พระราชปุจฉาที่ ๕ ว่าด้วยเหตุที่ห้ามมิให้บวชกะเทย

แก้พระราชปุจฉาที่ ๕ (ความที่ ๑)

อนึ่งซึ่งเนื้อความว่านบุงสกนี้ เหตุใดจึงบวชมิได้ แลนปุงสกนั้น พระพุทธเจ้าห้ามมิให้บวช เหตุนปุงสกนั้นเปนอภัพบุทคล แลมิได้ถึงมรรคแลผลในชาติเปนนปุงสกนั้น เหตุว่าอุเปกขาสันติรณจิตรอันเปนอกุศลวิบาก เหตุนั้นเปนปฏิสนธิในชาตินั้น ชื่อว่าวิปากาวรณ์ ห้ามซึ่งมรรคผล จึงพระพุทธเจ้าห้ามมิให้บวช ฯ

ประการหนึ่ง พระบาฬีว่าดังนี้ “อุสฺสนฺนกิเลสา อวุปฺปสนฺตปริฬาหา นปุํสกา เยน เกนจิ มิตฺตภาวํ ปฏฺเนฺติ” “นปุํสกา” อันว่านปุงสกทั้งหลาย “อุสฺสนฺนกิเลสา” มีกิเลสอันหนา “อวุปฺปสนฺตปริฬาหา” มีกระวนกระวายเดือดร้อนด้วยกามราคนั้นมิได้ระงับ “เต นปุํสกา” อันว่านปุงสกทั้งหลายนั้น “ปริฬาหเวคาภิภูตา” มีกำลังแห่งความกระวนกระวายด้วยกามราคนั้นหากครอบงำยิ่งนัก “ปฏฺเนฺติ” ย่อมปราถนา “มิตฺตภาวํ” สภาวะรักใคร่ “เยน เกนจิ ปุคคเลน” ด้วยบุทคลผู้ใดผู้หนึ่ง เหตุดังนั้นนปุงสกแม้นบวชก็ดีจะรักษาสิกขาบทมิได้ จึงห้ามมิให้บวช ฯ

ประการหนึ่งเล่า ยังมีนปุงสกผู้หนึ่งบวชในสำนักภิกษุแล้ว ก็เข้าไปสู่ภิกษุทั้งหลายอันหนุ่มๆ ก็กล่าวถ้อยคำว่าท่านทั้งหลายผู้มีอายุจงมาทำร้ายซึ่งข้านี้เถิด ฯ ภิกษุหนุ่มทั้งหลาย จึงด่านปุงสกผู้นั้นขับเสีย ฯ นปุงสกผู้นั้น จึงเข้าไปสู่สามเณรทั้งหลายอันใหญ่ๆ แล้วกล่าวถ้อยคำดุจนั้นเล่า ฯ สามเณรใหญ่ ก็ด่านปุงสกแล้วก็ขับเสีย ฯ แลนปุงสกนั้น จึงเข้าไปหาควานช้างแลควานม้าทั้งหลาย แล้วก็กล่าวถ้อยคำว่า ท่านทั้งหลายจงมากระทำร้ายแก่เรานี้เถิด ฯ แลควานช้างควานม้าทั้งหลาย จึงทำร้ายซึ่งนปุงสกผู้นั้นแล้ว ก็ยกโทษแผ่โทษว่า สมณะอันเปนลูกพระเจ้านั้นเปนนปุงสก จึงมิได้กระทำร้ายแก่นปุงสกนั้น แลสมณะทั้งปวงนี้เปนพรหมจารีย์ ภิกษุทั้งหลายได้ฟังคำนั้น จึงทูลแก่สมเด็จพระพุทธเจ้า ๆ จึงตรัสห้ามมิให้บวชนปุงสก แม้นบวชแล้วก็ดีให้สึกเสียเถิด ฯ

