว่า “เรื่องที่แม่ทับทิมหายไป ผมได้ยินจากคน หลายคนว่าคุณกล่าวว่าคุณไม่รู้ไม่เห็น แลแม่ทับทิมไม่ได้มาที่บ้านนี้. แต่มีคนบางคนกล่าวว่าแม่ทับทิมได้มาที่นี่ แลไม่ได้กลับออกไปเลย. ผมจำต้องถามคุณอีกครั้งหนึ่งว่าอย่างไหนถูก. คุณว่ากระไรแน่. แลคุณจะแก้คำที่เขากล่าวยืนยันว่าคุณรู้นั้นอย่างไร.”
ตาเป็ดยืนเอามือไขว้หลัง ดูอาการกลับเปนคนปราศจากความสทุกสท้าน อาจเปนด้วยบรั่นดีครึ่งถ้วยโซดานั้นทำให้เกิดความกล้า หรือเพราะมีเวลากลับได้สติก็เปนได้.
ตาเป็ด “นี่แนะนายสุขาจาร. อ้อ. ขอโทษ นายศุขาจาร. มีความข้อ ๑ ซึ่งฉันต้องการจะบอกแก”
ตาสุขาจาร “ถ้าคุณบอกอะไรผม ๆ ก็ยินดีฟัง เพราะที่มานี้ก็ด้วยจะขอให้คุณบอกนั้นเอง แลหวังใจว่าคุณจะบอกความแต่โดยสัตย์จริง”
ตาเป็ด “ข้อที่ฉันต้องการจะบอกแกนั้นคือว่า แกเปนคนเสือกกระโหลกอย่างระยำที่สุด”
ตาสุขาจาร “อ๊ะ. มันก็หนักไปนักหละ."
ตาเป็ด “ไม่หนักเกินไปเลย. ข้าไม่ได้เชื้อเชิญแก ๆ ก็เสือกเข้ามาในบ้าน แล้วมิหนำซ้ำมาไล่เลียงข้าด้วยถ้อยคำหยาบช้าถึงเรื่องที่ข้ามิได้เอาเปนธุระสักเท่ากิ่งก้อย. ข้าไม่ได้เชิญให้แกเข้ามาในบ้านนี้ แต่ข้าเชิญให้แกออกไปทันที มิฉนั้นจะได้เห็นกัน”
ตาขาจาร “นี่จะเปนอันให้เข้าใจว่าคุณจะไม่บอกอะไรในเรื่องแม่ทับทิมหรือ”
ตาเป็ด “ให้เปนที่เข้าใจว่าแกจะต้องออกจากบ้านนี้ไปเดี๋ยวนี้ (ตาเป็ดพูดพลางกำมือแขงข้อเดินตรงเข้าไปถามว่า) แกจะไปโดยดีหรือไม่
ตาสุขาจารนิ่งนึกอยู่สัก ๒ อึดใจ ครั้นเห็นท่าตาเป็ดจะเล่นจะงานเอาจริง ๆ ก็ล่า หยิบหมวกเดินไปถึงประตูแล้วก็หันกลับมาพูดว่า “คุณคงจะได้ข่าวจากผมอิกในวันสองวันนี้ แลคงจะเปนข่าวที่คุณไม่อยากฟังเลย. ผมเชื่อว่าแมวตัวนั้นพูดได้ โลกก็คงจะได้ทราบเรื่องทำร้ายชีวิตมนุษยโดยวิธีใดวิธีหนึ่งซึ่งยังอยู่ในความปกปิดในเวลานี้. คุณคอยดูว่านาย ม.อ. ศุกจารจะสาวเอาความจริงมาประกาศโลกได้หรือไม่”
ตาเป็ดนิ่งไม่พูดว่ากระไรจนฝีเท้าตาสุขาจารเงียบไป แลตามไปดูเห็นเดินห่างออกไปเล้ว จึงกลับมาพูดกับข้าพเจ้าว่า “เจ้าได้ยินไหม. แต่อ้ายโง่บัดซบอย่างนั้นมันยังสงสัยว่า แมวตัวนี้คงจะเกี่ยวข้องกับเรื่อง เมื่อการเปนดังนี้ข้าก็ต้องตกลงใจว่าจะทำอย่างไร อ้ายวิธีที่หนึ่งคือเศกยายแมวเปนแมวก็สำเร็จเต็มที่แล้ว ทำไมวิธีที่สองจะไม่สำเร็จ. ตกลงต้องทำทันที.”
ข้าพเจ้าถามว่า “ทำอะไร.”
ตาเป็ดตอบว่า “เชือดคอยายแมวน่ะซี.”
ข้าพเจ้า “ฆ่าแมวเขาว่าบาปเท่าฆ่าเณรทีเดียวนา.”
ตาเป็ด “ถ้าข้าไม่เชือดคอยายแมวข้าก็เปนบ้า เจ๊กขายหมูก็มานั่นแล้ว.”
ตาเป็ดพูดประหนึ่งว่า ถ้าแกไม่เชือดคอยายแมว เจ๊กขายหมูก็คงทำให้แกเปนบ้า, ข้าพเจ้าคิดไม่เห็นว่า เจ๊กขายหมูกับความบ้าของตาเป็ดจะเกี่ยวข้องกันตรงไหน แลเกี่ยวกับยายแมวอย่างไร ครั้นตาเป็ดตะโกนเรียกเจ๊กทางน่าต่าง ข้าพเจ้าจึงนึกได้ว่า ตาเป็ดจะให้เจ๊กเชือดคอแมวแทนตัวแก.
