พระราชปุจฉาที่ ๓

ว่าด้วยมาฆมานพเปนพระอินทร์ มีช้างเอราวรรณแลอื่นๆ เกิดด้วยบุญ แต่เมื่อผู้อื่นได้เปนพระอินทร์จะมีช้างเอราวรรณแลอื่นๆ เหมือนมาฆมาณพฤๅไม่

----------------------------

๏ ศุภมัศดุจุลศักราช ๑๑๔๖ นาคสังวัจฉรนักษัตรฉศก ไพศาขมาศเอการสมฤถีศุกรวารปริเฉทกาลกำหนด พระบาทสมเด็จบรมบพิตรพระเจ้าอยู่หัว เสด็จพระที่นั่งดุสิดาภิรมย์ ทรงกรุณาโปรดเกล้าโปรดกระหม่อมประภาษพระราชปุจฉา ให้ออกหลวงศรีวรโวหารราชบัณฑิตลิขิตเขียนหน้าพระที่นั่ง แล้วให้เผดียงสมเด็จพระสังฆราช พระราชาคณะทั้งปวง ว่าเมื่อแรกตั้งปฐมกัลปนั้น สมเด็จพระพุทธเจ้าของเรา เมื่อเปนมาฆมานพไปทำทางกัปปุรุษเปนสหาย ๑๒ คนมีช้างตัวหนึ่ง แลทำทางศาลาปลูกต้นทองหลางใบมน ครั้นจุติจากมนุษย์แล้ว เดชะกุศลได้ทำนั้นไปบังเกิดในชั้นดาวดึงษ์เปนพระอินทร์กับเทวบุตร ๓๒ เปนบริวารผู้ใหญ่ มีช้างเอราวรรณ ๓๓ เศียรสำหรับพระอินทร์ แลเทวบุตรใหญ่นั้นทรงช้างองค์ละเศียรๆ แลต้นไม้ปาริกชาติบัณฑุกัมพลศิลาอาศน์ เกิดขึ้นด้วยอำนาจบุญของพระอินทร์ แลบัดนี้พระองค์ก็ได้ตรัสนิพพานไปแล้ว บุคคลที่ได้สร้างกุศลเป็นพระอินทร์ต่อไปนั้น จุติขึ้นไปแต่มนุษย์ฤๅ ๆ เทวบุตรอยู่ในชั้นนั้นเลื่อนขึ้นเปนพระอินทร์ ประการหนึ่งผู้บำเพ็ญบารมีหาเหมือนกันไม่ ย่อมกระทำด้วยสติปัญญาแลคุณานุรูปของบุคคลที่ทำนั้น บางทีก็พวก12มากบางทีก็พวกน้อย ถึงกุศลตกแต่งสมบัติก็ไม่เหมือนกัน แลซึ่งพระอินทร์มาผลัดมาฆมานพนั้น จะได้ปาริกชาติบัณฑุกัมพลศิลาอาศน์ แลช้าง ๓๓ เศียรสำหรับบุญของพระอินทร์มาฆมานพ เหมือนกันฤๅๆ ว่าต่างกัน ให้สมเด็จพระสังฆราชแลพระราชาคณะทั้งปวงวิสัชนามาให้แจ้ง

