กิสาโคตมี

KISA, young and beautiful, poor
กิสาสาวคราวรุ่นละมุนลุม่อม ชวนจิตต์น้อมโน้มรักเป็นนักหนา
In worldly goods, but rich in what indeed
ถึงหากอับทรัพย์สารตระการตา ก็รุ่งเรืองวิทยากว่าผู้ใด
was better far knowledge psychic giv’n
ด้วยนางมีจิตตาวราเดช อันเทเวศร์เรืองฤทธิ์ประสิทธิ์ให้
from other spheres. Slim and graceful, doelike.
จากเมืองแมนแดนฟ้าสุราลัย เจ้าทรามวัยทรงสำอางดังกวางทอง
Eyes that sparkled with the light of stars
นัยนาคราค่ำก็ล้ำเลิศ ดูแพรวเพริศราวจะน้าวให้ดาวหมอง
on frosty nights, joyed in her only son,
ในราตรีหิมวาสดาษด้วยฟอง เฝ้าแต่จ้องอยู่กับบุตรสุดชีวี
and sang as birds do sing, in purest joy.
นางร้องเพลงเวงวังดังวิหค ดูชื่นอกชื่นกมลเป็นพ้นที
But Mara, silent and inscrutable,
แต่มารร้ายพาลาตัวกาลี อันไม่มีใครแจ้งตำแหน่งมัน
Struck down her son, and she in direst grief
ได้ลาญชีพบุตรนางจนวางวาย จึงโฉมฉายเกิดทุกข์ไม่สุขสันต์
Carried her child to all her neighbours, near
ค่อยโอบอุ้มบุตรน้อยกลอยชีวัน ซอกแซกดั้นดุ่มเดินดำเนินไป
and far, begging from them the draught to bring
สู่ตามเรือนเพื่อนบ้านเราตลาด ขอประสาทมาช่วยอำนวยให้
him back again to life. They, sore amazed,
บุตรนางฟื้นคืนชีวันไม่บัลลัย เพื่อนแปลกใจพากันจำนรรจา
said : “You are mad; your son is surely dead!”
“โฉมเจ้านี้เป็นไฉนจึงใจเขลา ลูกของเจ้าสิ้นชีวีแล้วนี่หวา”
Weary with her burden: dazed with fear,
กิสางามเหนื่อยที่สุดเพราะบุตรา นัยนาวาบหวามด้วยความกลัว
She stumbled on her way, but still believed
นางตุหรัดซัดเซพเนจร สายสมรคงยังฝังในหัว
that life again would come to her dead son.
ว่าบุตรน้อยอาจฟื้นคืนเป็นตัว มาพันพัวเย้าเล่นเช่นทุกวัน
Then one in pity said “Go thou to Sakaya—
บุคคลหนึ่งเมตตากิสาสาว จึงแย้มกล่าวเกลื่อนว่า “อย่าโศกศัลย์”
muni. He to thee will give u a peace
จงไปหาสากย์มุนีเถิดดีครัน จะสบสันติสุขปลุกหัวใจ
of heart, and all thy troubles shall from thee
บรรดาความลำบากยากทั้งมวล จะแปรปรวนหลุดพ้นไม่ทนได้
fall, as a garment falls that is off-cast.”
เหมือนอาภรณ์ผ่อนพรากจากร่างไป ย่อมไม่ทิ้งเยื่อใยไว้ในตน”
She sought the Buddha, full of hope renewed,
นางได้ฟังหวังทวีเป็นที่สุด หมายพระพุทโธวาทประสาทผล
Fell at His feet, and cried with mother’s love.
อ่อนแทบเท้าเข้าประณตทศพล อัสสุชลหลั่งไหลพิไรทูล
“Oh, Lord, and Master, give me that, I pray,
“ข้าแต่จอมนรินทร์ชินศรี ได้ปราณีปัดเป่าให้เศร้าศูนย์
which will my boy restore to life and health.”
รักษาบุตรลูกด้วยช่วยนุกูล ให้สมบูรณ์ชีวาอนามัย”
The master gazed at Kisa long, and saw
พระศาสดาจารย์เล็งญาณดู สัพพัญญูเห็นแท้สุดแก้ไข
That if she were not shown that all the world
จึงดำริตริว่าถ้านางใน ไม่แจ้งใจว่าทุกคนบนโลกี
bore grief as she had borne, and none was free,
มีทุกข์ดังนฤมลต้องทนอยู่ ไม่มีผู้รอดพ้นหม่นหมองศรี
her mind, now rocking with her pain, would soon
ใจนางซึ่งทุกข์โทมโถมทวี ย่อมจะมีแต่ยามจะทรามลง
become unhinged. And He, compassionate,
จึงชิเนนทร์สรรเพ็ชร์สมเด็จปราชญ์ ตรัสประภาษแก่นางผู้ยังหลง
said: “Daughter, go and bring to me mustard
“ดูกรพธูผู้ยรรยง สมรจงนำพืชผักกาดมา
seed, a handful. Seed which must be got
ให้ได้เต็มมือกำจำเอาไว้ แต่ต้องได้สมคะเนจากเคหา
from household which has never known the loss
ไม่ปรากฏแก่เหล่าชาวประชา ว่าวงศาคนใดต้องวายปราณ
of husband, wife, parent, child, or friend.