ตาเป็ดเหลียวมาพูดกับข้าพเจ้าว่า “อยู่นี่ประเดี๋ยวนะ. ข้าจะลงไปพาเจ๊กขึ้นมาบนนี้. เจ้าอย่าให้ยายแมวหนีไปได้เปนอันขาด.” แล้วก็วิ่งลงบันไดไป อีกครู่หนึ่งพาเจ๊กกลับขึ้นมาบนเรือน.
ตาเป็ด “ลื้ออยากได้เงิน ๒๐ บาทไหม. ยี่จับพวด.”
เจ๊ก “ยี่จับพวด. อยากล่ายซี. นายเถาซื้อหมูยี่จับพวดฮ่า.”
ตาเป็ด “ไม่ซื้อหมูหรอก แมวนี่.........”
เจ๊ก “นายเถาจะซื้อแมวฮ่า”
ตาเป็ดตอบปัดทันที “เปล่า ๆ ๆ ถ้าลื้ออยากได้เงิน ๒๐ บาท, ลื้อเชือดคอแมวตัวนี้ แล้วอั๊วให้เงิน.”
เจ๊ก “เชือกคอแมวได้เงิง ยี่จับพวดฮ่า”
ตาเป็ด “เออ.”
เจ๊ก “นายเถาให้เงิง อั๊วเอาแมวไปเลี้ยงก็ล่าย.”
ตาเป็ด “ลื้ออยากได้เงินลื้อก็องเชือดคอแมว ไม่อยากได้ก็แล้วไป.”
เจ๊ก “เงิงก็อยากล่ายซี่ ทำไมไม่อยากล่าย นายเถาเชือดคอแมวทำไม แมวของใค.”
ตาเป็ด “แมวของข้าซี ทำไมลื้อถามยังงั้น.”
เจ๊ก “วานซึงอั๊วเชือดคอแมว ยายแก่ไปบอกโปลิกจับอั๊ว.”
ตาเป็ด “แมวตัวนี้ของอั๊วเอง โปลิศจับไม่ได้ ลื้ออยากได้เงินก็อุ้มลงไปเชือดคอข้างหลังเรือนทางนี้ ลื้อต้องเชือดให้อั๊วเห็น ไม่อย่างนั้นไม่ให้เงิน.
ครั้นเจ๊กอุ้มแมวลงจากเรือนไปแล้ว ตาเป็ดก็รินบรั่นดีอิกเกือบครึ่งถ้วย ข้าพเจ้าห้ามก็ไม่ฟัง ดื่มรวดเดียวหมด แล้วบ่นว่า “นี่ถ้าแกตายจะทำอย่างไร.”
ข้าพเจ้าไม่ทราบจะตอบตาเป็ดว่ากระไรเพราะถ้า “แก” คือแมว แกก็คงตายเปนแน่ เชือดคอ แกแล้วแกยังไม่ตาย แกจะเปนแมวไปได้หรือ
ตาเป็ดกลืนบรั่นดีเข้าไปแล้ว ก็ชวนข้าพเจ้าไปดูเจ๊กเชือดคอแมว ข้าพเจ้าก็ตามไปยืนเยี่ยมดูอยู่ที่น่าต่าง อิกครู่หนึ่งเจ๊กอุ้มแมวออกไปที่หลังเรือนเอาเชือกผูกเท้าทั้ง ๔ ติดกัน ดูอาการแมวที่นอนอยู่นั้นน่าเวทนายิ่งนัก ครั้นเจ๊กหยิบมีดหมูขึ้นตั้งท่า ข้าพเจ้าเสียวไส้ก็ต้องหลบไปเสียจากน่าต่างหาได้เห็นไม่ว่าทำอย่างไรกันต่อไป.
อิกครู่หนึ่งได้ยินเสียงยายแมวพูดเอ็ดอยู่ข้างล่าง ประเดี๋ยวมีเสียงตาสุขาจารมาพูดอยู่ด้วย ถ้าจะฟังตามน้ำเสียงที่พูดกัน ยายแมวกับตาสุขาจาร ก็มีความเห็นไม่ลงรอยกันอิกตามเคย.
ข้าพเจ้าอธิบายไม่ได้ว่ามันอย่างไรกันแน่ จะเปนด้วยอยู่ดีๆ ยายแมวแกก็ไปไหนเสียสองสามวัน ไม่บอกให้ใครทราบ แล้วอยู่ดีๆ ก็กลับมาเฉย ๆ ด้วยไม่บอกกล่าวใคร หรือจะเปนด้วยเจ๊กขายหมูเชือดคอแมว แมวกลายเปนยายแมวมาพูดแจ๊ว ๆ อยู่ ก็หาทราบได้ไม่ ถ้าจะถามเจ๊กขายหมูก็ยากที่จะพูดกันให้เข้าใจ ทั้งข้าพเจ้าไม่เคยพบเจ๊กคนนั้นอิกเลยแต่วันนั้นมา ส่วนยายแมวนั้นข้าพเจ้าเกลียดเกินที่จะไปซักเรื่องนี้ได้.
ตาเป็ดนั้นเล่า เมื่อไปถามขอให้อธิบายเรื่องนี้ก็หัวเราะร่วนไปเท่านั้นเอง ถ้าพะเอินท่านได้พบตาเป็ด แลถามแกว่าเรื่องนี้เปนอย่างไร แกก็คงหลอกท่านว่า เปนเรื่องที่ข้าพเจ้าประดิษฐ์ขึ้นเท่านั้น.