พระราชปุจฉาที่ ๖

ข้อ ๑ ว่ามีพระบาฬีว่าอสูรคิดถึงต้นปาริกชาติจึงขึ้นไปทำสงครามกับพระอินทร์ ดังนี้ เห็นเปนหนึ่งว่าต้นปาริกชาติเกิดอยู่ก่อนพระอินทร์

ข้อ ๒ ว่าต้นปาริกชาติเกิดเพราะบุญของพระอินทร์แล้วจะเอาเปนไม้ประจำทวีปได้ฤๅ

ข้อ ๓ ว่าเมื่อแรกตั้งปฐมกัลปหามีดาวดึงษ์ไม่ ต่อพระอินทร์ชนะเนวาสิกแล้ว จึงได้ชื่อว่าดาวดึงษ์ ถ้าดังนั้นเห็นว่าจักรวาลอื่นไม่มีพระอินทร์ แลเรื่องที่พระอินทร์วิวาทกับอสูรนั้นมีทุกจักรวาฬฤๅไม่

----------------------------

๏ ทรงพระกรุณาดำรัสเหนือเกล้าฯ ส่งให้เผดียงถามสมเด็จพระสังฆราช พระราชาคณะทั้งปวง ข้อซึ่งพระคุณทั้งปวง วิสัชนาว่า ต่อมาฆมานพขึ้นไปเปนพระอินทร์ ต้นปาริกชาติจึงบังเกิดด้วยบุญของพระอินทร์ ข้อนี้ยังไม่แจ้ง มีพระบาฬีในพระคัมภีร์พระธรรมบทว่า อสูรลงไปอยู่ในอสูรพิภพ มีต้นแคฝอยประจำทวีปอสุรพิภพ ต้นปาริกชาติประจำดาวดึงษ์ ต้นไม้ประจำทวีปอิก ๕ ต้นเปน ๗ ต้นด้วยกัน ครั้นถึงเทศกาลออกดอก อสูรคิดถึงต้นปาริกชาติในดาวดึงษ์ จึงขึ้นไปทำสงครามกับพระอินทร์ เห็นเปนหนึ่งว่าต้นปาริกชาติเกิดอยู่ก่อนพระอินทร์มาฆมานพ ประการหนึ่งถ้าเกิดเพราะบุญของพระอินทร์มาฆมานพภายหลังฉนี้แล้ว จะเอาเปนไม้ประจำดาวดึงษ์ได้ฤๅ ถ้าเปนไม้ประจำดาวดึงษ์แล้วจะเอาเปนของมาฆมานพได้ฤๅ ข้อหนึ่งซึ่งวิสัชนาว่าเมื่อแรกตั้งปฐมกลัปนั้น หามีเมืองดาวดึงษ์ไม่ ชื่อแต่ว่าสุทัศนะนครเปนที่อยู่แห่งเนวาสิกเทวดา ต่อพระอินทร์มาฆมานพกับเทวดา ๓๖ ขึ้นไปวิวาทกันกับเนวาสิกเทวดา ผลักเนกาสิกเทวดาลงมา เปนอสูรอยู่ในอสุรพิภพ จึงได้ชื่อว่าดาวดึงษ์แต่นั้นมา ถ้าดังนั้นเห็นว่าจักรวาฬอื่นหามีพระอินทร์ไม่ จะมีแต่ชมพูทวีปในมงคลจักรวาฬอันเดียวนี้ ทั้งนั้นก็เปนแต่ว่าสุทัศนะนครดอกฤๅ ฤๅว่าวิวาทกันเช่นนี้ทุกจักรวาฬประการใดให้วิสัชนามาให้แจ้ง