ทั้งสามี, ภรรยา, บิดาล้วน ยังอยู่ถ้วนบุตรมิตรประสิทธิสานต์
With joy she rose and bowed adoring, then
กิสาดีใจล้นรีบลนลาน นมัสการพุทธองค์ผู้ทรงธรรม
like a stone from catapult released,
รีบด่วนเดินเร็วลัดตัดชายทุ่ง ดังหินพุ่งจากแหล่งด้วยแรงล้ำ
she flew from house to house to gain her quest.
สู่ตามบ้านถึงลำบากสู้ตรากตรำ ปากก็พร่ำขอของต้องจำนง
The people, moved with pity at her grief,
คนทั้งปวงสงสารนางเป็นอย่างยิ่ง เขายื่นสิ่งที่เทวีมีประสงค์
said: “Here, O Kisa, take the seed thou seek’st,”
พลางกล่าวแก่กิสาว่า “โฉมยง นี่เจ้าจงรับไปไว้ใช้การ”
But when she asked in simple faith, “Hast thou
แต่เมื่อนางเอื้อนถามความง่ายๆ “ท่านทั้งหลายผู้ดำรงความสงสาร
a son or daughter, father or friend
บุตรธิดาอยู่สบายหรือวายปราณ บิดาท่านและสหายใครวายชนม์?”
lost in this house? With bowed heads they said:
บรรดาคนทั้งนั้นพากันเศร้า ต่างก้มเกล้าตอบความตามนุสนธิ์
“Alas, the living are but few: the dead
“อนิจจา ผู้อยู่ดูน้อยคน ที่ตายล้นเหลือเผาเจ้าโฉมงาม
are many. Do not thou remind us now
คำของนางนำเราให้เศร้าจิตต์
of our deep grief.”
ดังสะกิดทุกขกรรมด้วยคำถาม”
Kisa, weary, sad,
กิสาผู้แก่กล้าพยายาม ให้เกิดความอ่อนเพลียและเสียใจ
and hopeless, saw the sun return in flame
ระทดท้อคลายหวังลงนั่งพิศ ดวงอาทิตย์เลื่อนลอยคล้อยไศล
to his western bed. The village lights
สู้ประจิมริมฟ้าค่อยคลาไคล จนแสงไฟตามเรือนเลื่อนมาแทน
like magic points of flame, there came and went
แสงน้อยนั้นติดแล้วดับกลับมืดมิด ดังว่าฤทธิมนตร์ดลพิกลแสน
again. She sat beside the road until
กิสานั่งปล่อยใจไปตามแกน พักแข้งแขนอยู่ข้างหนทางจร
the darkness, velvet-like and cool, again
จนกะทั่งรัตติกาลผ่านมาครอบ ความเย็นรอบโขดเขาเนาสิงขร
reigned o’er the Earth; and she, brooding there,
นางดำริตริตามธรรมสุนทร สายสมรค่อยเห็นทางกระจ่างใจ
considered the fate of men and how their lives
อันสภาพแห่งมนุษย์สุดประเสริฐ และชีพอันล้ำเลิศของเราไซร้
all flicker up, and fall away again.
ประเดี๋ยวก็รุ่งเรืองประเทืองใจ แล้วก็ลดหมดไปไม่คืนมา
“How selfish I in my poor grief!” she thought,
พอคิดได้ดังนั้นพลันดำริ “ฉันนี่สิเห็นแก่ตนจนทุกขา
“Is death not common to us all? Yet, in
อันความตายนั้นไม่ใช่ธรรมดา หรือจึงมาจับเจ่าเฝ้าอาดูร
this vale of desolation there’s a path
เวลาเราตกบ่วงห้วงวิโยค ต้องตัดโศกเศร้าใจให้สิ้นศูนย์
that leads him to immortal heights, who has
มีหนทางที่จะอนุกูล ช่วยเพิ่มพูนให้ประสพพบนิพพาน
all selfishness surrendered.”
ซึ่งห่างไกลไปจากฟากตัณหา มีแต่ร่าเริงสุขสนุกสนาน”
The boy, her child,
นางคิดแล้วผ่องใสใจสราญ อุ้มกุมารเข้าไปในวนา
she in the forest buried. Returning to
ค่อยวางบุตรโฉมยงลงหลุมฝัง แล้วคืนยังบุระพระมหา
the Buddha, she confessed her fault, and took
พุทธเจ้าจอมคุณกรุณา สาวกิสาสารภาพบาปทั้งปวง
refuge in Him; and in the Blessed Dharma
และขอพึ่งบาระมีพระศรีปราชญ์ ผู้ฉลาดรู้เห็นเป็นใหญ่หลวง
comfort found, and balm for her sore heart.
ถือพระธรรมครองคุ้มเจ้าพุ่มพวง สมานดวงหฤทัยไร้อาวรณ์
Thus said the Buddha:
จึงสมเด็จพุทธองค์ผู้ทรงญาณ เอื้อนโองการแนะนำเป็นคำสอน
“All must to death attain
“อันคนเราทุกคนห่อนพ้นมรณ์
through sorrow, sickness, through old age, and pain.”
ต้องทุกข์ร้อน, เจ็บ, ชรา, อาดูรเอย”

แชร์ชวนกันอ่าน

แจ้งคำสะกดผิดและข้อผิดพลาด หรือคำแนะนำต่างๆ ได้ ที่นี่ค่ะ