พระราชปุจฉาที่ ๘

ว่าด้วยอานิสงส์ซึ่งยิ่งกว่ากันเปนชั้นๆ ตั้งแต่บุคคลิกทาน จนถึงจำเริญพระไตรลักษณญาณ กับอานิสงส์บำรุงยกพระสาสนา ใครจะมากกว่ากัน

----------------------------

ศุภมัศดุจุลศักราช ๑๑๔๖ นาคสังวัจฉรนักษัตรฉศก เจตรมาศกาลปักษ์ ปัญจมีดฤถีรวิวารปริเฉทกาลกำหนด พระบาทสมเด็จบรมบพิตรพระพุทธเจ้าอยู่หัว เสด็จสถิตย์ณพระที่นั่งดุสิดาภิรมย์ ทรงพระกรุณาดำรัสเหนือเกล้าฯ ประภาษพระราชปุจฉา ให้ออกหลวงศรีวรโวหารราชบัณฑิต ลิขิตเขียนหน้าพระที่นั่ง แล้วให้ไปเผดียงถามสมเด็จพระสังฆราช พระราชาคณะทั้งปวงว่า ผลอานิสงส์สังฆทานนั้นก็ยิ่งหนักหนาหาที่สุดมิได้ อันบุทคลได้ถวายทานแก่พระโสดา สกิทาคา อนาคา อรหันตาขีณาสพเจ้า เต็มทั่วไปทั้งจักรวาฬ แต่เปนบุคคลิกทาน ก็บมิเท่าสังฆทาน ๆ มิเท่าผลานิสงส์ บุทคลสร้างโรงธรรมสภาศาลาถวายแก่พระสงฆ์ในจตุรทิศทั้ง ๔ สร้างธรรมสภาศาลาถวายแก่พระสงฆ์ในจตุรทิศ ก็มิเท่าผู้รักษาพระไตรสรณคมน์ รักษาสรณคมน์บมิเท่าผู้ถึงแก่พระสรณคมน์แล้วแลรักษาศีล ๕ ถึงสรณคมน์แล้วรักษาศีล ๕ บมิเท่าผู้จำเริญเมตตาภาวนาแต่ประมาณรูดน้ำนมโคทีหนึ่งจำเริญเมตตาภาวนา บมิเท่าผู้เห็นพระอนิจจัง พระทุกขัง พระอนัตตา เพียงลัดนิ้วมือหนึ่ง ซึ่งเปนอานิสงส์สุดยอดอานิสงส์เปนชั้นๆ กันขึ้นมาถึงเพียงนี้ กับผู้ได้บำรุงยกพระสาสนานั้น ข้างผู้ใดจะมีผลานิสงส์มากกว่ากัน ขอให้สมเด็จพระสังฆราช พระราชาคณะทั้งปวงวิสัชนาจงแจ้ง

แก้พระราชปุจฉาที่ ๘

อาตมาภาพ สมเด็จพระสังฆราช พระราชคณะทั้งปวง ๑๐ รูป ขอพระราชทานถวายพระพร ด้วยทรงพระราชดำริห์ในพระราชกุศลดังนี้เปนประเพณีหน่อพุทธางกูร เหมือนสมเด็จพระเจ้าเนมิราชบรมโพธิสัตวอันทรงพระราชดำริห์เนืองๆ ว่าทานจะยิ่งกว่าอานิสงส์ศีลฤๅ ๆ ศีลจะยิ่งกว่าผลอานิสงส์แห่งทาน สมเด็จอมรินทราธิราชลงมาแก้ปฤษณาด้วยอุทาหรณ์ต่างๆ ว่าศีลมิอานิสงส์ยิ่งกว่าทาน จึงสิ้นวิมุติพระราชสงไสย ดุจพระราชดำริครั้งนี้ ว่าบุทคลรักษาพระไตรสรณคมน์ แลรักษาศีล ๕, ศีล ๘, ประการ แลปลงปัญญาลงสู่พระไตรลักษณะญาณว่ามีผลมากยิ่งกว่าสังฆทาน ยิ่งกว่าวิหารทาน พระบาฬีอันนี้ อาไศรยพระไตรสรณคมน์เปนโลกีย์ แลศีลเปนโลกุตร แลเมตตาจิตรอันถึงซึ่งอัปนาฌาน แลอนิจสัญญาวิปัสนาอันใกล้ซึ่งมรรคผลอยู่แล้ว จึงเปนที่สรรเสริญประเสริฐขึ้นไปกว่าสังฆทานวิหารทาน