ซึ่งเนื้อความว่าอรหันต์แลขาดเกลศนั้น ยังจะเหมือนนปุงสกฤๅประการใด แลพระอรหันต์นั้น มิได้เหมือนนปุงสกนั้น เหตุนปุงสกนั้นหาคุยหฐานมิได้ แต่ว่าจิตแห่งนปุงสกนั้น ยังกอประด้วยราคะโทสะโมหะแลอวิชชาตัณหา แลบาปธรรมทั้งปวงอันเปนอกุศล อันจะให้ไปเกิดในอบายทั้ง ๔ นั้น ยังมีอยู่ในจิตสันดานแห่งนปุงสกนั้น แลพระอรหันต์นั้น แม้แลถึงอรหันต์แล้วก็ดี คุยหฐานจะหายไปมิได้ ยังอยู่ดุจเดียวแต่เท่าว่าราคะโทสะโมหะอวิชาตัณหา แลบาปธรรมทั้งปวงอันเปนอกุศล อันจะให้ไปปฏิสนธิในอบายทั้ง ๔ นั้นหามิได้ ในจิตรสันดานแห่งพระอรหันต์อันตัดเสียแล้วซึ่งเกลศ ๑๕๐๐ ตัณหา ๑๐๘ ให้ขาดด้วยอรหัตตมรรคญาณ จึงได้ชื่อว่าอรหันต์ เหตุว่าดังนี้ พระอรหันต์จึงมิเหมือนนปุงสกนั้น ฯ

ขอถวายประดับพระญาณบารมี สมเด็จบรมบพิตรพระราชสมภารพระองค์ผู้ประเสริฐ ฯ จบเท่านี้ ฯ

แก้พระราชปุจฉาที่ ๕ (ความที่ ๒)

พระธรรมไตรโลก ขอถวายพระพรเจริญพระราชศิริสวัสดิ์ แก่สมเด็จบรมบพิตรพระราชสมภาร พระองค์บรมธรรมิกราชาธิราชผู้ประเสริฐ ด้วยมนุษย์ทั้งปวงเปนไตรเหตุปฏิสนธิก็มี คืออโลภะ อโทสะ อโมหะ พร้อมด้วยปฏิสนธิจิตร ถ้าแลบวชในสาสนา จะได้ฌานได้มรรคได้ผล ถ้าแลเปนทุเหตุปฏิสนธิ คืออโลภะ อโทสะ ทั้ง ๒ พร้อมด้วยปฏิสนธิจิตร ถ้าแลบวชภาวนามิได้ฌานมิได้มรรคมิได้ผล เหตุว่าปฏิสนธินั้นเปนไปด้วยว่าหาปัญญามิได้ในปฏิสนธิขณะ บุทคลเปนไตรเหตุแลทุเหตุปฏิสนธินั้น แลพระพุทธเจ้าอนุญาตให้บวชด้วยหาบาปเศษในอบายได้ติดขึ้นมามิได้ แลนปุงสกนั้นเปนอเหตุปฏิสนธิคืออโลภะ อโทสะ อโมหะ มิได้เกิดด้วยปฏิสนธิจิตร จึงว่าเปนอเหตุปฏิสนธิ จึงพระพุทธเจ้ามิได้อนุญาตให้บวชด้วยโทษบาปเศษในอบายติดขึ้นมา ดุจดังพระยานาคเปนอเหตุปฏิสนธิ แลพระพุทธเจ้ามิได้อนุญาตให้บวช เหตุว่าเปนอเหตุปฏิสนธิเหมือนกัน นปุงสกมีราคตัณหามิได้ขาดบังเกิดความกำหนัดตามคดีโลกดุจหนึ่งมนุษย์ทั้งปวง แลพระอรหันต์จะเปนดุจดังนปบุงสกนั้นหามิได้ ด้วยคุยหะประเทศแห่งพระอรหันต์นั้นยังเปนปรกติอยู่หนึ่งก่อน แต่เกลศ คือราคะหากขาดหายไป ฯ

ขอถวายพระพรเจริญพระราชศิริสวัสดิ์ แต่สมเด็จบรมบพิตรพระราชสมภาร พระองค์บรมธรรมิกราชาธิราชเจ้าผู้ประเสริฐ ฯ

แชร์ชวนกันอ่าน

แจ้งคำสะกดผิดและข้อผิดพลาด หรือคำแนะนำต่างๆ ได้ ที่นี่ค่ะ