แก้พระราชปุจฉาที่ ๖

๏ อาตมาภาพ สมเด็จพระสังฆราช พระราชาคณะทั้งปวง ๑๕ รูปขอถวายพระพร

แก้ข้อ ๑

ซึ่งข้อพระราชปุจฉาว่า ต่อมาฆมานพขึ้นไปเปนพระอินทร์ ต้นปาริกชาติบังเกิดด้วยบุญของพระอินทร์ แลเมื่ออสูรอยู่ในอสุรพิภพเห็นดอกแคฝอยบาน ก็คิดถึงต้นไม้ปาริกชาติ จึงไปทำสงครามด้วยพระอินทร์ เห็นเปนหนึ่งว่าต้นปาริกชาติเกิดอยู่ก่อนพระอินทร์นั้น อาตมาภาพเห็นพระบาฬีในคัมภีร์จักรวาฬทิปนี ในพระคัมภีร์พระธรรมบทสมกันว่า “เทวาสุรสงฺคาเม อสุเรสุ ปราชิเตสุ ทสสหสฺสตาวตึสเทวนคเร นิพฺพตฺติ” อธิบายเนื้อความว่า เมื่อพระอินทร์แลขว้างอสูรลงมายังมหาสมุทมีไชยชนะแก่อสูรแล้ว อันว่าเมืองดาวดึงษ์อันประดับด้วยทวารบานประตูพันหนึ่ง แลประดับไปด้วยสวนอุทยานสระโบขรณีแลเวไชยันตปราสาท บังเกิดด้วยผล อันปลูกต้นทองหลางใบมลในมนุษยโลก อาตมาภาพเห็นพระบาฬี ๒ คัมภีร์นี้สมกัน จึงเข้าใจว่าพระอินทร์บังเกิดก่อน ต้นไม้ปาริกชาติบังเกิดภายหลังด้วยบุญของพระอินทร์ แลเมื่ออสูรทั้งปวงอันอยู่ในอสุรพิภพ ครั้งเห็นดอกแคฝอยอันบานก็คิดว่าพิภพอันนี้เปนพิภพมีต้นแคฝอยใหญ่เปนไม้ประจำทวีป แลสุทัศนะนครซึ่งเปนพิภพเก่าของเราแต่ก่อน บัดนี้ก็มีไม้ปาริกชาติเปนใหญ่ประจำทวีปมีดอกอันบาน พระอินทร์ชิงเอาพิภพของเรา ๆ จะสงครามด้วยพระอินทร์ ครั้นคิดดังนี้แล้วก็ประชุมอสุรเสนาทั้งปวง ขึ้นไปทำสงครามกับด้วยพระอินทร์

แก้ข้อ ๒

ซึ่งข้อพระราชปุจฉาว่า ถ้าต้นไม้ปาริกชาติบังเกิดเพราะบุญของพระอินทร์แล้ว จะเอาเปนไม้ประจำทวีปได้ฤๅนั้น อาตมาภาพเห็นพระบาฬีในคัมภีร์ทั้ง ๒ นั้น มั่นคงยกขึ้นสู่สังคายนาแล้ว ว่าต้นไม้ปาริกชาติเกิดภายหลังด้วยบุญของพระอินทร์ สมเด็จพระพุทธเจ้าตรัสเทศนาว่าต้นไม้ปาริกชาติเปนใหญ่ประจำทวีปดาวดึงษ์ ประการหนึ่งถึงไม้แคฝอยนั้น ใช่จะเกิดอยู่ก่อนอสูรนั้นก็หามิได้ ต่ออสูรพ่ายแพ้แก่พระอินทร์แล้ว ก็ตกลงไปในมหาสมุทเข้าไปในหว่างเขาตรีกูฎภายใต้เขาพระสุเมรุนั้น สถานที่นั้นก็เปนเวิ้งว้างว่างเปล่าอยู่กว้างขวางได้หมื่นโยชน์ แต่ก่อนหาได้อยู่ได้ อาศัยกุศลผลบุญแห่งอสูรได้ทำไว้แต่ก่อน เปนเหตุที่จะได้ตั้งอสุรพิภพในสถานที่นั้น ครั้นอสูรตกลงไปถึงจึงเกิดเปนทิพยวิมาน ถิ่นฐานบ้านเมืองทิพยสมบัติอสุรพิภพ สำหรับเปนที่อยู่แห่งอสูรทั้งปวง แลต้นแคฝอยสูงได้ ๑๐๐ โยชน์ ก็เกิดครั้งนั้นด้วยอานุภาพบุญอันเปนทิพย์ อนึ่งถึงไม้ใหญ่ทั้ง ๕ เปนไม้ประจำทวีปใหญ่ทั้ง ๕ ตำบลนั้นก็ดี จะได้มีพระบาฬีว่าเกิดพร้อมกับด้วยตั้งกลัปตั้งแผ่นดินก็หามิได้ สมเด็จพระพุทธเจ้าก็ตรัสเรียกว่าไม้ประจำทวีป เหตุว่าในส่วนเปนปฐม แล้วมีอายุยืนไปชั่วกลัปแผ่นดิน