อนึ่งบุทคลอันเปนบุถุชนแลรักษาพระไตรสรณคมน์ แลศีล ๕, ศีล ๘, อันเปนโลกีย์ จะบริจาคชีวิตรยังมิได้ ถ้าจำเริญเมตตายังมิได้ถึงฌาน แลจำเริญอนิจสัญญาวิปัสนานั้น มิได้ถึงมรรคผล จะนับว่ามีผลานิสงส์ยิ่งกว่าทนุบำรุงยกย่องพระสาสนายังมิได้ อันบุทคลทนุบำรุงยกย่องพระสาสนา เปนปฏิปัตติบูชา มีผลานิสงส์มากกว่าสังฆทานวิหารทาน สรณคมน์ศีล ๕ เมตตาภาวนาไตรลักษณะญาณดังพรรณาแล้ว อันเปนโลกีย์ยังมิเปนโลกุตร ดุจวารพระบาฬีว่า

“โย จ อุปาสโก ยา จ อุปาสิกา ตีสุ สรเณสุ ปฺจสุ สีเลสุ ทสสุ สีเลสุ ปริปูรการี โหติ” อธิบายว่า อุบาสกอุบาสิกาผู้ใดได้รักษาพระไตรสรณคมน์ แลศีล ๕, ศีล ๘, ศีล ๑๐ ประการ แล้วจึงให้ทานบูชาของหอมดอกไม้ แลปรนนิบัติบิดามารดา เคารพผู้เฒ่าผู้แก่ในตระกูล ปฏิบัติเสมออันเปนธรรม แลเคารพพระรัตนไตรยเลี้ยงชีวิตรโดยธรรม สร้างพระพุทธ สร้างพระธรรม แลพระสถูปพระเจดีย์พระวิหารโรงธรรมอุโบสถ ก็จัดได้ชื่อว่าปฏิปัตติบูชา อาจสามารถจะทรงไว้ซึ่งพระสาสนาได้ ๆ ชื่อว่าบำรุงยกย่องพระสาสนาเหมือนสมเด็จพระเจ้าอภัยทุษฐคามินี เมื่อแรกกระทำสงครามด้วยพระราชอนุชา พระอรหันต์เจ้าพิจารณาเห็นว่ากษัตริย์ทั้งสอง จะได้ทนุบำรุงยกย่องพระสาสนา จึงนฤมิตรเปนภูเขาขวางหน้ากษัตริย์ทั้งสองนั้นเสีย มิให้เปนอันตราย เมื่อพระเจ้าอภัยทุษฐคามินีได้เสวยราชสมบัติ แล้วได้สร้างพระพุทธรูป พระสถูปพระเจดีย์ แลสร้างพระวิหารได้ ๙๙ พระวิหาร ก็ได้ชื่อว่าทนุบำรุงยกย่องพระสาสนาให้รุ่งเรือง

แลบุทคลปรนนิบัติทนุบำรุงยกย่องพระสาสนามีผลานิสงส์ยิ่งกว่าศีลยิ่งกว่าสรณคมน์อันเปนโลกีย์

อนึ่งกระษัตริย์พระองค์ใด เห็นพระพุทธสาสนาเศร้าหมองแล้วได้ตักเตือนพระสงฆ์สามเณร ให้ตั้งอยู่ในสิกขาบทอันใหญ่น้อย แลเรียนสมถวิปัสนาแลไตรปิฎก แล้วได้สงเคราะห์ด้วยจตุปัจจัย คือจีวรบิณฑบาตเปนต้น ก็ได้ชื่อว่าทนุบำรุงยกย่องพระสาสนา อันผลานิสงส์นั้นเปนอนันตังอปริมาณังล้ำเลิศประเสริฐหาที่สุดมิได้ เหมือนเมื่อครั้งสาสนาสมเด็จพระพุทธเจ้ากัสสปเศร้าหมองเสื่อมเรียวลงนั้น สมเด็จอมรินทราธิราช ให้พระวิศนุกรรมเทวบุตรนฤมิตรเปนสุนักข์ใหญ่ร้องคุกคำรามแก่ภิกษุภิกษุนีอุบาสกอุบาสิกาผู้ใจบาปหยาบช้า ให้ละเสียซึ่งทุจริตผิดธรรม ให้ตั้งอยู่ในสุจริต ก็ได้ชื่อว่าบำรุงพระสาสนา ขอถวายพระพร ๚

แชร์ชวนกันอ่าน

แจ้งคำสะกดผิดและข้อผิดพลาด หรือคำแนะนำต่างๆ ได้ ที่นี่ค่ะ