- คำนำ
- อธิบายประเพณีมีพระราชปุจฉา
- พระราชปุจฉาที่ ๑
- พระราชปุจฉาที่ ๒
- พระราชปุจฉาที่ ๓
- พระราชปุจฉาที่ ๔
- พระราชปุจฉาที่ ๕
- พระราชปุจฉาที่ ๖
- พระราชปุจฉาที่ ๗
- พระราชปุจฉาที่ ๘
- พระราชปุจฉาที่ ๙
- พระราชปุจฉาที่ ๑๐
- พระราชปุจฉาที่ ๑๑
- พระราชปุจฉาที่ ๑๒
- พระราชปุจฉาที่ ๑๓
- พระราชปุจฉาที่ ๑๔
- พระราชปุจฉาที่ ๑๕
- พระราชปุจฉาที่ ๑๖
พระราชปุจฉาที่ ๗
ว่าด้วยโทษที่ล่วงเกินในสงฆ์จะมีวิธีลุกโทษอย่างใด
๏ ศุภมัศดุจุลศักราช ๑๑๔๖ นาคสังวัจฉรนักษัตรฉศกเชฏฐมาศศุกรปักษ์ปัณณรสีดฤถีภุมวารปริเฉทกาลกำหนด พระบาทสมเด็จบรมบพิตรพระพุทธเจ้าอยู่หัว เสด็จสถิตย์ณพระที่นั่งดุสิดาภิรมย์ ทรงพระกรุณาดำรัสเหนือเกล้าฯ ประภาษพระราชปุจฉา ให้ออกหลวงศรีวรโวหาราจารย์ราชบัณฑิต ไปเผดียงถามสมเด็จพระสังฆราช พระราชาคณะทั้งปวงว่า กุสลากุศลผลบุญบาปทั้งปวง ถ้าจัดเข้าเปนสงฆ์แล้ว ที่บุญก็ได้บุญมากที่บาปก็ได้บาปมาก เปนมหันตโทษอันใหญ่ ถ้ามนุษย์บุคคลชายหญิงจำพวกใด เปนพาลทารกหนุ่มแก่ความหาปัญญามิได้ ไม่รู้จักโทษ ได้พลั้งพลาดประทุษร้ายในพระสงฆ์ก็ดี กินของสงฆ์ก็ดี จะมีวิธีอุบายขมาลุกโทษทำประการใด โทษนั้นจึงจะหายบริสุทธิ์ ประดุจนิทานพระธรรมเทศนาว่าพระบาฬีในคัมภีร์อันใดมีบ้างเปนอย่างเปนทำเนียมนั้น ขอพระคุณเจ้าสมเด็จสังฆราช พระราชาคณะทั้งปวงวิสัชนามาให้แจ้ง
แก้พระราชปุจฉาที่ ๗
อาตมาภาพสมเด็จพระสังฆราช พระราชาคณะทั้งปวง ขอพระราชทานถวายพระพรวิสัชนาโดยพระบาฬีว่า
“เต ยาว อริเย น ขมาเปนฺติ | ตาว โหนฺติ น ตโต ปรํ” |
แปลเนื้อความว่าผู้ใดปริภาษนาการแก่พระอริยเจ้า แลพระสงฆ์องค์ใดองค์หนึ่งก็ดี ถ้าแลขมาโทษแล้วโทษนั้นก็หาย ถ้าแลท่านผู้นั้นไปสู่ประเทศที่อื่นจะตามไปขอขมาโทษมิได้ ให้ขมาโทษในสำนักพระมหาเถร แลพระภิกษุองค์ใดองค์หนึ่ง ว่าข้าพเจ้าได้ประมาทปริภาษนาการแก่พระผู้เปนเจ้าอันมีชื่อนั้น ขอพระผู้เปนเจ้าจงอดโทษแก่ข้าพเจ้าเถิด อนึ่งถ้าท่านผู้นั้นกระทำการกิริยาตาย จะพึงไปขมาโทษในที่เผาโทษนั้นก็หาย อนึ่งถ้าผู้ใดได้กินของสงฆ์ คือ ขาทนียะโภชนียะ แลผลไม้เปนอาทิมากน้อยเท่าใด เพื่อจะใช้ของสงฆ์นั้นพึงตกแต่งของนั้นใช้ให้มากขึ้นกว่านั้น ได้ร้อยส่วนพันส่วนจึงหายโทษ เหมือนนิทานพระภิกษุองค์หนึ่งอยู่ในลังกาทวีป ยืมเอาข้าวสารของสงฆ์ทนานหนึ่งมาให้บิดาบริโภค ยังมิทันใช้ ครั้นเพลาค่ำพระภิกษุนั้นเกิดปัจจุบันโรค กระทำกาลกิริยาตายไปบังเกิดเปนเปรต เพลาเช้าวันหนึ่งพระมหาเถระรูปหนึ่งไปบิณฑบาต เปรตนั้นสำแดงกายให้ปรากฎ พระมหาเถระจึงถามบุพกรรมแต่ก่อน เปรตนั้นจึงบอกบุพกรรมว่า ข้าพเจ้ายืมข้าวสารของสงฆ์ทนานหนึ่งมาให้บิดาบริโภคยังมิได้ใช้ ด้วยกรรมนั้นข้าพเจ้าจึงมาเปนเปรต พระมหาเถระจึงถามต่อไปว่า จะคิดอุบายดังฤๅท่านจะพ้นจากเปรต ๆ จึงบอกอุบายว่า ถ้าได้ข้าวสารร้อยเกวียนมาถวายพระสงฆ์ แล้วอุทิศส่วนบุญมาแก่ข้าพเจ้า ๆ จึงจะพ้นจากเปรต พระมหาเถระก็เอาเนื้อความไปแจ้งแก่พระเจ้าศรัทธาดิษ ๆ จึงพระราชทานข้าวสารร้อยเกวียนไปถวายแก่พระสงฆ์ อุทิศส่วนบุญไปแก่เปรต ๆ นั้นได้อนุโมทนาพ้นจากทุกข์ อนึ่งจะขมาโทษพระอริยเจ้า แลพระภิกษุสงฆ์ผู้มีศีลให้ขมาโทษด้วยพระบาฬีว่า “อุกาส อจฺจโย โน ภนฺเต อจฺจคฺคมา ยถาพาเล ยถามุเฬฺห ยถาอกุสเล เย มยํ กรมฺหา เอวํ ภนฺเต มยํ อจฺจโย โน ปฏิคฺคณฺหถ อายตึ สํวเรยฺยามิ” ถ้าจะขมาโทษบิดามารดาผู้เฒ่าผู้แก่ว่าเปนคำไทย อันสมควรแก่โทษอันได้กระทำผิดนั้นก็หาย ถ้าเว้นให้แต่มหันตโทษ ๆ นั้นไม่หาย ขอถวายพระพร ๚