พระราชปุจฉาที่ ๙

ข้อ ๑ ว่าในจักรวาฬอื่นรักษาศีลฤๅไม่ ถ้ารักษาศีล ผู้ใดสั่งสอนเมื่อมิรู้จักองค์แห่งศีล จะจัดเอาเปนศีลได้ฤๅไม่

ข้อ ๒ ค่านิยตมิจฉาทิษฐิประพฤติพอต้องเข้าในศีล ๕ ศีล ๘ จะจัดเอาเปนศีลได้ฤๅไม่ ถ้าเปนศีลได้แล้วจะไปนรกฤๅไม่

----------------------------

ศุภมัศดุจุลศักราช ๑๑๔๖ นาคสังวัจฉรนักษัตรฉศกเชฏฐมาศกาลปักษ์ อัฏฐมีดฤถีครุวารปริเฉทกาลกำหนด พระบาทสมเด็จบรมบพิตรพระพุทธเจ้าอยู่หัว เสด็จสถิตย์ณพระที่นั่งท้องพระโรงอำมรินทรวินิจฉัย ทรงสดับพระธรรมเทศนาจบแล้ว จึงทรงพระกรุณาดำรัสเหนือเกล้าฯ ด้วยพระราชปุจฉา ให้ออกหลวงศรีวรโวหาร หลวงญาณวิจิตร ราชบัณฑิตไปผเดียงถามสมเด็จพระสังฆราช พระราชาคณะทั้งปวงว่า ในมงคลจักรวาฬนี้มีสมเด็จพระพุทธเจ้าเปนประธานพระองค์ตรัสพระสัทธรรมเทศนา สั่งสอนสัตวทั้งปวงให้รู้ลักษณะศีล ๕ ศีล ๘ ศีล ๑๐ ศีล ๒๒๗ ศีล ๓๑๑ แลซึ่งจักรวาฬอันอื่นนอกกว่านี้ รักษาศีล ๕ ศีล ๘ ศีล ๑๐ ฤๅหามิได้ ถ้ารักษาศีล คือผู้ใดสั่งสอนให้รู้จักองค์แห่งศีล เมื่อมิรู้จักองค์แห่งศีลจะจัดเอาเปนศีลได้ฤๅมิได้

ประการหนึ่ง ที่ถือนิยตมิจฉาทิฐิเที่ยง เปนโทษหนักตกถึงโลกันตนรก แลประพฤติพอต้องเข้าโดยพุทธบัญญัติในศีล ๕ ศีล ๘ ก็ดี จะเอาเปนศีลได้ฤๅมิได้ ถ้าเปนศีลได้แล้วจะไปโลกันตนรกฤๅหามิได้

แก้พระราชปุจฉาที่ ๙

อาตมภาพ ขอรับพระราชทานวิสัชนาซึ่งข้อพระราชปุจฉาว่า ในมงคลจักรวาฬนี้มีสมเด็จพระพุทธเจ้าเปนประธาน ตรัสเทศนาสั่งสอนสัตวทั้งปวงให้รู้ในลักษณะศีล ๕ ศีล ๘ ศีล ๑๐ ศีล ๒๒๗ ศีล ๓๑๑ แลซึ่งจักรวาฬอื่นนอกกว่านี้ รักษาศีล ๕ ศีล ๘ ศีล ๑๐ ฤๅหามิได้ เมื่อไม่รู้จักองค์แห่งศีลจะจัดเอาเปนศีลได้ฤๅมิได้นั้น

แก้ข้อ ๑

อาตมาภาพทั้งปวงพิจารณาตามพระบาฬี เห็นว่าศีล ๕ ศีล ๘ ศีล ๑๐ ประการเปนโลกบัญญัติ นักปราชญ์ผู้มีปัญญาปรนนิบัติสืบๆ กันมาแต่ปฐมกัลปนั้นบัญญัติไว้สำหรับโลก เห็นว่ามีทั่วไปในจักรวาฬอันอื่น สมด้วยพระบาฬีในคัมภีร์สารสงเคราะห์ว่า “ตํ หิ พุทฺเธ อุปฺปนฺเน อนุปฺปนฺเนปิ โลเก ปวตฺตติ” อธิบายเนื้อความว่า สมเด็จพระพุทธเจ้ามิได้ตรัสก็ดี แลศีล ๕ ศีล ๘ ศีล ๑๐ ประการนี้ ย่อมมีมาสำหรับโลกมิได้สาบสูญ อนึ่งปขาวดาบศอันเปนธรรมวาที ย่อมมีมาสำหรับโลกมิได้สาบสูญ อนึ่งปขาวดาบศอันเปนธรรมวาที ย่อมอธิฐานซึ่งศีล ๕ ศีล ๘ ศีล ๑๐ ประการนี้ด้วยตนเอง แล้วสั่งสอนผู้อื่นให้รักษาศีล ครั้นตายแล้วได้ไปเสวยมนุษย์สมบัติ สวรรค์สมบัติในปรโลก