แก้ข้อ ๓

ประการหนึ่งอสุรพิภพ ในจักรกาลอื่นนั้นก็มีอยู่เปนธรรมดา อันจะเฉพาะว่าต่อพระอินทร์วิวาทกันกับเนวาสิกเทวดา ๆ ตกลงไปถึงใต้เขาพระสุเมรุแล้ว จึงเกิดพิภพอสูร ถ้าไม่วิวาทกันไม่เกิดพิภพอสูรนั้นหามิได้ อาไศรยเหตุว่าเปนประเวณีโลก ครั้นมีเขาพระสุเมรุแล้ว เบื้องบนก็เปนที่อยู่แห่งเทวดา ภายใต้ก็เปนที่อยู่แห่งอสูร บุคคลจำพวกใดสร้างกุศลสมควรที่จะได้เกิดเปนอสูร ก็ได้ไปบังเกิดในที่นั้นๆ ก็เกิดทิพยสมบัติเปนอสุรพิภพ ตามกุศลที่ได้ทำมาโดยมากแลน้อย อนึ่งมีพระบาฬีว่า “สุเมรุสฺส อุปริมตเล ตาวตึสสุทสฺสเน นาม นคเร” อธิบายว่าในจักรวาฬอันอื่นนั้น ที่เทวโลกอันตั้งอยู่เหนือยอดพระสุเมรุนั้น ก็มีอยู่เหมือนดาวดึงษ์นี้ พระยาเทวดาอันเปนใหญ่ในเทวโลกนั้น มีสมบัติบริวารเหมือนพระอินทร์ในจักรวาฬนี้ แต่จะได้มีเทวบุตร ๓๒ พระองค์ เหมือนมงคลจักรวาฬนี้หามิได้ ซึ่งสมเด็จพระพุทธเจ้า มีพระพุทธฎีกาตรัสบัญญัติ ซึ่งว่าเมืองดาวดึงษ์แลพระอินทร์นั้น เหตุว่าเทวโลกนั้นอยู่ยอดพระสุเมรุเหมือนกัน พระยาเทวดามีสมบัติบริวารอานุภาพเหมือนกัน อนึ่งสมเด็จพระพุทธเจ้า ตรัสพระธรรมเทศนาด้วยพระบาฬีว่า “กมฺมสฺสโกมฺหิ กมฺมทายโท กมฺมโยนิ กมฺมพนฺธุกมฺมปฏิสรโณ” เนื้อความว่าขันธสันดานแห่งสัตวทั้งหลายย่อมกระทำกรรมต่างๆ กัน แลสัตวทั้งหลายนั้นมีกุศลอกุศลกรรมเปนญาติพี่น้องเผ่าพันธุ์เชื้อสายที่พึ่งที่พำนักของตนเอง แต่ดีแลร้ายจะได้เหมือนกันทั่วทุกตัวสัตวนั้นหามิได้ กรรมนั้นย่อมให้ผลต่างๆ กัน แลพระอินทร์ในจักรวาฬอันอื่น จะวิวาทกันกับอสูรเหมือนมงคลจักรวาฬนี้ ยังมิได้พบพระบาฬีสมเด็จพระพุทธเจ้าตรัสพระธรรมเทศนาไว้ ครั้นจะว่าวิวาทแลมิได้วิวาทกันนั้น เหลือสติปัญญาอาตมาภาพทั้งปวง ขอถวายพระพร ๚

แชร์ชวนกันอ่าน

แจ้งคำสะกดผิดและข้อผิดพลาด หรือคำแนะนำต่างๆ ได้ ที่นี่ค่ะ