แก้พระราชปุจฉาที่ ๓

๏ อาตมาภาพ พระสังฆราช พระราชาคณะทั้งปวง ๑๕ องค์ ขอถวายพระพรว่า มิพระบาฬีในคัมภีร์มธุรศชมพูว่า “กาเล คจฺฉนฺเตสฏฺีสหสฺสาธิกานิ ติสฺโส วสฺสโกฏิโย อายุํ เขเปตฺวา” แปลเนื้อความว่าเมื่อครั้งสมเด็จพระบรมจักรพรรดิราช ทรงพระนามชื่อว่าพระสกมันทาตุราชปราถนาจะเสวยสมบัติเมืองดาวดึงษ์ แลพาบริสัชทั้งปวงมีขุนบรินายกเปนต้น ขึ้นไปสู่เมืองดาวดึงษ์ พระอินทร์แลเทวบุตรทั้งปวง จึงกระทำปัจจุคมนาการต้อนรับ ส่วนขุนบรินายกจึงพาเอาจักรแก้วกับบริสัชทั้งปวง กลับลงมาสู่มนุษยโลก ฝ่ายพระยาสกมันทาตุราชอยู่ภายหลัง พระอินทร์แบ่งสมบัติในดาวดึงษ์ออกกึ่งหนึ่ง ให้แก่พระยาสกมันทาตุราช ครั้งนั้นอายุมนุษย์ยืนอสงไขยหนึ่ง ครั้นเมื่อพระอินทร์กับพระยาสกมันทาตุราชเสวยสมบัติในดาวดึงษ์ช้านาน ฝ่ายพระอินทร์สิ้นอายุ ๓ โกฏิ ๖ ล้านปีแล้ว จุติจากสวรรค์ บุคคลทั้งปวงบำเพ็ญกุศลสมควรที่จะได้เปนพระอินทร์ ก็ได้บังเกิดเปนพระอินทร์กราบเท่ากำหนดอายุแล้ววุติ แล้วพระอินทร์ได้ไปบังเกิดแล้วจุติ แต่พระอินทร์เสวยสมบัติสืบๆ โลกนิยมดังนี้ถึง ๓๖ พระองค์ แลสมบัติในดาวดึงษ์นั้นจะว่างเปล่าอยู่ประมาณเดือนหนึ่งปีหนึ่งนั้นหามิได้เลย เพราะว่าพระอินทร์จุติแล้วมนุษย์บุคคลผู้ใดมีกุศลสมควรที่จะได้เปนพระอินทร์นั้น ก็จุติไปเสวยสมบัติเปนพระอินทร์ ในดาวดึงษ์สืบต่อเนื่องกันไป ครั้นสิ้นพระอินทร์ ๑๖ พระองค์แล้ว เมื่อพระเจ้าสกมันทาตุราชจะใกล้สิ้นพระชนมายุแล้ว เกิดโลภเจตนาจะคิดชิงเอาสมบัติอิกเล่า จึงวิโยคพลัดพรากจากดาวดึงษ์ตกลงในสวนอุทยานดุจนุ่นแลสำลีตกลงจากอากาศ จะได้พบพระบาฬีมีว่า เทวดาชั้นนั้นเลื่อนขึ้นไปเปนพระอินทร์นั้นหามิได้ อนึ่งพระบาฬีว่า “มาตาเปติภรํ ชนตุํ ฯ ล ฯ สจฺจํ โกธาภิภุํ นรํ” แปลเนื้อความว่า สมเด็จพระพุทธเจ้าตรัสเทศนาแก่มหาลิจฉวี ว่าบุคคลจะได้เปนพระอินทร์นั้น ประกอบไปด้วยวัตรปฏิบัติ ๗ ประการ มีเลี้ยงบิดามารดา เคารพผู้เฒ่าผู้แก่ เจรจาปราศจากจากผรุสวาท แลไม่รู้ส่อเสียดท่าน ยินดีในที่จะแจกทานมิได้ตระหนี่ กล่าวถ้อยคำเปนสัจ แลปรนิบัติบันเทาโทโส บุคคลปรนิบัติดังนี้ก็จะได้เปนพระอินทร์ แลสร้างพระพุทธรูปก็ดี สร้างพระไตรปิฎกก็ดี ได้เปนพระอินทร์ สร้างกุศลที่จะได้เปนพระอินทร์นั้นมีต่าง ๆ แลสมบัติแห่งพระอินทร์นั้นบริบูรณ์มีต่างๆ เหมือนกันทุกองค์ แลพระอินทร์ในปฐมกัลปมีทิพสมบัติฉันใด พระอินทร์ที่บังเกิดภายหลังเปนลำดับนั้น ก็มีสมบัติต่างกัน เหตุเปนธรรมดาโลก อนึ่งบัณฑุกัมพลศิลาอาศน์แลไม้ปาริกชาตินันทสระโขกขรณี นันทอุทยาน แลสุธรรมศาลาเปนต้น ก็ปรากฎมาจนถึงสาสนาสมเด็จพระพุทธเจ้าแห่งเรา อนึ่งไม้ใหญ่ประจำทวีปมีอายุยืนได้จะกลัปหนึ่ง ใช่จะมีแต่ปาริกชาติสิ่งเดียวหามิได้ แลไม้ทั้งหลายมีอิก ๖ ต้นอันประจำทวีปอันอื่น คือไม้แคฝอย ประจำทวีปอสุรพิภพ ไม้งิ้วประจำพิภพครุธ ไม้หว้าประจำชมพูทวีป ไม้กระทุ่มประจำอมรโคทวีป ไม้กัลปพฤกษ์ประจำอุดรกาโรทวีป ไม้ทริกพระจำบุพวิเทหทวีป แลไม้ ๗ ต้นสูงได้ ๑๐๐ โยชน์เหมือนกัน จะประดิษฐานอยู่ตราบเท่าสิ้นภัทกลัปอันนี้ อนึ่งช้างเอราวรรณบังเกิดด้วยอานุภาพเทวบุตรนิมิตร แม้ถึงเทวบุตรนั้นจุติแล้วก็ดี ก็มีเทวบุตรองค์อื่นนฤมิตรเปนช้างเอราวรรณถวายพระอินทร์ ตามประเวณีมาแต่ก่อน เพราะว่าช้าง ๓๓ เศียรประดับสำหรับพระอินทร์ทุกๆ พระองค์จนสิ้นกลัป อนึ่งบุคคลผู้เดียวสร้างกุศลสมควรที่จะเปนพระอินทร์ ถ้าตายได้ไปบังเกิดเปนพระอินทร์ แลจะเสวยสมบัติเปนพระอินทร์แต่องค์เดียวนั้นหามิได้ จำจะมีผู้บำเพ็ญกุศลควรที่จะเปนผู้ใหญ่ ๓๒ พระองค์ สำหรับเปนบริวารนั่งเหนือเศียรช้างเอราวรรณทั้ง ๓๒ ที่นั่งนั้น เปนธรรมดาทุกๆ พระอินทร์ ทุกๆ พระสาสนา แลชื่อเทวบุตรผู้ใหญ่ ๓๒ พระองค์นั้น คือพระมาตุลี เวสณุกรรม ปชาบดี วรุณเทวราช อิสาณเทวราช ปัญจสิขร มหาปัญจสิขร จุลรถ มหารถ สิทธัตถะ ปุสสะ ติสสะ อุบาฬี ภัทธมานะ คันธเทวบุตร เชฏฐเทวบุตร คามนิกะ บุณณะนามะ วาสยะ มงคละศุภมิตร มหาศุภมิตร จันทมุขะ ปภาสุระ อุตมะติ มารวิไชย โชติกามะ ปะละติยะ สุภระ เวคะระตะนะ จันทเทวบุตร สุริยเทวบุตร อันว่าเทวบุตรผู้ใหญ่ผู้น้อยทั้ง ๓๒ พระองค์ บรรดามีชื่อดังพรรณานามานี้ก็บังเกิดเหมือนกันสืบๆ มาตราบเท่าสิ้นกัลป ขอถวายพระพร ๚

แชร์ชวนกันอ่าน

แจ้งคำสะกดผิดและข้อผิดพลาด หรือคำแนะนำต่างๆ ได้ ที่นี่ค่ะ