อนึ่งพระบาฬีในคัมภีร์วิสุทธิมรรคว่า “อุตฺตรกุรูนํ มนุสฺสานํ ฯลฯ อวิติกกมปกติสีลํ” อธิบายว่า ศีลมี ๓ ประการ คือปกติศีล อาจาริยศีล ธรรมดาศีล

อันว่าปกติศีลนั้น ได้แก่ศีลชาวอุดรกาโรรักษาศีล ๕ เปนปกติศีลเหมือนกันสิ้น ตราบเท่ากระทำกาลกิริยาตายแล้วไปสวรรค์สิ้นด้วยกันทุกคน

อนึ่ง อาจาริยศีลนั้น ได้แก่คนทั้งหลายอันประพฤติตามสกุลประเทศแห่งตน ซึ่งมิได้กระทำปาณาติบาต อทินนาทาน กาเมสุมิจฉาจาร มุสา สุรา ครั้นมีบุตรธิดาสืบวงศ์ตระกูลออกไป ก็ประพฤติตาม บิดา มารดา อันนี้ชื่อว่าอาจาริยศีล

อนึ่ง ธรรมดาศีลนั้น ได้แก่สมเด็จพระพุทธมารดา จำเดิมแต่พระบรมโพธิสัตว ถือเอาปฏิสนธิแล้ว ก็สมาทานทรงศีลด้วยพระองค์เอง อันนี้ชื่อว่าธรรมดาศีล

แก้ข้อ ๒

ข้อซึ่งพระราชปุจฉาว่า ที่ถือฝ่ายนิยตมิจฉาทิฐิเที่ยงเปนโทษหนักตกถึงโลกันตนรก แลมิได้สมาทานหารู้จักว่าเปนศีลไม่ ประพฤติพอต้องเข้าโดยพุทธบัญญัติในศีล ๕ ศีล ๘ ก็ดี จัดเอาเปนศีลได้ฤๅมิได้ ถ้าเปนศีลได้แล้วจะไปโลกันตนรกฤๅหามิได้นั้น อาตมาภาพทั้งปจงเห็นว่าเปนองค์แห่งศีล ชื่อว่าสัมปัตตวิรัติศีล สมด้วยพระบาฬีในคัมภีร์ สารสงเคราะห์ว่า

“สมฺปตฺตวตฺถุํ อวิติกฺกมนฺตานํ อุปฺปชฺชมานา วิชหิ”

อธิบายว่า บุคคลผู้ใดสมาทานศีล แลเว้นจากวัตถุอันมาถึงที่ใกล้เนื้อมือ คือสัตวอันถึงที่ก็ดี แลทรัพย์อันถึงลักก็ดี แลมาพิจารณาซึ่งชาติแลตระกูลเปนต้นว่า อาตมาภาพมีชาติมีตระกูลเปนคนพหูสูตร ไม่ควรฆ่าสัตวลักทรัพย์ท่านผู้อื่น แล้วก็เว้นเสียได้ดังนี้ ชื่อว่าสัมปัตตวิรัติศีล ถึงมาตรว่าปรนนิบัติพอต้องเข้าในสัมปัตวิรัติศีลก็ดื ถ้านิยตมิจฉาทิฐิเหล่านั้น ยังมิได้ละเสียซึ่งทิฐิอันผิด ยังถือว่าทำบุญไม่ได้บุญทำบาปไม่ได้บาป แลมิได้นับถือคุณพระศรีรัตนไตรยแล้ว ครั้นกระทำกาลกิริยาก็ได้ไปตกในโลกันตนรก เพราะโทษนิยตมิจฉาทิฐินั้น เปนมหันตโทษอันใหญ่ อานิสงส์บุญสัมปัตตวิรัติศีลมิอาจช่วยได้ ขอถวายพระพร ๚

แชร์ชวนกันอ่าน

แจ้งคำสะกดผิดและข้อผิดพลาด หรือคำแนะนำต่างๆ ได้ ที่นี่ค่ะ